วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

Cartoon.‏

Les hommes aiment celle-ci!!!!!‏

การดื่มน้ำเมื่อท้องว่าง ได้ประโยชน์อย่างที่คุณคิดไม่ถึงนะจะบอกให้‏

การดื่มน้ำเมื่อท้องว่าง ได้ประโยชน์อย่างที่คุณคิดไม่ถึงนะจะบอกให้

การดื่มน้ำเ มื่อท้องว่างผ่านกระเพาะอาหาร เพื่อรักษาสุขภาพที่ดี ในประเทศญี่ปุ่นทุกวันนี้ เป็นที่นิยมดื่มน้ำทันที หลังจากตื่นนอนตอนเช้า ( ก่อนแปรงฟัน ) เพื่อการรักษาสุขภาพที่ดี มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์ พบว่าน้ำสามารถใช้ชะลอความแก่ และสามารถบำบัดรักษาโรคเหล่านี้ได้ผล 100% ( แบบค่อยเป็นค่อยไป ต้องใช้ระยะเวลา ) ปวดหัว ปวดตามตัว โรคระบบหัวใจ โรคไขข้ออักเสบ โรคหัวใจเต้นเร็ว โรคลมบ้า หมู โรคอ้วน โรคหลอดลมอักเสบ โรคหืด วัณโรค อาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไขสันหลังอักเสบ โรคไตและยูริก โรคแสลง คลื่นไส้ต่างๆ โรคกระเพาะ โรคท้องร่วง โรคริดสีดวงทวาร โรคเบาหวาน โรคอาการท้องผูก โรคตา โรคภายในสตรี มะเร็ง รอบเดือนไม่ปกติ โรคคอ หู จมูก

วิธีการปฏิบัติ

1. ตื่นนอนตอนเช้า ก่อนแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำ 4 แก้ว (640 ซีซี)
2. หลังจากนั้นสามารถและล้างหน้าอาบน้ำได้ แต่ต้องไม่ดื่ม หรือรับประทานอะไร จนกว่า 45 นาทีผ่านไป จึงจะรับประทานได้ตามปกติ
3. หลังรับประทานอาหารเช้า กลางวัน เย็น ไปแล้ว 15 นาที ไม่ควรดื่มน้ำหรือรับประทานอะไร จนกว่า 2 ชั่วโมงผ่านไป
4. ผู้ป่วย หรือคนชรา ที่ไม่สามารถดื่มน้ำ 4 แก้ว ก็ให้ค่อยๆ ดื่ม ค่อยเป็นค่อยไปเรื่อยๆ จนได้ครบ 4 แก้ว

ข้อปฏิบัติ 4 ข้อดังกล่าว จะทำให้ท่านบำบัดรักษาโรคที่เป็นอยู่ค่อยๆเบาและหายขาดได้ในที่สุด ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น และไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่อาจปัสสาวะบ่อยขึ้น แลหลังดื่มน้ำไปแล้วประมาณ 1-2 ชั่วโมง จะปวดปัสสาวะ

จากสถิติข้อมูลโรคที่บำบัดรักษา ทำให้หายได้ภายในเวลา ดังนี้

1. โรคความดันโลหิตสูง 30 วัน
2. โรคกระเพาะ 10 วัน
3. โรคเบาหวาน 30 วัน
4. โรคท้องผูก 10 วัน
5. โรคมะเร็ง 180 วัน
6. โรควัณโรค 90 วัน
7. โรคไขข้ออักเสบจะเห็นผลภายใน 3 วัน

ส่วนสื่อสาร องค์กร
อย่าลืมดื่มน้ำกันนะจ๊ะ

Sawed in half. สุดยอด มายากล‏

I give you a blue ribbon‏

Subject: FW: I give you a blue ribbon



มีความรู้สึกดีๆมาให้
ครูคนหนึ่งที่นิวยอร์คตกลงใจจะแสดงความชื่นชมนักเรียนไฮสคูลชั้นปีสุดท้ายที่เธอสอนด้วยการบอกเขาเหล่านั้นว่า
แต่ละคนมีคุณค่าพิเศษต่างจากคนอื่นอย่างไรบ้าง
เธอเรียกนักเรียนทุกคนไปหน้าชั้นทีละคน
แรกสุดเธอบอกแต่ละคนว่าพวกเขามีคุณค่าเพียงใดทั้งต่อตัวครูและ ต่อเพื่อนร่วมห้อง
จากนั้นเธอก็มอบริบบิ้นสีฟ้าพิมพ์ด้วยตัวหนังสือสีทองเป็นของขวัญให้ ข้อความบนริบบิ้นมีว่า
'ฉันเป็นคนมีคุณค่า'

จากนั้นครูให้นักเรียนทำงานกลุ่มของชั้นขึ้นมาชิ้นหนึ่งด้วยวัตถุประสงค์ เพื่อดูว่าการแสดงความชื่นชมยกย่องผู้อื่นส่งผลอย่างไรต่อคนในชุมชน
เธอมอบริบบิ้นแก่นักเรียนคนละสามเส้น ให้นักเรียนเผยแพร่การรับรู้และชื่นชมคุณค่าผู้อื่นในวงกว้างออกไป
จากนั้นนักเรียนจะต้องติดตามผลและดูว่าใครยกย่องใครบ้าง แล้วนำกลับมารายงานในห้องภายในหนึ่งสัปดาห์
นักเรียนชายคนหนึ่งเข้าพบผู้บริหารระดับรองที่ทำงานในบริษัทใกล้ๆเพื่อยกย่องที่ชายผู้นี้เคยช่วยเขาวางแผนอาชีพในอนาคต
แล้วมอบริบบิ้นติดให้บนเสื้อเชิ้ต จากนั้นก็มอบริบบิ้นอีกสองเส้นที่เหลือพร้อมกับกล่าวว่า...
'เรากำลังทำงานกลุ่มของชั้นเรียนเกี่ยวกับเรื่องการแสดงความยกย่องชื่นชมผู้อื่นครับ ผมอยากขอให้คุณช่วยหาใครสักคนที่คุณต้องการยกย่อง"
แล้วให้ริบบิ้นเขา ส่วนอีกเส้นก็ให้เขาไว้สำหรับมอบให้คนต่อไปเพื่อเผยแพร่การยกย่องชื่นชมนี้ให้กระจายต่อไป 'แล้วช่วยกลับมาบอกผมด้วยครับว่าผลเป็นยังไงบ้าง'



ต่อมาในวันเดียวกัน ผู้บริหารท่านนี้เข้าพบเจ้านายเขาซึ่งเป็นคนที่ใครๆรู้กันดีว่าเกรี้ยวกราดอารมณ์ร้าย
เขานั่งลงคุยกับเจ้านาย บอกเจ้านายว่า ลึกๆ เขายกย่องชื่นชมเจ้านายว่าเป็นผู้มีหัวคิดสร้างสรรค์ระดับอัจฉริยะ
ดูเหมือนเจ้านายเขาจะประหลาดใจอย่างยิ่ง
เขาถามเจ้านายว่าจะยินดีรับริบบิ้นสีฟ้าเป็นของขวัญแสดงความชื่นชม และอนุญาตให้เขาติดริบบิ้นให้ได้หรือไม่
เจ้านายผู้ประหลาดใจตอบว่า ได้ เขาจึงติดริบบิ้นสีฟ้าเส้นนั้นบนปกเสื้อนอกบริเวณเหนือหัวใจ
เมื่อเขามอบริบบิ้นเส้นสุดท้ายแก่เจ้านาย เขาบอกเจ้านายว่า ช่วยอะไรผมสักอย่างได้ไหมครับ
ผมอยากให้เจ้านายช่วยส่งต่อริบบิ้น เส้นสุดท้ายนี่ด้วยการยกย่องชื่นชมใครสักคน
พ่อหนุ่มที่ให้ริบบิ้นผมมาเป็นคนแรกกำลังทำงานกลุ่มของชั้นอยู่
เขาอยากให้ช่วยกระจายการยกย่องชื่นชมนี้ให้เผยแพร่ในวงกว้างออกไปแล้วดูว่าการทำแบบนี้ส่งผลต่อใครๆ ยังไงบ้าง

ค่ำวันนั้น ชายผู้เป็นเจ้านายกลับบ้านไปหาลูกชายวัยรุ่นอายุสิบสี่
เขาเรียกลูกชายให้นั่งลง แล้วกล่าวว่า
วันนี้เกิดเรื่องเหลือเชื่อที่สุดกับพ่อตอนอยู่ห้องทำงานลูกน้องคนหนึ่งเข้ามาบอกว่าเขาชื่นชมพ่อแล้วให้ริบบิ้นเส้นหนึ่งเป็นการยกย่องว่าพ่อเป็นอัจริยะเรื่อง ความมีหัวคิดสร้างสรรค์
ลองนึกดูเขาคิดว่าพ่อมีหัวคิดสร้างสรรค์เข้าขั้นอัจฉริยะเชียวนะ แล้วเขาก็เอาริบบิ้นเส้นนี้ที่เขียนว่าฉันเป็นคนมีคุณค่าติดให้บนปกเสื้อนอกตรงหัวใจนี่แล้วยังให้ริบบิ้นพ่อมา
อีกเส้นให้พ่อมองหาใครสักคนที่จะยกย่องชื่นชมต่อ
ระหว่างที่พ่อขับรถกลับบ้าน ก็คิดว่าริบบิ้นเส้นนี้จะให้ใครดีแล้วพ่อก็นึกถึงแก
พ่ออยากชื่นชมแกนะ วันๆ พ่อทำงานยุ่งเหยิงมากพอกลับมาบ้านก็ไม่ค่อยได้ใส่ใจแกสักเท่าไร บางทียังอาละวาดอีก เรื่องแกเรียนได้เกรดไม่ดี เรื่องทำห้องนอนรก
แต่ยังไงไม่รู้สิ วันนี้พ่อกลับอยากนั่งลงตรงนี้กับแก อยากบอกว่าแกมีค่ากับพ่อมากแค่ไหน
นอกจากแม่แกแล้ว ก็มีแกนี่แหละที่เป็นคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตพ่อ แกเป็นเด็กที่ยอดเยี่ยมเลยแหละ แล้วพ่อก็รักแกนะ...

เด็กหนุ่มผู้ตื่นตะลึงเริ่มสะอื้น แล้วก็สะอื้น เขาไม่อาจหยุดร้องไห้ ร่างสั่นเทาไปทั้งตัว เขาเงยหน้ามองผู้เป็นพ่อแล้วกล่าวทั้งน้ำตา
'พ่อครับ เมื่อตอนเย็นผมอยู่บนห้อง นั่งเขียนจดหมายถึงพ่อกับแม่เพื่ออธิบายว่าทำไมผมถึงฆ่าตัวตาย
แล้วก็ขอให้พ่อยกโทษให้ผม ผมตั้งใจจะฆ่าตัวตายคืนนี้ตอนพ่อหลับ ผมคิดว่าพ่อไม่เคยแคร์ผมเลย จดหมายอยู่บนห้องครับ
แต่ผมคิดว่าผมคงไม่ต้องการมันแล้วล่ะ'
พ่อของเด็กหนุ่มเดินขึ้นไปบนห้องพบจดหมายข้อความสะเทือนใจ บรรยายถึงความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน จดหมายฉบับนั้นจ่าหน้าถึงพ่อกับแม่

ชายผู้เป็นเจ้านายกลับไปที่ทำงานอย่างเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
เขาเลิกเป็นคนขี้โมโหแต่จะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้พนักงานใต้บังคับบัญชารู้ว่าพวกเขามีค่าอย่างไรบ้าง
ส่วนชายผู้เป็นนักบริหารระดับรองก็ช่วยให้คำแนะนำเด็กหนุ่มอื่นๆ
ต่อมาอีกหลายคนเรื่องการวางแผนอาชีพในอนาคต แล้วก็ไม่เคยลืมบอกเด็กเหล่านั้นว่าแต่ละคนมีคุณค่าต่อชีวิตเขาอย่างไรบ้าง หนึ่งในนั้นก็คือเด็กหนุ่มลูกชายเจ้านายเขา

ส่วนเด็กหนุ่มกับเพื่อนร่วมชั้นก็ได้เรียนรู้บทเรียนที่มีค่าเรื่องหนึ่งนั่นคือ
เราต่างเป็นคนที่มีคุณค่าด้วยกันทั้งนั้น



