วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Mona Lisa Recreated With Cups Of Coffee‏






ถั่วพู บำรุงกระดูก และฟัน‏





ถั่วพู เป็นพืชตระกูลถั่วชนิดหนึ่งที่มีรูปร่างแปลกไม่เหมือนใคร ลักษณะเป็นพืชล้มลุกที่มีลำต้นเลื้อยได้ ส่วนที่เรานิยมนำมากินก็คือฝัก ที่มีความยาวประมาณ ๕-๖ นิ้ว และมี ๔ พู เป็นที่มาของชื่อถั่วพู

รสชาติของถั่วพูนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะนำไปประกอบอาหารอะไรก็อร่อยไปหมด ไม่ว่าจะเป็นยำถั่วพู ทอดมัน หรือจะกินสดๆ จิ้มน้ำพริกก็อร่อยได้ และประโยชน์ในการกินนอกจากจะทำให้อิ่มท้องอิ่มใจแล้ว ก็ยังเต็มไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์อย่างวิตามิน เอ ซี และ อี และยังเป็นผักที่มีโปรตีนที่ช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันบางชนิดขึ้น รวมทั้งมีแร่ธาตุฟอสฟอรัส ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของกระดูกและฟัน รวมทั้งแก้อาการอ่อนเพลียได้ด้วย

นอกจากนั้นการกินถั่วพูก็ยังมีกากใยอาหารมาก ทำให้ระบบขับถ่ายของเราเป็นไปอย่างปกติ ท้องไม่ผูก นอกจากนั้นแล้ว หัวของถั่วพูก็สามารถนำไปตากแห้งแล้วคั่วไฟให้เหลือง นำมาชงเป็นน้ำดื่มชูกำลังสำหรับคนป่วยหรืออ่อนเพลียง่ายได้อีกด้วย

ทั้งอร่อยทั้งมีประโยชน์มากเลยทีเดียว

ที่มา : Pantown.com


NO Safety Belt...NO Excuse !!!‏


๏~* การดื่มน้ำเมื่อท้องว่าง ได้ประโยชน์อย่างที่คุณคิดไม่ถึงนะจะบอกให้ *~๏‏

การดื่มน้ำเมื่อท้องว่าง ได้ประโยชน์อย่างที่คุณคิดไม่ถึงนะจะบอกให้

การดื่มน้ำเ มื่อท้องว่างผ่านกระเพาะอาหาร เพื่อรักษาสุขภาพที่ดี ในประเทศญี่ปุ่นทุกวันนี้ เป็นที่นิยมดื่มน้ำทันที หลังจากตื่นนอนตอนเช้า ( ก่อนแปรงฟัน ) เพื่อการรักษาสุขภาพที่ดี มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์ พบว่าน้ำสามารถใช้ชะลอความแก่ และสามารถบำบัดรักษาโรคเหล่านี้ได้ผล 100% ( แบบค่อยเป็นค่อยไป ต้องใช้ระยะเวลา ) ปวดหัว ปวดตามตัว โรคระบบหัวใจ โรคไขข้ออักเสบ โรคหัวใจเต้นเร็ว โรคลมบ้า หมู โรคอ้วน โรคหลอดลมอักเสบ โรคหืด วัณโรค อาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไขสันหลังอักเสบ โรคไตและยูริก โรคแสลง คลื่นไส้ต่างๆ โรคกระเพาะ โรคท้องร่วง โรคริดสีดวงทวาร โรคเบาหวาน โรคอาการท้องผูก โรคตา โรคภายในสตรี มะเร็ง รอบเดือนไม่ปกติ โรคคอ หู จมูก

วิธีการปฏิบัติ

1. ตื่นนอนตอนเช้า ก่อนแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำ 4 แก้ว (640 ซีซี)
2. หลังจากนั้นสามารถและล้างหน้าอาบน้ำได้ แต่ต้องไม่ดื่ม หรือรับประทานอะไร จนกว่า 45 นาทีผ่านไป จึงจะรับประทานได้ตามปกติ
3. หลังรับประทานอาหารเช้า กลางวัน เย็น ไปแล้ว 15 นาที ไม่ควรดื่มน้ำหรือรับประทานอะไร จนกว่า 2 ชั่วโมงผ่านไป
4. ผู้ป่วย หรือคนชรา ที่ไม่สามารถดื่มน้ำ 4 แก้ว ก็ให้ค่อยๆ ดื่ม ค่อยเป็นค่อยไปเรื่อยๆ จนได้ครบ 4 แก้ว

ข้อปฏิบัติ 4 ข้อดังกล่าว จะทำให้ท่านบำบัดรักษาโรคที่เป็นอยู่ค่อยๆเบาและหายขาดได้ในที่สุด ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น และไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่อาจปัสสาวะบ่อยขึ้น แลหลังดื่มน้ำไปแล้วประมาณ 1-2 ชั่วโมง จะปวดปัสสาวะ

จากสถิติข้อมูลโรคที่บำบัดรักษา ทำให้หายได้ภายในเวลา ดังนี้

1. โรคความดันโลหิตสูง 30 วัน
2. โรคกระเพาะ 10 วัน
3. โรคเบาหวาน 30 วัน
4. โรคท้องผูก 10 วัน
5. โรคมะเร็ง 180 วัน
6. โรควัณโรค 90 วัน
7. โรคไขข้ออักเสบจะเห็นผลภายใน 3 วัน

A-Perfect-Plan‏

ระวังเดินห้างจะกลายเป็นหัวขโมย โดยไม่รู้ตัว‏

ระวังเดินห้างคาฟูร์จะกลายเป็นหัวขโมยไม่ได้ตั้งใจ















เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 07/07/2009ที่ผ่าน มา

คือดิฉันสามีและลูกได้พากันไปเดินซื้อของที่ห้างคาร์ฟูสาขาอ่อนนุช ช่วงประมาณบ่ายๆซึ่งได้พากันไปซื้อใช้กับพวกอุปกรณ์เรียนให้ลูก ใช้เวลาอยู่ในนั้นถึง16.00เพราะออกจากห้างไม่ได้ฝนตกหนักมาก

ดิฉันสามีและลูกๆก็เลือกของได้ครบแล้ว คิดว่าฝนคงหยุดแล้วก็ไปคิดเงินจ่ายค่าสินค้า พอจ่ายค่าสินค้าเสร็จก็พากันออกมาจากห้าง แต่ยังไมได้ทันออกไปแค่ลงตรงบรรไดเลื่อนจู่ก้มีชายคนหนึ่งอ้างตัวว่าเป็นรปภ. ของห้าง (เขาไม่ใส่เครื่องแบบรปภ. ) เขาลูกชายดิฉันขโมยสินค้ามาเป็นของเล่นดิฉันก็ให้เขาตรวจสอบในถุงที่ใส่ของมาเขาบอกให้ดูที่ตัวลูกชายของดินฉันเพราะมันอยู่ในกางเกงลูกชายดิฉัน

ซึ่งดิฉันก้ล้วงที่กระเป๋ากางเกงลูกชายก็พบของเล่นจริงๆ รปภ.นอกเครื่องแบบคนก็เชิญดิฉันทั้งหมดไปห้องพักสอบสวนของห้างซึ่งตอนนั้นมีผูหญิงคนหนึ่งถูกสอบสวนเรื่องขโมยสินค้าอยู่

รอจนเขาสอบสวนเสร็จรปภ.นอกเครื่องแบบก็เชิญครอบครัวดิฉันทั้งหมดเข้าไปในห้อง พร้อมกับแจ้งข้อกล่าวหาว่าลูกดิฉันขโมยสินค้าต้องจ่ายค่าปรับของที่ขโมยมา

ซึ่งตอนนนั้นดิฉันก็ถามลูกชาย ประมาณใส่อารมณ์กับเขานิดหนึ่งว่า ไปหยิบของเขามาแล้วทำไมไม่เอาให้แม่จ่ายเงินทำอย่างมันเท่ากับเราขโมยของเขานะ เห็นไมทำให้พ่อแม่ต้องเดือดร้อน

แต่ลูกชายดิฉันบอกไม่ได้ขโมยนะแม่ เขาแจกฟรี ก็มีเด็กรุ่นประมาณเขา ใส่เสื้อสีฟ้ากางเกงขาสั่นยีน รองเท้าแตะ เข้ามาบอกลูกชายดิฉันว่าของเล่นตรงนี้นะเขาแจกฟรีหยิบได้เลย

ซึ่งตอนแรกลูกดิฉันก็ไม่ได้เอาจนเด็กคนเดินเข้ามาหาอีกครั้งบอกให้หยิบซิเดียวหมดนะ แล้วเด็กคนนั้นก็หยิบไป ลูกชายดินฉันก็เลยไปหยิบของนั้นมาโดยที่ไม่ได้บอกดินฉํน

ซึ่งระหว่างนั้น ตัวดิฉันเองก็มัวเลือกซื้อของให้ลููกๆอยู่ส่วนสามีอยู่มุมหนังสือลูกดิฉันก็อยู่ด้านหลัง
ไม่ไกลกันซึ่งตัวดิฉันพยามถามลูกกี่ครั้งลูกชายก็บอกคำตอบเดิมคือเด็กผู้ชายคนนั้นให้หยิบของมาส่วนรปภนอกเครื่องแบบก็บอกกับดิฉันสามีว่า น้องเพิ่งทำผิดครั้งแรกก็จะปรับแค่10เท่า เป็นเงิน 1400บาทซึ่งสามีดิฉันก็เอาตังค์จ่ายให้เลย

พอจ่ายค่าปรับเสร็จสามีดิฉันก็เลยพูดกับรปภ.ว่าขอดูเทปวงจรปิดหน่อยที่คุณบอกว่า เห็นลูกชายผมขโมยสินค้า บอกว่าเห็นจากกล้องวงจรปิดห้างตอนขโมย เพราะผมเลี้ยงลูกชายผมมา11ปี
ลูกชายผมไม่มีพฤติกรรมเป็นขโมย ขอดูให้เห็นกับตาว่าเขาทำอย่างนั้นจริงๆ เพราะจะได้ๆไปปรับปรุงอบรมนิสัยเขาใหม่ ว่าทำไมพฤติกรรมชายถึงได้ขโมยของ

เพราะเขานะเคยเข้าไปในเนตแล้วเจอคนที่โพสในกระทู้ในเวปต่างว่ามีมิจฉาชีพแฝงตัวในคราบพนักงานคือประเภทมีหน้าม้า มาแล้วแอบหยิบของใส่กระเป๋าลูกที่เดินซื้อของ แล้วก็ถูกจับปรับว่าขโมยสินค้า

ซึ่งส่วนมากก็จะยอมจ่ายค่าปรับเพราะอายและเงินค่าปรับ พนักก็เอามาแบ่งกัน รปภ คนนั้นยื่นอึ่งไปสักพักก็บอกดูไม่ได้สามีดิฉันยืนยันว่าก็คุณบอกว่าเห็นลูกชายผมขโมยสินค้าจากกล้องวงจรปิด ผมก็ขอดูเทปม้วนนั้นเป็นหลักฐานว่าขโมย เขายืนยันว่าไม่ให้ดู

สามีดิฉันเลยถามว่าถ้าคุณเห็นในกล้องวงจรปิดจิงๆก็ต้องดูได้ รปภ.คนที่บอกว่ากลับบอกว่าใม่ได้เห็นจากกล้องแต่ยืนอยู่ข้างหลังลูกชายดิฉันตอนฉีกกล่องเอาของเล่นใส่กระเป๋า

ซึ่งที่ตรงนั้นไม่มีกล้องวงจรปิด สามีดิฉันเลยถามว่าสรุปเห็นลูกชายดิฉันขโมยของยังไง เขาบอกเห็นด้วยตาของเขาเอง และห้างนี้กล้องจะมีที่ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องออกกำลังกาย ตรงของชิ้นเล็กไม่มีกล้องวงจรปิด

ซึ่งตอนนั้นพนักของห้างที่นำเงินไปจ่ายค่าปรับก็เข้ามาพร้อมกับเงินทอน ถามว่ายังตกลงกันไม่ได้หรอ
และตอนนั้นดิฉันก็โทรไปถามพี่ชายดิฉันที่เป็นผู้จัดการอีกสาขาว่าปกติห้างคาร์ฟูเขามีกล้องทั่วห้างไหม

พี่ชายดิฉันบอกมีดิฉันก้เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง ดิฉันพอพี่ชายบอกว่ามีกล้องทั่งหมด ดิฉันก็บอกรปภ ว่า งั่นถ้าลูกชายฉันขโมยของเจ้าเด็กนั้นก็ขโมยของไปด้วย เด็กที่ใส่เสื้อสีฟ้กางเกงขาสั้นยีนส์รองเท้าแตะ มันฏ็ต้องขโมยและคิดว่ามันยังอยู่ในห้างนี้แน่ๆ

คุณก็ต้องไปตามจับไอ้เด็กคนนั้นด้วย ไม่งั่นเราไม่ยอม และถ้าไปเด็กนั้นเดินทั่วห้างมันต้องปรากฏตัวในกล้องวงจรปิดของห้างบ้างละ จะได้รู้ว่าลูกชายดิฉันโกหกไหม

ซึ่งรปภคนนั้น ยืนหน้าซีดเลยพอเราบอกอย่างนั้นเรายืนว่าจะดูกล้องของห้างเพื่อตามหาเจ้าเด็กคนนนั้น สุดท้ายพนักห้างกับรภป. ก็บอกดิฉันและสามีว่า เอาอย่างนี้แล้วกัน เดียวเราจะคืนเงินค่าปรับให้ทั้งหมด พร้อมกับยกของชิ้นนั้นให้ด้วย ไม่ติดใจเอาความ แล้ว เขาก็คืนเงินดิฉันมา แล้วก็ปล่อยออกมาจากห้องสอบสวนของห้าง

ซึ่งดินฉันเสียความรู้สึกกับห้างคาร์ฟูมากๆเพราะตัวดิฉันจะมาใช้บริการที่นี้บ่อย ลูกชายดินฉันก็มาด้วยกันบ่อยแต่ไม่น่าเกิดเหตุการณแบบนี้กับครอบครัวดิฉันเลย ตอนนี้ลูกชายดิฉันตั้งแต่เหตุการณ์วันนั้นเขากลายเป็นเด็กซึมไปเลยจากเด็กที่ร่าเริง

และดิฉันได้โทรคุยกับญาติกันก็เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง เขาก็บอก ปกติทางห้างจะมีกล้องทึทุกจุดนะ และเวลาที่จับคนขโมยสินค้าได้เขาก็ต้องให้ดูกล้องด้วยว่าเราทำจริงๆ และทางห้างไม่ยอมง่ายๆหรอก

และที่บอกว่าเห็นลูกดิฉันฉีกกล่องเพื่อเอาของถ้าเขาอยู่ข้างหลังจิงหรือเห็นเหตุการณ์เขาต้องจับปรับเราแล้วเพราะเราไปทำลายสินค่าของเขาเสียหาย ดิฉันมานั้นทบทวนดูก็จริงนะที่น้องชายบอก

น้องชายดิฉันเลยโทรเข้าไปร้องเรียนให้โดยประชุมสายกับพนักเพื่อให้ดิฉันเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟัง พนักงานชื่อคุณรัตนาพร บอกว่าจะส่งเรื่องให้ที่สำนักงานใหญ่ให้แล้วก็เบอร์โทรดิฉันไป

ดิฉันโทรไปที่ callcenter วัน ศุกร์ที่10 ตอนเย็นๆ จนบัดนี้เรื่องมันก็เงียบไปไม่มีใครติดต่ออะไรมาเลย ดิฉันอย่างเตือนทุกคนว่าเวลาเดินห้างไปกับเด็กๆแยอะๆก็พยามดูนะคะว่าเขาหยิบของอะไรหรือเอาอะไรใส่กระเป๋าหรือเปล่า

หรือกระเป๋าสะพายก็รูดซิปไว้อย่าเปิดอ้าไว้นะคะแล้วคุณอาจเป็นขโมยแบบไม่รู้ตัว มิจฉาชีพมันมีได้ทุกที่ มีแต่พนักงานห้างเอง ดิฉันไม่นึกว่าเรื่องที่เคยอ่านในหนังสือพิมพ์อ่านในเนต มันจะเกิดขึ้นกับครอบครัวของดิฉัน

หากวันนั้นสามีดิฉันไม่ยืนยันจะดูกล้องเป็นหลักฐานพวกเราคงต้องเสียค่าโง่กับพนักงานของห้างคาร์ฟูสาขาอ่อนนุชแน่ๆๆ

ข้อปฏิบัติในการใส่บาตร (ขำ..ขำ)‏

ข้อปฏิบัติในการใส่บาตร

1. นิมนต์พระ
หลังจากที่เราเตรียมสำรับกับข้าวเรียบร้อยแล้ว เราก็ยืนรอพระที่จะเดินบิณฑบาตผ่านมา
การยืนรอพระในขั้นตอนนี้ ควรศึกษาให้ดีเสียก่อนว่า เส้นทางนี้มีพระเดินผ่านหรือไม่
ไม่ใช่ว่าไปรอบนทางสายเปลี่ยวที่ไม่มีพระเดินผ่าน คงไม่ได้ใส่กันพอดี
รอซักพัก พอมีพระเดินมาก็นิมนต์ท่าน
การนิมนต์ ก็ควรใช้คำว่า "นิมนต์ครับ/ค่ะท่าน" แค่นี้พระท่านก็ทราบแล้ว
ตอนเป็นพระเคยเดินบิณฑบาตที่ตลาดเขมร โยมนิมนต์ด้วยถ้อยคำอันรื่นหูว่า "ท่านเจ้าประคุณเจ้าคะ
นิมนต์เจ้าค่ะ" (ใช้คำไฮโซมาก)
มีอีกทีนึงโยมใช้คำว่า "นิมนต์เจ้าค่ะ พระอาจารย์" (เอ่อ โยม อาตมาเพิ่งบวชอาทิตย์เดียว)
การนิมนต์พระควรนิมนต์ด้วยความสำรวมและใช้เสียงดังพอประมาณ
โยมบางคนเรียกพระด้วยเสียงอันดัง "นิ โมนน!!" (แง้ ทำไมต้องตะคอกด้วย - -")
การนิมนต์ควรสังเกตอายุของพระด้วย
ถ้าอายุน้อยกว่าเราหรือว่าเยอะกว่าไม่มากก็เรียกว่าหลวงพี่ ถ้ามีอายุหน่อยก็เรียกหลวงน้า ถ้าแก่พรรษา
มากก็เรียกหลวงตา หรือนอกจากนี้ก็อาจจะเรียกหลวงอา หลวงลุง หลวงปู่ฯลฯ แล้วแต่จะลำดับญาติ
อย่างฉันปีนี้อายุ ๒๓ ปี หน้าตาค่อนข้างเด็ก แต่เคยมีโยมใช้คำว่า "นิมนต์ค่ะ หลวงลุง" ทำเอาเสีย
self จนอยากสึกออกไปทำ baby face
โยมบางคนคงเขินอายพระ เนื่องจากไม่ค่อยได้ใส่บาตรเท่าไร เวลาพระเดินมาก็ยื่นมือออกมาทำท่า
กวักๆ ทำเหมือนพระเป็นรถเมล์
หลังจากนิมนต์พระ ก็เข้าสู่ขั้นตอนถัดไปคือ

2. จบ
อันนี้ไม่ได้หมายความว่าเรื่องจบแล้วนะ
การจบ หมายถึง การเอามาทูนไว้ที่หัวแล้วอธิษฐาน
การจบ ควรใช้เวลาอธิษฐานแต่พองาม ไม่ต้องอธิษฐานนานจนเกินไป
เคยมีโยมนิมนต์ไปรับบาตร ไอเราก็เดินไปเปิดฝาบาตรรอรับ โยมก็จบอยู่ ขอบอกว่านานมากกกกกกก
นานจนรู้สึกได้ นานจนอดคิดไม่ได้ว่า "โยมขออะไรเราน้า?"

3. ถอดรองเท้า ยืนด้วยเท้าเปล่า
จริงๆแล้ว จุดประสงค์ของการถอดรองเท้าคือเป็นการให้ความเคารพพระสงฆ์โดยการไม่ยืนสูงกว่าท่าน
เพราะเวลาพระสงฆ์บิณฑบาตจะเดินเท้าเปล่า แต่มีญาติโยมบางคนไม่เข้าใจเกี่ยวกับการถอดรองเท้าซึ่ง
มีหลายประเภทเหมือนกัน เช่น
บางคนถอดรองเท้าอย่างเรียบร้อยแต่ยืนบนรองเท้า - -" (สูงกว่าเดิมอีก)
บางคนถอดรองเท้าและยืนบนพื้นจริง แต่ว่าตัวเองยืนบนฟุตบาท พระยืนบนพื้นถนนซะงั้น (หนักกว่าเก่า)
เคยมีเรื่องเล่าว่า มีโยมคนนึงยืนใส่บาตรพระ พระเห็นว่าโยมใส่รองเท้าเลยแนะนำโยมไปว่า
พระ : "โยม อาตมาว่าโยมควรถอดรองเท้าใส่บาตรนะ"
โยมมีสีหน้าตกกะใจ ตอบพระไปว่า
โยม : เอ่อ จะดีเหรอคะ
พระ : ไม่เป็นไรหรอกโยม
โยมก็จัดแจงถอดรองเท้า ยกขึ้นมาพร้อมกับถามพระว่า
โยม : จะให้ใส่ข้างเดียวหรือว่าสองข้างเลยคะ
อิบ้า!! ท่านหมายถึงถอดรองเท้าเวลาใส่บาตร ไม่ใช่ถอดรองเท้าเอามาใส่ในบาตร
อันนี้เป็นเรื่องที่หลวงน้าท่านนึงเล่าให้ฟังระหว่างฉันเพล (เรื่องขำขันขณะฉันเพล)
พอถอดรองเท้าเสร็จก็เข้าสู่ขั้นตอนที่สี่

4. ใส่บาตร
อันนี้ถือเป็นจุดไคลแมกซ์ของการใส่บาตร
สิ่งสำคัญที่ทุกคนมองข้ามก็คือควรดูว่าของที่นำมาใส่บาตรนั้น เสียรึเปล่า
บางคนมีเจตนาอยากทำบุญดี แต่ดันไปซื้อของเสียมาใส่บาตร
พระฉันไป เข้าห้องน้ำไป
พวกร้านค้าก็จริงๆ บางครั้งเอาของค้างคืนมาขายเอากำไร ไม่สนใจพระเจ้า เห็นแก่ตัว หากินกับพระ
ก็ฝากด้วยนะครับ เด๋วทำบุญจะได้บาปเปล่าๆ
นอกจากนี้ ของที่นำมาใส่ ถ้าเพิ่งปรุงสุกเสร็จ ควรดูด้วยว่ามันร้อนมากรึเปล่า
เคยมีโยมใส่แกง ร้อนมากๆๆ บาตรเกือบหล่น ทั้งนี้เพราะบาตรทำจากโลหะ นำความร้อนได้ดี
ปริมาณไม่ควรมากจนเกินไป
เคยมีโยมใส่บาตรด้วย "กล้วย ๓ หวี"
กล้วยเล็บมือนาง กล้วยไข่ อาตมาไม่ว่า
แต่นี่ใส่ "กล้วยหอม" (อันนี้เกิดกับตัวเองจริงๆ)
คิดดู "กล้วยหอม ๓ หวี" อยู่ในบาตร หนักมากกกก จนอยากบอกโยมว่า "โยม อาตมาไม่ใช่ช้าง"
การใส่ก็ควรวางในบาตรด้วยอาการสำรวม
โยมผู้หญิงบางคนกลัวโดนพระจัด พอถุงกับข้าวถึงแค่ปากบาตร ก็ปล่อยลงมา ตุ๊บ!! นึกว่ากาลิเลโอกลับ
ชาติมาทดลองเรื่องแรงโน้มถ่วงของโลก (วางดีๆก็ได้ 55)
ขั้นตอนต่อไปคือ

5. รับพร
หลังจากใส่บาตรเสร็จ พระสงฆ์ส่วนมากก็จะให้พร
เราเป็นญาติโยม ก็ประนมมือรับพรกันตามระเบียบ โดยอาจยืนหรือนั่งยองๆ ก็ได้ ก้มหัวแต่พองาม
เคยมีโยมยืนประนมมือ แต่ก้มหน้ามาแทบชนพระ ห่างจากหน้าพระประมาณคืบเดียว
(ไม่ต้องใกล้ชิดศาสนาขนาดนั้นก็ได้โยม (ตอนนั้นให้พรเบาๆ เพราะไม่มั่นใจเรื่องกลิ่นปาก))
ถ้าเป็นโยมผู้หญิงก็นั่งให้เรียบร้อย เหมาะสม
ระหว่างนี้ก็อุทิศส่วนกุศลให้คนที่รัก เจ้ากรรมนายเวรและอื่นๆ ก็ว่ากันไป

การใส่บาตรที่อยากแนะนำก็มีประมาณเท่านี้
ขั้นตอนการทำบุญง่ายๆ
ตื่นเช้ามาใส่บาตรกันเถอะครับ พี่น้อง

เรื่องเล่า "คนขายสุนัข"‏

มีร้านค้าแห่งหนึ่งติดประกาศขายลูกสุนัข 7 ตัว

เมื่อรู้ข่าว ก็มีเด็กๆ แวะเวียนเข้ามาเล่น มาชมลูกสุนัขทุกวัน แต่ก็ยังไม่มีใครตกลงใจซื้อ เพราะเป็นสุนัขพันธุ์ดี มีราคาค่อนข้างแพง



วันหนึ่ง ขณะที่เจ้าของร้านกำลังยุ่งอยู่กับการขายของอื่นๆ ให้แก่ลูกค้าในร้าน

เด็กชายหน้าตาน่าเอ็นดูคนหนึ่งก็มากระตุกชายเสื้อเขา

เขาก้มลงมอง และถามว่ามีอะไรให้ช่วยหรือไม่



?เพื่อนของผมบอกว่า ที่ร้านของคุณอามีลูกหมาขาย ผมอยากเลี้ยงลูกหมาสักตัว

พ่อแม่ก็อนุญาตแล้ว ขอผมดูลูกหมาของคุณอาหน่อยได้ไหมครับ? เด็กบอกอย่างสุภาพ



?อ๋อ ได้สิหนู พวกมันกำลังนอนเล่นอยู่หลังร้านน่ะ? เจ้าของร้านกล่าวอย่างยินดี

แล้วผิวปากเรียกสุนักทั้งเจ็ดออกมา

เด็กชายยิ้มร่าเมื่อเห็นลูกสุนัขวิ่งตุ้ยนุ้ยออกมาที ละตัว

เขานับ...แต่ก็มีแค่หกตัวเท่านั้น

?ไหนว่ามีเจ็ดตัว มีคนซื้อไปตัวหนึ่งแล้วหรือครับ? เด็กชายถาม



เจ้าของร้านตอบว่า ? อ๋อ เปล่าหรอกหนู ยังไม่มีใครซื้อไปเลยสักตัว

เพียงแต่ตัวสุดท้ายขาหลังเขาไม่ดี มันก็เลยต้องคลานออกมา วิ่งมาพร้อมกับพี่ๆ ของมันไม่ได้?



สิ้นคำเจ้าของร้าน ลูกสุนัขตัวที่เจ็ดก็คลานออกมา

ขาหลังทั้งคู่ของมันลีบเหลือนิดเดียว มันต้องใช้ขาหน้าลากพาร่างกายออกมาจากหลังร้าน



ลูกสุนัขมองมาทางเด็กชายแล้วครางงี้ดๆ

เห็นได้ชัดว่ามันพยายามคลานมาหาเขา

หางของมันกระดิกดุ๊กดิ๊กๆ อยู่ตลอดเวลา

มันคลานเข้าไปเลียรองเท้าของเด็กชาย ท่าทางจะชอบเขามาก



เด็กชายหัวเราะแล้วอุ้มมันขึ้นมา ก่อนจะถามเจ้าของร้านว่า ?หมาตัวนี้ราคาเท่าไรครับ?



?ปกติ อาบอกขายอยู่ตัวละสองพันบาทนะ? เจ้าของร้านตอบ



เด็กชายนิ่งอึ้งไปก่อนจะล้วงกระเป๋าหยิบเงินออกมานับ

เขามีเงินอยู่เพียงสี่ร้อยห้าสิบบาทเท่านั้น



?ผมมีเงินไม่พอซื้อหมาตัวนี้? เด็กชายพึมพำอย่างเศร้าใจ

เจ้าของร้านรีบบอกทันทีว่า

?โอ๊ะ! หนู ถ้าหนูอยากได้หมาตัวนี้ไปก็เอาไปเถอะ ไม่ต้องจ่ายเงินหรอก อายกให้หนูฟรีๆ ไปเลย?



เด็กชายฟังเจ้าของร้านแล้วชะงักไป ก่อนจะถามกลับไปอย่างไม่พอใจว่า

?ทำไมครับ ทำไมถึงบอกว่าไม่ต้องจ่ายเงินถ้าจะซื้อหมาตัวนี้?



?ก็อย่างที่หนูเห็นอย่างไรล่ะ ลูกหมาตัวนี้มันติดมาพร้อมๆ พี่ๆ น้องๆ ของมัน

และอาก็ไม่คิดว่าจะขายมันอยู่แล้ว เพราะมันพิการ วิ่งก็ไม่ได้ กระโดดก็ไม่ได้

ความจริง อาไม่อยากให้หนูได้ของมีตำหนิอย่างนี้ไปนะ ลองดูตัวอื่นดีไหม?



เด็กชายเม้มปากแน่นก่อนจะพูดว่า ?คุณอาดูอะไรนี่สิครับ?

ว่าแล้วเขาก็ดึงขากางเกงทั้งสองข้างขึ้น

เจ้าของร้านจึงได้เห็นว่าขาของเด็กชายคนนี้เล็กลีบเช ่นเดียวกับขาหลังของลูกสุนัข

แต่ที่ทำให้เขายืนอยู่ได้ ก็เพราะมีขาเทียมช่วยพยุงเอาไว้



?คุณอาครับ ขาของผมก็ลีบใช้การอะไรไม่ได้เหมือนกัน

ผมเดินช้ากว่าเพื่อนคนอื่นๆ วิ่งก็ไม่ได้ กระโดดก็ไม่ได้

อย่างนี้ผมก็เป็นคนไร้คุณค่าหรือเปล่าครับ?



เจ้าของร้านนิ่งอึ้งไป ความรู้สึกผิดแล่นปราดเข้าสู่หัวใจของเขา



เด็กชายปล่อยขากางเกงลงแล้วพูดต่อว่า

?ผมจะซื้อสุนัขตัวนี้ในราคาสองพันบาทเท่ากับลูกหมาตัวอื่นๆ

แต่ว่าผมมีเงินไม่พอ ถ้าผมจะอ้อนวอนคุณอา ขอผ่อนราคาของลูกหมาตัวนี้

เดือนละหนึ่งร้อยบาททุกเดือน จนครบสองพันบาท คุณอาจะว่าอย่างไรครับ?



เจ้าของร้านน้ำตาไหลริน ทรุดตัวลงตรงหน้าเด็กชายและกอดเขาไว้ด้วยความประทับใ จ

พลางกล่าวขอโทษขอโพยในสิ่งที่ตนได้ทำผิดพลาดไป

เขาบอกว่าไม่ขัดข้องที่จะให้เด็กชายผ่อนค่าตัวของลูก สุนัขตัวนี้

และกล่าวว่าถ้าสุนัขทุกตัวมีเจ้านายที่จิตใจดีอย่างเ ด็กชาย

พวกมันก็คงจะมีชีวิตที่เป็นสุขอย่างมาก.

.....................

ที่มา : นิทานสีขาว? เล่าโดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา

อิจฉาแมว jealous all those cats‏

เอนตราย หตุเกิดที่เซนทรัล ชลบุรี ควรอ่านค่ะ‏

เหตุเกิดจากเพื่อนของมดเองค่ะ พักอยู่บางปะกง ทำงานอยู่ที่ นิคมอุตสาหกรรมเวลโก
อยู่บริษัท เลนโซ เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ได้มาเที่ยว เซนทรัล ชลบุรี กับสามี
ลูกเล็ก 2 คน และมีช่วงนึง สามีกับลูกคนโตแยกกันไปซื่อของชั้นล่าง
ส่วนตัวเองพาลูกคนเล็กไปเล่นของเล่นแยกกันไป มีผู้หญิงคนนึงถือไป ปลิวแผ่นเล็กๆ
มาส่งให้ และถามว่า เป็นคนชลบุรีหรือเปล่า เพื่อนบอกว่า ไม่ใช่ เขาก็บอกว่า
ฝากประชาสัมพันธ์หน่อยค่ะ เพื่อนไม่ได้คิดอะไร ก็รับมาอ่าน
และไม่ได้สังเกตผู้หญิงคนนั้น อ่านไปได้หน่อยเดียว ก็เกิดอาการวูบ
เหมือนจะเป็นลมก็เลยนึกถึงที่เคยอ่านทาง mail กันบ่อยๆ ก้อเลยทิ้งใบปลิว ไปค่ะ
แต่ยังพอมีสติ แล้วรีบกดโทรศัพท์หาแฟน แล้วลงไปหาที่ชั้นล่าง
ก็เลยรอดพ้นจากพวกมิจฉาชีพ แฟนก็ให้ไปพักในรถพอดีขึ้น เขาก็เลยโทรมาเล่าให้ฟัง
บอกว่า หลังใบปลิว ที่สัมผัสเหมือนมีเส้นๆ อยู่ค่ะ จึงฝากเตือน เพื่อนๆ ค่ะ
ให้ระวังด้วยค่ะ เพราะ ส่วนใหญ่เรา จะได้รับ เป็น mail forword ใช่ไหมค่ะ
แต่นี่มีเกิดกับคนใกล้ตัว หรือที่เรารู้จัก และเกิดขึ้น ที่จังหวัดเรา
และห้างสรรพสินค้าที่เราชอบไปเที่ยว กันด้วยค่ะ ไปบอกต่อกันด้วยนะค๊ะ

หมีกำพร้า 5 ตัวขอพ่อ - แม่อุปถัมภ์‏

ชีวิตรันทดหมีกำพร้า 5 ตัว ขอ "พ่อ-แม่อุปถัมภ์"



บนโลกกลมๆ ใบเดียวกันนี้ หลินปิง แพนด้าน้อยคลอดในเมืองไทยโตวันโตคืนสร้างความมหัศจรรย์ให้คนทั้งโลกต้องตะลึงด้วยความน่าเอ็นดู ปัจจุบันแพนดาน้อยอายุ 3 เดือน ทำหน้าที่เจ้าหญิงสันถวไมตรีไทย-จีน อยู่ในโครงการแลกเปลี่ยนแพนด้าเพื่อการวิจัย เมื่อครบกำหนด 10 ปี ประเทศไทยต้องส่งครอบครัวแพนดากลับประเทศจีน

ขณะนี้ทั่วโลกมีแพนดาประมาณ 1,600 ตัว แพนดาเลี้ยงอีก 200 กว่า แต่ละตัวมีอายุเฉลี่ยเพียง 30 ปี แต่ละครั้งแม่แพนดามีลูกได้อย่างมากเพียง 8 ตัว จึงเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์

แพนดาน้อยหลินปิงเป็นแพนดาเลี้ยงตัวแรกที่คลอดในปีนี้ ชาวไทยส่งเอสเอ็มเอส และไปรษณียบัตร ช่วยกันมีส่วนร่วมตั้งชื่อเป็นข่าวดังขึ้นหน้าหนึ่งติดต่อกันในเมืองไทยและประเทศจีน แพนดาน้อยนอนฟูกอย่างดี ได้รับการเลี้ยงดูเอาใจใส่จากหลินฮุ่ยแม่แพนดาและพี่เลี้ยง ภายในห้องปรับอากาศเย็นเฉียบที่สวนสัตว์เชียงใหม่ มีการจัดงานเฉลิมฉลองวันเกิดตัดเค้กให้อย่างหรูหรา

ขณะเดียวกันในอีกมุมหนึ่งของประเทศไทยด้วยอารมณ์ที่แตกต่างกัน บริเวณเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน ไม่ไกลจากเขาชีจรรย์ ด้านหลังของวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร จังหวัดชลบุรี เป็นสถานที่หนึ่งในโครงการปิดทองหลังพระ ท่องเที่ยวในโครงการพระราชดำริ เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

คณะกรรมการบริหารโครงการปิดทองหลังพระ ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล ประธาน, ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ รองประธาน จิริกา นุตาลัย ผู้อำนวยการโครงการปิดทองหลังพระฯ มอบหมายให้คณะทำงานนำโดย นฤวร ปันยารชุน คณะอนุกรรมการประชาสัมพันธ์และส่งเสริมการท่องเที่ยวโครงการปิดทองหลังพระนำคณะสื่อมวลชนเข้าไปเยี่ยมชมในบริเวณโซนหมี พบลูกหมีควายกำพร้าพ่อแม่ทั้งหมด 5 ตัว อายุตั้งแต่ 3 เดือนขึ้นไปถูกขังอยู่ในกรงสี่เหลี่ยมตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากขาดงบประมาณในการสร้างคอกถาวร

หมีควายเป็นประชากรหมีที่เกิดในเมืองไทย แต่ไม่ได้รับการเหลียวแล ลูกหมีบางตัวเล็บขบไม่สบาย ลูกหมีบางตัวหินปูนเกาะจนฟันอักเสบกินอาหารไม่ได้ ทำให้ลูกหมีวัย 2 ขวบแคระแกร็นมีรูปร่างใกล้เคียงกับหมีอายุ 3 เดือน ขณะนี้อยู่ระหว่างการรักษา ลูกหมีบางตัวไม่มีโรคภัยไข้เจ็บแต่อาหารยังได้ไม่ครบหมวดหมู่ หมีทั้งหมดในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน ตามโครงการจะต้องเลี้ยงให้แข็งแรงแล้วจึงนำไปปล่อยในป่าทึบ เทือกเขาที่มีไม้พุ่มและไม้ยืนต้น

ที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ซึ่งยังมีสภาพป่าในเขตเทือกเขาสูงชัน พันธุ์ไม้หายาก กล้วยไม้ ไม้ประดับเป็นจำนวนมาก สถานีแห่งนี้ดูแลสัตว์ป่าอยู่หลายประเภททั้งหมี ลิงอุรังอุตัง ไก่ป่า และนกพันธุ์หายากต่างๆ สัตว์ป่าเหล่านี้มาจากการที่ทางราชการยึดได้จากผู้ที่ลักลอบล่าสัตว์ป่าหรือสัตว์ป่าที่ชาวบ้านเลี้ยงไว้แล้วนำมาปล่อยทิ้ง เรียกง่ายๆ ว่า สัตว์ของกลางหรือสัตว์กำพร้า



มีหมีดำที่เรียกว่าหมีควาย, หมีหมามากที่สุดในประเทศไทย 94 ตัว (หมีในกรงสถานีเพาะเลี้ยงเขตห้ามล่าสัตว์ป่าในประเทศไทย 23 สถานี มีหมีทั้งหมดทั่วเมืองไทย 170 ตัว) มีแยกขัง อยู่รวมกันหลายๆ ตัวในที่โล่งแจ้งที่จัดเตรียมไว้โดยมีรั้วลวดไฟฟ้าขนาดเล็กกั้นอยู่ หมีบางตัวดุร้ายมากต้องแยกขังเดี่ยว บางตัวไม่สบายก็ต้องแยกไปรักษาเพื่อสังเกตอาการ หมีควาย หมีหมาอยู่ในสภาพป่วยและยังไม่พร้อมที่จะให้คนมาเข้าชม ภารกิจของหมอเพียงคนเดียวที่จะต้องขูดหินปูนฟันหมีทั้ง 96 ตัว โดยต้องวางยาสลบทีละตัว และค่อยๆ ทำความสะอาดฟันของมัน

คนซึ่งประกอบอาชีพจับสัตว์ป่าไปขาย เพื่อนำอวัยวะบางส่วนมาบริโภคตามความเชื่อที่ว่าจะสามารถบำรุงร่างกายมนุษย์ด้านต่างๆ ได้ อุ้งตีนหมี นิ้ว เขี้ยว ดีหมี ทั้งๆ ที่ยังไม่เคยมีการพิสูจน์ที่ชัดเจน ขบวนค้าสัตว์ป่าลักลอบขนย้ายหมีควาย ลูกหมีควายแล้วผ่านมาเจอด่านตรวจของเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงกลัวถูกจับดำเนินคดี

ปัญหาก็คือสัตว์ป่าของกลางเหล่านั้นเราจะเอาไปไว้ที่ไหน เพราะสัตว์ป่าเหล่านั้นส่วนใหญ่หมดสภาพที่จะกลับคืนสู่ป่าได้แล้ว เพราะเขามีทั้งบาดเจ็บจากบาดแผลหรือถูกกักขังไว้นาน จนไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ กว่าตำรวจจะนำหมีมาถึงเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน หมีดำก็อยู่ในสภาพที่กะปลกกะเปลี้ยเต็มทีแล้ว ยิ่งได้รับอาหารการกินด้วยงบประมาณที่แสนจำกัด วันละ 40 บาท/ตัว/คน ราคาใกล้เคียงกับอาหารผู้ต้องขัง อาหารที่จัดให้เป็นปลายข้าวคลุกหัวเผือกหัวมันตับบดผลไม้ตามมีตามเกิด

หมีดำ เอเชียติก (Asiatic Black Bear) หรือหมีพระจันทร์ (Moon Bear) เป็นสัตว์สงวน ด้วยมีความเสี่ยงในการสูญพันธุ์ สมาคมพิทักษ์สัตว์แห่งโลกไซเตสจัดหมีควายไว้เป็นสัตว์คุ้มครองอยู่ในบัญชีหมายเลข 1 ในการดูแลพิทักษ์หมีดำเอเชียติดอันดับเป็นสัตว์ป่าที่หายากและใกล้จะสูญพันธุ์ แม้ว่าจะตายแล้วก็ห้ามไม่ให้ทำลายหรือชำแหละซากโดยไม่ได้รับอนุญาต

หมีควาย (Ursus thibetanus) หมีหมา (Ursus malayanus) หมีสองชนิดที่พบในพื้นที่ป่าของประเทศไทย หมีควายสีดำตัวโตมีสัญลักษณ์รูปตัว v สีขาวที่หน้าอก หมีเป็นสัตว์ดุร้ายต้องระมัดระวัง เมื่อตกใจหรือสงสัยจะยืนด้วยขาหลัง ต่อสู้กับศัตรูโดยการตะปบด้วยขาหน้า กัดด้วยฟันอย่างรุนแรง พฤติกรรมชอบขดตัวกลมแล้วกลิ้งลงมาจากเนินเขา ส่วนหมีหมาตัวอ้วนใหญ่ ขนดกตามตัวสีดำ หรือสีน้ำตาลทั้งตัว ยกเว้นบริเวณหน้าอกที่มีลักษณะเด่นแผงคอเป็นรูปตัว U ตัวผู้หนักถึง 200 กิโลกรัม ตัวเมียหนัก 125 กิโลกรัม

หมีควายปกติจะไม่ออกมาทำร้ายคน แต่ดุร้ายเพราะมันถูกบุกรุกที่อยู่อาศัยจนจำเป็นต้องออกจากป่ามาหาอาหาร จนเข้าเขตที่อยู่อาศัยของมนุษย์หรือเป็นหมีที่ถูกจับมาเพื่อส่งขายแล้วหลุดจึงเกิดดุร้าย

สุรศักดิ์ อนุเมธางกูร หัวหน้าสถานีเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน กล่าวว่า อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืชได้ประกาศหาพ่อแม่อุปถัมภ์หมี เสือ กวาง งู ทั่วประเทศ

ขณะนี้ต้องการพ่อแม่อุปถัมภ์หมีทั้งหมด มีการจัดทำระเบียนประวัติหมีทุกตัวรวมทั้งลูกหมีดำที่กำลังโตวันโตคืนไว้ให้อุปถัมภ์ ค่าอาหารเดือนละ 1,200 บาท เพื่อให้หมีมีวิถีชีวิตดีขึ้น มาถ่ายรูปและมาชมหมีดำที่อุปการะได้ทุกวัน หากพ่อแม่อุปถัมภ์ใจดีจะอุปการะอย่างอื่นในการสร้างกรงขัง คอกธรรมชาติ เพื่อหมีเหล่านี้มีสุขภาพสมบูรณ์จะได้นำไปปล่อยในป่าธรรมชาติดังพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

หมีเป็นสัตว์หากินกลางคืนนอนกลางวัน แต่หมีที่นี่จะนอนตั้งแต่ตอนเย็น เมื่อต้องเผชิญหน้ากับหมี คนต้องรีบวิ่งหนีไปให้ไกล เพราะความคิดหมีช้ากว่าคน 1 นาที อย่าหนีขึ้นต้นไม้เด็ดขาดเพราะหมีขึ้นต้นไม้เก่งมากๆ เมื่อเข้าฤดูผสมพันธุ์หมีจะดุมาก

"ขณะนี้หมีควายที่ชื่อเจ้าขุน เป็นหมีที่เจษฎาภรณ์ ผลดี ไปทำรายการโทรทัศน์ navigator ที่จังหวัดน่าน เจอหมีอยู่ในคอกจึงเอามาฝากเลี้ยงไว้ที่นี่เพื่อวันหนึ่งจะได้กลับไปอยู่ป่าในวันข้างหน้า ติ๊กบริจาคเงิน 1 แสนบาท เพื่อสร้างคอกให้หมีรวมกันอยู่ แต่งบฯหมดแล้วสร้างได้แต่กำแพง ต้องการงบฯเพิ่มอีก 1.5 แสนบาท ประชาชนอยากร่วมสร้างบ้านหมีสามารถติดต่อมาได้เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน ตู้ ปณ.11 ไปรษณีย์บ้านอำเภอ ตำบลนาจอมเทียน อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี 20250" หัวหน้าสถานีเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอนและเจ้าหน้าที่ช่วยกันเล่าถึงประชากรหมีที่มีมนต์เสน่ห์ให้ทุกคนช่วยกันเลี้ยงดู

ขณะนี้ปริมาณสัตว์ป่ามีมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันข้อจำกัดของเงินงบประมาณและจำนวนเจ้าหน้าที่ที่ไม่เพียงพอในการดูแลสัตว์ภายในสถานี สถานีเหล่านี้จะพัฒนาเป็นสวนสัตว์เพื่อหารายได้ก็ไม่ได้เพราะไม่ใช่วัตถุประสงค์ของการจัดตั้งสถานีด้วย ให้เป็นสถานีการเรียนรู้และวิจัยสัตว์ป่าเฉพาะชนิดเปิดให้นักเรียน นักศึกษา และผู้ที่สนใจเข้ามาศึกษาเรียนรู้จัดกิจกรรมค่ายเพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ซึ่งน่าจะสามารถหางบประมาณด้านการวิจัยเข้ามาช่วยได้ แนวคิดโครงการพ่อแม่บุญธรรมสัตว์ป่า เพื่อให้คนที่รักสัตว์ได้มีโอกาสบริจาคเงินหรืออาหารเล็กๆ น้อยๆ คล้ายๆ ที่เราดูแลเด็กกำพร้าซึ่งผู้อุปการะก็สะดวกและมีความรู้สึกเสมือนเป็นเจ้าของสัตว์ เพียงแต่ไม่ต้องเลี้ยงเองที่บ้าน แค่เอาฝากทางสถานีดูแลแทน และหากมีโอกาสก็แวะมาเยี่ยมตามเวลาที่เหมาะสม




ในอดีตพื้นที่บริเวณ เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี มีสภาพเป็นป่าดิบแล้ง ไม้สำคัญอย่างยางนา ตะเคียน มะค่าโมง ฯลฯ ถูกนำไปใช้ทางเศรษฐกิจจนแทบไม่เหลือ มิหนำซ้ำยังถูกบุกรุกจากชาวบ้านเพื่อใช้เป็นพื้นที่ทำการเกษตร ทำให้พื้นที่บริเวณนี้กลายเป็นที่รกร้าง ป่าเสื่อมโทรม ขาดการดูแลรักษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จฯไปที่วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ทรงพบว่าพื้นที่การเกษตรโดยรอบเสื่อมโทรมไม่สมบูรณ์ ระบบนิเวศวิทยาถูกทำลายเนื่องจากความไม่รู้ของชาวบ้าน จึงมีพระราชดำริให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าแก้ไข ให้ความรู้ชาวบ้าน และพัฒนาพื้นที่โดยรอบให้ฟื้นคืน

กรมป่าไม้ได้สำรวจและเลือกพื้นที่บริเวณป่าเขาชีโอน ท้องที่ ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง และ ต.พลูตาหลวง ต.นาจอมเทียน อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เนื้อที่ประมาณ 2,299 ไร่ และประกาศในราชกิจจานุเบกษาให้เป็น "เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน" เมื่อ 12 มีนาคม 2528 หลังจากได้มีการประกาศเป็นเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอนแล้ว การดำเนินการฟื้นฟูสภาพป่าได้เริ่มต้นขึ้นและดำเนินการอย่างต่อเนื่องจนปัจจุบัน

ในวันนี้ผืนป่ามีสภาพสมบูรณ์ใกล้เคียงกับในอดีต สัตว์ป่านานาชนิดเริ่มหวนคืนสู่บ้าน ทั้งลิง ชะมด อีเห็น เม่น แมวดาว เสือปลา ไก่ป่า กระรอกดำ งู ค้างคาว และนกชนิดต่างๆ นอกจากนี้ยังมีสัตว์ป่าที่เพาะเลี้ยงโดยสถานีเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าบางละมุง เก้ง กวาง ละอง-ละมั่ง เนื้อทราย ลิงลมหรือนางอาย และไก่ฟ้าหลังขาว ได้ทดลองปล่อยกลับเข้าพื้นที่ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2533 ซึ่งสัตว์เหล่านี้สามารถดำรงชีวิตและขยายพันธุ์ได้ดี

หากผู้ใดสนใจจะไปด้วยตัวเองขับรถยนต์จากกรุงเทพฯไปตามถนนสุขุมวิท (สายบางนา-ตราด) ผ่านจังหวัดชลบุรีและเมืองพัทยา จนถึงหลักกิโลเมตรที่ 160 เลี้ยวซ้ายประมาณ 8 กิโลเมตร จนถึงวัดญาณสังวรารามฯ ก่อนที่จะถึงเขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอนซึ่งอยู่ด้านหลังของวัด

คำคมจากขงเบ้ง‏

คำคมจาก "ขงเบ้ง "
ถ้าคุณคิดจะเป็นใหญ่ คุณก็จะได้เป็นใหญ่
ถ้าคุณคิดอยากเป็นอะไร คุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้น
เพราะแสวงหา มิใช่เพราะรอคอย
เพราะเชี่ยวชาญ มิใช่เพราะโอกาส
เพราะสามารถ มิใช่เพราะโชคช่วย
ดังนี้แล้ว "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะ ตน"

นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด
ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด
ผู้ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น
ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี
ไม้คดใช้ทำขอ เหล็กงอใช้ทำเคียว แต่คนคดเคี้ยว ใช้ทำอะไรไม่ได้เลย
เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว
เดินหมากรุกยังต้องคิด เดินหมากชีวิต จะไม่คิดได้อย่างไร
เมื่อใครสักคนหนึ่งทำผิด ท่านอย่าเพิ่งตำหนิหรือต่อว่าเขา
เพราะถ้าท่านเป็นเขาและตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับเขา
ท่านอาจจะตัดสินใจทำเช่นเดียวกับเขาก็ได้


การบริหารคือการทำงานให้สำเร็จโดยอาศัยมือผู้อื่น
ผู้ปกครองระดับธรรมดาใช้ความสารมารถของตนอย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับกลาง ใช้กำลังของคนอื่นอย่างเต็มที่
ผู้ปกครองระดับสูง ใช้ปัญญาของคนอื่นอย่างเต็มที่
อ่านคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น
เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ใช่ หรือ อาจจะ" เขามีความหมายว่า "อาจจะ"
เมื่อนักการฑูตพูดว่า "อาจจะ" เขามีความหมายว่า "ไม่"
เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ไม่" เขาไม่ใช่นักการฑูต
(เพราะนักการฑูตที่ดีจะไม่ปฏิเสธใคร)
เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ไม่" หล่อนมีความหมายว่า "อาจจะ"
เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "อาจจะ" หล่อนมีความหมายว่า "ใช่ หรือ ได้"
เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ใช่ หรือ ได้" หล่อนไม่ใช่สุภาพสตรี
(เพราะสุภาพสตรีจะไม่ตอบรับใครง่ายๆ)


คิดทำการใหญ่ อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อย
ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถมองเห็นคิ้วของตน
คนส่วนใหญ่ใส่ใจกับผลได้ระยะสั้นเท่านั้น
แต่คนฉลาดอย่างแท้จริงจะมองไปยังอนาคต

15 สิ่งประดิษฐ์สำคัญในรอบ 50 ปี‏

15 สิ่งประดิษฐ์สำคัญในรอบ50ปี

1. เอทีเอ็ม ธนาคารบาเคลยส์ พ.ศ.2510
ไม่มีหลักฐานชัดเจนว่าใครเป็นคนประดิษฐ์เครื่องทำธุรกรรมการเงินอัตโนมัติ หรือ เอทีเอ็ม เครื่องแรก
แต่มีการขอจดสิทธิบัตรสร้างตู้เอทีเอ็มราวๆ 70 ปีก่อนโดยนักประดิษฐ์อเมริกัน ตู้เอทีเอ็มเครื่องแรกของ
โลกเปิดให้บริการโดยธนาคารบาเคลย์ส (Barclays) กรุงลอนดอน อังกฤษ ในปี 2510 ถือเป็นก้าวแรก
ของการทำธุรกรรมการเงินอิเล็กทรอนิกส์ที่นำไปสู่การคิดค้นเทคโนโลยีรหัสรักษาความปลอดภัย (PIN)
รวมทั้งการทำธุรกรรมผ่านโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ต

2. บาร์โค้ด นอร์แมน โจเฟซ วู้ดแลนด์ พ.ศ.2515
ทุกวันนี้พลิกดูบรรจุภัณฑ์ หรือสินค้าแต่ละชนิดจะต้องพบรหัสบาร์โค้ด นอร์แมน โจเฟซ วู้ดแลนด์ เริ่มคิดค้น
บาร์โค้ดมาตั้งแต่สมัยศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยฟิลาเดลเฟีย สหรัฐอเมริกา เมื่อมาทำงานที่บริษัท ไอบีเอ็ม จึง
เริ่มคิดค้นอย่างจริงจัง วัตถุประสงค์เพื่อสร้างระบบ จำแนกสินค้าอัตโนมัติ และในปี 2515 ก็สามารถนำเอา
ความก้าวหน้าด้านคอมพิวเตอร์กับแสงเลเซอร์มาพัฒนาบาร์โค้ดจนสำเร็จ

3. แผ่นซีดี คลาสส์ คอมพานน์ พ.ศ.2512
ปี 2512 คลาสส์ คอมพานน์ นักวิทยาศาสตร์ชาวดัตช์ ลูกจ้างบริษัทฟิลิปส์เสนอแนวคิดสร้างแผ่นออพติคัลดิสก์
หรือแผ่นซีดี เพื่อนำมาใช้เก็บข้อมูลเสียงเพลงอย่างคงทนถาวรในรูปแบบไฟล์ดิจิตอลแทนที่การบันทึกลงแผ่นไวนิล
อย่างไรก็ตาม แผ่นซีดีผลิตออกสู่ท้องตลาดจริงๆ ในปี 2525 หลังจากฟิลิปส์กับโซนี่จับมือกันพัฒนาซีดีขึ้นมา
จนปัจจุบันได้กลายเป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลที่มีคนนิยมใช้มากที่สุดในโลก

4. แกะโคลนนิ่งดอลลี่ เอียน วิลมุต พ.ศ.2540
ปี 2540 เอียน วิลมุต นักวิจัยสถาบันโรสลิน เอดินบะระ สกอตแลนด์ สร้างแกะโคลนนิ่ง ตัวแรกของโลกพร้อมกับ
ตั้งชื่อให้มันว่า ดอลลี่ ดอลลี่ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวแรกของโลกที่สร้างโดยกระบวนการคัดลอกแบบทางพันธุกรรม
(โคลนนิ่ง) ด้วยการสกัดเอานิวเคลียส ในไข่ของแกะเพศเมียออก และสอดเอาเซลล์ร่างกาย ของแกะที่ต้องการสร้างเข้า
ไปแทนที่ จุดประกายความหวังในการสร้าง มนุษย์โคลนนิ่ง ท่ามกลางเสียงทักท้วงในโลกตะวันตกว่าหน้าที่สร้างสิ่งมีชีวิต
เป็นของพระเจ้า ไม่ใช่มนุษย์

5. โครงการถอดรหัสพันธุกรรมมนุษย์ เป็นความร่วมมือระหว่างนักวิทยาศาสตร์หลายร้อยคนในสหรัฐ อังกฤษ จีน ฝรั่งเศส
เยอรมนี และญี่ปุ่น ซึ่งตั้งใจถอดรหัสการจัดเรียงตัวของ ดีเอ็นเอ หรือ หน่วยพันธุกรรม 3 พันล้านตัวอักษร กระทั่งประสบความ
สำเร็จในเดือนเม.ย. 2546 ช่วยให้แพทย์และนักวิทยาศาสตร์เข้าใจการทำงานของร่างกายคนเราอย่างลึกซึ้งที่สุดในประวัติศาสตร์

6. โทรศัพท์มือถือ มาร์ติน คูเปอร์ พ.ศ.2516
พื้นฐานการสร้างเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ไร้สาย หรือ มือถือ มีมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษ 1940 (พ.ศ.2483) แต่ต้องใช้เวลา
ต่อมาอีกหลายสิบปี มาร์ติน คูเปอร์ ถึงจะสามารถประดิษฐ์มือถือเครื่องแรกของโลกให้กับบริษัทโมโตโรลา การใช้งานมือถือ
ขยายตัวไปทั่วโลกเพราะความก้าวหน้าของเทคโนโลยีจีเอสเอ็มที่ใช้กันแพร่หลายมากกว่า 80 ประเทศ ประกอบกับราคามือถือ
ราคาถูกลงเรื่อยๆ ขณะที่การใช้งานหลากหลายขึ้น ทั้งบริการเอสเอ็มเอส วิดีโอโฟน อี-เมล ถ่ายภาพดิจิตอล ฯลฯ

7. คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (พีซี) พลันที่ ซิลิคอนชิป ถือกำเนิดขึ้น เทคโนโลยีสมองกล ที่เรียกว่าคอมพิวเตอร์ก็พัฒนาอย่าง
ก้าวกระโดด เมื่อ 40 ปีก่อน คอมพิวเตอร์มีขนาดพอๆ กับสำนักงาน 1 แห่ง และแล้วปี 2520 พีซีขนาดตั้งโต๊ะเครื่องแรก
แอปเปิล II ก็เผยโฉมขึ้น ตามด้วยพีซีสมรรถภาพสูง IBM ของไอบีเอ็มที่ออกวางตลาดปี 2524 จากนั้นอีก 2 ปีระบบปฏิบัติการ
วินโดวส์ ของไมโครซอฟท์จะช่วยให้พีซีระบาดไปทั่วโลกเพราะใช้งานง่าย

8. ดาวเทียม สหภาพโซเวียต พ.ศ.2500
ทันทีที่ดาวเทียมสปุตนิก ของโซเวียตถูกส่งออกไปนอกโลกเมื่อปี 2500 การแข่งขันด้านอวกาศระหว่าง 2 ชาติยักษ์ใหญ่
ยุคสงครามเย็น สหรัฐอเมริกากับ โซเวียต ก็เปิดฉากเป็นทางการและบีบบังคับให้สหรัฐต้องส่ง �นีล อาร์มสตรอง�
ไปเหยียบดวงจันทร์ในอีกประมาณ 10 กว่าปีต่อมา ถ้าไม่มีดาวเทียม ทุกวันนี้เราก็จะไม่มีคำว่า การสื่อสารไร้พรมแดน และ หมู่บ้านโลก