คุณไม่จำเป็นต้องส่งเมล์ฉบับนี้ต่อให้ใครแม้แต่คนเดียว..
อย่าว่าแต่สองคนหรือสองร้อยคนเลย สำหรับฉัน(ผู้เขียนเรื่องนี้) คุณอาจจะลบเมล์ฉบับนี้ทิ้ง แล้วไปเปิดดูเมล์ฉบับต่อไป
แต่ถ้าคุณมีใครสักคนที่มีความหมายกับคุณมาก ฉันขอสนับสนุนให้คุณส่งข้อความนี้ไปให้เขาหรือเธอผู้นั้น เพื่อให้เขาได้รับรู้ความรู้สึกของคุณ
คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าการให้กำลังใจเล็กๆน้อยๆ มีคุณค่าแค่ไหนกับคนสักคน ส่งเรื่องนี้ไปยังคนทุกคนที่คุณเห็นว่ามีความหมายต่อคุณ มีความสำคัญต่อคุณ

หรืออาจส่งไปให้คนหนึ่ง..สอง..หรือสามคนที่มีความหมายต่อคุณมากที่สุด
หรือคุณอาจจะแค่ยิ้มที่ได้รู้ว่ามีใครบางคนคิดว่าคุณเป็นคนสำคัญ
ไม่งั้น คุณก็คงไม่ได้รับเมล์ฉบับนี้แต่แรก
.........จำไว้นะ ฉันให้ริบบิ้นสีฟ้าแก่คุณแล้ว

Very good เคล็ดลับ 12 ข้อ จากแพทย์จีน - น่าจะมีประโยชน์ ++‏

Subject: FW: Very good เคล็ดลับ 12 ข้อ จากแพทย์จีน - น่าจะมีประโยชน์ ++




เคล็ดลับ 12 ข้อ
1. หวีผมบ่อยๆ: หวีผมเบาๆ บ่อยหน่อยช่วยให้ตาสว่าง และรากผมแข็งแรง (ใช้หวีซี่ห่างหน่อย แปรงเบาหน่อย เพื่อกันผมหลุด)
2. ถูใบหน้าบ่อยๆ: ล้างมือด้วยสบู่ หรือเจลแอลกอฮอล์ให้สะอาดก่อน หลังจากนั้นใช้ฝ่ามือ 2 ข้างถู หน้าเบาๆ บ่อยหน่อยเพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ใบหน้าเปล่งปลั่ง
3. เคลื่อนไหวดวงตาบ่อยๆ: ให้มองไกล-มองใกล้ มองข้างนอก-ข้างใน มองบน-มองล่าง หลีกเลี่ยงการมอง หรือจ้อง อะไรนานๆ โดยเฉพาะคนที่ทำงานคอมพิวเตอร์ควรพักสายตาด้วยการมองไกลอย่างน้อยทุกชั่วโมง
4. กระตุ้นใบหูบ่อยๆ: การดึงหู ดีดหู บีบหู ถูใบหูเบาๆ บ่อยหน่อย ช่วยบำรุงตานเถียน(จุดฝังเข็ม) ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เก็บพลังงานของร่างกาย (ใต้สะดือ) สัมพันธ์กับไต ซึ่งเปิดทวารที่หู ทำให้แรงดี ป้องกันเสียงดังในหู หูตึง และอาการเวียนหัว
5. ขบฟันบ่อยๆ: ขบฟันเบาๆ บ่อยหน่อย(ไม่ใช่ขบแรงดังกรอดๆ) ช่วยให้ฟันแข็งแรง และกระตุ้นการหลั่งน้ำย่อย
6. ใช้ลิ้นดุนเพดานปากบ่อยๆ: การใช้ปลายลิ้น กระตุ้นเพดานบนด้านหน้าเป็นการกระตุ้นจุดฝังเข็ม เพื่อเชื่อมพลัง ลมปราณตู๋และเยิ่น ซึ่งเป็นเส้นควบคุมแนวกลางลำตัวส่วนหลัง และส่วนหน้าร่างกาย ทำให้เกิดการกระตุ้นการหลั่งสารน้ำ และน้ำลาย
7. กลืนน้ำลายบ่อยๆ: การกลืนน้ำลายบ่อยๆ ช่วยกระตุ้นพลังบริเวณคอหอย และกระตุ้นการย่อยอาหาร

8. หมั่นขับของเสีย: หมั่นขับของเสีย โดยเฉพาะดื่มน้ำให้พอ กินอาหารที่มีเส้นใย ออกกำลัง เพื่อ ป้องกันท้องผูก เมื่อปวดปัสสาวะหรืออุจจาระให้ถ่ายทันที อย่ารอโดยไม่จำเป็น การทิ้งของเสียไว้ในร่างกายนานเกินทำให้เกิดสารพิษ และการดูดซึมสารพิษ ( กลับเข้าสู่ร่างกาย) มากขึ้น ทำให้ป่วยง่าย
9. ถูหรือนวดท้องบ่อยๆ: ให้นวดท้องตามเข็มนาฬิกาเบาๆ เพื่อช่วยให้การขับถ่ายของเสียดีขึ้น
10. ขมิบก้นบ่อยๆ: การขมิบก้นบ่อยๆ ช่วยป้องกันริดสีดวงทวาร และท้องผูก
11. เคลื่อนไหวทุกข้อ: การอยู่นิ่งๆ หรืออยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานเกินไป ทำให้เกิดโรคได้ง่าย ควรเคลื่อน ไหวข้อต่างๆ ให้ครบทุกข้อทุกวัน ฝึกฝนการใช้กล้ามเนื้อและข้อให้สมดุล เช่น การฝึกชี่กง ไท ้เก้ก โยคะ ฯลฯ
12. ถูผิวหนังบ่อยๆ: ใช้ฝ่ามือถูตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย คล้ายกับการถูตัวเวลาอาบน้ำ มีส่วนช่วยให้ เลือดและพลังไหลเวียนดี
เรียนเชิญท่านผู้อ่านลองนำไปปฏิบัติดู เพื่อสุขภาพ พลัง และลมปราณที่ดีไป นานๆ ครับ...

ท่านอาจารย์นายแพทย์ภาสกิจ(วิทวัส) วัณนาวิบูล อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแพทย์ แผนจีนแนะนำเคล็ดลับการดูแลสุขภาพ ตามศาสตร์แพทย์แผนจีนว่า อาหาร 10 อย่างที่ไม่ควรกินมากเกิน นำแนวคิดศาสตร์แพทย์แผนจีนมาวิเคราะห์โดย ใช้หลักแพทย์แผนปัจจุบันประกอบ...

อาหารที่ไม่ควรกินมากเกิน หรือบ่อยเกินได้แก่...
1. ไข่เยี่ยวม้า: ไข่เยี่ยวม้ามีตะกั่วค่อนข้างสูง ตะกั่วทำให้การดูดซึมแคลเซียมน้อยลงกินบ่อยๆ จะเสี่ยงโรคกระดูกโปร่งบาง และอาจได้รับพิษตะกั่วเช่น สมองเสื่อม เป็นหมัน ฯลฯ

2. ปาท่องโก๋: กระบวนการทำปาท่องโก๋มีการใช้สารส้ม ซึ่งมีตะกั่วปน เปื้อน ตะกั่วทำให้ไตทำงานหนักในการขับสารนี้ออกไป นอกจากนั้นยังทำให้คอแห้ง เจ็บคอง่าย โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคร้อนในได้ง่าย

3. เนื้อย่าง: กระบวนการรมไฟ ย่างไฟทำให้เกิดสารเบนโซไพรีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง
4. ผักดอง: ผักดอง และของหมักเกลือทำให้ร่างกายได้รับเกลือโซเดียมสูง ถ้ากินบ่อยเกิน หรือมากเกินจะทำให้หัวใจทำงานหนัก เกิดความดันเลือดสูงและโรคหัวใจได้ง่าย นอกจากนั้นกระบวนการหมักดองยังทำให้เกิดสารแอมโมเนียมไนไตรด์ ซึ่งเป็นสาร ก่อมะเร็ง
5. ตับหมู: ตับหมูมีโคเลสเตอรอลสูง การกินตับหมูบ่อยเกิน หรือมากเกินทำให้เสี่ยงต่อโรคหัวใจ เส้นเลือดสมอง (อัมพฤกษ์-อัมพาต) และโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น
6. ผักขม ปวยเล้ง: ผักขมและปวยเล้งมีสารอาหารสูง ทว่า... มีกรดออกซาเลตมาก ทำให้เกิดการขับสังกะสีและแคลเซียมออกจากร่างกายมาก การกินบ่อยเกิน หรือมากเกินอาจทำให้เกิดภาวะขาดแคลเซียม หรือสังกะสีได้
7. บะหมี่สำเร็จรูป: บะหมี่สำเร็จรูปมีสารกัดบูด สารแต่งรสค่อนข้างสูง และมีคุณค่าทางอาหารต่ำ การกินบะหมี่สำเร็จรูปมากเกิน หรือบ่อยเกินอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคขาดอาหารและการสะสมสารพิษได้

จาก : fwd mail

ทฤษฏีวงกลม‏




ท่าแดนซ์เซ็กซี่มากๆๆๆๆๆมากถ้าไม่เปิดดูจะเสียใจน

โทรศัพท์แค้น.......‏



ผลของการอกตัญญู‏

Subject: Fwd: Fw: ผลของการอกตัญญู

ยุ้ย รจนา" เผยชีวิตบัดซบ จากนางแบบโลก ต้องมาเป็นสาวโรงงาน-กินข้าวกับเกลือ





ยุ้ย ในปัจจุบัน




ยุ้ย ในอดีตที่รุ่งเรือง



"ยุ้ย รจนา" เปิดหมดเปลือกถึงชีวิตตกอับ เคยเป็นนางแบบระดับโลก มีรายได้ปีละ 50 ล้าน แต่ชีวิตผกผันตกต่ำ เพราะติดยา ปัจจุบันต้องเร่ร่อนสมัครงานตามโรงงาน เผยไม่มีจะกิน ขนาดต้องกินข้าวกับเกลือ เปิดใจรู้สึกผิดที่เคยเอาขันตีแม่ แต่ตอนนี้สำนึกแล้ว สารภาพเอาน้ำล้างเท้าแม่มาอาบ และก้มลงกราบเท้าเพื่อล้างบาปที่เคยเป็นลูกอกตัญญู

เคยเป็นนางแบบไทยที่ไปโด่งดังในเวทีนางแบบระดับโลก มีรายได้ต่อปีสูงถึง 50 ล้านบาท แต่ "ยุ้ย รจนา เพชรกัณหา" กลับใช้ชีวิตผิดพลาด เอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการติดยาเสพติดจนติดงอมแงม สุดท้ายต้องโซซัดโซเซกลับมาเมืองไทย หนำซ้ำยังตกเป็นข่าวทำร้ายร่างกายแม่บังเกิดเกล้า เพราะเมาขาดสติ โดนจับขังคุกหมดอนาคต หมดทางทำมาหากิน เพราะสังคมไทยรับการกระทำที่เป็นลูกอกตัญญูไม่ได้ จนเจ้าตัวต้องหันหลังให้วงการนางแบบ เร่ร่อนรับจ้างหาเช้ากินค่ำไปวันๆ

ชีวิตที่ผ่านมาต้องปากกัดตีนถีบ รับจ้างมาหมดทุกอย่าง ทั้งงานโรงงาน ขายรองเท้าตามตลาดนัด และเป็นเด็กเสิร์ฟ สุดท้ายเหมือนเป็นกงกรรมกงเกวียน ต้องมาถูกสามีคนไทยซ้อมปางตายจนฟันหักหมดสภาพ

วันนี้เจ้าตัวยินดีจะเปลือยถึงชีวิตตกอับอย่างหมดเปลือก ว่า 8 ปีที่เฉิดฉายบนเวทีนางแบบระดับโลก มีรายได้ปีละหลายสิบล้าน กับ 8 ปีที่ต้องดิ้นรนอย่างหมาจนตรอก กินข้าวกับเกลือ มันช่างต่างกันอย่างน่าหดหู่ใจ

จากสาวอีสานสู่อาชีพนางแบบระดับโลก ที่มีรายได้ต่อปีสูงถึง 50 ล้านบาท
"ยุ้ยเป็นคนอุบลฯ หลังจากที่ยุ้ยชนะการประกวดซูเปอร์โมเดล ออฟ ไทยแลนด์ ก็ย้ายไปอยู่เมืองนอก 8 ปี หลักๆ จะปักหลักที่ 4 ประเทศ คือ อังกฤษ นิวยอร์ก มิลาน ปารีส ซึ่งนอกจากจะเดินแบบแล้วก็มีถ่ายแบบลงหนังสือเล่มดังๆ หลายเล่มเหมือนกัน และก็ถ่ายแบบให้กับผลิตภัณฑ์ยี่ห้อดังๆ รายได้ตอนนั้นถือว่าหาง่ายมาก ต่อปีก็เยอะนะจะประมาณ 50 ล้านบาทได้ ช่วงที่ตัวเองมีเงินเยอะที่สุดคือช่วงอายุ 21-23"