9. เด็กหลอดแก้ว แพทริก สเต็ปโท-โรเบิร์ต เอ็ดเวิร์ดส์ พ.ศ.2521
แพทริก สเต็ปโท นักสรีรวิทยา โรเบิร์ต เอ็ดเวิร์ดส์ นรีแพทย์ ร่วมมือกันคิดค้นวิธีการผสมเทียมนำอสุจิกับไข่ของมนุษย์มา
ผสมเทียมในหลอดแก้วเพื่อให้ปฏิสนธิมนุษย์นอกครรภ์มารดา การทดลองล้มเหลว 80 ครั้ง ในที่สุดปี 2521 วิธีผสมเทียม
ของทั้ง 2 คนก็ให้กำเนิดเด็กหลอดแก้วคนแรกของโลก หลังจากหนูน้อยหลุยส์ บราวน์ ร้องอุแว้ในห้องคลอดเมืองโอลด์แฮม อังกฤษ

10. ยานวอยเอเจอร์ นาซ่า พ.ศ. 2520
เป็นเวลากว่า 30 ปี ยานอวกาศ วอยเอเจอร์ 1-2 ขององค์การอวกาศสหรัฐอเมริกา (นาซ่า) ทำหน้าที่เก็บข้อมูลจากปลายสุด
ของระบบสุริยะจักรวาลส่งตรงกลับมายังฐานนาซ่าบนโลกเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลของดาวพฤหัส ดาวเสาร์ ยูเรนัส และเนปจูน

11. WWW ทิม เบอร์เนอร์ส ลี พ.ศ.2534
โครงข่ายสารสนเทศอินเตอร์เน็ต ซึ่งเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันเริ่มเป็นรูปเป็นร่างตั้งแต่ 30 ปีก่อน แต่บุคคลที่ทำให้
อินเตอร์เน็ตกลายเป็นยาสามัญประจำบ้านสำหรับประชากรโลก คือ ทิม เบอร์เนอร์ส ลี โปรแกรมเมอร์อังกฤษ ผู้คิดโปรแกรม
สืบค้นทางอินเตอร์เน็ตแบบไฮเปอร์เท็กซ์ (World Wide Web : WWW) ขึ้นมาจนสามารถนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์เชื่อม
คอมพิวเตอร์ทั่วโลกเข้าด้วยกันปี 2534

12. นาโนเทคโนโลยี เอริก เดร็กซ์เลอร์ พ.ศ.2529
เอริก เดร็กซ์เลอร์ นักวิทยาศาสตร์อเมริกันบัญญัติคำว่า นาโนเทคโนโลยี ครั้งแรกปี 2529 เพื่ออธิบายวิสัยทัศน์ของ
ศ.ริชาร์ด ฟายน์แมน เจ้าของรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ซึ่งวาดภาพการใช้วิธีจัดเรียง อะตอม ของสิ่งต่างๆ เพื่อนำมาสร้าง
สิ่งประดิษฐ์ขนาดจิ๋ว ไม่ว่าจะเป็นหุ่นยนต์ คอมพิวเตอร์ เครื่องยนต์ ฯลฯ
ปัจจุบันนาโนเทคฯ ค่อยๆ เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมนุษย์แล้วในรูปแบบผลิตภัณฑ์ต่างๆ

13. พลังงานนิวเคลียร์ อังกฤษ พ.ศ.2499
นับแต่มีการค้นพบปฏิกิริยา นิวเคลียร์ฟิชชั่น ในยุคคริสต์ศตวรรษ 1930 นักวิทยาศาสตร์ตระหนักถึงความเป็นไปได้ในการผลิต
ประเทศอังกฤษ แต่เหตุการณ์โรงงานนิวเคลียร์ เชอร์โนบิล ของโซเวียตระเบิด ทำให้โลกถกเถียงกันอย่างหนักถึงผลดี-ผลเสีย
ของการใช้พลังงานชนิดนี้

14. เลเซอร์ ธีโอดอร์ ไมแมน พ.ศ.2503
เลเซอร์ ถือกำเนิดมาจากทฤษฎีทางฟิสิกส์ของ อัลเบิร์ต ไอนสไตน์ อธิบายหลักการปล่อยโฟตอนโดยการกระตุ้นอะตอม เพราะ
ในการเกิดการปล่อยโฟตอนดังกล่าวจะทำให้เกิดความเข้มแสงเพิ่ม ซึ่งเป็นหลักการของเลเซอร์โดยทั่วไป เทคโนโลยีเลเซอร์
หลุดจากโลกนิยายกลายเป็นความจริง เมื่อ ธีโอดอร์ ไมแมน นักวิทยาศาสตร์ประจำห้องปฏิบัติการวิจัยของบริษัทฮิวส์ สหรัฐ
ลงมือสร้างเลเซอร์เครื่องแรกของโลกสำเร็จ มีความยาวคลื่น 694.3 nm ทุกวันนี้เลเซอร์นำไปใช้กับระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ
การทหาร การแพทย์ หรือแม้แต่ความบันเทิง เช่น อ่านแผ่นซีดีเพลง

15. หัวใจเทียม โรเบิร์ต ยาร์วิก พ.ศ.2525
มนุษย์เกิดมาต้องตายและต้องตายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงถ้า หัวใจ หยุดเต้น แต่นักประดิษฐ์เครื่องมือผ่าตัด โรเบิร์ต ยาร์วิก
ไม่ยอมรับกฎธรรมชาติข้อนี้ และสร้าง หัวใจเทียม ให้คณะแพทย์มหาวิทยาลัยยูทาธ์ สหรัฐอเมริกา นำไปผ่าตัดให้กับนายบาร์นีย์ คลาร์ก
ซึ่งมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีก 112 ชม.หรือวัน? หลังผ่านการผ่าตัด
ทุกวันนี้หัวใจเทียมช่วยยืดชีวิตคนไข้ที่รอการเปลี่ยนหัวใจจำนวนนับไม่ถ้วน

our beloved king‏

เรียนรู้จากพระเจ้าอยู่หัวผ่านสายตา ศ. แมนเฟรด คราเมส


ในบรรดาสายตาแห่งความชื่นชมของชาวโลกที่มีต่อพระองค์ สายตาคู่หนึ่งในจำนวนนับล้านนั้นเป็นของศาสตราจารย์แมนเฟรด คราเมส (Prof.Manfred Krames) ชาวเยอรมัน ผู้ซึ่งยกย่องให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของชาวไทยให้เป็นบรมครูผู้ยิ่งใหญ่


ศาสตราจารย์แมนเฟรด ครา เมส มีความสนใจในปรัชญาแบบตะวันออกและศาสนาพุทธตั้งแต่มีอายุได้ 15 ปี ทั้งที่ได้รับการศึกษาที่ดีและมีอาชีพการงานที่มั่นคงแต่เมื่อมีอายุได้ 19 ปี เขาก็ออกจากบ้าน โดยละทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง เพื่อเข้าไปพำนักอยู่ในวัดเซน ที่ประเทศญี่ปุ่นเป็นเวลา 3 ปี ทำให้ไม่เป็นที่พอใจของราอบครัวศซึ่งเป็นชาวคริสเตียนอนุรักษนิยม แลกะเกือบถึงขั้นถูกตัดขาดออกจากครอบครัว แต่เขาก็ยังคงศึกษาปรัชญาตะวันออกรวมถึงศาสนาพุทธอย่างจริงจังมาจนถึง ปัจจุบัน

เมื่อได้พำนักอาศัยอยู่ในประเทศญี่ปุ่นร่วม 10 ปี เพื่อเรียนภาษาญี่ปุ่นและการบำบัดรักษาแบบจีน ณ กรุงโตเกียว เขาได้กลายเป็นชาวต่างชาติคนแรกเพียงผู้เดียวที่เป็นสมาชิกของสมาคมเพื่อการ วิจัยด้านอายุรเวชแห่งญี่ปุ่น (Japan Research Society for Ayurveda) หลังจากนั้นศาสตราจารย์แมนเฟรดได้เดินทางไปพำนักยังประเทศศรีลังกาเป็นเวลา 7 ปี และเปิดคลินิกเพื่อทำการรักษาบำบัดตามแนวทางของอายุรเวท กระทั่งได้เขียนหนังสือเรื่อง “ความจริงเกี่ยวกับวิชาอายุรเวช” ซึ่งได้รับการเผยแพร่ความรู้ทางด้านนี้ไปอย่างกว้างขวาง ทำให้ได้รับการยกย่องเป็น “ศาสตราจารย์กิตติคุณ” จากมหาวิทยาลัยแห่งโคลอมโบ ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ที่สุดในประเทศศรีลังกา
หลังจากเกิดเหตุภัยพิบัติสึนามิได้ไม่นานนักเขาก็อำลาประเทศศรีลังกามาด้วยความ หวังว่าจะค้นพบประเทศที่มีสันติสุขและมีชาวพุทธที่เป็นมิตรมากกว่า ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจเดินทางมาพำนักอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ ประเทศไทย


ณ ที่แห่งนี้เอง ที่ศาสตราจารย์แมนเฟรดได้รู้จักและเรียนรู้คำสอนทั้งทางตรงและทางอ้อมจากพระมหากษัตริย์ผู้ทรงดำรงตนเป็นแบบอย่างอันดีงามของพสกนิกรมาโดยตลอดกระทั่งเขาได้เขียนหนังสือชื่อ “เรียนรู้จากพระเจ้าอยู่หัว : มุมมองของชาวต่างชาติต่อในหลวง” ขึ้นมา ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2549 หลังจากที่เขียนหนังสือเผยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการเสด็จยุโรปครั้งที่ 2 ของ”พระพุทธเจ้าหลวง ณ สปาการแพทย์ของเยอรมัน” และหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนาชื่อ “Photo Meditation”
สำหรับใครที่สบโอกาสได้อ่าน “เรียนรู้จากพระเจ้าอยู่หัว : มุมมองของชาวต่างชาติต่อในหลวง” ความ รู้สึกที่ตามมาโดยแน่แท้ก็คือ ความชื่นชมและทึ่งในสิ่งที่ชาวต่างชาติคนหนึ่งได้เรียนรู้จากสิ่งที่พระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงเพียรสื่อสารกับพสกนิกรทุกหมู่เล่ามาตลอดพระชนม์ ชีพของพระองค์ โดยสิ่งที่ศาสตราจารย์แมนเฟรดได้น้อมนำมาใช้ในชีวิตประจำวันของเขานั้น หาได้เป็นการยกย่องแต่เพียงเพราะพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ใน สายตาของใครๆ ทว่าเขามีความเข้าใจอันถ่องแท้ไปถึงคุณค่าที่เปล่งประกายออกมาจากภายในของพระองค์ท่าน อย่างที่คนไทยหลายคนอาจจะมิเคยพิจารณาในด้านนี้มาก่อนเลยในชีวิต
ต่อจากนี้ไปจะเป็นเรื่องราวของชายชาวเยอรมันคนหนึ่ง ซึ่งไม่ได้มองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในฐานะที่เขาเป็น“ฝรั่ง” หากแต่มองพระองค์ท่านในฐานะของมนุษย์ปุถุชนคนหนึ่งที่รักและเทิดทูนในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยุ่หัวภูมิพลอดุลยเดช ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าประชาชนชาวไทยคนใดในแผ่นดินนี้เลย


“ผมรู้สึกเศร้าใจ” เมื่อมีคนตั้งคำถามกับผมว่ารู้สึกอย่างไรเวลาที่ได้ยินคนไทยพูดว่า “เรารักในหลวง” อันหมายความถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ผมจะให้คำตอบเช่นนี้ เพราะอะไรน่ะหรือ ลองคิดดูสิว่า ถ้าหากท่านมีลูกที่ไม่เคยเชื่อฟังคำสั่งสอนของท่านเลย ไม่เคยเดินตามแนวทางทางที่ท่านวางไว้ ไม่เคยต้องการที่จะเรียนรู้จากท่าน สิ่งที่พวกเขาทำนั้นเพียงแค่ก่อปัญหา แล้วก็เรียกร้องให้ท่านยื่นมือเข้าไปช่วยเหลืออยู่เสมอ ในขณะเดียวกันก็พร่ำพูดว่า “ลูกรักพ่อ” ถ้าท่านเป็นพ่อท่านจะรู้สึกอย่างไร



ผมจึงคิดว่าการดำเนินชีวิตตามแนวพระราชดำริและน้อมนำคำสอนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาใช้จึงมีความสำคัญมาก เราจะเห็นว่าพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพระองค์ได้รับการตีพิมพ์ในนิตยสารต่างประเทศนับไม่ถ้วน และหลายต่อหลายครั้งที่พระองค์รวมถึงสมเด็จพระบรมราชินีนาถโปรดให้นักหนังสือพิมพ์และผู้สื่อข่าวของทั้งต่างประเทศและของไทยเข้าเฝ้า เพื่อสัมภาษณ์
การบอกเล่าถึงพระราชประวัติของพระองค์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จึงเป็นเพียงการตอกย้ำสิ่งที่ทุกคนโดยเฉพาะคนไทยต่างรู้ดีอยู่แล้ว สิ่งที่เราทั้งหลายควรให้ความสำคัญจึงเป็นสารที่พระองค์ทรงเพียรพยายามจะส่งต่อ ไปถึงชาวโลก และบทบาทในการสร้างความเข้าใจในระดับนานาชาติรวมไปถึงแนวทางการปฏิบัติตาม หลักพระพุทธศาสนาอันงดงามของพระองค์

อย่างไรก็ดี คำถามมีอยู่ว่าเราในฐานะปัจเจกบุคคลได้ทำอะไรบ้างที่เห็นเป็นรูปธรรมเพื่อทำให้โลกนี้ดีขึ้น โดยยึดแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นแบบอย่างในการปฏิบัติ

การสรรเสริญและการแสดงความขอบคุณเป็นละเรื่องกัน ผมยังแปลกใจว่า ในเมื่อพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระวิริยอุตสาหะที่จะทำให้พระองค์ทรงเป็นแบบ อย่างที่ดีงาม ผมไม่ทราบว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจและรับรู้ข้อมูลข่าวสารจริงๆ ในสิ่งที่พระองค์ทรงสื่อสารให้ผู้คนได้รับทราบนั้นมากน้อยเพียงใด และจะมีสักกี่คนที่สามารถรวบรวมปัญญา และแนวทางที่พระองค์ทรงพระราชทานให้เพื่อนำไปใช้ในการดำเนินชีวิตจริง
เราไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้เลยว่าแนวทางของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งเป็น แนวทางที่เกิดขึ้นจากการที่พระองค์ได้ทรงศึกษาจริงและการที่พระองค์ทรง กระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการมีพระราชดำรัสต่อพสกนิกรในชาติของพระองค์ หรือบุคคลต่างๆ และแนวทางเพื่อทำให้พสกนิกรเกิดความเข้าใจนั้น พระองค์ทรงกระทำด้วยความอดทนและด้วยทรงเห็นอกเห็นใจในอาณาประชาราษฎร์ของพระองค์ ผมเชื่ออย่างมั่นใจว่าหากพระองค์มิได้ทรงเป็นกษัตริย์ในช่วงพระชนม์ชีพนี้พระองค์จะต้องทรงเป็นบรมครูที่มีชื่อเสียงอย่างแนนอน




ท่านทราบหรือไม่ว่า ความปรารถนาสูงสุดของครูคืออะไร


ผมตอบได้ว่า คือการที่เห็นศิษย์เป็นจำนวนมากเต็มใจศึกษาเล่าเรียนและเห็นคุณค่าคำสอนของครู ไม่มีอะไรอื่นอีกที่จะทำให้ครูมีความสุขมากไปกว่าสิ่งที่กล่าวแล้วนั้น ดังนั้น ผมจึงมีความรู้สึกว่าเราควรที่จะเน้นบทบาทของพระองค์เพื่อให้ทรงเป็นครูของเรา แต่โปรดตระหนักไว้เสมอว่า อย่าศึกษาเล่าเรียนเพื่อเอาใจครู แต่จงศึกษาเล่าเรียนเพื่อประโยชน์และความดีงามให้เกิดแก่ตัวท่านเอง การศึกษาเล่าเรียนและรู้จักปรับปรุงตนเองเท่านั้นที่จะทำให้ชีวิตของเราดีขึ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องไปคิดเรื่องไม่เป็นสาระอื่นๆ
ผมคิดว่า เป็นการไม่รับผิดชอบที่จะนั่งๆนอนๆ ใช้ชีวิตอย่างสบาย และให้คนคนเดียวทำงานอย่างหนักเพื่อดูแลและแก้ปัญหาของชาติ ท่าทีเช่นนี้เป็นสิ่งที่แสดงถึงความไม่เคารพต่อพระองค์ ซึ่งแย่ยิ่งกว่าการพูดถึงพระองค์ในทางไม่ดีในสาธารณะ
ประเทศ หลายแห่งในโลกจะดีใจมากที่มีพระมหากษัตริย์เช่นนี้ แต่ท่านเองเป็นคนไทย มีพระองค์เป็นกษัตริย์แต่ไม่ได้นำประโยชน์จากพระองค์มาใช้ในชีวิตเลย ผมคิดว่าน่าละอาย ถ้าหากว่าเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนไปสู่วาระใหม่และมีกระแสลมแรงมาจากทิศทางอื่น ประเทศหลายแห่งในโลกจะชี้มายังประเทศไทยและดูแคลนว่า… “ดูสิ พวกเขามีครูผู้ยิ่งใหญ่ แต่ได้เรียนรู้จากพระองค์น้อยมาก”

ผมรู้สึกสงสารพระองค์อย่างสุดซึ้ง เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นเพียงบุคคลเพียงคนเดียวที่พยายามจะ พัฒนาประเทศชาติ ในขณะที่คนอื่นๆ ในชาติได้แต่เฝ้ารอให้สิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นโดยที่มิได้ดำเนินตามรอยพระบาท ของพระองค์ ซึ่งผมคิดว่าการพัฒนาประเทศในรูปแบบนี้ไม่น่าจะนำพาไปสู่ความสำเร็จได้

ผมมีโอกาสได้อ่านบทความมากมายในหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับอดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศไทยท่านหนึ่ง ผู้ที่นำพาประเทศไทยเข้าสู่สนามแห่งธุรกิจ เราพบเห็นนักการเมืองส่วนมากในเอเชียที่หลังจากครองอำนาจและได้ผลประโยชน์แล้วก็ไม่ช่วยเหลืออะไรประชาชนเลย นั่นทำให้ผมรู้สึกสงสารพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะคำสอนของพระองค์ตรงข้ามกับสิ่งที่นักการเมืองเหล่านั้นกำลังเป็นอยู่ พวกเขาจึงทำให้พระองค์ทรงทุกข์ใจ โดยเสแสร้งว่าซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงการสร้างภาพไม่ใช่ความจริง พวกเขาเพียงแค่ต้องการจะใช้ภาพแห่งความจงรักภักดีนี้เพื่อโน้มน้าวให้ประชาชนเท คะแนนให้ในการเลือกตั้ง และขึ้นสู่อำนาจในเวลาต่อมาเท่านั้น

ประชาชนคนไทยมุ่งหวังว่านักการเมืองจะอุทิศตนเพื่อประเทศชาติเฉกเช่นเดียวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแต่พวกเขาทั้งหลายก็ทำให้คนไทยทั้งชาติผิดหวัง พวกเขาไม่สามารถเป็นเช่นนั้นได้ เพราะนักการเมืองไทยได้รับอิทธิพลของแนวคิดแบบตะวันตก และมีหัวใจที่ถูกครอบงำไว้ด้วยธุรกิจ สำหรับผม ในหัวใจของพวกเขาจึงไม่ได้มีความเป็นไทยอีกต่อไปแล้ว
นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมคนธรรมดาสามัญชนทั้งหลายจึงรู้สึกรับไม่ได้กับการ คอร์รัปชั่นฉ้อราษฎร์บังหลวง และนักโกหกที่ทำลายประเทศลงด้วยมือของพวกเขาเอง อย่าง ไรก็ตามตราบใดที่ไม่มีใครสอนให้นักการเมืองดำเนินรอยตามแนวพระราชดำริของพระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวความหวังของคนไทยทั้งปวงย่อมจะไม่มีวันเกิดขึ้นจริง
ก่อนที่จะตัดสินใจมาพำนักอยู่ในประเทศไทย ในความคิดของผม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่ได้ทรงเป็นที่รู้จักมากนักในต่างประเทศ ชาวต่างชาติรู้แค่เพียงว่าประเทศไทยก็เป็นเพียงประเทศหนึ่งเท่านั้น หลังจากที่ผมย้ายมาพำนักอยู่ในประเทศไทยแล้ว ผมพบว่าประชาชนคนไทยเองก็ไม่ได้สอนอะไรผมมากนักเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว ทุกคนเพียงแค่พยายามจะเทิดทูนและยกย่องพระองค์ มีคนไทยเพียงแค่บางคนเท่านั้นที่เข้าใจสิ่งที่พระองค์ทรงต้องการจะสื่อสาร และดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระองค์


หนังสือเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเล่มแรกที่ผมอ่าน คือ
In his majesty’s footsteps หนังสือเล่มนี้แสดงให้เห็นถึงด้านที่เป็นเพียงปุถุชนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รวมถึงความพยายามของพระองค์ด้วย ผม ไม่เคยขอให้ใครอ่านหนังสือเกี่ยวกับพระองค์ที่เป็นภาษาไทยให้ผมฟังเลย เพราะเพื่อนคนไทยของผมบอกว่า 95 เปอร์เซ็นต์ของหนังสือพวกนั้น ล้วนแล้วแต่มีเนื้อหา รูปภาพ และเรื่องราวที่ไม่แตกต่างกัน นั่นจึงไม่ใช่แหล่งข้อมูลที่ผมต้องการ
กระทั่งวันหนึ่ง ผมเงยหน้าขึ้นมองพระบรมฉายาลักษณ์ขนาดใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ชั่วขณะหนึ่ง โดยมองตรงเข้าไปในพระเนตรของพระองค์ แล้วทันใดนั้นพระองค์ก็ทรงเป็นแรงบันดาลใจให้ผมเขียนหนังสือ “เรียนรู้จากพระเจ้าอยู่หัว” ขึ้น มา พระองค์ทรงรับสั่งให้ผมเขียนหนังสือเกี่ยวกับพระองค์ท่านขึ้นมาเล่มหนึ่ง การรับสั่งครั้งนั้นไม่ได้เกิดขึ้นในทางรูปกาย หากแต่ผมรับรู้พระประสงค์ของพระองค์ได้ทางจิต เรื่องนี้อาจจะฟังดูเหมือนผมฟั่นเฟือนไปเสียแล้วแต่ทว่าเป็นเรื่องจริง
สำหรับขั้นตอนในการผลิตหนังสือเล่มนี้ ส่วนใหญ่แล้วไม่มีใครสนับสนุนการทำงานของผมเท่าใดนัก เพราะพวกเขาคิดว่า “ฝรั่ง” ไม่ มีทางที่จะเข้าใจในพระมหากษัตริย์ของชาวไทยได้ ไม่มีใครเลยที่กล้าเสี่ยงในการตีพิมพ์หนังสือเล่มนี้ ดังนั้น ผมจึงดำเนินการทางการเงินทั้งหมดด้วยตัวผมเอง กระทั่งทุกวันนี้ที่หนังสือได้รับการตีพิมพ์ถึง 3 ครั้งแล้ว ผมก็ไม่ได้หากำไรหรือผลประโยชน์ใดๆ จากหนังสือเล่มนี้ เห็นได้จากราคาขายเพียงเล่มละ 99 บาทเท่านั้น
ผมไม่ได้ตีพิมพ์หนังสือของผมในเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษทั้งที่มีคนไทยจำนวนมากขอให้ผมทำเช่นนั้น
อันดับแรก ชาวไทยควรจะต้องเข้าใจคุณค่าของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างถ่องแท้ และผสมผสานแนวทางแห่งพระพุทธศาสนาของพระองค์ลงไปในการดำเนินชีวิตประจำวัน สิ่ง เหล่านี้ควรจะได้รับการสอนในโรงเรียนทุกแห่ง หากเป็นเช่นนั้นได้ชาวต่างชาติและประเทศอื่นๆ ในโลกก็จะปฎิบัติตามแนวทางนี้โดยอัตโนมัติ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงก็คือ ผมได้เสนอที่จะบรรยายโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้นให้กับมหาวิทยาลัยและโรงเรียนต่างๆ ในประเทศ ในหัวข้อ “เรียนรู้จากพระเจ้าอยู่หัว” แต่ คนไทยไม่เต็มใจหรือขี้อายเกินกว่าที่จะเชิญผมไปบรรยายพวกเขาไม่เข้าใจด้วย ว่าฝรั่งจะรู้เรื่องราวทุกอย่างของพระมหากษัตริย์ของคนไทยได้อย่างไรกัน
ผมเคยเขียนจดหมายฉบับหนึ่งถึงรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการของประเทศไทยที่ กรุงเทพมหานคร ในจดหมายฉบับนั้นบอกเล่าถึงแนวทางการดำเนินชีวิตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัว และอีกมากมายหลายเรื่อง รวมไปถึงการขอเข้าพบเพื่ออธิบายถึงสิ่งที่ผมได้เรียนรู้และแนวทางการแก้ปัญหา แต่พวกเขาไม่แม้แต่จะตอบกลับมาว่าได้รับจดหมายแล้ว ดังนั้นผมจึงยอมแพ้
นี่คือผลลัพท์ของค่านิยมตะวันตกและการบริโภคนิยมซึ่งถูกกระตุ้นโดยนักการเมืองไทย


กล่าวถึงความรู้สึกต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของชาวต่างชาติที่อยู่รอบตัวผม สำหรับชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยมานาน พวกเขาจะชื่นชมในพระปรีชาสามารถของพระองค์อย่างมาก โดยพื้นฐานแล้วชาวต่างชาติอาศัยอยู่ในประเทศไทยมีทัศนคติในด้านบวกกับพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพียงแต่เราไม่ได้เทิดทูนในลักษณะเดียวกับที่คนไทยเป็นอยู่
ในโลกนี้มีราชวงศ์มากกว่า 35 ราชวงศ์ แน่นอนว่าเราไม่สามารถโฟกัสไปที่ราชวงศ์ทั้งหมดอย่างทั่วถึงได้ที่สำคัญคือราชวงศ์ ส่วนใหญ่มีหน้าที่เพียงแสดงให้เห็นถึงการดำรงอยู่ของราชวงศ์เท่านั้น แต่อะไรล่ะที่เราจะสามารถเรียนรู้จากบุคคลในราชวงศ์และกษัตริย์แต่ละพระองค์ ได้คำตอบคือไม่มีเลย เพราะพวกเขาไม่ได้ดำรงตนเป็นครูให้กับประชากรของตนเอง อย่างเช่นที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็น


เรื่องที่น่าสลดใจก็คือ คนไทยทั้งหลายไม่ตระหนักและยอมรับในสิ่งนี้ ทุกคนภาคภูมิใจในการมีพระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่แนวคิดอันเป็นรากฐานของสังคม เศรษฐกิจและการเมือง การเป็นแรงบันดาลใจ ความเป็นตัวอย่างที่ดีและวิถีแห่งการดำเนินชีวิตของพระองค์ ไม่ได้ถูกรับเอามาใช้ในการทางปฏิบัติอย่างเต็มบ่า
ซึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงเป็นบุคคลที่มีแนวพระราชดำริและกระทำการใดๆ โดยใช้หัวใจทั้งสิ้น พระองค์ทรงเข้าใจดีถึงคุณค่าของความรักและความซื่อสัตย์เพราะฉะนั้นคนไทย ส่วนใหญ่จึงรู้สึกเชื่อมโยงได้ถึงพระองค์
อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าคำสอนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นเป็นสากล เฉกเช่นเดียวกับคำสอนของพระพุทธเจ้า คนทั่วโลกจึงสามารถนำสิ่งที่ได้เรียนรู้จากพระองค์ไปปรับใช้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงได้รับการศึกษามาจากต่างประเทศ (สวิตเซอร์แลนด์และสหรัฐอเมริกา) พระองค์ทรงตระหนักว่าการศึกษาแบบตะวันตกนั้นเป็นสิ่งสำคัญแต่ทว่าไม่ใช่ ทุกอย่าง พระองค์ทรงสามารถถ่ายทอดแก่ชาวตะวันตกรวมถึงคนไทยถึงเหตุผลทั้งหลายทั้งปวง และการศึกษาอันชาญฉลาด แต่ความรู้ทั้งหมดทั้งมวลในโลกนี้ย่อมไม่มีประโยชน์อันใดเลยถ้าหากปราศจาก การเชื่อมโยงถึงความรู้สึกลึกซึ้งข้างในจิตใจ
จึงกล่าวได้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นทรงเป็นทั้งสัญลักษณ์ของความชาญฉลาดแบบตะวัน ตกและภูมิพลังปัญญาของชาวตะวันตกออกในบุคคลคนเดียวกัน ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่สมบูรณ์พร้อมอย่างมาก
ผมเคยได้ยินเป็นประจำที่ชาวต่างชาติหรือเพื่อนผู้หญิงที่เป็นคนไทยพูดว่า “เงินเดือนน้อยที่ทำมาจากชาติตะวันตกสามารถทำให้คนนั้นใช้ชีวิตในประเทศไทยได้อย่างกับพระราชา” ในส่วนอื่นๆของโลก “การมีชีวิตอย่างพระราชา” เป็นนัยยะของการอธิบายว่า นั่นคือความสะดวกสะบาย การใช้ชีวิตที่สนุกสนาน หรืออาศัยในดินแดนวิมานฉิมพลีอะไรทำนองนั้น
ด้วยข้อเท็จจริงแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงใช้ชีวิตเช่นนั้นก็ย่อมทำได้หากพระองค์จะทรงมีพระราชประสงค์เช่นนั้น เพราะพระองค์ทรงราชสิทธิ์ที่จะสามารถทำได้ แต่พระองค์มิเคยทรงมีพระราชประสงค์เช่นนั้น หากแต่ทรงอุทิศเวลาทั้งหมดตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์โดยมีเป้าหมายอันสูงสุด ในการทรงงานหนักเพื่อผู้อื่น เพื่อประชาชนของพระองค์
ในประเทศศรีลังกาซึ่งผมเคยพำนักอยู่ มีสุภาษิตบทหนึ่งกล่าวว่า “ถ้าท่านไม่สามารถเป็นพระราชาได้ จงเป็นหมอ” ชาวตะวันตกส่วนใหญ่ไม่เข้าใจความหมายของสุภาษิตบทนี้ พวกเขาจะพูดจนติดตลกว่า “ผมเข้าใจแล้ว หากคุณไม่สามารถซึ้นรถโรลส์รอยซ์ได้ อย่างน้อยที่สุดก็ขอให้เป็นรถเบนซ์ และถ้าคุณไม่สามารถมีพระราชวังที่พำนักได้ ก็ขอให้มรคฤหาสน์หลังใหญ่รอบล้อมด้วยนางพยาบาลแสนสวย”
เมื่อเห็นกษัตริย์หรือราชาธิบดีของประเทศตะวันตกบางพระองค์ว่าทรงมีความเป็นอยู่เช่นไร ผมจึงไม่อาจตำหนิชาวตะวันตกที่เข้าใจผิดในเรื่องนี้ได้
คนเอเชียเข้าใจสุภาษิตบทนี้ได้ดีกว่าชาวตะวันตก ซึ่งหมายความว่า หากท่าน ไม่สามารถรักษาดูแลประเทศชาติทั้งหมดได้อย่างเต็มที่เหมือนอย่างพระราชา แต่ท่านอาจสามารถดูแลรักษาคนไข้จำนวนมากได้ในฐานะที่เป็นแพทย์ สุภาษิตที่เรียบง่ายบทนี้ยังมีความหมายที่แสดงให้เห็นถึงข้อแตกต่างเกี่ยวกับกษัตริย์ของประเทศในโลกตะวันตกและตะวันออกอีกด้วย



ผม ขอย้ำเตือนอีกครั้งว่า จงอย่าตำหนิอิทธิพลของต่างประเทศหรือโลกตะวันตก แต่จงดูและเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และในทำนองเดียวกัน ก็ศึกษาให้เข้าใจในคุณค่าของมรดกทางความคิดและความเชื่อซึ่งพระองค์ท่านทรง มีอย่างอุดมสมบูรณ์ รวมไปถึงแนวทางการทำงานที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงตรากตรำพระวรกายและทรงงานหนักมิ ใช่เพียงเพื่อทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นกษัตริย์ที่ประเสริฐ แต่พระองค์ทรงกระทำเพื่อเป็นตัวอย่างฉันผู้นำทาง และเป็นครูของเรา ผมไม่สามารถเน้นถึงสิ่งต่างๆ ได้ทั่วถึงอย่างที่เราสามารถหรือควรจะเรียนรู้ได้จากพระองค์ท่านซึ่งมีมากมายมหาศาล
เมื่อก่อนนี้ ผมมีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแขวนไว้ในบ้าน รวมถึงพระบรมฉายาลักษณ์ของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่๕ ด้วย แต่นั่นเป็นเพียงเพราะว่าพระองค์ทรงเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนของผม ทุกคนควรจะตระหนักว่าหนทางเดียวที่จะแสดงความเคารพต่อครูก็คือเรียนรู้จากพระองค์เพื่อที่จะนำความรู้นั้นไปช่วยเหลือคนอื่น ไม่ใช่เพียงแค่แขวนพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์ไว้ในบ้าน
มีหลายครั้งที่ผมได้เข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในความฝัน พระองค์ทรงมีพระราชปฏิสันถารกับผมในเรื่องตลก ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับผม แต่ถ้าหากมีโอกาสได้เข้าเฝ้าพระองค์จริงๆ ผมจะกราบทูลต่อพระองค์ว่า ขอขอบพระทัยพระองค์เป็นอย่างยิ่งสำหรับทุกสิ่งที่ทรงกระทำ
หากถามว่าคำสอนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเรื่องใดที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตผมได้มากที่สุด ผมคงจะตอบว่าไม่มีใครที่จะสามารถเปลี่ยนใครได้ นอกเสียจากตัวของเขาเอง ผมเชื่อด้วยว่า อำนาจล่อใจของอิธิพลทางการเมืองและวัตถุนิยมกำลังเข้มแข็งมากเกินไปในสังคมไทย คำสอนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงกำลังสูญหายไปตลอดกาล หากยังไม่มีใครตระหนักถึงคุณค่าความสำคัญแห่งคำสอนนั้น
หากทุกคนช่วยกันเก็บรักษาเจตนารมณ์อันแรงกล้า และคำสอนของพระองค์เอาไว้ให้อยู่สืบต่อไปตราบชั่วลูกชั่วหลาน ผมเชื่อมั่นเหลือเกินว่า พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของทุกคนพระองค์นี้จะอยู่ในหัวใจของคนไทยตลอดกาล

ทุก อย่าง ย่อม มี สิ่ง ที่ ดี กว่า เสมอ .. .. ..‏







โปรดระวังแมลงลักษณะนี้ให้ดีมีใน กทม.แล้วด้วย‏

ชื่อทางการของมันชื่อ แมลงด้วงน้ำมัน
ถ้าโดนแล้วห้ามเกาเด็ดขาด เพราะมันจะลามไปเรื่อยๆ เลย หนองหรือน้ำเหลืองของเราจะทำให้ลามจากอีกจุดเพิ่มเป็นอีกจุดลามเป็นแผลใหญ่
และที่สำคัญตอนนี้แมลงนี้มีอยู่ใน กทม. แล้วด้วย

เรียน ทุกท่านทราบเพื่อเป็นการเตือนถึงอันตรายของแมลง และอาการที่เกิดขึ้น

(ตามภาพที่แนบมา)ดร.วัฒนา อู่วาณิชย์เพื่อนที่ทางกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ส่งเมล์มาให้เพื่อกระจายข่าวต่อด้วยค่ะ
โปรดระวังแมลงลักษณะนี้ให้ดีคนหลายคนถูกแมลงชนิดนี้ทำร้ายหลายรายแล้ว
หากโดน กรุณาพบแพทย์โดยด่วนมิฉะนั้นแผลจะลุกลามไปรวดเร็วมาก
แมลงชนิดนี้จะไม่กัดหรือต่อยแต่ฉี่ของมันมีความเป็นกรดสูงมากและเป็นสาเหตุให้เกิดแผลซึ่งหากเกิดเป็นแผล แล้วเอามือไปถูกแผลนั้น
ให้รีบล้างมือโดยเร็ว มิฉะนั้นจะเกิดแผลลุกลามไปยังที่ๆ เอามือไปสัมผัสต่อไปอีก




เปลวสีเงินพูดถึง เงินแสนล้านกับ (อาการ ป่วยของ)ชายผู้น่าสงสารคนนั้น‏

เปลวสีเงินพูดถึง เงินแสนล้านกับ (อาการป่วยของ)ชายผู้น่าสงสารคนนั้นหมายเหตุบลอกเกอร์ วันนี้ ผมขอนำข้อเขียน ของคุณเปลว สีเงิน ในหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับประจำวันที่ ๖ สิงหาคม มาเผยแพร่ครับ ข้อเขียนชิ้นนี้ คุณเปลวได้พูดถึง "อาการป่วย" ของชายผู้น่าสงสารคนหนึ่ง ซึ่งน่าจะทำให้เพื่อนๆ ได้เข้าใจ "พฤติกรรม" ที่แสดงออกมาในระยะหลังของชายคนนี้ "พฤติกรรม" ที่ว่า คือ ความรุกลี้รุกลน การรุกทางการเมือง แบบ "สิ้นหวัง" หรือ "กำลังหมดเวลา" ผมติดตาม การรุก ของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่หนุนโดยชายคนนี้ และ ถามตัวเองว่า เขาทำเช่นนั้นไปทำไม เพราะ ไม่ว่าจะแพ้ หรือ ชนะ เขามีแต่เสีย (แน่นอน ประเทศไทย อาจจะเสียหายยิ่งกว่า) มาอ่านข้อเขียนนี้ของคุณเปลวแล้ว จึงพอได้ข้อสรุปว่า "เวลา" ของหมอนี่ น่าจะกำลังหมดลง และ เขากำลังสู้แบบ คนกำลังจะ ....(เติมกันเอาเองครับ) ขออนุญาต คุณเปลว ในการเผยแพร่บทความนี้ด้วยครับ


เห็นลูกน้องทักษิณคุยว่าลูกพี่ดีใจมากที่ติดอันดับ "ยอดนิยม" จากการโหวตของผู้เข้าชมเว็บไซต์ทวิตเตอร์ ผมก็นึกชมเขาอยู่ในใจว่า..เก่ง เพราะผมนั้น แค่ระดับยาฮูยังเปิด-ปิดไม่ค่อยจะถูก ใครต่อใครติดต่อให้คุยกันในเว็บนั้น-เว็บนี้ อยากคุย แต่ทำอะไรนอกหลักสูตรที่เด็กเขาตั้งหน้าจอไว้ให้ไม่เป็น ก็เลยเหมือนหยิ่ง คือไม่ติดต่อกลับกะใครเลย ฉะนั้น โปรดเข้าใจ ไม่ใช่ผมปฏิเสธ แต่ไม่สามารถน่ะ! เอาเป็นว่า มีอะไรคุยกะผมก็ plew_seengern@yahoo.com อย่างที่จั่วหัวคอลัมน์ไว้ก็พอแล้ว ผาดโผนพิสดารไปกว่านี้ รอให้พระอาจารย์ไก่ กูรูคอมพิวเตอร์ขี้เมาของไทยโพสต์มาสอนก่อน แต่แค่นี้วันๆ ก็อ่านที่หลายๆ ท่านส่งเรื่องนั้น-เรื่องนี้เข้ามาจนตาลายแล้ว อย่าง ๔-๕ วันมานี้ ตาแฉะอยู่กับเวอร์ชั่นใหม่-ล่าสุด "ภาพชุดเบิร์ธเดย์แม้ว" จากดูไบ ใครต่อใครคงเกรงว่าผมจะไม่มีบุญได้ชื่นชม ก็เลยกระหน่ำส่งต่อกันมาจนผมต้องนั่งลบทั้งวัน เพราะกลัวจะล้นเครื่องคอมพ์ ภาพคงคัดมา "ต่างกรรม-ต่างวาระ"

แต่แหม...อยู่ถึงดูไบ ยังอุตส่าห์อิมพอร์ตหลวงพ่อ-หลวงพี่ลาแมร์จากเมืองไทยไปสวดมนต์ "ทำบุญวันเกิด" ฉันเช้า-ฉันเพล ประเคนอาหารไทยถิ่นเหนือกันถึงที่โน่น สาธุสะ ขอให้พระคุ้มครองเน้อ! ผมพิศดูหน้าตาท่านจากรูปแล้ว "เป็นห่วงจับใจ" ที่พูดกันว่า "หน้าชื่น-อกตรม" เป็นอย่างไร ถ้าคุณทักษิณอยากรู้ เอารูปที่ถ่ายหมู่กับลูกๆ ที่น่ารักในอพาร์ตเมนต์วันนั้นมาดู หรือจะส่องกระจกดูเงียบๆ คนเดียวก็ได้ แล้วท่านจะเห็นอย่างที่ผมเห็น ปี ๒๕๔๔ "ตาดูดาว-เท้าติดดิน" แต่ปี ๒๕๕๒ "ตาโรย-เท้าลอย" ชัดเจนมาก! ตาคือหน้าต่างใจ จากตาที่สิ้นแสง-โรยแรง-ไร้พลัง นั้นบอกความจริงว่า Vitality คือพลังชีวิตของท่านถึงจุด "เสียสมดุล" และริบหรี่ ด้วยเหลือน้อยเต็มทีแล้ว!?

ผมนั้น เอะใจตั้งแต่ตอนเห็นภาพท่านจากวิดีโอลิงค์ที่เข้ามาปลุกระดมคนเสื้อแดงใน พิธีกงเต็กตอนวันเกิด ๒๖ กรกฎา ที่วัดแก้วฟ้า นนทบุรี โน่นแล้ว ขนาดโปะหน้าอำพรางโทรมจนขาววอก และสวมเสื้อแขนยาวแดงสดใส แต่ก็ยังไม่สามารถปกปิดโครงร่างที่เริ่มอกรวบ เป็นสัญญาณซูบตรอมด้วยโรคอย่างใด-อย่างหนึ่งกำลังรุมเร้า เพราะอย่างนี้กระมัง ท่านจึงกระตุ้นสมุนแดงออกหน้า-ออกตากว่าแต่ก่อนว่า "อยากกลับบ้าน" ถึงขั้นเพ้อกำหนดวันนั้น-วันนี้ในตอนปลายปี ให้สมุนรีบตีหักชิงเมืองไว้รอท่า? จากวันนั้น คือวันเกิดท่านที่ ๒๖ กรกฎา นั่นแหละ ผมก็มานั่งทบทวนความเคลื่อนไหวแต่ละฉาก แต่ละตอน จนมาบรรจบที่ ๓ เกลอหัวขวด ลุกลี้ลุกลนขมวดปมสร้างเงื่อนไขสำหรับใช้ก่อการใหม่ๆ ต่อจาก "ล่ารายชื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ" โดยไม่ดูดำ-ดูดีว่าสิ่งนี้ "ผิดหรือถูก"

มีอะไรสำคัญเป็นเบื้องหลังนักหรือที่ทักษิณจึงดู "กระเหี้ยนกระหือรือ" เร่งเร้าจะกลับเมืองไทย ทั้งที่จริงๆ แล้วจะกลับเข้ามาวันไหน-เวลาไหนก็ไม่มีใครห้ามอยู่แล้ว แต่ไม่ยอมกลับเข้ามาเอง เพราะเกรง...โทษหนีคุกตะหาก! ผมประเมินว่า เวลานี้ทักษิณต้องการหมอ และการพยาบาลรักษาด้วย "โรคเฉพาะทาง" อย่างใด-อย่างหนึ่งซึ่งหาการรักษาไม่ได้ในดูไบ หรืออย่างใน มอนเตเนโกร นิการากัว กระทั่งในแอฟริกาที่โม้ว่ากำลังเซ็นสัญญาทำเหมืองเพชร ชีวิตการทำมาหากินทักษิณนี่ สังเกตดูเถอะ ไม่ว่าเรื่องจริงหรือเรื่องโม้ ไม่หนีเรื่อง "สัมปทานผูกขาด" ซึ่งก็ส่อนิสัย-สันดานชัดเจนว่าเป็นคนประเภทใด อะไรที่ "ผูกขาด" ละถนัดนัก?

ท่านจำได้มั้ย ไม่กี่เดือนก่อนมีข่าวว่า "เยอรมนี" ไล่ตะเพิดทักษิณ ไม่ยอมให้เข้าประเทศ! พูดง่ายๆ คือ ขณะนี้ทักษิณเป็น "บุคคลน่ารังเกียจ" ที่สหรัฐและประเทศในเครือสหภาพยุโรปไม่ต้อนรับ ไม่ยอมให้เข้าเมือง ฉะนั้น ก็แค่ลัดเลาะอยู่แถวๆ แอฟริกา ในเอเชียนี่ก็แค่นอนกินทราย-กินแดดที่ดูไบเป็นหลัก เผอิญสัปดาห์ก่อน มีผู้หลัก-ผู้ใหญ่เล่าถึง "ชายคนหนึ่ง" ที่หลบไปซุกทรายอยู่แถบประเทศตะวันออกกลางให้ผมฟัง เมื่อฟังแล้วผมก็นำมาเข้าสมการจากหลักฐานต่างๆ ที่ปรากฏ ก็ให้รู้สึกเป็นห่วง เพราะสิ่งที่ผู้ใหญ่ท่านเล่ามันสอดคล้องกับพฤติกรรมที่ประจักษ์ของ "ชายคนหนึ่ง" ในขณะนี้มาก คือเมื่อเดือน-สองเดือนนี้ มีนายแพทย์คนหนึ่งได้รับการขอร้องให้เดินทางไปทำคีโมให้กับผู้ป่วยด้วยโรค "มะเร็งต่อมลูกหมาก" คนหนึ่งที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ผมก็สงสัยว่าประเทศร่ำรวยขนาดถมทะเลสร้างเมือง จะหาโรงพยาบาลด้วยเครื่องมือทันสมัยและหมอผู้มีความชำนาญการไมได้เชียวหรือ จำเป็นอะไรต้องอิมพอร์ตหมอไปจากเมืองไทย?

เขาก็อธิบายว่า ที่นั่นเติบโตด้วยการก่อสร้างสารพัด ยกเว้นการแพทย์-การพยาบาล ก็ไม่เห็นหรอกหรือที่ทุกวันนี้ โรงพยาบาลในเมืองไทยอย่าง บำรุงราษฎร์ กรุงเทพ ปิยะเวท ฯลฯ ขวักไขว่ไปด้วยคนเจ็บป่วยจากตะวันออกกลางที่บินมารักษาในเมืองไทย ซึ่งทันสมัยทั้งแพทย์ ทั้งเครื่องมือ และทั้งวิทยาการ "คีโม-ก็ไม่มีอะไรนอกจาก 'กินกับฉีด' ปะทะ-ปะทังไปเป็นระยะ" ท่านว่า พร้อมอธิบายว่า ในตัวผู้ชายทุกคนมีสาร "มะเร็งต่อมลูกหมาก" อยู่ทุกคน โดยเฉลี่ย-ธรรมชาติจะไม่ยอมให้ผู้ชายมีอายุเกิน ๑๐๐ ปี สมมุติว่าใครอยู่ถึงร้อยปีแล้วยังไม่มีท่าทีว่าจะเป็นโรคอะไร ธรรมชาติจะจัดสรรให้ โดยอภินันทนาการโรค "มะเร็งต่อมลูกหมาก" ตายโดยอายุไม่เกิน ๑๐๐ ปี ก็อาจจะมีผู้ชายที่ "มะเร็งขยาด" อายุเกินร้อยอยู่บ้าง แต่น้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นหญิง!

ฉะนั้น จะพบว่า พออายุ ๕๐-๕๕ ขึ้นไป ผู้ชายส่วนใหญ่จะเริ่มมีอาการเกี่ยวกับ "ต่อมลูกหมาก" โชคดีก็ระดับ "ต่อมลูกหมากโต" แต่ถ้าแจ็กพอต หมอล้วงทวารควานแล้วพบตะปุ่มตะป่ำเหมือนมะระก็แสดงว่า "มะเร็งต่อมลูกหมาก" มาแล้วจ้ะ มะเร็งต่อมลูกหมากถือว่าเป็นเครื่อง "เสี่ยงบุญ-เสี่ยงบาป" อย่างหนึ่ง คือเป็นแล้วไม่มีใครบอกได้ว่าอาการนั้น ๓ วัน ๗ วัน หรือ ๓ ปี ๗ ปี หรือ ๗๗ ปีตาย ไม่เหมือนมะเร็งทั่วๆ ไปที่หมอพอจะกำหนดวันได้ตามอาการ ฉะนั้น ก็ขึ้นอยู่กับบุญกับกรรมและการรักษาของคนนั้นเองว่าจะสามารถอยู่ได้ถึงร้อย ปี หรือว่า โฟนอินอยู่แหงบๆ อ้าว..ปุบปับ ๑๐๐ วันก็....ซี้ซะแหล่ว!?

ทีนี้ถ้าเป็นแล้วอยากอยู่ถึงร้อยปี ทางการแพทย์ก็มีวิธีบำบัดรักษาอยู่คือ การฉายรังสี หรือการฝังแร่ ประเด็นมันก็คือ ณ ปัจจุบันนี้ เครื่องมือฉายรังสีที่ทันสมัยที่สุดในโลกมีอยู่ในไม่กี่ประเทศ ราคาเครื่องก็ตกเครื่องละประมาณ ๑,๐๐๐ ล้านบาทเป็นอย่างต่ำ อย่างในบ้านเราที่ว่าทันสมัย และมีอยู่ไม่กี่โรงพยาบาลก็แค่ ๓๐๐-๔๐๐ ล้านเท่านั้นเอง! แล้วประเทศไหนล่ะที่มีเครื่องฉายรังสีเครื่องละเป็นพันล้าน? ที่แน่ๆ ก็ สหรัฐอเมริกา และเยอรมนี ครับ เจ๋งที่สุดก็ต้องที่เยอรมนี แต่อย่างว่า ชายคนนั้น "บุญมี-เงินมี" แต่กรรมมันบัง มีเป็นแสนล้าน แต่เงินแสนล้านนั้นไม่สามารถนำมาช่วยซื้อชีวิตในยามคับขันได้ เพราะทั้งสหรัฐและเยอรมนี ไม่ต้อนรับคนที่พยายามแยกชาติ-โกงแผ่นดิน และเป็นนักโทษหนีคุก!

ผมจึงถึง "บางอ้อ" ที่สงสัยมานานว่าเหตุใดจึงมีคนซมซานจะเข้าไปประเทศเยอรมนีในครั้งนั้น ก็คงเพราะมันเหตุนี้แหละ!? ครับ...ผมฟังมาอย่างนี้ ก็เลยเก็บมาเล่าให้ท่านฟังต่อ ส่วนชายคนนั้นจะเป็นใคร อย่าให้ผมต้องเอ่ยชื่อเลย เดี๋ยวจะมากเรื่อง-มากราว ก็อยากเตือนสติกันทั่วๆ ไปซักเรื่องหนึ่งว่า "เวรกรรม-ออนไลน์" มันรวดเร็วและร้ายกว่า "กรรมติดจรวด" ไม่เชื่อ สูก็คอยดูเต๊อะ!

อ่านไม่ถึง 3 นาที แต่อาจมีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นอีกทั้งชีวิต

โลกกลมๆ ใบนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรี ๆ
ของฟรีไม่เคยมี ของดีไม่เคยถูก
อยู่ให้ไว้ใจ ไปให้คิดถึง
คนเราต้องเดินหน้า เวลายังเดินหน้าเลย
ไม่ต้องสนใจว่าแมวจะสีขาวหรือดำ ขอให้จับหนูได้ก็พอ
ยิ่งมีใจศรัทธา ยิ่งต้องมีสายตาที่เยือกเย็น
ในโลกกลม ๆ ใบนี้ ไม่มีคำว่า }แน่นอน~
คนเราเมื่อ ตัวตายก็ต้องลงดิน
ท้อแท้ได้ แต่อย่าท้อถอย อิจฉาได้ แต่อย่าริษยา พักได้ แต่อย่าหยุด
เหตุผลของคน ๆ หนึ่ง อาจไม่ใช่ของคน อีกคนหนึ่ง
ถ้าไม่ลองก้าว จะไม่มีวันรู้ได้เลยว่า ข้างหน้าเป็นอย่างไร
หนทางอันยาวไกลนับหมื่นลี้ ต้องเริ่มต้นด้วยก้าวแรกก่อนเสมอ
ปัญหาทุกอย่าง อยู่ที่ตัวเราทั้งสิ้น
จะเห็นค่าของความอบอุ่น เมื่อผ่านความเหน็บหนาวมาแล้ว
อันตรายที่สุดคือ การคาดหวัง

เริ่มต้นดีแล้ว ลงท้ายก็ต้องดีด้วย
อย่ายอมแพ้ ถ้ายังไม่ได้พยายามอย่างเต็มที่
จงใช้สติ อย่าใช้อารมณ์
เบื้องหลังความเข้มแข็ง สมควรมีความอ่อนโยน
ไม่มีคำว่า บังเอิญ ในเรื่องของความรัก มีแต่คำว่า ตั้งใจ
ยินดีกับสิ่งที่ได้มา และยอมรับกับสิ่งที่เสียไป

หลังพายุผ่านไป ฟ้าย่อมสดใสเสมอ
หลังผ่านปัญหา จะรู้ว่าปัญหานั้นเล็กนิดเดียว
ไม่เป็นขุนนางนะ ได้ แต่ไม่เป็นคนไม่ได้
มีแต่วันนี้ที่มีค่า ไม่มีวันหน้า วันหลัง
เมื่อวานก็สายเกินแล้วพรุ่งนี้ ก็สายเกินไป
อย่าหวังว่าจะได้รับความรัก จากคนที่คุณรัก
เพราะคนที่คุณรัก ไม่ได้รักคุณ หมดทุกคน

เพื่อนทั่วไป ไม่เห็นคุณร้องไห้
เพื่อนแท้ มีหัวไหล่ไว้คอยซับน้ำตาให้
เพื่อนทั่วไป ถือขวดไวน์ติดมือมางานปาร์ตี้ของคุณ
เพื่อนแท้ จะมาแต่หัววันเพื่อช่วยเตรียมงาน
เพื่อนทั่วไป คาดหวังให้คุณเคียงข้างเขาเสมอ
เพื่อนแท้ คาดหวังที่จะอยู่เคียงข้างคุณตลอดไป
เพื่อนทั่วไป เข้าหาผลประโยชน์ ที่ได้รับจากเรา

{{{{{{{{{{{{{{{{
เพื่อนทั่วไปอ่านแล้วทิ้ง เพื่อนแท้จะส่งต่อๆ ไป
ส่งผ่านให้ใครก็ได้ที่คุณห่วงใย
หากคุณได้รับคือ หมายถึง คุณได้พบเพื่อนแท้แล้ว
{{{{{{{{{{{{{{{{

วันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2552

มาดูงูเขียวออกลูก‏




อาถรรพ์ หมายเลข 305 ( อยากทดลองดูมั่งไม๊ ?????? )‏

อาถรรพ์หมายเลข 305


หนุ่มใหญ่เสพยาเกินขนาดเสียชีวิตคาห้องพักย่านอ่อนนุช ตำรวจคาดเสียชีวิตมาแล้วไม่ต่ำกว่า 3 วัน

นายเกียรติศักดิ์ กิตติโฆษน์ อายุ 39 ปี อาชีพคนขับรถแท็กซี่ นอนเสียชีวิตอยู่ในห้องพักเลขที่ 305 จุฑาแมนชั่นตรงข้ามซอยอ่อนนุช 35 ที่เกิดเหตุพบสายยาง ซึ่งเป็นอุปกรณ์เสพยาตกอยู่ ตำรวจจึงสันนิษฐานว่า ผู้ตายอาจเสพยาเกินขนาดจนเสียชีวิต ทั้งนี้ ในห้องพักยังล็อกกลอนจากด้านใน ทำให้ตำรวจตัดประเด็นชิงทรัพย์ทิ้ง เบื้องต้นได้ส่งศพไปชันสูตรที่สถาบันนิติเวช โรงพยาบาลตำรวจแล้ว.

-สำนักข่าวไทย อัพเดตเมื่อ 2009-05-22 03:09:26
**********************************************************************************

คืออย่างนี้ครับ.... ไอ้ข่าวนี้มันเกิดขึ้นใกล้ตัวผมมาก เพราะผมอยู่ห้องตรงข้ามกับมัน ซึ่งวันที่เค้ามาเอาศพ เหม็นมากครับ แล้วทีนี้เลยลองมาหาข้อมูลในเนทว่าเค้าหน้าตายังไง คนไหน แต่ไม่ปรากฏหลักฐาน แต่ดันไปรู้ข้อมูลที่น่าตกใจไปมากกว่านั้น

คือ ผมใช้กูเกิ้ลค้นหาคำว่า "ตาย ห้อง 305" ซึ่งมีหน้าที่แสดงขึ้นมามากมาย
แต่ล้วนเป็นข่าวคนตายในห้อง 305 ทั้งนั้น
ไม่ว่าจะเป็รามอินทรา ลาดพร้าว มีนบุรี ต่างจังหวัดก็มี
สาเหตุการตายก็เกิดจาก ฆ่ากันเสียเป็นส่วนมาก
ไม่เชื่อ ลองเสิร์ชดูสิครับ

แล้วการตายที่ว่าจะเกิดจากการทำตัวไม่ดีทั้งสิ้น ทั้งมีกิ้ก เสพยา ปล้น
นอกจากห้องพักแล้วบ้านเลขที่ 305 ก็ยังมีคนตายอีกเป็นจำนวนมาก
"ทำไมใครก็พากันต้องตายในห้อง 305"

ผมจึงเกิดความคิดขึ้นมาว่าถ้าเราค้นหาจนครบ จะมีคนตายในห้อง 305
จากแมนชั่น อพาร์ทเม้นต่างๆ กี่คน แล้วทำไมต้องตายเฉพาะเลข 305 นี้

ผมลองค้นหาเลขอื่นเช่น 306 307 408 409 สารพัด กลับไม่มี หรือมีก็น้อยมาก
จากการวิเคราะห์ด้วยหลักฮวงจุ้ยของจีน เลข 305 แปลว่า ไม่ --เกิด
3 แปลว่าเกิด
5 แปลว่าไม่
รวมแล้วคือ ไม่เกิด นั่นก็คือ "ตาย"นั่นเอง

ผมไปค้นหาต่อถึงข่าวอาชญากรรมต่างประเทศ มีเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับ 305 อีกมากมาย เช่นจำนวนคนตายในเหตุวินาศกรรม เลขทะเบียนรถที่ใช้ระเบิด เที่ยวบิน 305 ที่ตกในเนปาล ขนาดภราดรไปพักโรงแรมห้อง 305 ไฟยังไหม้เลย

และจากข้อมูลเหล่านี้ยิ่งทำให้ผมต้องค้นหาสาเหตุของมันต่อไปอีก
ผมนำ 3 + 5 = 8
8 ถ้าเรากลับตัวมัน จะเป็นเครื่องหมาย อินฟินิตี้ ที่แปลว่า ไม่มีที่สิ้นสุด

นั่นหมายถึง 305 จะก่อให้เกิดความตายอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

พระที่วัดลาดปลาเค้าท่านให้ความรู้มาว่า เลข 305 เกี่ยวข้องกับตำราโหราศาสตร์พม่าเป็นเลขที่ถูกสาปแช่งให้วิบัติ ใครที่เกี่ยวข้องกับเลขนี้ต้องหายนะมานานนับร้อยๆ ปี
เพราะวันที่พม่าแพ้สงครามไทยนั้นเกิดขึ้น วันที่ 30 เดือน 5
พม่าแค้นมากจึงลงเลขยันต์ตัวนี้ใส่ไว้ใต้ฐานเจดีย์

ท่านบอกว่า 305 เป็นเลขผี เลขไม่มงคล เหมือน 13 ของฝรั่ง
เลขไทยมีแต่รู้กันว่า 9 ดี 1 ดี
แต่ไม่มีใครรู้ว่า 305 นั่นไม่ดี

ท่านบอกว่าตอนนี้ใครที่มีความผูกพันธ์ ใกล้ชิดกับเลขนี้ให้นำแผ่นทองไปติดทับเลข 5 เสียให้เหลือ 30 ไว้ จะได้ดีแทน

ท่านยังบอกอีกว่า เวลาที่ผีออกมาอาละวาดผู้คนก็จะออกกันตอน ตี 3.05
เช่นกัน
" ระวังเอาไว้นะครับ 305 " ผมเตือนคุณแล้ว

Ferrari ทองคำ




วิธีทดสอบกระจก ก่อนลองเสื้อผ้าตามที่สาธารณะ‏



หนุ่มๆ ก็กลัวเป็นนะคร๊าบ........บ







เป็นเรื่องสำหรับเตือนภัยสาวๆนะคะ รู้ไว้เป็นความรู้ เผื่อว่าสักวันนึงถ้าจำได้คงมีโอกาสได้ใช้

เอาล่ะ เข้าเรื่องกันเลยดีกว่า เพื่อนๆ รู้จักกระจกที่มีสองด้านหรือที่เรียกกันว่า 2 Ways Mirror ไหม คือ

กระจกที่สามารถ มองเห็นได้อีกด้านหนึ่งหรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เขาเห็นเราได้ แต่เราไม่เห็นเขา

สิ่งที่เราเห็น เป็นเพียงภาพสะท้อนของตัวเราเองไง

ยกตัวอย่างเช่น เวลาเราไปเข้าห้องน้ำ ตามสถานที่สาธารณะต่างๆเราคงไม่เคยคิดเลยว่า

กระจกที่เราส่องอยู่ตรงหน้านั้นอาจจะมีคนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งแอบดูเราอยู่ก็เป็นไปได้

แม้แต่ห้องน้ำ หรือห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าตามโรงแรมเราจะไว้ใจได้อย่างไรล่ะ ?