"ช่วงนั้นใช้เงินแบบไม่รู้ตัวเลยค่ะ อยากได้อะไร จะเอาอะไรก็ต้องเอาต้องได้ทุกอย่าง อยากใช้เงินซื้อเสื้อผ้า ทานอาหาร ไปไนต์คลับ เลี้ยงเพื่อน ช่วงนั้นจะสปอร์ตมาก เพราะเงินหามาได้ง่าย เราก็จะใช้ๆๆ ส่วนมากจะหมดไปกับเที่ยว ดื่มเพราะว่าเราคิดว่าเงินหามาได้อย่างง่ายดาย แล้วก็ได้มาเยอะ เราต้องได้อีก ไม่มีทางที่จะหมด เราต้องได้มาเรื่อยๆ ยุ้ยคิดอย่างนี้ คือคล้ายๆ ว่าใจแตกด้วย"

"ชีวิตเริ่มแกว่งตอนที่ยุ้ยติดยา ยุ้ยไปเมืองนอกตอน 18 ได้ลองครั้งแรกก็ช่วงอายุ 20 ตอนแรกเพื่อนแนะนำก็อยากลองก่อน ยังไม่ติด พอหนักๆ เข้าพอมีรายได้เพิ่มขึ้นๆ นึกสนุกก็เลยเทคมันทุกวัน แล้วหลังจากนั้นก็ติดมาเลย ติดหนักๆ ก็ตอนอายุ 24-25 ยุ้ยติดโคเคนอย่างเดียว แต่เคยใช้เห็ดเหมือนกัน มันเป็นยาเสพติดชนิดหนึ่งใช้กิน พอกินแล้วก็ทำให้ประสาทหลอนค่ะ"

"เสพเข้าไปมันทำให้เรามีความกระตือรือร้น มีความสนุกสนาน ตื่นเต้น มองอะไรก็ดูสวยงามไปหมดค่ะ คึกคัก ครึกครื้น ทำให้เราดูมีชีวิตชีวา ปกติคนเราจะเรียบๆ ธรรมดาไม่มีอะไร พอเทคเข้าไปก็รู้สึกน่าตื่นเต้น พอหนักเข้าก็เทคยาจนถึงเช้า ไม่ไปทำงานบ้าง อย่างมีงานตอนเช้า ยุ้ยเทคไม่ได้หลับได้นอนไปทำงานทั้งๆ ที่เมายา งานก็เสีย ทีมงานก็เลยไม่โอเคกับยุ้ย ทางเอเยนซีก็เลยบอกให้ยุ้ยกลับเมืองไทย เพราะว่ายุ้ยเบี้ยวงานบ่อย"

แฉวงการนางแบบเมืองนอกอัปยาเป็นแฟชั่น บอกซื้อขายกันได้ง่ายดายเหมือนของถูกกฎหมาย
"ยุ้ยแน่ใจว่าวงการนางแบบมีเรื่องแบบ (ยาเสพติด) นี้ค่ะ เพราะตอนเป็นนางแบบหลักๆ ยุ้ยจะทำงานอยู่ 4 ประเทศ คือ อังกฤษ นิวยอร์ก มิลาน ปารีส ซึ่งเป็นแหล่งของวงการแฟชั่นชั้นนำที่ดีที่สุดในโลก เพราะฉะนั้นมีแต่คนระดับโลกเท่านั้นที่จะมาอยู่ และยุ้ยก็เห็นกับตามาแล้วถึงเชื่อ ว่าประเทศอื่นก็น่าจะมีบ้างนะ อย่างนางแบบดังๆ นี่เขาแบ่งห้องน้ำกันคนละห้องเลยค่ะ แล้วก็สูดพร้อมกัน คือรู้กัน พอปิดประตูเข้าห้องน้ำปุ๊บ ก็เอาเลย ส่วนมากเขาใช้ผงขาว โคเคน ใส่ในกระดาษแล้วสูดใส่จมูก ปิดจมูกไว้ข้างหนึ่ง"

"มันเหมือนกับเป็นแฟชั่นไปแล้ว หาซื้อง่ายมาก เพราะจะมีคนส่งให้ แค่บอกกันว่าเอายานะ เขาก็จะมายืนตามจุดเลยคนซื้อจะรู้กัน คือ จริงๆ อันนี้เขาไม่ค่อยเปิดเผยกันนะคะที่เมืองนอก แต่ยุ้ยก็ไม่รู้ว่ายุ้ยทำถูกหรือเปล่าที่เอามาพูด แต่เท่าที่ยุ้ยรู้ที่เมืองนอกเหมือนกับเป็นแฟชั่นค่ะ ใครๆ ก็ใช้ทั้งนั้น และไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องผิด เพราะเขาใช้กันเป็นเรื่องปกติ ยกตัวอย่าง เคท มอส คือตอนแรกเขาอาจจะทำแต่ไม่มีใครรู้ แต่ตอนหลังมันกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ซึ่งเขาทำก็ไม่มีใครว่า คิดว่าไม่มีใครสนใจ เขาก็เลยทำ ก็เลยเป็นข่าว"

"ถามว่าเพราะทำให้ผอมหรือเปล่า ก็มีส่วนค่ะ ใช้ยาแล้วผอมจริงค่ะ แต่ขอบตาจะดำ โทรม แก้มตอบ จะแห้ง ไม่มีพุง เพราะการเทคยาจะทำให้เราอิ่ม เราจะไม่หิวแล้ว ดีกับรูปร่างแต่เสียกับงาน อย่างเขานัดทำงานเช้า แล้วยุ้ยไปปาร์ตี้กลับถึงบ้านเช้า แล้วได้รับข้อความว่ามีงานตอน 7 โมง เราก็ไปที่ทำงานเลย ไม่ได้นอน ก็เลยโทรมเป็นผีตายซาก แล้วตอนไปทำงานเขาจัดเตรียมอะไรไว้เรียบร้อยแล้ว ออร์แกไนซ์อะไรไว้ทุกอย่างแล้ว พอไปถึงครึ่งทางยุ้ยไม่อยากไปก็เลยไม่ไปดีกว่า ก็กลับซะเฉยๆ อย่างนั้น ก็เลยเสียงาน บางทีสายทีมงานต้องรอ 3-4 ชั่วโมง"

"มันมีผลทำให้ความจำไม่ค่อยดี ขี้หลงขี้ลืม เพราะว่าเทคเยอะ จนตอนนี้เป็นโรคพ่วงมา คือ ตอนนี้เป็นเหมือนสมองมันกลวง แล้วยุ้ยเป็นไบโพลาร์ด้วย คือ สารในสมองหลั่งไม่เท่ากัน ผลมาจากที่ยุ้ยเทคยาเยอะ ปัจจุบันนี้ยุ้ยก็ยังเป็นอยู่ ตอนนี้ยุ้ยต้องทานยาเป็นประจำทุกวัน ต้องไปหาหมอ 6 เดือนต่อ 1 ครั้ง ต้องไปเอายาทุกเดือน และอยู่ในความดูแลของหมออย่างใกล้ชิด"

"ตอนนี้ไม่อยากยาแล้วค่ะ ไม่เอาแล้วเพราะว่ามันหนักมาก ยุ้ยใช้เวลานานมากกว่าจะฟื้นฟูมาได้ขนาดนี้ นานมากเลยค่ะ ช่วงนั้นมันแย่มากเลย อาการตอนนี้ยุ้ยดีขึ้นมาแล้ว 90 เปอร์เซ็นต์จากที่เป็นศูนย์ ตอนนั้นลิ้นแข็ง พูดไม่ได้ ความจำก็เบลอๆ เหมือนเด็ก 3 ขวบ เป็นขนาดนั้นเลยนะคะ หนักสุดคือพูดไม่ได้เลย เบลอๆ เหมือนคนเอ๋อ"

เหมือนเป็นกงกรรมกงเกวียน อดีตเคยเอาขันตีแม่ ทำตัวเป็นลูกอกตัญญู วันนี้ต้องมาถูกสามีซ้อมปางตาย
"คือ ยุ้ยไม่ได้ตีแม่ ณ ตอนนั้น แม่ก็ดื่ม ยุ้ยก็ดื่ม แล้วแม่มาตามยุ้ย แม่เขาจะเข้ามาตียุ้ยก่อน แต่ยุ้ยต้องป้องกันตัวโดยการปัดออก แล้วแม่ก็ไปสะดุดตอล้ม แล้วเขาก็คิดว่ายุ้ยตีเขาเพราะเขาเมา ทั้งๆ ที่ความคิดของยุ้ย ยุ้ยจะไปตีแม่ทำไม เรามีแม่คนเดียว แล้วยุ้ยพูดไม่ได้ เพราะถ้ายุ้ยพูดไปก็เหมือนกับว่าทำให้แม่เราโกรธ ดูเหมือนว่าแม่โกหกคน ถ้ายุ้ยแก้ตัวเขาก็อาจคิดว่ายุ้ยพยายามแก้ตัว แต่ไม่ใช่ ถ้ายุ้ยพูดความจริงแม่ก็ต้องโกรธยุ้ยอีก ที่ผ่านมาคนเข้าใจผิด เพราะยุ้ยปล่อยไปตามข่าว ไม่แก้ข่าว เพราะยุ้ยอยู่ในห้องขัง"

"ตอนนั้นที่แม่เขาจับยุ้ยเข้าห้องขัง แล้วก็มีสื่อมวลชนมาสัมภาษณ์แม่ แล้วยุ้ยก็ไม่มีโอกาสคุยอะไรเลย เรื่องก็เลยตามเลย นักข่าวก็เอาไปเขียน คือ เขาก็เข้าใจผิด เพราะแม่ยุ้ยบอกว่า ยุ้ยตี แม่เขาก็ยกข้อศอก แก้ม ที่เป็นแผลโชว์ให้ดูแต่ที่จริงคือเขาล้ม เพราะคนล้มก็ต้องโดนพื้นเป็นธรรมดา แต่ที่จริงยุ้ยแค่ปัดไป เพราะแม่จะมาทำร้ายยุ้ย ยุ้ยก็แค่ป้องกันตัวเอง สาบานว่าไม่ได้ทำร้ายแม่ แต่เพราะว่ายุ้ยกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกเหมือนกัน"

"แต่ก็รู้ว่าแม่มีเรื่องไม่พอใจยุ้ยอยู่ เขาฝังใจเจ็บ คือก่อนหน้านี้ตอนที่ติดยายุ้ยเคยทำร้ายแม่จริง เพราะแม่ขังยุ้ยไว้ในห้องน้ำแล้วเอาขันตีแม่จริง ฤทธิ์ยาทำให้ไม่รู้เรื่อง โอเคอันนั้นยุ้ยยอมรับว่าใช่ แต่เรื่องที่โดนจับเข้าคุกเนี่ย ยุ้ยไม่ได้ตี แม่ต่างหาก ชาวบ้านเขาก็เห็น คนแถวนั้นก็รู้กันหมด ว่ายุ้ยไม่ได้ตี เสร็จแล้วเรื่องมันก็เลยตามเลยมา เพราะยุ้ยไม่แก้ข่าว ยังไงเขาก็แม่"

"ที่ชีวิตยุ้ยเป็นแบบนี้ ใจก็รู้ว่าคนต้องมองว่ามันเป็นกงกรรมกงเกวียนอย่างแน่นอน แต่ยุ้ยคิดว่ายุ้ยโชคร้ายมากกว่าที่มาเจอผู้ชายแบบนี้ ดวงยุ้ยไม่ดี คือยุ้ยมองคนผิด แล้วก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนก้าวร้าว ขอย้ำว่าเป็นความโชคร้ายของยุ้ยมากกว่า แล้วยุ้ยคิดว่าต่อไปจะไม่มีเหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นกับยุ้ยอีกแล้ว คือ ครั้งนี้ครั้งเดียว"

"ตอนคบกันแม่ก็ไม่เห็นด้วยเพราะว่าเหมือนกับว่าเขาไม่ค่อยถูกชะตากับผู้ชายคนนี้ เขาก็เลยไม่ให้ยุ้ยคบ แต่เราก็ไม่ฟังไปอยู่ด้วยกันประมาณหนึ่งปี ที่ผ่านมายอมรับว่าเขาก็เคยตบยุ้ยเวลาไม่พอใจ แต่ไม่เคยรุนแรงขนาดนี้ เขาขี้หึงแต่ยุ้ยไม่เคยนอกใจนะ แต่เขาเหมือนโรคจิต มีครั้งนี้ที่เขากระทืบตามตัว ตัวนี่ช้ำเป็นจ้ำๆ เขาชกหน้ายุ้ยประมาณ 10 หมัดได้ เขาดึงหัวยุ้ยไว้แล้วก็จับชกๆๆ คือ เขาดึงหัวเราไว้แรงมาก แล้วจับไหล่เราเหวี่ยง และผลักตกบันได หน้านี่ก็บวมปิดเลย ฟันก็หักเลือดออกมาเต็มปาก คนที่รู้จักยุ้ยเขาเห็นเขายังเวทนาน้ำตาไหลเลย"
ทำมาหากินไม่ขึ้นตกอับสุดขีด ต้องปากกัดตีนถีบรับจ้างหาเลี้ยงปากท้องไปวันๆ สำนึกผิดขอไถ่บาปด้วยการเอาน้ำล้างเท้าแม่มาอาบ พร้อมกราบขอขมาสาบานจะไม่เป็นลูกอกตัญญูอีก
"ยุ้ยไม่ใช่คนเลือกงานนะ 8 ปีที่ผ่านมาทำได้หมด เคยไปทำงานโรงงาน ไปขายชา ขายรองเท้าตามตลาดนัด เป็นเด็กเสิร์ฟก็เป็นมาแล้ว ยุ้ยได้ภาษาก็จริงแต่วุฒิการศึกษาของยุ้ยไม่ได้ เพราะจบแค่ ป.6 อย่างถ้าจะไปสมัครงานโรงแรม วุฒิก็ไม่ถึง ม.6 จะไปสมัครงานที่เงินเดือนดีหน่อยเขาก็ต้องเอาวุฒิ ซึ่งวุฒิของยุ้ยไม่ได้ เพราะฉะนั้นมีอย่างเดียวคือต้องทำงานโรงงาน"

"แต่เงินเดือนน้อย เดือนละ 5,000-6,000 อย่างสมมติยุ้ยใช้วันละ 200 บาท กินข้าว 3 มื้อ ตีว่ามื้อละ 30 บาท 3 มื้อก็ 90 บาทแล้ว แล้วค่ารถ ถ้ารีบก็ต้องนั่นรถไฟฟ้าอีก 40 บาทแล้วบางทีเราอยากกินอย่างอื่นก็หมดแล้วค่ะ เดือนนึงก็หมดแล้วบางทีไม่พอใช้ สุดท้ายก็เลยกลับมาช่วยแม่ทำร้านเสริมสวยดีกว่า อย่างน้อยไม่ต้องเสียค่ารถ ถึงจะเป็นร้านเล็กๆ ได้เงินหลักสิบหลักร้อย แต่เราก็ประหยัดไปได้ ช่วงที่แย่สุดๆ ไม่มีเงินเลยยุ้ยต้องกินข้าวกับปลาร้าถ้วยเก่า ซ้ำๆ เป็นอาทิตย์ๆ บางทีก็กินข้าวกับเกลือ มันลำบากมาก"
"ที่ชีวิตเป็นแบบนี้ยุ้ยไม่โทษใครหรอกค่ะ ยุ้ยคิดว่าเป็นเพราะเราทำตัวเอง คือ ถ้าเกิดมีสติก็คงไม่พลาดแบบนี้ คือยุ้ยติดนิสัยอิสระมาเยอะ ถ้าย้อนเวลาได้ยุ้ยอยากแก้ไขเรื่องยาเสพติดนี่แหละ ถ้าเราใจแข็งไม่อยากลอง ชีวิตก็คงไม่เป็นแบบนี้ เคยคิดสั้นทำร้ายตัวเองหลายครั้ง มีครั้งนึงกระโดดบ้านจากชั้น 2 ลงมา แต่โชคดีไม่เป็นอะไรมาก"

"รู้สึกเสียใจกับการกระทำที่ผ่านมามากๆ รู้ว่าตัวเองทำหน้าที่ลูกไม่ดีพอ เคยกราบขอโทษแม่ เอาน้ำล้างเท้าแม่มาอาบ อยากให้แม่รับการขอโทษจากเรา ให้แม่รับว่าไม่โกรธไม่ติดใจอะไรกับเรา ที่เราเคยทำร้ายเขาเคยติดยาทำให้เขาทุกข์ใจ อยากทำให้รู้ว่ายุ้ยสำนึกแล้วจริงๆ มองหน้าแม่เขาก็เอามือลูบหัว แล้วน้ำตาไหลเลย แต่ยุ้ยไม่ร้องนะ เพียงแต่บอกว่า หนูขอโทษนะแม่นะ อภัยให้ลูกด้วยนะ ความรู้สึกมันบอกไม่ถูก รู้แต่ว่าเราตั้งใจทำให้แม่นะ"

"ความเป็น รสนา เพชรกัณหา วันก่อนกับวันนี้มันต่างกันมาก รสนาในวันนี้ตกต่ำ คือ มันต่างกันเยอะเลยค่ะ แต่ตรงนี้เป็นที่คนมองนะคะ เพราะถึงยังไงยุ้ยก็ยังภูมิใจในตัวเอง เพราะเรารู้ว่าต้องเหนื่อยขนาดไหนกว่าจะมาถึงขนาดนี้ ชีวิตยุ้ยไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทุกวันนี้ยุ้ยมีความสุข แล้วก็ภูมิใจกับตรงนี้มากๆ อย่างที่เขาพูดเลย สูงสุดคืนสู่สามัญ (ยิ้ม) แต่คิดว่าจะผ่านมันไปได้นะ เรายังมีมือมีเท้าอยู่ เราไม่ได้อยู่เฉยๆ แค่อย่าไปท้อถอย"

"ต้องขอบคุณแม่คนเดียวเลย ที่ทำให้เราผ่านช่วงชีวิตที่เลวร้ายนั้นมาได้ เพราะแม่เป็นหลักให้เรา ถ้าไม่มีแม่เราก็ไม่มีหลัก เคว้งคว้างไม่รู้จะไปทางไหน ความหวังตอนนี้ถ้าเป็นไปได้อยากคืนกลับมาทำงานในวงการ จะเป็นอะไรก็ได้ ใจจริงอยากเป็นนางแบบอีกครั้ง ไม่รู้จะมีใครให้โอกาสหรือเปล่า ในอนาคตยุ้ยอยากจะมีบ้านให้แม่สักหลังหนึ่ง อยากจะมีงานประจำจริงๆ ทำ อยากจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ อยากจะมีครอบครัวที่ดี อยากจะมีคนที่รักเราและเรารักเขา อยากมีความสุขให้มากที่สุด"

ที่มา ผู้จัดการ

HOW TO GET A CORK OUT OF A BOTTLE‏

ปลดปล่อยกรรม - สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี‏

ชาติที่แล้วเราไปผูกมัดใครไว้บ้างหรือปล่าว
หากมีผู้ใดเคยสร้างเวรสร้างกรรมกับข้าพเจ้า ไม่ว่าจะชาติใดภพใดก็ตาม ข้าพเจ้ายินดีอโหสิกรรมให้ ขอถอนความพยาบาท ความอาฆาต และคำสาปแช่งในทุกชาติทุกภพ ขอให้ข้าพเจ้าพ้นจากคำสาปแช่งของปวงชนของเจ้ากรรมนายเวร'
คนเราเกิดมาหลายภพหลายชาติ แต่ละคนมีเจ้ากรรมนายเวรที่แตกต่างกัน การสวดขอขมาเพื่อลดและปลดหนี้กรรมให้น้อยลง
( คาถา บทนี้ เป็นคาถาที่ใช้สำหรับขอขมาพระรัตนตรัย และใช้เพื่อถอนคำสาปแช่ง ในอดีตชาติ ที่ติดตามมา เพราะเราไม่รู้ว่าเคยได้ ล่วงเกินปรามาสใครไปบ้างก็ไม่รู้ ไม่เว้นแม้กระทั้ง
พระพุทธองค์ พระอรหันต์ พ่อ แม่ เป็นต้น เพราะบางคนทำการใดๆ มักมีอุปสรรค หรือมักมีคนไม่ชอบหน้า
ขอผู้ได้รับใบคำขอขมาและอธิษฐานจิตนี้ กรุณาส่งให้ผู้อื่นต่อเพื่อสร้างผลบุญบารมีต่อไป

สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังษี
ตั้งนะโม ๓ จบ ชินะปัญชะระ ปะริตตังมัง รักขะตุ สัพพะทา หรือ วิญญาณสัมปันโน อิติปิโส ภะคะวา นะโมพุทธายะ ๙ จบ
(ขอพระอนันตชินเจ้าในบัญชรแวดวงกงล้อม พระโมรปริต รและพระขันธปริตร อรหันต์เจ้า จงคุ้มครองรักษาข้าพเจ้าให้พ้นจากภยันตรายสรรพสิ่งทั้งปวง ตลอดเวลาทุกเมื่อ)

กระดาษแผ่นนี้ส่งมาเพื่อให้ท่านโชคดี แผ่นแรกอยู่ที่ประเทศอังกฤษ
เมื่อได้รับแล้วให้ส่งต่อไปอีก 9 ฉบับ หลังจากนั้นคุณจะได้รับโชคภายใน 9 วัน นี่ไม่ใช่การหลอกลวงเพื่อสนุกสนาน คุณจะได้รับโชคดี คุณไม่ต้องส่ง! เงินเพื่อความเชื่อถือ คุณอย่าเก็บจดหมายฉบับนี้ไว้ จดหมายฉบับนี้ต้องส่งออกจากมือคุณภายใน 7 วัน หรือ 168 ชั่วโมง /

ดื่มน้ำเป็นหรือเปล่า‏

คนไทยส่วนใหญ่ทำผิดมากที่สุดคือ เรื่องของการดื่มน้ำนี่แหละ
ลองทำแบบทดสอบกันสักนิดก่อนอ่านต่อดีไหม
1. คุณมีความเชื่อที่ว่าน้ำยิ่งดื่มเยอะยิ่งดีหรือไม่
2. คุณดื่มน้ำวันละกี่แก้ว
3. น้ำที่ดื่มเป็นน้ำเย็น, น้ำธรรมดา หรือว่าน้ำอุ่น
4. ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนเป็นพิเศษไหม เช่น ดื่มตอนเช้า ดื่มระหว่างทานข้าว
ดื่มก่อนนอน เป็นต้น
5. ปกติดื่มอะไร เช่น น้ำเปล่า น้ำอัดลม ชา กาแฟ เป็นต้น เราเฉลยกันไปทีละข้อๆพร้อมอธิบายละกันครับ พร้อมที่จะรู้ความผิดของตัวเองหรือยัง
ข้อหนึ่ง
นั้น เป็นความเชื่อที่ผิดครับ ทุกอย่างต่างมีคุณและมีโทษ ต้องหาจุดสมดุลของมัน
น้ำดื่มมากเกินไปกลับไม่ดีเสียอีก เดี๋ยวผมจะมีสูตรให้คำนวณว่าวันหนึ่งเพื่อนๆควรดื่มน้ำแค่ไหน
ข้อสอง
คิดว่าทุกคนคงเคยเรียนกันมาอยู่แล้วว่าคนเราวันหนึ่งควรทานน้ำวันละ 8-10 แก้ว
ว่าแต่ทำได้อย่างที่เรียนมาหรือเปล่า ผมจะอธิบายให้ฟังว่า
น้ำในร่างกายของเรามีที่มาที่ไปอย่างไรก่อน
น้ำที่เข้าสู่ร่างกายเรามาจากน้ำและอาหารที่ทานเข้าไปเป็นหลัก
ส่วนน้ำจะออกจากร่างกายทางปัสสาวะ อุจจาระ เหงื่อ และทางลมหายใจ
แต่ป้สสาวะเป็นเส้นทางหลัก คนเราจำเป็นต้องปัสสาวะออกจากร่างกาย
อย่างน้อย 500 มิลลิลิตรต่อวัน ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถ???ับของเสียออกจากร่างกายได้หมด
นอกจากนี้ อีกสามทางที่เหลือโดยเฉลี่ยก็จำเป็นต้องใช้น้ำอีกราว
1000 มิลลิลิตร หรือ 1 ลิตร ต่อวัน
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว คนเราจึงต้องดื่มน้ำเพื่อชดเชยส่วนที่ออกจากร่างกายทุกวันราว
1500 มล. หรือ 7-8 แก้ว
แก้วละ 200 มล. แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเลขนี้ก็ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคน
ผมเลยมีสูตรมาให้คิดกันคร่าวๆว่าวันหนึ่งเราต้องทานน้ำปริมาณเท่าไรจึงจะเพียงพอ
ต่อความต้องการของร่างกาย