ในเมื่อรู้อย่างนี้แล้วเราก็มีวิธีทดสอบกระจกสองด้าน แบบง่ายๆ

สำหรับสาวๆให้จดจำและ นำไปใช้ได้นะ การจะพิสูจน์กระจกสองด้าน

โดยการมองด้วยตาเปล่านั้นเราไม่สามารถทำได้ซึ่งสาวๆ สามารถใช้วิธีทดสอบ

ด้วยปลายเล็บของคุณนี่แหละวิธีปฏิบัติ!!! ก็คือ ชี้ปลายเล็บไปที่กระจก

ถ้าระหว่างปลายเล็บของคุณกับเงาที่สะท้อนในกระจกนั้นมีช่องว่างเล็กๆ คั่นกลางอยู่

แสดงว่านั่นคือกระจกที่ใช้สำหรับส่องจริงๆแต่ถ้าระหว่างปลายเล็บของคุณ ชิดติดกับเงา

ที่สะท้อนโดยตรงแล้วนั่นล่ะ กระจกสองด้านของจริงเลยล่ะ

เพราะฉะนั้นสาวๆ ถ้าไม่อยากตกเป็นเหยื่อVirtually Raped ของพวกบ้ากามถ้ำมอง

ก็ควรสละเวลาไม่ถึง 10 วินาทีกับการทดสอบด้วยปลายเล็บนะ

วิธีทดสอบนี้ ได้ผลจริงๆ

สาวๆทั้งหลาย....... ลองนำไปใช้กันดูนะคะ

Need this in M'sia

ขณะนี้แก๊งค์หลอกลวงผ่านโทรศัพท์ได้เปลี่ยนรูปแบบใหม่

เรื่อง: ขณะนี้แก๊งค์หลอกลวงผ่านโทรศัพท์ได้เปลี่ยนรูปแบบใหม่

รายงานข่าวแจ้งว่่า ขณะนี้แก๊งค์หลอกลวงผ่านโทรศัพท์ได้เปลี่ยนรูปแบบใหม่ จากเดิม
ที่อ้างว่าเป็นผู้โชคดีถูกรางวัล หรือได้รับคืนภาษีเงินได้ ล่าสุดได้เปลี่ยนมาอ้างว่า มีหมายศาล
ถูกฟ้องคดีอาญา เพื่อหลอกให้เหยื่อตกใจให้ข้อมูลเลขบัตรประชาชนหรือโอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็ม
ให้หนึ่งในผู้ตกเป็นเหยื่อของกระบวนการนี้ กล่าวว่า มิจฉาชีพโทรเข้าโทรศัพท์มือถือของตน
โดยไม่แสดงเลขหมาย เมื่อรับสายได้มี ระบบอัตโนมัติ แจ้งว่า "ขณะนี้ท่านมีหมายศาล ถูกฟ้อง
ในคดีอาญา หากต้อง การทราบรายละเอียด กด 1"

ทำให้ตกใจมาก จึงรีบกด 1 เพื่อขอทราบรายละเอียดทันที

หลังจากนั้นจะมีผู้รับสายแจ้งว่า "ศาลอาญา สวัสดีคะ ติดต่อเรื่องอะไรค่ะ" ผู้เสียหายจึง
ได้แจ้งว่าขอทราบรายละเอียดที่ตนถูกหมายศาล ปลายสายจึงได้แจ้งว่า ขอเลขบัตรประชาชน
เพื่อตรวจสอบข้อมูลด้วยความตกใจจึงรีบหาบัตรประชาชนเพื่อเตรียมบอกเลขบัตร 13 หลัก
แต่บังเอิญแบตมือถือของตนหมด เสียก่อน

" ด้วยความตกใจกลัวมาก เลยรีบโทรกลับไปศาลอาญา กรุงเทพฯ ปรากฏว่า ประชาสัมพันธ์
ของศาลแจ้งให้ทราบว่า ตนเองถูกหลอกแล้ว ศาลอาญาไม่เคยโทรศัพท์ไปหาประชาชน
ในกรณีแบบนี้

ต อนนี้มิจฉาชีพเริ่มใช้กลอุบายนี้หลอกลวงประชาชนเพื่อขอเลขบัตรประชาชนและ
หลอกให้โอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็มมากขึ้น หลังจากคนเริ่มรู้ทันกลลวงเรื่องเป็นผู้โชคดีถูกรางวัล
หรือได้รับภาษีคืน"

ดังนั้นหากผู้ใดได้รับโทรศัพท์ในลักษณะดังกล่าว ประชาสัมพันธ์ศาลอาญาแจ้งว่า อย่าให้
ข้อมูลเลขบัตรประชาชน หรือไปที่ตู้เอทีเอ็มตามที่แก๊งค์มิจฉาชีพแจ้งมาเด็ดขาด

หากมีข้อสงสัยให้ติดต่อไปที่ศาลอาญา โทรศัพท์ 02-541-2284 ถึง 90


วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Rain...

Crazy guy. ไม่บ้าก็เมา‏

THE WOMAN WITH THE TRUMPET.‏

Panda เล่นกระดานลื่น น่ารักจริงๆ

Benny Hill‏

THREE REALLY GOOD REASONS NOT TO DRINK‏

นังเมียโง่...555+‏

ตอนจีบกันทีแรกก็จำได้ว่ามันฉลาดมากนี่นา เรียนก็สูงหน้าที่การงานก็ดี
ทำไมอยู่กันไปอยู่กันมา กลับเป็นว่าโง่ลงได้ถึงขนาดนี้
นังเมียเรานี่ยังโชคดีที่มีผัวฉลาดๆ แบบเราอยู่ข้างๆนะเนี่ย ไม่ใช่คุย

ตอนเด็กๆสมัยประถมผมจะได้รับคำชมจากคุณครูประจำชั้นอยู่เสมอๆ
จะได้รับรางวัลเป็นประจำในวิชา คัดไทย เขียนไทย ผมยังมีความภาคภูมิใจมาจนถึงทุกวันนี้
แม้เวลามันจะล่วงเลยมานานแล้วก็ตาม ผมก็ยังคงเป็นคนเก่งอยู่ อันนี้ผมรู้จากนังเมียผม
เพราะผมสังเกตุเห็นนังเมียมันจะ ตบมือดังๆ แล้วก็เอ่ยปากชม ไม่ขาดปาก ว่าเก่งยังโน้นเก่งยังนี้
เวลาผมซักผ้า ถูบ้าน หุงข้าว ล้างชาม ได้อย่างยอดเยี่ยมและเสร็จทันในเวลาที่นังเมียผมมันกำหนดไว้
แถมบางครั้งยังมีเวลาเหล ือพอที่จะไปล้างส้วมได้เสร็จทันเวลาอีกด้วย
ทีแรกผมก็คิดได้เองอยู่แล้วว่าผมเก่งและฉลาดมากความจริงนังเมียมันไม่บอก
ผมก็รู้ อยู่แล้ว ผิดกับนังเมียผมที่นับวันจะโง่ลง
ขนาดแอร์ ทีวี ที่สมัยนี้เปิดปิด ง่ายๆ มันยังทำไม่เป็น รีโมทตั้งอยู่ข้างหน้านังเมียมันยังใช้ไม่เป็น
มือซ้ายถือมันฝรั่ง มือขวาแก้วน้ำหวาน ปากก็บอกว่า
"นี่เปิดทีวีให้ดูหน่อยซิ แอร์ด้วยนะ ซัก 23 องศา" แน่ะรีโมทก็อยู่ข้างหน้าใช้ไม่เป็น
มันโง่จริงๆ ผมเคยสอนให้ใช้หลายครั้งก็ยังทำไม่เป็น
จนผมรู้ว่ามันสมองแต่ละคนไม่เท่ากัน จะให้มาเป็นเลิศแบบผมทุกคนคงเป็นไปไม่ได้

เอ่อ แต่นังเมียผมมันก็ยังพอมีความฉลาดอยู่บ้างนะ
หยั่งเช่นว่าวันเงินเดือนผมออก นังเมียมันรู้หมดแนะแถมยังจำแม่น
บางเดือนเลื่อนออกเงินเดือนไปวันไหนวันไหน มันรู้หมดแนะ ผมยังแปลกใจโง่ๆ แบบนี้รู้ได้ไง
แต่ยังไงนังเมียก็ไม่ฉลาดกว่าผมหรอก มานั่งคอยจำคอยเตือนเงินเดือน ทุกเดือนเสียเวลา
ผมเลยเอาเลขที่บัญชีของเมีย ให้บริษัทโอนเงินเข้าไปเลย
นังเมี ยยังชมผมไม่ขาดปากมาถึงทุกวันนี้ ฉลาดมาก ฉลาดมาก
โธ่เอ็งไม่ต้องบอกข้าก็รู้ "นังเมียหัวขี้เลื่อย"

พูดถึงเรื่องแกล้งเมีย วันก่อนผมก็มีวีรกรรมได้แกล้ง นังเมียโง่ของผม ซะจายจิงๆ
เรื่องมันมีอยู่ว่า อาทิตย์ที่แล้วพาเมียโง่ ไปซื้อกับข้าวมื้อค่ำ
ได้ปลาดุกย่าง สะเดาน้ำปลาหวาน(ของโปรดผมคือหนังปลาดุก)
เผลอแป๊บเดียว(ผมอาบน้ำอยู่) นังเมียโง่ของผมแอบลอกหนังปลาดุกกินเสียเกลี้ยง
ดูสิดูมันทำ ด้วยความฉลาดของผม เก็บความแค้นอยู่ในใจ
วันต่อมาถึงวันล้างแค้นนังเมียโง่ของผม ไปจ่ายตลาด มันกำลังท้อง
อยากกินมันเทศต้ม ซื้อมา2กิโล ถึงบ้านพอมันเผลอ ผมลงมือแก้แค้นทันทีโดยไม่ให้นังเมียโง่ของผมตั้งตัว
ผมจัดการลอกเปลือกมันต้มกินจนเกลี้ยง เหลือแต่เนื้อให้มัน เพื่อนๆครับ
มันมาเจอถึงกลับตลึง ทำท่าน้ำตาคลอ คงเจ็บใจผมจนพูดไม่ออกเลย
555ให้มันรู้ซะบ้าง "นังเมียโง่...โง่จิงๆ"

ไม้เขี่ยหมาเน่า‏

ไม้เขี่ยหมาเน่า

ฉันได้ฟังปริศนาธรรมเรื่องนี้จากคุณแม่...
ซึ่งพระอาจารย์ประสงค์ ปริปุณฺโณ
จากวัดป่าชิคาโกท่านกรุณาเทศน์เล่าให้ฟัง
พระอาจารย์เริ่มเรื่องด้วยคำถามว่า

ถ้ามีหมาเน่าลอยน้ำมาติดที่หน้าบ้านของเรา เราจะทำยังไง
ทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า
ให้เอาไม้เขี่ยมันออกไป

พระอาจารย์ก็ถามต่อว่า
เขี่ยเสร็จแล้ว หมาเน่าลอยไปแล้ว ไม้นั้นเราทำยังไง
ทุกคนก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันอีกว่า
ก็ต้องโยนทิ้งไป

คราวนี้พระอาจารย์ก็บอกว่า นั่นแหละ...
มีคนบางพวก ไม่ยอมทิ้งไม้เขี่ยหมาเน่านั้นไปเฉยๆ
ไม่รู้เสียดายอะไร
ทั้งๆ ที่รู้ว่าเหม็นแต่ก็หยิบกลับขึ้นมาดมอยู่เรื่อย
ไม้เขี่ยหมาเน่าๆ เหม็นๆ น่ะ

พระอาจารย์เล่าเรื่องจบเพียงแค่นี้
ทิ้งไว้เป็นปริศนาธรรมให้เอามาคิดต่อ...
เห็นด้วยกับฉันมั้ย...
คนที่รู้ทั้งรู้ว่าไม้เหม็นแต่ก็ยังเก็บมาดมอยู่ได้เนี่ย...
ไม่โง่ก็โรคจิตนะ



เคยเป็นบ้างมั้ย เวลามีใครมาทำให้เราโกรธ
จนเรื่องต่างๆ เหตุต่างๆ ที่ทำให้เราโกรธมันดับไปหมดแล้ว
แต่เราก็ยังเก็บมาคิดมาแค้นอยู่นั่นแหละ ไม่รู้เสียดายอะไร
ทั้งๆ ที่รู้ว่าทำให้เป็นทุกข์
แต่ก็เก็บความคิดแค้นมาเผาใจอยู่เรื่อยๆ

หรือไม่ต้องเรื่องโกรธก็ได้... เรื่องอะไรๆ ที่มันผ่านไปแล้ว
แต่หลายครั้งเราก็ยังเก็บโน่นเก็บนี่มาคิด มากังวล
มาเสียใจอะไรก็แล้วแต่

ฉันคนหนึ่งล่ะที่เคยเป็น
แล้วฉันก็คิดว่าทุกคนก็คงเคยเป็น
คราวหลังถ้าเป็นอีกลองบอกตัวเองสิว่า...
แน่ะ... หยิบไม้เขี่ยหมาเน่ามาดมอีกแล้วนะเรา
คนที่รู้ทั้งรู้ว่าไม้เหม็นแต่ก็ยังเก็บมาดมอยู่ได้เนี่ย...
ไม่โง่ก็โรคจิตนะ

ดูซิว่ายังจะอยากเก็บไม้เหม็นๆ ไว้ดมอีกมั้ย :)