สูตรคือ

น้ำหนักตัว(กก.) x 2.2 x 30) / 2 หน่วยที่ได้ออกมาเป็นมิลลิลิตร
ครับ เช่น หนัก 60 กก. เอาเข้าแทนค่าก็จะได้ควรดื่มน้ำ
(60 x 2.2 x 30) หาร 2 = 1980 มล.
หรือประมาณ 10 แก้วต่อวัน ถ้าเราดื่มน้ำน้อยกว่านี้ เลือดซึ่ง 90% ทำมาจากน้ำก็จะเดินไม่สะดวก ร่างกายก็จะทั้งขับของเสียยาก ขณะเดียวกันสารอาหารในเลือดก็ส่งไปถึงร่างกายช้า ทางแพทย์จีนถ้าเกิดเลือดลมเดินไม่สะดวกนี่เป็นบ่อเกิดสารพัดโรคเลย
บางคนบอกว่าประจำเดือนมาน้อยหรือไม่มา มาเป็นลิ่มเลือด สีเข้ม หนืด ปวดประจำเดือน
ก็แหงละครับ น้ำไม่กินจะเอาที่ไหนไปสร้างเลือดละ
แต่ถ้าทานน้ำมากกว่านี้ก็เป็นผลเสียต่อร่างกายอีกเหมือนกัน ทำอะไรก็ต้องพอดีๆ
ข้อสาม
อย่างที่เคยบอกไปตั้งแต่อาการขี้หนาวนะครับว่าน้ำเย็นเป็นของต้องห้ามสำหรับร่างกาย กระเพาะเมื่อเจอของเย็นเข้าไปการทำงานจะด้อยลงทันที เกิดเป็นอาหารไม่ย่อย อาหารบูดเน่า หมักหมม อยู่ในกระเพาะและลำไส้
ลำไส้ก็ดูดซึมของเสียจากกากอาหารพวกนี้กลับเข้าสู่เส้นเลือดต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะถ่ายอุจจาระออกจากร่างกายของเรา
เพราะฉะนั้นเราไม่ควรจะทานของเย็นๆครับ ทานน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นก็ได้
แต่ก่อนผมไม่รู้จุดนี้ก็ทานกันไป โดยเฉพาะไทยเป็นเมืองร้อน ทุกที่ต้องเสริฟน้ำเย็น เสริฟน้ำแข็งกันเป็นกระติก ๆ กินกันจนเป็นเรื่องธรรมชาติ ก่อนหน้านี้ไม่รู้ก็เฉย ๆ
แต่พอตอนนี้ เห็นแล้วกลัวไปเลย ที่บ้านตอนนี้ไม่ทานน้ำแข็งกันแล้ว

ข้อสี่
ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนกัน ที่บอกให้ดื่มวันละ 8-10 แก้ว
เนี่ยจะแบ่งกินช่วงไหนระหว่างวันบ้างละ ไหนใครที่ชอบทานข้าวไปจิบน้ำไปบ้างประมาณว่ากินข้าวเสร็จ หมดน้ำไปสองแก้ว ยกมือขึ้น
ข้อนี้ผมจัดเป็นหายนะอย่างใหญ่หลวงที่สุดเลย เป็นการกินน้ำที่ผิดที่สุด
คนเรามักทำอะไรเพลินเสียจนลืมทานน้ำ พอถึงเวลาว่างซึ่งมักจะเป็นเวลาทานข้าว
เขาบอกว่าให้ทานน้ำเยอะก็ทานรวดเดียวไปเลย ผิด ผิด ผิด
ผิดแบบไม่น่าให้อภัยเลย เพราะช่วงเวลาที่ทานข้าวนั้น
ร่างกายจำเป็นต้องอาศัยน้ำย่อยในการย่อยอาหาร
เมื่อคุณกินน้ำเข้าไปเยอะๆแล้ว น้ำย่อยก็จะเจือจาง ก็เข้าสู่ระบบเดียวกับการกินของเย็น
คืออาหารไม่ย่อยหมักหมม พิษถูกดูดเข้าเส้นเลือด
เพราะฉะนั้นที่คุณควรทำคือ ตอนเช้าตื่นมาดื่มน้ำก่อนเลย
2-5 แก้ว เพื่อเป็นการขับพิษออกจากร่างกายทางอุจจาระ ปัสสาวะที่ให้ดื่มทันทีเพื่อให้มีระยะเวลาห่างจากอาหารเช้าพอสมควรก่อนอาหาร 15 นาที ระหว่างทานอาหารและหลังอาหาร 40 นาที ทานน้ำได้ไม่เกินครึ่งแก้ว
ในที่นี้หมายรวมถึงซุป น้ำแกง และของเหลวทุกประเภทนะ
และอย่าดื่มน้ำครั้งละมากๆ ให้จิบครั้งละ 2-3 อึก แต่จิบถี่ๆ หาขวดน้ำ
แก้วน้ำมาวางไว้ข้างตัว จิบไปทั้งวันครับ
ถ้ากินน้ำครั้งละมาก ๆ ผลก็คือ ร่างกายยังไม่ทันได้ดูดซึม
ก็ไหลรวดเดียวปัสสาวะออกไปหมดแล้ว
อย่างนี้ดื่มน้ำมากแค่ไหนก็ยังหิวน้ำครับ เหมือนน้ำป่ามาครั้งเดียว
ทะลักล้นเขื่อนออกไปหมดแล้วจะเอาอะไรกักเก็บไว้ในเขื่อนละ
เหมือนทำยาก แต่จริง ๆ แล้วพอเริ่มทำมันก็ไม่ยากอะไร
ผมแต่ก่อนทานน้ำ 2-3 แก้วพร้อมทานข้าว ด้วยเหตุผลสารพัดที่เข้าใจผิด
เช่น ควรกินข้าวพออิ่มและทานน้ำเพื่อให้อิ่มจริง หรือกินล้างปากสักหน่อย
(กินกันเป็นแก้ว ล้างปากเนี่ยนะ)
หรือต้องสั่งชอคโกแลตปั่นใส่วิปครีมมากิน กินแล้วหวานมันเย็นอร่อยแต่ส่งผลเสียต่อกระเพาะโดยไม่รู้ตัว เบียร์ก็อีกตัวครับ สังสรรค์กันทีกินเข้าไปสิกี่ขวดว่ากันไป ทุกวันนี้เลิกครับได้ข้อดีอีกอย่างคือไม่รู้จะเอาเวลาที่ไหนไปดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เพราะมันควรกินแกล้มอาหารเลยได้เลิกเหล้าเลิกเบียร์กันไป
แต่ก่อนหลังทานข้าวเสร็จผมจะเรอตลอด ท้องอืดมาก ก็งง หรือว่าเรากินเยอะไป
แต่บางทีกินไม่เยอะก็เรอตลอด เสียบุคลิกมาก พอมารู้ตรงนี้ถึงได้ถึงบางอ้อ
กินน้ำเยอะอย่างนี้แล้วอาหารจะย่อยยังไงมันก็เลยเกิดลมเกิดแก๊สซิ
พอเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำใหม่ อาการเหล่านี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากนี้หลังอาหารยัง ไม่ควรทานผลไม้ล้างปากทันทีอีกด้วย
ครับ โดยเฉพาะผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็นทั้งหลายเช่น ส้ม แก้วมังกร สาลี่ แตงโม เป็นต้น
มีสองเหตุผล

หนึ่ง
เพราะว่าผลไม้จะย่อยเร็วกว่าอาหาร อาหารยังย่อยไม่เสร็จ
ผลไม้ก็ค้างเติ่งอยู่ในกระเพาะ ร่างกายก็ดูดซึมสารอาหารจากผลไม้เหล่านี้ไม่ได้
พอไปถึงลำไส้ถึงคิวที่มันจะได้ดูดซึมมันก็เน่าเสียไปหมดแล้ว
เพราะฉะนั้นถ้าจะทานผลไม้ควรทานก่อนหรือหลังอาหารสัก
1-2 ชม. ขณะท้องว่างเพื่อให้ร่างกายได้ดูดซึมวิตามิน
สารอาหารและไม่รบกวนระบบการย่อยอาหารด้วย
เหตุผลที่สอง
คือ น้ำย่อยในกระเพาะถือว่าเป็นธาตุไฟ ถ้าทานผลไม้ฤทธิ์เย็นเข้าไป
ก็จะส่งผลให้อาหารย่อยไม่ดี เกิดวงจรอุบาทว์ดังเช่นข้างบนอีกเหมือนกัน

มาถึงข้อสุดท้ายแล้ว
เป็นไงบ้างครับ คอตกรับผิดกันเป็นแถวเชียว ยังครับมารับรู้ความผิดของตัวเองกันในข้อนี้ต่อทานน้ำอะไรกันครับ บางคนชอบทานน้ำอัดลมมาก ด???่มทุกวัน
ไตก็ต้องทำงานกรองน้ำให้สะอาดหนักกว่าเดิม
เครื่องกรองน้ำยี่ห้อแอมเวย์สามารถกรองโค้กให้กลายเป็นน้ำเปล่าได้
แต่อายุการใช้งานไม่ถึงปีก็ต้องเปลี่ยนหัวกรอง
ทว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนไตได้ ถ้ายังอยากให้ไตอยู่คู่กับเรานานๆแล้ว
คุณคงรู้ว่าต้องทำอย่างไร อีกอย่างน้ำอัดลมน้ำเป็นน้ำที่ผ่านกรรมวิธีทางเคมี
ใส่น้ำตาลจำนวนมาก กินเข้าไปมีแต่ผลเสีย
ยิ่งอัดแก๊สอีก กินเข็าไปท็องก็อืด การย่อยอาหารก็ไม่ดี
เสียเงินไปทำร้ายร่างกายตัวเองเปล่าๆ
พวกชาพร้อมดื่มบรรจุขวดก็เหมือนกันไม่มีอะไรนอกจากน้ำตาลและคาเฟอีนปริมาณมากผสมน้ำนำมาขายแต่ถ้าเป็นชาจีนร้อนๆชงจากกาก็ควรจะเว้น
ระยะหลังอาหารสักครึ่ง ชม. เพราะชามีฤทธิ์เย็น ทำให้อาหารไม่ย่อย
รวมทั้งยังส่งผลต่อร่างกายในการดูดซึมธาตุเหล็กและโปรตีนอีกด้วย
กาแฟก็ไม่ควรทานอย่างที่เคยพูดไว้ บางคนเถียงข้างๆคูๆ
"กาแฟหอมนะหมอ"
หอม..ไม่เถียง แต่มันไม่ดี เดี๋ยวไอเดียบรรเจิดไม่เป็น หมอแล้ว ผลิตยาดมรสกาแฟดีกว่า ท่าจะรุ่งครบห้าข้อแล้ว โอย เหนื่อย เอนทรี่นี้ยาวเป็นบ้า แต่ก็จำเป็นต้องเขียน เพื่อประโยชน์สุขของมวลชน 555
ว่าไปนั่น ที่เขียนมาให้อ่านนี้เพราะหวังดีจริงๆ อยากให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างถูกต้องเพื่อจะได้ห่างจากโรคภัยไข้เจ็บ
อย่างที่บอก หมอไม่อยากรักษาคนไข้หรอก และหมอที่ดีที่สุดคือตัวคนไข้เอง
เพราะพวกผมไม่มีทางอยู่กับคุณได้ตลอด ???วามสำเร็จไม่ใช่ได้มาเพียงชั่วข้ามคืน
แต่ต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างยาวนานสุขภาพที่ดีไม่ใช่ว่าป่วยแล้วไปหาหมอ
ได้ยามาทานแล้วหาย แต่เป็นหน้าที่ของตัวคุณเองที่ต้องดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง
ขอให้พวกเราชนะโดยไม่จำเป็นต้องออกกระบวนท่า

ปล.
If you trust me ก็นำไปปฎิบัติตามนะ อีกอย่างความรู้ควรแบ่งปันกัน
คนไม่รู้เรื่องนี้ยังมีอีกมาก
ขอให้บอกต่อๆกันไป ขอบคุณ ...

วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2552

แถลงการณ์ความจริงที่ภูมิซรอล‏

Subject: Fw: แถลงการณ์ความจริงที่ภูมิซรอล


เรียนท่านที่เคารพ
วันนี้ผมได้จัดแถลงข่าวเรื่อง "ความจริงที่บ้านภูมิซรอล" ขึ้นเพื่อให้ความจริงนี้ได้ถูกเผยแพร่โดยมีวัตถุประสงค์แก้ไขข่าวที่เกิดขึ้นที่ทำให้สังคมเกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นการปะทะกัน และดูเหมือนว่าคนที่ไปร่วมงานนี้กลายเป็นจำเลยของสังคม กลายเป็นว่าคนไทยพวกเรากลายเป็นผู้ไปสร้างความแตกแยกต่างๆนานา จึงเห็นความจำเป็นที่จะต้องออกมาชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยละเอียด
ด้วยจิตคารวะ
เจริญ หมู่ขจรพันธ์
085-0029838




แถลงการณ์เรื่อง
ความจริงที่บ้านภูมิซรอล
..............................................................................
ด้วยตามที่โครงการ “รวมใจคนไทยทวงคืนเขาพระวิหาร” ได้ทำการรณรงค์ในระหว่างวันที่ 10 - 19 กันยายน 2552 เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกต้องและปลุกจิตสำนึกของคนไทยให้มีความรู้สึกหวงแหนผืนแผ่นดินไทยบริเวณโดยรอบประสาทพระวิหาร ในเขตอำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษ เนื้อที่ประมาณ 4.6 ตร.กม.(ประมาณ 3,000 ไร่) ซึ่งเป็นพื้นที่ของประเทศไทย แต่ถูกชาวกัมพูชาและกองกำลังทหารยึดครองอยู่ในขณะนี้ แต่รัฐบาลไทยกลับไม่อนุญาตให้คนไทยขึ้นไปบนพื้นที่ดังกล่าวนั้น
บัดนี้ การรณรงค์ฯดังกล่าวได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ปรากฏว่าสื่อมวลชนได้เสนอข่าวเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นที่บริเวณหน้าโรงเรียนบ้านภูมิซรอลกันอย่างกว้างขวาง ซึ่งทางคณะกรรมการโครงการฯเห็นว่ายังมีความคลาดเคลื่อนของการเสนอข่าวในหลายประเด็นซึ่งอาจทำให้สังคมเกิดความเข้าใจผิดต่อเหตุการณ์ครั้งนี้ จึงได้มอบหมายให้นายเจริญ หมู่ขจรพันธ์ ผู้ประสานงานโครงการฯซึ่งเป็นผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนี้โดยตลอดเป็นผู้ทำการแถลงข้อเท็จจริงต่อสื่อมวลชนในวันนี้ (22/9/52) ดังนี้
ประเด็นที่ 1 มวลชนที่ร่วมขบวนคือประชาชนชาวไทยจากทั่วประเทศโดยมีมวลชนที่เป็นทั้งพันธมิตรฯและไม่ใช่พันธมิตรฯ
ประเด็นที่ 2 ขบวนรถถูกโจมตีทันทีที่เคลื่อนออกหลังจากด่านตำรวจยอมเปิดทางที่หน้าโรงเรียนบ้านภูมิซรอลโดยกลุ่มคนประมาณ 30-40 คนที่อยู่ภายในรั้วของโรงเรียนได้ขว้างปาก้อนหิน ท่อนไม้ ขวดน้ำ และมีเสียงปืนดังขึ้นตลอดเวลา โดยมีผู้ใช้เครื่องเสียงอยู่ในนั้นพูดปลุกระดมตลอดเวลาและกลุ่มคนเหล่านั้นได้มีการวิ่งกรูเข้ามาหาขบวนรถพร้อมอาวุธมีด ดาบ และท่อนไม้ในมือ ทำให้คนในขบวนต้องป้องกันตัวเองโดยมีรถเครื่องเสียงได้ประกาศให้ทุกคนอย่าได้เข้าปะทะเป็นอันขาด แต่ให้รวมตัวกันให้มากเพื่อเป็นการข่มขวัญฝ่ายตรงข้ามให้ล่าถอยเข้าไปในโรงเรียน สถานการณ์เป็นอยู่แบบนี้เป็นระยะเวลาประมาณครึ่งชั่วโมงรถเครื่องเสียงนำขบวนจึงสามารถผ่านหน้าโรงเรียนไปปักหลักอยู่เลยไปจากหน้าโรงเรียนประมาณ 50 เมตรเพื่อรอให้ขบวนรถของทุกคนสามารถผ่านไปได้ทั้งหมด แต่ก็ถูกกลุ่มคนภายในโรงเรียนขว้างปาอยู่ตลอดเวลา ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายคน รถยนต์ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก มีคนของฝ่ายตรงกันข้ามถูกจับกุมตัวได้ 1 คน ขณะที่วิ่งเข้ามาทำร้ายคนในขบวนโดยมีอาวุธดาบอีโต้อยู่ในมือ ซึ่งจากการพูดคุยปรากฏว่าชายผู้นี้พูดได้แต่ภาษาเขมร หลังจากที่เวลาผ่านไปประมาณ 2 ชั่วโมงจึงสามารถคุ้มกันขบวนรถทั้งหมดผ่านไปได้ แต่ชุดคุ้มครองยังคงปักหลักป้องกันอยู่ที่เดิมเนื่องจากมีการซุ่มโจมตีตามแนวชายป่าด้านข้างอยู่ตลอดเวลา
ประเด็นที่ 3 เจ้าหน้าที่ตำรวจพร้อมโล่อยู่ภายในบริเวณโรงเรียนมีประมาณ 200 คน ในช่วงแรกที่ขบวนรถถูกโจมตีก็ได้มีการพยายามเข้าระงับเหตุอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้เข้ามาทั้งหมด มีบางส่วนยืนดูอยู่ด้านข้าง แต่หลังจากนั้นไม่นาน ตำรวจก็ล่าถอยไปยืนดูอยู่ด้านข้างทั้งหมดโดยไม่ทราบสาเหตุ ปล่อยให้กลุ่มคนเหล่านั้นเข้าโจมตีขบวนรถโดยสะดวก รถเครื่องเสียงได้พยายามพูดกระตุ้นให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าทำหน้าที่แต่ก็ไม่เป็นผล
เหตุการณ์หลังจากนั้น เมื่อการเจรจาระหว่างตัวแทนของพี่น้องประชาชนกับทางฝ่ายทหารบรรลุผล การคุ้มกันการเดินทางกลับของพี่น้องโดยตำรวจและทหารจึงเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ผิดกันอย่างสิ้นเชิงกับตอนขามา ซึ่งแสดงให้เห็นว่าถ้าเจ้าหน้าที่บ้านเมืองทำงานตามหน้าที่อย่างเต็มที่ จะสามารถป้องกันเหตุร้ายได้

....................................................................
22 กันยายน 2552
คณะกรรมการโครงการรวมใจคนไทยทวงคืนเขาพระวิหาร

Twinkle twinkle ....in another version!!...Great Stress Reliever Folks...‏

Fartman (มนุษย์ "ตด")‏

รัก..ษา สุข...ภาพด้วย‏

Subject: รัก..ษา สุข...ภาพด้วย


รู้มั้ย...อวัยวะเรา ก็ต้องตอกบัตรเข้างานนะ



01.00 น. – 03.00 น. เป็นเวลาของตับ
ขอบอกเลยว่า . . . ทุกคนควรนอนหลับพักผ่อนให้เป็นประจำในช่วงเวลานี้ให้ได้
เพราะตับจะหลั่งสารมีราโทนิน ที่จะทำให้หน้าอ่อนกว่าวัย เห็นมั้ยละว่าสำคัญแค่ไหน
ที่สำคัญห้ามกินเด็ดขาดในเวลานี้ เพราะจะทำให้ตับต้องทำงานหนักและเสื่อมเร็ว
03.00 น. – 05.00 น. เป็นเวลาของปอด
สิ่งที่ดีที่สุดที่ควรทำคือ ตื่นนอน ลุกขึ้นมาจากเตียงแล้วออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ซะหน่อย
เขาบอกว่าถ้าตื่นนอนช่วงนี้เป็นประจำจะทำให้ผิวพรรณดี

05.00 น. – 7 .00 น. เป็นเวลาของลำไส้ใหญ่
เพราะฉะนั้นควรขับถ่ายให้เป็นนิสัยทุกเช้า ถ้าคนไหนมีโรคประจำตัวคือท้องผูกกว่าจะถ่ายแต่ละทียากเย็น
เหลือเกิน แนะนำว่าให้ลองดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาว น้ำ 1 แก้ว + น้ำผึ้ง 1 ช้อน + น้ำมะนาว 4-5 ลูก
07.00 น. – 09.00 น. เป็นเวลาของกระเพาะอาหาร
จึงควรกินอาหารเช้าในช่วงเวลานี้ทุกวัน เพราะถ้าปล่อยให้ท้องว่าง กระเพาะอาหารจะอ่อนแอ
กลายเป็นคนตัดสินใจช้า ขี้กังวล ที่สำคัญจะหน้าแก่เร็วกว่าไว น่ากลัวมากๆๆ
09.00 น. – 11.00 น. เป็นเวลาของม้าม
พูดน้อย กินน้อย และไม่นอนหลับ
11.00 น. – 13.00 น. เป็นช่วงเวลาที่หัวใจทำงานหนักที่สุด
ควรทำใจให้สบาย หลีกเลี่ยงสิ่งทึ่จะทำให้เครียด พยายามไม่ใช้ความคิดหนัก
ถ้าต้องเครียดกับงานตรงหน้ามากนักก็ผ่อนคลายซะบ้าง

13.00 น. – 15.00 น. เป็นช่วงเวลาของลำไส้เล็ก
งดกินอาหารทุกประเภทให้ลำไส้เล็กได้พักผ่อน
15.00 น. – 17.00 น. เป็นเวลาของกระเพาะปัสสาวะ
ออกกำลังกายหรืออบตัวให้เหงื่อออก อย่ากลั้นปัสสาวะ
17.00 น. – 19.00 น. เป็นเวลาของไต
อาบน้ำทำให้ร่างกายสดชื่น ไม่ควรออกกำลังกายหนัก
19.00 น. – 21.00 น. เป็นเวลาของเยื่อหุ้มหัวใจ
ควรหยุดทำงาน พักผ่อนทำสมาธิและสวดมนต์

21.00 น. – 23.00 น. เป็นเวลาของพลังงานรวม
ทำให้ร่างกายอบอุ่นนอนหลับให้ร่างกายพักผ่อนเต็มที่
23.00 น. – 01.00 น. เป็นเวลาของถุงน้ำดี
นอนหลับให้สนิท (ถ้าไม่หลับช่วงนี้มีโอกาสเกิดโรคมากมายและร่างกายจะทรุดโทรมไว)

Cravit " Dangerous medicine‏

Be careful medicine named "Cravit"

ความคิดเห็นของผู้ที่เคยได้รับตัวยานี้...

@ เคยได้รับยาตัวนี้ จาก รพ.กรุงเทพระยอง ตอนนั้นเป็นแค่อาการเจ็บคอธรรมดา หมอก็จ่ายยานี้คู่กับยาแก้อักเสบ แต่เขียนสรรพคุณว่า รักษาอาการปวด ปวดกล้ามเนื้อ เราก็ได้แต่งง ว่าเค้าจ่ายมาทำไม ถามคนจ่ายยาก็ได้แต่อ้อมแอ้มตอบว่าไว้กินตอนปวด จึงเลือกทานแต่ยาฆ่าเชื้อ เพราะสอบถามจากเพื่อนเภสัชแล้ว เขาบอกว่าไม่มีความจำเป็นต้องทานยาตัวนี้ค่ะ
ดังนั้น เราไม่จำเป็นต้องทานทุกอย่างที่หมอสั่ง และควรสังเกตว่ายาแต่ละตัวที่ได้รับนั้น มีสรรพคุณตรงกับโรคที่เป็นหรือเปล่า
เมื่อไหร่หมอถึงจะเห็นสุขภาพคนไข้สำคัญกว่ายอดขาย...