--------------------------------------------------------------------------------

ยอมเสียเวลาอ่านสัก 5 นาที อาจพลิกชีวิตคุณ‏

> ยอมเสียเวลาอ่านสัก 5 นาที อาจพลิกชีวิตคุณ
>
>
> เรื่องราวประทับใจนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ถูกนำมาลงตีพิมพ์ใน
> หนังสือธรรมะ (มหายาน) ของไต้หวัน ค.ศ. 1988 ฉบับเดือนกันยายนค่ะ ฉันได้อ่านจากเพื่อนที่ส่งมา
> ให้ แล้วรู้สึกว่าน่าจะนำมาเล่าสู่กันฟัง บางทีอาจเป็นคำตอบที่เรามักนึกสงสัยว่า
>
>
> - ทำไม โอกาสหลายอย่างจึงหลุดมือเราไป
>
>
> - ทำไม ทำอะไรก็ติดขัด มีอุปสรรคให้เหนื่อยยากตลอดเวลา
>
>
> - ทำไม ขยันทำงานแทบตาย ชีวิตก็ยังแย่เหมือนเดิม
>
>
> พี่ชายและน้องชาย ตระกูลหวัน ช่วยกันตั้งโรงงานอาหารกระป๋อง (ผัก
> ดอง) ผลิตออกมาหลายรสชาติ จำหน่ายทั้งในประเทศและส่งขายนอกประเทศ แถวเอเชีย ทั้งญี่ปุ่น
> ไทย มาเลเซีย สิงคโปร์ เป็นผักดองอัดกระป๋องยี่ห้อ "เจ" หวังจำหน่ายกับคนจีนโพ้นทะเลในหลายๆ
> ประเทศ แต่น่าเสียดาย ที่พยายามเท่าไหร่กลับมีหนี้สินเพิ่มมากขึ้นทุกปี จนผ่านมาถึงปีที่ 8 (ค.ศ.
> 1988) ก็มาถึงจุดที่แบกภาระต่อไปไม่ไหว เป็นลูกหนี้ของแบงค์ที่ตามมาบี้และเป็นหนี้กับนายทุนหลายๆ คน
> หนี้วัตถุดิบที่เอามาผลิตอาหารกระป๋องจนทั้งสองเกิดอาการเครียดมาก จึงพากันไปดูหมอซินแสคนดังท่านห
> นึ่งของไต้หวัน ที่มีแต่พ่อค้านายพลใหญ่ๆ ชอบไปดูดวงกับท่าน ซินแสคนนี้แหละที่เป็นผู้เอาเรื่องของพี่น้องคู่
> นี้มาเขียนในนิตยสารธรรมะฉบับดังกล่าว
>
>
> ซินแสท่านเล่าว่า ตอนแรกที่ผูกดวงของพี่น้องคู่นี้ออกมาก็รู้สึกหนักใจมากๆ
> เพราะตกตำแหน่งที่ "สูญสิ้น" ทั้งคู่ ทั้งถนนชีวิตและปีจร วัยจร ตกที่นั่งกู้ชีพให้ฟื้นขึ้นมาไม่ได้เลย "ตาย
> ลูกเดียว" คือ "เจ๊งลูกเดียว" ไม่มีวิธีแก้กรรมแก้เคล็ดใดๆ จึงสั่นหัวแจ้งข่าวร้ายให้ทั้งสองรับทราบ
> บอกว่า "ไม่รอด" พี่ชาย-น้องชาย คอตกกลับมาถึงบ้านพัก ซึ่งอยู่ติดกับโรงงานและรู้สึกเศร้าเสียใจมาก
> ๆ กับชะตาชีวิตที่ตกต่ำสุดๆในตอนนี้ บังเอิญในช่วงวันนั้น บริเวณตอนเหนือของไต้หวันเกิดฝนตกหนักและน้
> ำท่วมอย่างหนัก ทีวีออกข่าวเห็นแต่ภาพน้ำท่วมหลากและบ้านเรือนเหลือแต่หลังคา มีคนเกาะต้นไม้และ
> บ้างก็อยู่บนหลังคา กำลังหิวโหย หนาวเหน็บและลำบากลำบนมาก โดยหน่วยกู้ภัยยังไปไม่ถึงบริเวณดังกล่
> าว
>
>
> ทั้งสองพี่น้องผู้กำลังกลุ้มใจสุดๆ เห็นภาพดังกล่าวก็เกิดความเวทนา จึง
> เกิดไอเดียปรึกษากันว่า "ไหนๆ ก็จะเจ๊งแน่ ตอนนี้เรายังมิได้ประกาศออกไป ชื่อเสียงที่ย่ำแย่เต็ม
> ประดา ยังไม่ถึงขั้นเน่าเหม็น อย่ากระนั้นเลย ทั้งสองคนรีบโทรศัพท์ไปหาญาติมิตรและลูกค้าเก่าๆ เท่าที่
> เรารู้จัก เอ่ยปากขอยืมเงินมาให้มากที่สุด คนไหนเป็นเจ้าของสินค้าอุปโภค บริโภคที่พอจะช่วยภัยคนตก
> น้ำเราก็ขอเป็นสินค้ามาก่อน และเขียนเช็ค(เด้ง) ไปให้พวกเขาก่อน รีบๆ รวบรวมปัจจัยให้ได้ภายใน
> คืนนี้แหละ เอาเศษเงินว่าจ้างเรือขนสินค้าอุปโภคบริโภค พวกอาหารแห้ง บะหมี่ ข้าวสาร อาหาร
> กระป๋อง เสื้อผ้า ผ้าห่ม ขอเป็นหน่วยฉุกเฉินหน่วยแรกที่บุกไปบริจาคช่วยชาวบ้านถึงที่เป็นขบวนแรกก่อนเ
> ลย เพราะไหนๆก็จะเจ๊งตายอยู่แล้ว เอาเครดิตชื่อเสียงที่พอจะเหลือเอาเงิน เอาข้าวของคนที่มีมา
> ทำบุญสักครั้งเถอะ" ทั้งสองจึงวุ่นวายกันทั้งคืน ไม่ได้หลับไม่ได้นอน ทั้งโทรฯ ทั้งขอ และปลุกให้ลูกเมีย
> ญาติโยม ที่พอจะไหว้วานได้ รายไหนยอมให้กู้ก็ไปรับเงิน รายไหนยอมให้สินค้าก็ส่งรถขนส่งไปขนเอ
> ามา เขียนเช็คเด้ง ยื่นหมู ยื่นแมวออกไปก่อน
>
>
> แค่รุ่งเช้าทุกอย่างก็พร้อม ได้ของมาเต็มรถบรรทุก 2 คัน ส่งคนไปขอเช่า
> เรือยนต์รออยู่ที่ตำบลน้ำท่วม ได้เรือมา 4 ลำ ยังไม่ทัน 9 โมงเช้า สินค้าที่ถ่ายลงเรือทั้ง 4 ลำ
> ตระเวนแล่นเข้าไปในดงน้ำท่วม ของกินของใช้ก็จัดมัดไว้ในถุงพลาสติกใบโตๆ เจอผู้รอดตายก็รับขึ้นเรือ
> บางรายรับไม่ได้ก็ฝากถุงยังชีพถุงกู้ชีพไปให้ก่อน บอกว่าเดี๋ยวเรือด่วนของราชการคงมาช่วยพาไปขึ้นบกที่
> ปลอดภัยในภายหลัง
>
>
> การกระทำอย่างฉับไวในครั้งนี้ กลายเป็นข่าวใหญ่ เพราะมีผู้สื่อข่าวทั้งทีวี
> วิทยุ หนังสือพิมพ์ไปดักรอทำข่าวอยู่แล้ว ความรวดเร็วและกล้าหาญจริงใจในการช่วยคนตกทุกข์แบบขบวน
> การของเอกชนแบบนี้ ยังไม่เคยเห็นใครทำมาก่อน ชุดนี้ช่วยในวาระแรกๆ อาหาร เสื้อผ้า ส่งตรงถึงผู้
> ประสบภัยกันถ้วนหน้า ??อเห็นหน่วยราชการ กาชาด องค์กรการกุศลอื่นๆที่ตามมาทีหลัง หน่วยแรกนี้ก็ล่า
> ถอยกลับบ้าน เพราะถือว่าสมใจ นึกแล้ว ทั้งเหนื่อยจัดและหมดแรง แต่ก็ดีใจปลื้มใจสุดๆ
>
>
> ทั้งสองครอบครัวกลับถึงบ้านก็สั่งปิดโรงงานเตรียมตัววางเฉย เพราะรู้ดี
> ว่าอีกไม่นานเจ้าหนี้ทั้งหลายคงรุมฟ้องคดีกันยืดยาว แต่เหตุการณ์กลับพลิกล็อกเหนือความคาดหมาย
> ปรากฏว่าทั้งธนาคารหลายแห่งและเจ้าหนี้ทั้งหลายกลับวางตัวเงียบเฉย ไม่มีใครยื่นฟ้องคดีล้มละลายกับคู่
> นี้สักรายเดียว เพราะทุกคนทั่วประเทศได้เห็นข่าวกล้าหาญในการส่งเสบียงกู้ภัยในนามเอกชนแท้ๆอยู่เพีย
> งรายเดียว
>
>
> เจ้าหนี้ทุกคนต่างก็คิดเหมือนกันหมดว่า "พี่น้องคู่นี้ไม่น่าจะยากจนจริงๆ
> อย่างที่เคยเข้าใจ คงจะแกล้งจนและแกล้งเบี้ยวหนี้" จึงไม่มีใครตกอกตกใจว่าคู่นี้ใกล้เจ๊ง กลับเห็นพ้อง
> ต้องกันว่าน่าจะเปิดให้มีการเจรจาปรองดองหนี้กันใหม่ และสิ่งที่แปลกกว่านั้นคือ ประชาชนตาดำๆ ทีได้
> เห็นข่าวทีวีและอ่านในหนังสือพิมพ์ต่างก็คิดว่าอาหารกระป๋องผักดองเจของโรงงานนี้น่าจะลองชิมดู
> เพราะถ้าค้าขายได้ร่ำรวยเงินทองเจียดเงินมาช่วยคนประสบภัยแบบนี้ต้องถือว่าไม่ธรรมดา ดังนั้นร้านค้า
> ต่างๆ ห้างต่างๆ รวมทั้งลูกค้าใหญ่ๆ ในต่างประเทศต่างก็โทรฯเข้ามาขอสั่งซื้อผักดองกระป๋องของโรงง
> านแห่งนี้กันโกลาหล เรียก ว่ารับแต่ใบออเดอร์ที่โทรฯ ประดังเข้ามาก็จดกันมือนิ้วชาไปหมด โรงงาน
> ของสองพี่น้องจึงฟื้นชีพขึ้นมาอย่างปาฏิหาริย์และขายดิบขายดีตั้งแต่บัดนั้น
>
>
> ฉันเชื่อในเรื่อง "บุญ" เราทุกคนล้วนเกิดมาพร้อมกับบุญและบาปที่ติดตัวมา
>
>
> "บุญ" เหมือนเป็นทุนที่เราสะสมไว้ใช้ในชาตินี้ หากเราใช้บุญไปทุกๆวันจน
> ใกล้หมด บาปที่เราเคยทำทั้งในอดีตและทำเพิ่มในวันนี้ จะเข้ามาแทนที่ ชีวิตเราจึงเกิดเรื่องราววุ่นวาย
> ไม่หยุดหย่อน ทำอะไรก็ไม่สำเร็จติดขัดไปหมดทุกทีไปเพราะมีบาปคอยเข้ามากั้นขวางไว้ ลองทำดูซิคะ
> ถ้าตื่นไปใส่บาตรไม่ไหว ก็ทำแบบฉันก็ได้ ถวายสังฆทานเดือนละ 1 ครั้ง อุทิศบุญให้กับผู้ที่เราเคยล่วงเกิ
> นทั้งกาย วาจาใจ ฉันจะไม่ซื้อสังฆทานแบบเป็นถังเหลือง แต่จะเลือกซื้อของเอง ยิ่งเราพิถีพิถันในการ
> เลือกของถวาย เราก็จะได้สิ่งดีๆที่สมบูรณ์แบบเช่นกัน
>
>
> "ให้อะไร ก็ได้อย่างนั้น"
>
>
> คุณว่าจริงมั้ย ตรรกะง่ายๆที่ไม่ต้องไปคิดอะไรลึกซึ้งหรอกค่ะ เพราะเรื่อง
> บุญกรรม ไม่มีใครพิสูจน์ได้เหมือนการคำนวณตัวเลข เราจึงต้องหมั่นเติมบุญเข้าไปอยู่เรื่อยๆ ทำบุญรูป
> แบบใดก็ได้ ให้ใจสบายและมีความสุข สิ่งดีๆ ก็จะเกิดกับชีวิตเราแล้วละค่ะ เริ่มต้นจากใจเราก่อนก็ได้
> ไม่อิจฉากัน ไม่หมั่นไส้กัน ไม่ให้ร้ายลับหลัง มองกันในแง่ดีๆ และให้อภัยกันน เท่านี้บุญก็เกิดที่ใจเเล้ว
************************************************************************************************************************************************************************************

เรื่อง สิงห์ ช้าง และมะม่วง...ภาพฝีพระหัถต์‏








วิธีดูเว็บแบบเต็มจอ‏

ง่าย ๆ แค่กดปุ่ม F11 บนคีย์บอร์ด
ทั้ง Toolbar และ Task bar จะหายไปทันทีครับ
ดูเว็บได้เต็ม ๆ สบายตาขึ้นเยอะเลย

ส่วนถ้าอยากให้กลับมาเหมือนเดิม ก็แค่กด F11 อีกครั้งครับ


ปล. วิธีนี้ใช้ได้ทั้ง Internet Explorer, Mozilla Firefox, และ Opera เลยครับ

40 มหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในประเทศไทย 2552‏

ลองตรวจรายชื่อดูซิว่าพวกเราใครมีรายชื่อปรากฎอยู่บ้าง

จะได้ให้เป็นเจ้ามือเลี้ยงฉลองใหญ่กันไปเลย 5555...







อันดับ 1 นายเฉลียว อยู่วิทยา อายุ 76 ปี กลับมาเป็นบุคคลที่รวยที่สุดของไทยอีกครั้งหนึ่งหลังจากยอดจำหน่ายกระทิงแดง เครื่องดื่มบำรุงกำลังที่นายเฉลียว ร่วมกับนายดีทริช มาเตสชิทซ์ นักธุรกิจออสเตรียเริ่มผลิตขึ้นเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ในต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น ยอดขายเพิ่มจากปี 2547-2550 ถึงเกือบเท่าตัวเป็น 4,200 ล้านดอลลาร์ในปีที่ผ่านมา มีมูลค่าทรัพย์สินทั้งหมด 4,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 136,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 500 ล้านดอลลาร์

อันดับ 2 นายเจริญ สิริวัฒนภักดี ผู้ก่อตั้งบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ เจ้าของธุรกิจวิสกี้และเบียร์ (เหล้าแม่โขง , เบียร์ช้าง ฯลฯ ) ที่เพิ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์เมื่อปี 2549 ทั้งยังเป็นเจ้าของกิจการโรงแรมพลาซ่า แอทธินี่ และไอเอ็มเอ็ม อีกด้วย มูลค่าทรัพย์สินรวม 3,900 ล้านดอลลาร์

อันดับ 3 ตระกูล "จิราธิวัฒน์" มีกิจการหลายอย่างตั้งแต่ธุรกิจค้าปลีก (ห้างเซ็นทรัล),อสังหาริมทรัพย์ ,โรงแรม เป็นต้น มูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวม 2,800 ล้านดอลลาร์

อันดับ 4 นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) กิจการเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี.) อายุ 69 ปี มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ์ 2,000 ล้านดอลลาร์

อันดับ 5 นายกฤตย์ รัตนรักษ์ ประธานและซีอีโอของบริษัท บางกอก บรอดคาสติ้ง แอนด์ ทีวี (บีบีทีวี) และครอบครัว ทรัพย์สินรวมถึงหุ้นในธนาคารกรุงศรีอยุธยา และปูนซิเมนต์นครหลวง มูลค่าทรัพย์สินรวม 1,000 ล้านดอลลาร์

อันดับ 6 คุณหญิงประณีตศิลป์ วัชรพล และครอบครัว เจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ มูลค่าทรัพย์สินรวม 940 ล้านดอลลาร์

อับดับ 7 นายวิชัย มาลีนนท์ และครอบครัว เจ้าของกิจการ บีอีซีเวิร์ลด์ และไทยทีวีสีช่อง 3 มูลค่าทรัพย์สินรวม 880 ล้านดอลลาร์

อันดับ 8 นายจำนงค์ ภิรมย์ภักดี ประธานบริษัทบุญรอด บริวเวอรี่ (เบียร์สิงห์) และครอบครัว มูลค่าทรัพย์สินรวม 820 ล้านดอลลาร์

อันดับ 9 นายสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเครือบริษัท ไทยซัมมิต ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ถือหุ้นส่วนหนึ่งอยู่ในเนชั่น มัลติมีเดียมูลค่าทรัพย์สินรวม 580 ล้านดอลลาร์

อันดับ 10 นายอนันต์ อัศวโภคิน ผู้ก่อตั้งบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮาส์ มูลค่าทรัพย์สินรวม 525 ล้านดอลลาร์

อันดับ 11 นายสรรเสริญ จุรางกูล ผู้ก่อตั้งบริษัท สามมิตมอเตอร์ ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ มูลค่าทรัพย์สินรวม 520 ล้านดอลลาร์

อันดับ 12 นายประยุทธ มหากิจศิริ และครอบครัว เจ้าของกิจการเหล็กกล้า ไทยน็อกซ์ สแตนเลส มูลค่าทรัพย์สินรวม 515 ล้านดอลลาร์

อันดับ 13 นายบุญชัย เบญจรงคกุล และครอบครัว ผู้ก่อตั้งบริษัทโทรคมนาคม ดีแทค มูลค่าทรัพย์สินรวม 475 ล้านดอลลาร์

อันดับ 14 นายอิสระ วงศ์กุศลกิจ กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทมิตรผลและครอบครัว มูลค่าทรัพย์สินรวม 470 ล้านดอลลาร์

อันดับ 15 วิลเลียม อี. ไฮเนคกี้ และครอบครัว เจ้าของกิจการ ไมเนอร์ คอร์ป., ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ทำธุรกิจ อาทิ เอสปรี และธุรกิจภัตตาคาร ,สปา ,โรงแรม มากกว่า 800 แห่งในหลายประเทศ


อันดับ 16 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทรัพย์สินรวม 400 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย แม้ว่าจะถูกอายัดทรัพย์ และหมดยุคเรืองอำนาจเพราะถูกกระทำรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 แต่ตัวเลขทางการเงินของพ.ต.ท.ทักษิณ ยังคงเพิ่มขึ้นกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 3,300 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีก่อน

อันดับ 17 นายวาณิช ไชยวรรณ และครอบครัว เจ้าของกิจการไทยประกันชีวิต มูลค่าทรัพย์สินรวม 390 ล้านดอลลาร์

อันดับ 18 นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ เจ้าของกิจการพฤกษาเรียลเอสเตท มูลค่าทรัพย์สินรวม 380 ล้านดอลลาร์

อันดับ 19 น.ส.นิชิต้า ชาห์ อายุน้อยที่สุดคือ 28 ปี สาวโสด เพียงรายเดียวจากทั้งหมด สืบทอดกิจการ พรีเชียส ชิปปิ้งจากบิดา ก่อนขยายออกไปสู่วงการแฟชั่นและเสื้อผ้าสำเร็จรูป มูลค่าทรัพย์สินรวม 375 ล้านดอลลาร์

อันดับ 20 นางสุรางค์ เปรมปรีดิ์ กรรมการผู้จัดการบีบีทีวี (ช่อง7) มูลค่าทรัพย์สินรวม 335 ล้านดอลลาร์

อันดับ 21 นางนันทา ชินธรรมมิตร เจ้าของกิจการน้ำตาลขอนแก่น มูลค่าทรัพย์สินรวม 330 ล้านดอลลาร์

อันดับ 22 นายประเสริฐ ปราสาททองโอสถ ผู้ก่อตั้งและเจ้าของกิจการบางกอกแอร์เวยส์ มูลค่าทรัพย์สินรวม 245 ล้านดอลลาร์

อันดับ 23 คุณหญิงประภา และนายวิทย์ วิริยะประไพกิจ ผู้บริหาร สหวิริยา สตีล อินดัสตรี้ มูลค่าทรัพย์สินรวม 210 ล้านดอลลาร์

อันดับ 24 นายนิธิ โอสถานุเคราะห์ ได้รับตกทอดหุ้นบริษัท โอสถสภามา 25% มีเงินลงทุนอยู่ในไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล และทำงานอยู่กับเมอร์ริลล์ ลินช์ มูลค่าทรัพย์สินรวม 200 ล้านดอลลาร์

อันดับ 25 นายเปรมชัย กรรณสูต ผู้บริหารสูงสุดของบริษัทรับเหมาก่อสร้าง อิตาเลียน-ไทย มูลค่าทรัพย์สินรวม 195 ล้านดอลลาร์

อันดับ 26 นายวิชัย รักศรีอักษร ผู้ก่อตั้งบริษัท คิงพาวเวอร์ ดำเนินกิจการร้านค้าปลอดภาษี มูลค่าทรัพย์สินรวม 190 ล้านดอลลาร์

อันดับ 27 นายเฉลิม อยู่วิทยา เจ้าของกิจการสยาม ไวเนอรี่ ประธานบริษัทเรดบุล อังกฤษ และมีหุ้นอยู่ในบริษัท กระทิงแดง 2% มูลค่าทรัพย์สินรวม 185 ล้านดอลลาร์ อันดับ

อันดับ 28 นายเกษม ณรงค์เดช และครอบครัว ประธานกลุ่มบริษัท เคพีเอ็น ที่มีบริษัทอยู่ในเครือมากกว่า 24 บริษัท มูลค่าทรัพย์สินรวม 180 ล้านดอลลาร์

อันดับ 29 นายเอนก สิทธิประศาสน์ ผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 2 ในกิจการบิ๊กซี ซุปเปอร์มาร์เก็ต รองประธาน เซ็นทรัลพัฒนา กิจการอสังหาริมทรัพย์ในเครือ "จิราธิวัฒน์" มูลค่าทรัพย์สินรวม 177 ล้านดอลลาร์

อันดับ 30 นายเพชร และรัตน์ โอสถานุเคราะห์ มีหุ้นอยู่ในโอสถสภาคนละ 20 เปอร์เซ็นต์ รายหลังดำรงตำแหน่ง ซีอีโอของบริษัทอีกด้วย มูลค่าทรัพย์สินรวม 175 ล้านดอลลาร์

อันดับ 31 พรดี ลี้อิสระนุกูล สืบทอดกิจการในเครือกลุ่มบริษัทสิทธิผลจาก วิทยาผู้เป็นสามี มีหุ้นอยู่ในสิทธิผลมอเตอร์,ไทย สแตนเลย์ อีเลคทริค และบริษัทร่วมทุน อินูเอะ รับเบอร์ มูลค่าทรัพย์สินรวม 170 ล้านดอลลาร์

อันดับ 32 วิชา พูลวรลักษ์ เจ้าของกิจการ เมเจอร์ ซีนีเพลกซ์ เครือข่ายธุรกิจโรงภาพยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ มูลค่าทรัพย์สินรวม 165 ล้านดอลลาร์

อันดับ 33 นิจพร สรณจิต ผู้ถิอหุ้นใหญ่ในอิตาเลียน-ไทย พี่สาวของเปรมชัย กรรณสูต เป็นประธานโรงแรมโอเรียนเต็ล และมีหุ้นส่วนตัวอยู่ในเครือโรงแรมอมารี มูลค่าทรัพย์สินรวม 160ล้านดอลลาร์

อันดับ 34 วิกรม กรมดิษฐ์ เจ้าของกิจการนิคมอุตสาหกรรม อมตนคร มูลค่าทรัพย์สินรวม 145 ล้านดอลลาร์

อันดับ 35 พรเทพ พรประภา และครอบครัว เจ้าของกิจการสยามกลการ มีหุ้นอยู่ใน เอพีฮอนด้า และเอสพี ซูซูกิ มูลค่าทรัพย์สินรวม 140 ล้านดอลลาร์

อันดับ 36 ไกรสร ชาญสิริ ประธานและผู้ก่อตั้ง ไทย ยูเนียน ฟรอซเซน กิจการทูน่ากระป๋องที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก มูลค่าทรัพย์สินรวม 115 ล้านดอลลาร์

อันดับ 37 ไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ประธานกลุ่มจีเอ็มเอ็มแกรมมี่ มูลค่าทรัพย์สินรวม 110 ล้านดอลลาร์

อันดับ 38 ปลิว ตรีวิศวเวทย์ เจ้าของกิจการบริษัทก่อสร้าง ช.การช่าง มูลค่าทรัพย์สินรวม 100 ล้านดอลลาร์

อันดับ 39 สุเมธ ตันธุวณิช ผู้ก่อตั้ง รีเจอนัล คอนเทนเนอร์ ไลน์ กิจการเดินเรือ มูลค่าทรัพย์สินรวม 85 ล้านดอลลาร์

อันดับ 40 มาลิณี กิตะพาณิช และครอบครัว สืบทอดสมบูรณ์ แอดวานซ์ เทคโนโลยี บริษัทผลิตชิ้นส่วนยานยนต์จากผู้เป็นสามี มูลค่าทรัพย์สินรวม 65 ล้านดอลลาร์

ค้นหา