@ เป็นเรื่องไม่น่าเชื่อ เมื่อเช้า วาทินี (หลิน) Marketing ทีม 1 ได้ป่วย
> เจ็บคอ ไปพบแพทย์ ที่โรงพยาบาลธนบุรี ได้รับยา antibiotic ชื่อ cravit ซึ่งตรงกับใน Mail ที่ได ้ รับมา
> ปัจจุบัน หลินต้อง admit อยู่ที่โรงพยาบาล มีอาการ อาเจียร ตลอดเวลา และไม่มีแรง
> จึงอยากให้เพื่อนๆ ได้รับทราบ บอกกล่าวเล่าสู่กันฟัง..
> ยานี้เป็นยาแก้อักเสบ antibiotic ชนิดนึง
> หมอบางคนมักจะให้กับผู้ป่วยที่มีฐานะดี เนื่องจากเป็นยา
> นำ เข้ามีราคาแพง ซึ่งก็หมายถึงคอมมิชชั่นที่หมอจะได้รับเพิ่มมากขึ้น
> เล่าให้ฟังว่า ผู้จัดการบริษัทส่งออกน้ำตาลท่านนึง กินยาตัวนี้
> แล้วเกิดผลต่อกล้ามเนื้อเอ็นถูกทำลาย รักษาผลข้างเคียงเป็นปี
> ตอนนี้ก็ยังไม่หายดี
>
> ล่าสุดสามีของเจ้าของโรงงานน้ำตาลแห่งนึงบังเอิญกินยาตัวนี้เหมือนกัน
> ก็เกิดอาการแปลกๆ ซึมเศร้า
> พูดจาไม่รู้เรื่อง เคลื่อนไหวและเดินผิดปกติ
> หลังจากได้ทราบว่าเป็นตัวยาชนิดเดียวกันจึงหยุดยาทันที
> ดังนั้นควรระมัดระวังในการกินยาชนิดนื้





>
> ถ้ามีอาการผิดปกติให้หยุดยาทันทีไม่เช่นนั้นอาจเป็นปัญหาใหญ่ที่ไม่สามารถแก้ไขได้

ต เต่า ตกนรกในวัดเพราะคนอยากได้บุญ‏

การปล่อยปลาปล่อยเต่าในวัด คือทำบุญหรือทำบาป ?

คำถามที่มีคำตอบจาก Professor เกี่ยวกับสัตว์น้ำและเต่าของ รศ.สพ.ญ.ดร.นันทริกา ชันซื่อ (หมอหนิ่ง) รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยโรคสัตว์ป่า ผู้ก่อตั้งชมรมรักษ์เต่า

วันพระ วันออกพรรษา วันมงคลต่างๆ ทุกคนต่างมุ่งหน้าเข้าหาวัด เพื่อปล่อยนำปล่อยปลา เพราะเชื่อว่าเป็นการทำบุญปล่อยอิสรภาพให้สัตว์เหล่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วการกระทำด ังกล่าว กลับเป็นตรงข้าม เพราะแท้ที่จริงแล้ว "วัดคือนรก" ของสัตว์เหล่านี้ เพราะเต่า นก และปลา ถูกใช้เป็นสินค้าเพื่อการทำบุญของคนทำบาป หลายคนที่ชอบทำบุญปล่อยนก ปล่อยปลา หรือปล่อยเต่า ไม่เคยทราบว่าแท้ที่จริงแล้วคือการปล่อยให้สัตว์เหล่านี้ไปสู่จุดจบของชีวิต ไม่ก็ถูกนำมารีไซเคิลเพื่อขายต่อ

หมอหนิ่ง ได้คลุกคลีในแวดวงสัตว์น้ำ ได้มองเห็นถึงปัญหาและต้องการสะท้อนไปสู่สังคมให้รู้จักทำบุญอย่างถูกวิธี เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องจึงเกิด โครงการ ช่วยเต่าจากวัด โดยเริ่มต้นจากวัดบวรฯ

"หน้าที่ของดิฉันคือช่วยสัตว์จรจัดที่ไม่มีใครเหลี่ยวแลอย่างเข่น เต่า ซึ่งดิฉันทำอยู่กับคุณขจร จิระวนนท์ Rescue เต่าวัด เพราะวัดเป็นนรกของสัตว์

..เริ่มแรกพระโทร.มาบอกว่าเต่าตายเห็นสภาพเต่ามีปลิงเกาะ ไม่มีที่ตากแดดให้ปลิงออก เจาะเลือดออกมาจึงรู้ว่าเพราะสารเคมีในน้ำคลองที่วัดทำให้เต่าตาย เพราะฉะนั้นใครเอาสัตว์ปล่อยวัดคิดให้ดีว่าทำบุญหรือทำบาป " หมอหนิ่งเล่าถึงภารกิจในการช่วยชีวิตเต่า

ภารกิจของหมอหนิ่งในการช่วยชีวิตเต่าในวัด เริ่มจากเต่า 500 ตัวในวัดบวรฯ ซึ่งเป็นวัดใหญ่ที่ได้รับความร่วมมือจากเจ้าอาวาสอย่างดี แต่การเดินทางไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ปัญหาเรื่องทุนทรัพย์ เครื่องมือ บุคลากร ตลอดจนความเข้าใจของแต่ละฝ่าย ทำให้การทำงานเพื่อช่วยเต่าไม่สามารถเดินไปไกลเท่าที่ควร แต่หมอหนิ่งก็เลือกที่จะเดินหน้าต่อไปเพื่อช่วยเหลือเต่า สัตว์ที่อยู่นอกเหนือความรับผิดชอบขององค์กรใดๆ

สิ่งหนึ่งที่ช่วยแบ่งเบาภาระของหมอหนิ่งได้ คือการส่งผ่านความเข้าใจไปยังคนในสังคม ทั้งชาวบ้านที่ค้าขายเต่าในวัด พระ ตลอดจนประชาชนทั่วไปที่ชอบเลี้ยงเต่าหรือชอบทำบุญปล่อยเต่าให้มีความเข้าใจที่ถูกในเบื้องต้น หมอหนิ่งบอกว่า

"ก่อนจะเลี้ยงสัตว์อะไรเราต้องศึกษาให้รู้ว่าเขากินอย่างไร และอยู่อย่างไร ถึงจะไปซื้อมาเลี้ยง และสัตว์ที่มาจากแหล่งค้าส่วนใหญ่ตจะมีโรคเยอะมักจะไม่รอด หลังจากซื้อมาแล้วควรนำไปให้สัตวแพทย์ตรวจก่อน "

การนำเต่าจากวัดมารักษาภารกิจที่ทำด้วยหัวใจของหมอหนิ่ง เมื่อรักษาเต่าจนหายดีจะต้องมีบ้านให้เต่าอยู่ออกสู่อิสรภาพ โดยล็อทแรกได้ปล่อยที่คลอง 14 ภารกิจหน้าที่ทั้งหมดได้เงินช่วยเหลือจากโครงการ ซึ่งหมอหนิ่งบอกว่า "เงินเกินบัญชีเยอะ และควักเงินส่วนตัวตลอด"

ในขณะนี้การเดินทางเพื่อช่วยเหลือเต่าจรจัดต้องประสบปัญหามากมาย โดยเฉพาะปัญหาด้านทุนทรัพย์ในการนำมาต่อยอดเพื่อช่วยต่อไป

ข้อมูลเพิ่มเติมจากรายการจุดเปลี่ยน ตอน 2ออกอากาศวันที่17 มี.ค.2550 ที่ทีมงานสัมภาษณ์ รศ.สพ.ญ.ดร.นันทริกา ชันซื่อ (หมอหนิ่ง) สรุปมาได้ว่า

ในการปล่อยเต่านั้น

1 ท่านต้องรู้ว่าเต่าที่ท่านจะปล่อยนั้นคือ เต่าบกหรือเต่าน้ำ เพราะเต่าไม่ใช่สัตว์น้ำแต่เต่าเป็นสัตว์เลื้อยคลาน

เต่าบก ที่เท้าจะคล้ายๆเท้าช้าง ขายาว กระดองรูปร่างนูนขึ้นมากกว่าเต่าน้ำ
เต่าน้ำ เท้าจะแบน ขาสั้น เอาไว้ไหว้น้ำ

ถ้าปล่อยเต่าบกลงน้ำเต่าจะจมน้ำตายได้ เพราะเต่าหายใจด้วยปอดเหมือนมนุษย์

2 สถานที่ปล่อย จะต้องเป็นบริเวณที่มีตลิ่ง เพื่อให้เต่าขึ้นมาพักผึ่งแดดได้ และน้ำไม่ไหลเชี่ยวจนเกินไป

การที่เต่าต้องขึ้นมาพักบนตลิ่งเพราะ

2.1 เต่าต้องการพักหายใจ และพักเหนื่อย เพราะเต่าเป็นสัตว์เลื้อยคลาน ไม่ใช้สัตว์น้ำ( โรงเรียนเราสอนผิดมาโดยตลอด ) จึงว่ายน้ำตลอดเวลาเหมือนปลาไม่ได้

2.2 เต่าต้องการผึ่งแดด เพื่อให้ปลิงที่ติดอยู่ตามตัวหลุดออก มิฉะนั้นเต่าอาจป่วยได้ และเต่าต้องอาศัยแสงแดดในการสร้างวิตามินที่จำเป็นสำหรับร่างกาย

ดังนั้นการปล่อยเต่าน้ำลงในบริเวณที่ๆไม่มีตลิ่งให้เต่าขึ้นมาผึ่งแดด เช่น ตามคลองประปา ,บ่อน้ำในวัดที่มีการก่อคอนกรีดเป็นบล็อกสูงๆ ( บ่อในวัดบวรฯ ที่หมอหนิ่งไปช่วยมา ) คือการทำร้ายเต่าอย่างทารุนโหดร้ายมากๆ

แม้ว่าบางวัด หรือบางสถานที่จะมีการต่อแพ ให้เต่าขึ้นมาผึ่งแดดได้แต่นั่นไม่ใช่สถานที่อยู่ตามสภาพธรรมชาติที่แท้จริงของเต่า เปรียบเหมือนเราถูกจับไปขังคุก เขามีข้าวให้กินมี ที่ให้นอน แล้วเราชอบหรือไม่ ถ้าเราไม่ชอบเต่าก็เช่นเดียวกับเรา

3 สภาพน้ำบริเวณที่จะปล่อย ต้อง ไม่สกปรก ถ่ายเทยาก และแออัด เช่น บ่อน้ำในวัดบวรฯ กทม.

มีเต่าหลายตัวที่หมอหนิ่ง และเพื่อนชมรมรักษ์เต่า ได้ช่วยชีวิตขึ้นมาจากในวัดบวรฯ สถานที่ทำบุญของเรานี่แหละ

หลายตัวติดเชื้ออย่างรุนแรง กระดองแตก กระดองเปื่อยยุ่ยจนลึกเข้าไปถึงกระดูกเต่าชั้นใน (กระดองเป็นกระดูกเต่าชั้นนอก)

หลายตัวมีเลือดจางมากต้องให้วิตามีนเพื่อการบำบัดฟื้นฟู

บางตัวอาการโคม่าต้องให้น้ำเกลือกันเลย

หลายตัวสุขภาพอ่อนแอเพราะ มีปลิงเกาะอยู่ตามร่างกายเป็นจำนวนมากสมาชิกชมรมรักษ์เต่า ต้องช่วยกันนำไปแช่น้ำเกลือ แล้งใช้ผ้าเช็ดออก

เต่าทุกตัวที่ชมรมรักษ์เต่า ช่วยมาไดนั้น จะนำไปบำบัดฟื้นฟูอีกที่ในสถานอนุบาลสัตว์น้ำที่ ศูนย์วิจัยโรคสัตว์น้ำ คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยมี

รศ.สพ.ญ.ดร.นันทริกา ชันซื่อ (หมอหนิ่ง)เป็นผู้ดูแลอย่างใกล้ชิด
เมื่อเต่าหายดี แล้วจะมีการนำไปปล่อยยังที่ๆเหมาะสมชนิดของเต่า เพราะเต่ามีแยกออกไปมากมายหลายชนิด เช่น เต่านาต้องการอาศัยในที่ชื้นแฉะแบบในนาข้าวเป็นต้น ดังนั้นถ้าคิดจะปล่อยเต่าต้องแน่ใจว่าเราปล่อยเต่าในสภาพที่เหมาะกับเค้าหรือไม่

โครงการคืนชีวิตเต่าสู่ธรรมชาติ

วันที่ 8ก.พ. 2550 ณ วัดบวรนิเวศวิหาร
โครงการช่วยเต่าในวัดบวรฯ จากที่รายการไปถ่ายทำมา เห็นว่าทำกันมา 4ปีแล้ว

หากผู้มีจิตศรัทธาท่านใดอยากเข้ามามีส่วนช่วยทำบุญในครั้งนี้สามารถติดต่อได้ที่

ชมรมรักษ์เต่า 02-699-3110-1

ช่วยกรุณาส่งต่อวิธีการปล่อยเต่าที่ถูกต้องไปยังเพื่อนๆหรือใครก็ตามที่คุณรู้จักเพื่อที่เขาจะได้ ปล่อยสัตว์ได้บุญ มิใช้ปล่อยสัตว์ได้บาปอย่างที่แล้วๆมานะคะ ขออนุโมทนากับทุกๆท่านที่เข้ามาอ่าน และช่วยเผยแพร่กระทู้นี้ด้วย


ศูนย์วิจัยโรคสัตว์น้ำ คณะสัตวแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยนี่เอง ถ้าใครไปไม่ถูกลองนึกภาพสยามสแควร์ ตรงถนนอังรีดูนัง ฝั่งเดียวกับแคนตันสุกี้ ถ้าขับรถมาจากถนนพระราม 4 เมื่อเลี้ยวเข้า ถนนอังรีดูนังแล้วก็ตรงมาเรื่อยๆ จนถึง โรงเรียนเตรียมอุดม สังเกตสะพานลอยคนข้ามถนนครับ ทางเข้าคณะจะอยู่ระหว่างโรงเรียนเตรียมอุดมกับทางเข้าสยามสแควร์ มองด้านซ้ายมือให้ดีนะครับจะได้ไม่หลงทาง

เมื่อเลี้ยวเข้าไปแล้วก็ตรงไปสัก 50 เมตรจะเจอตึกสูงประมาณ 4 ชั้น อยู่ด้านขวามือ หาที่จอดแถวนั้นเลย ที่จอดรถจะมีมากพอสมควร เพราะเขาไม่อนุญาตให้นักศึกษาและบุคคลภายนอกเข้าไปจอด จอดรถแล้วก็เดินเข้าตึกไปเลยไปแลกบัตรผ่านก่อนแล้วก็ขึ้นลิฟท์ไปที่ ชั้น 2 ดูตามป้ายบอกทางได้เลย

ศูนย์วิจัยโรคสัตว์น้ำ คณะสัตวแพทย์ศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ถนนอังรีดูนัง ปทุมวัน กทม. โทร. 02-2189510 , 02-2189514
เปิดจันทร์ถึงศุกร์ เวลา 8.00-16.00 น.


เต่าบก ที่เท้าจะคล้ายๆเท้าช้าง ขายาว กระดองรูปร่างนูน ขึ้นมากกว่าเต่าน้ำ

ถ้าปล่อยเต่าบกลงน้ำ เต่าจะจมน้ำตายได้ เพราะเต่าหายใจด้วยปอดเหมือนมนุษย์


เต่าน้ำ เท้าจะแบน ขาสั้น เอาไว้ไหว้น้ำ

โปรดทราบ: เพื่อมิให้เป็นปัญหาแก่เพื่อนๆ ที่ท่านส่งต่อ emails ไปให้ ในการส่ง โปรดส่งโดยใส่ addresses ของผู้รับลงใน bcc (blind carbon copy) และลบ email addresses ของผู้ที่ส่งมาถึงท่าน ออกไปให้หมด ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงมิให้พวกมิจฉาชีพ นำ addresses เหล่านั้นไปใช้เป็นประโยชน์ หรือเป็นเมล์ขยะรบกวนผู้รับ - ขอขอบคุณในความร่วมมือ





Beware, if you may have this plant at home ...Cycas revoluta (Sago Palm )‏






เงินเดือน...เดือนสุดท้าย ...ของ...?‏

ขำ ๆ ท่ามกลาง พิษเศรษฐกิจค่ะ




เงินเดือน...เดือนสุดท้าย

CEO คนใหม่ของ บริษัทประเภท....ไทยจำกัด
เพิ่งมารับงานฟื้นฟูกิจการที่ตกต่ำของบริษัทเป็นวันแรก
เขาเรียกประชุมพนักงานทันที แล้วประกาศนโยบายแรก
ซึ่งก็คือการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน ใครทำงานไม่เต็มที่
จะต้องถูกพิจารณาอย่างเด็ดขาด

หลังการประชุมเขาออกเดินตรวจตราบริษัทพร้อมกับผู้จัดการแผนกอีก 6-7 คน
ความสนใจของเขาเพ่งเล็งอยู่ที่ไอ้หนุ่มคนหนึ่งซึ่งยืนพิงผนังดูคนอื่นทำงาน
อย่างสบายใจ เขาเดินตรงไปที่ไอ้หนุ่มทันที(ในใจก็นึกเพียงอย่างเดียวให้เด็ดขาด มิให้เป็นเยี่ยงอย่าง) แล้วถาม.....เจ้าหนุ่มที่ว่า

“ เงินเดือนคุณเดือนละเท่าไหร่ ?”
“ เจ็ดพันครับ ” ไอ้หนุ่มตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน
ไม่เปลี่ยนแม้แต่ท่ายืนด้วยซ้ำ

เขาควักเงินเจ็ดพันบาทยื่นให้ไอ้หนุ่มทันทีแล้วตะโกนลั่น
“ นี่เงินเดือนๆสุดท้ายของคุณ แล้วเชิญคุณออกไปเลย
ไม่ต้องมาให้ผมเห็นหน้าอีก ”

ไอ้หนุ่มคว้าเงินแล้วโกยแน่บทันที


ในขณะที่ ceo ผู้ไฟแรงหันหลังกลับมาหาพนักงานบริษัทที่ตะลึงกันถ้วนหน้าแล้วตะโกนถาม

“ ใครตอบผมได้บ้างว่าไอ้หนุ่มนั่นทำงานแผนกอะไร.. เมื่อกี้นี้ ?”
ความเงียบปกคลุมทั่วสำนักงานเป็นเวลาหลายวินาที



ก่อนที่จะมีผู้กล้าพูดออกมา

.

“ เอ่อ......เขามาส่งพิซซ่าครับ!!! ”


บทความนี้สอนให้รู้ว่า 'อย่าบ้าอำนาจ'

เคยเห็นตะขาบกกไข่ปะ‏






Japan Season‏












10 วิธี สุขฟรีๆ แบบมีกึ๋น‏

Subject: FW: 10 วิธี สุขฟรีๆ แบบมีกึ๋น

1. วันว่าง
ลองให้วันทั้งวันอยู่กับการว่าง ไม่มีนัด ไม่ไปธุระที่ไหน ไม่กำหนดตารางอะไรให้ชีวิต จะทำกิจวัตรอะไรก็ให้เป็นแบบช้าๆ สบายๆ ไม่รีบเร่ง อยู่กับแต่ละกิจกรรมอย่างเต็มร้อย ให้ใจได้พักผ่อนอย่างแท้จริงกับการดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะ วันว่างๆ จะช่วยเติมเต็มพลังกายและใจให้แก่เรา แถมยังช่วยลดใช้พลังงานโลกด้วย
วันนั้นอาจจะยอมให้ตัวเองนอนตื่นสายกว่าปกติสักนิด อาบน้ำแบบมอบความทะนุถนอมให้กับร่างกาย เบิกบานกับอาหารเช้าที่ดีกับสุขภาพ เปิดประตู เปิดหน้าต่างรับลมธรรมชาติ เดินสำรวจละแวกบ้าน ถ้าจะหยิบหนังสือที่ซื้อไว้ตั้งนานแต่ยังไม่ได้อ่านสักทีมาอ่านก็ไม่ผิดกฎอะไร ตกค่ำจะลองทานมื้อเย็นใต้แสงเทียน ให้หลอดไฟกับมิเตอร์ได้พักผ่อนก็ให้ความรู้สึกพิเศษดีเช่นกัน

2 . หายใจเล่น
สำหรับคนที่ไม่คุ้นเคยกับการอยู่เงียบๆคนเดียว ติดทีวี ติดโทรศัพท์ อาจลองหาเวลาตีสนิทกับเพื่อนใกล้ตัวของเราทั้งสอง คือ คุณลมหายใจเข้า และคุณลมหายใจออก ไม่ว่าจะเป็นการนั่ง เดิน นอน หรือ เคลื่อนไหว เราจะตระหนักรู้ถึงเพื่อนสองคนนี้อยู่เสมอ หมั่นเช็คอยู่เรื่อยๆว่า เพื่อนทั้งสองคนของเรามีสภาพอย่างไร ยังสบายดีอยู่หรือเปล่า เมื่อเราดูแลลมหายใจ ลมหายใจก็จะดูแลเรา การดุแลกันและกันเช่นนี้ จะส่งผลดีต่อทางร่างกายและจิตใจ ความสงบที่เกิดจากภายในจะส่งผลที่น่าประทับใจถึงภายนอก ในเวลาที่เราต้องเผชิญกับเรื่องยากๆ ต้องคิด ตัดสินใจ และทำอะไรอยู่ตอลดเวลา การได้พักสัก 15 นาที หรือสักชั่วโมงจะช่วยให้หัวที่เคยหมุนจนร้อนใจที่เต ้ นรัวเร็ว ร่างกายที่เครียดตึงค่อยๆ ผ่อนคลายและเบาลงอย่างไม่น่าเชื่อ

3. ชื่นชมธรรมชาติ
ไม่ต้องรอให้ถึงวันพักร้อน แค่ตื่นเช้าขึ้นสักนิด ดูพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า ให้แสงแรกของพระอาทิตย์ล้างตาให้สะอาด ช่วงสายๆ อาจจะมองท้องฟ้าสัก 5-10 นาที ดูเมฆที่ค่อยๆ เปลี่ยนร ู ปก็เติมความสดชื่นได้ดี บ่ายคล้อยเดินเล่นให้สายลมเย็นปะทะหน้าเบาๆ สูดเอากลิ่นหอมของดอกไม้ใบหญ้า ได้เวลาพลบค่ำปิดไฟให้หมด จะได้ห็นดาวและเด??อนที่ลอยเกลื่อนฟ้าได้ชัดขึ้น ให้เวลาธรรมชาติได้บำบัดเราทั้งกายและจิตใจ

4. สลายไขมัน
สำหรับคนบ้าพลัง คนกลัวอ้วน คนไม่ชอบออกกำลังกาย การออกกำลังกายให้ได้เหงื่อจะช่วยให้เรารู้สึกสดชื่นขึ้น หรืออาจว่ายน้ำในความเงียบ ซึ่งนั้นหมายถึงรวมไปถึงเสียงในหัวเราด้วย ลองว่ายไปเรื่อยๆ ตระหนักรู้การเคลื่อนไหวของร่างกายเรา เสียงในหัวเราจะค่อยๆ เงียบลงเอง หรืออาจจะลองปั่นจักรยานรับลม สำรวจเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ๆ ในหมู่บ้าน หรืออะไรก็ได้ที่เราชอบ นอกจากจะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข (เอ็นโรฟิน) แล้วยังช่วยเผาผลาญไขมันได้ดีอีกด้วย

5. ศิลปินสมัครเล่น
หยิบดินสอหรือสี ขึ้นมาวาดรูปแบบไม่ห่วงสวย ปลอดปล่อยจินตนาการ ให้ความเป็นเด็กในตัวออกมามีชีวิตผ่านงานศิลปะ หรือประดิษฐ์งานฝีมืออะไรสักอย่าง ที่ทำให้เราได้มีพื้นที่และอิสระจากความคิด ความยึดติด ทั้งนี้พบว่า การถักนิตติ้งช่วยสงบใจได้เป็นอย่างดี แถมยังเสริมสร้างสมาธ ิ บำบัดความเบื่อหน่าย ความเครียด และแรงกดดันจากการทำงาน ทั้งยังได้ผลงานเป็นของขวัญให้คนรอบข้างอีกด้วย เรียกว่า บำบัดใจผู้ให้ สุขใจผู้รับ

6. สุขใจกับงานบ้าน
การได้ลงมือ ปัดกวาดเช็ดถู จัดข้าวของในบ้านให้เป็นระเบี??บ ทำสวน ปลูกต้นไม้ ตัดแต่งใบเสีย ล ้ วนเป็นโอกาส ให้เราได้กลับมาปัดกวาดเช็ดถู จัดระเบียบ และรดน้ำเมล็ดพันธุ์แห่งความสุขให้ใจเราได้เติบโต งอกงาม สะอาด และใหม่สดอยู่เสมอ " บ้านสะอาดสดใส ใจก็งดงาม"

7. สนทนาใจ
ใช้เวลากับเพื่อนแลกเปลี่ยนสุขทุกข์ของกันและกัน ช่วยฝึกการฟังอย่างลึกซึ้ง และทำให้ตระหนักรู้ว่า เรามีคนอยู่เคียงข้างเสมอ หาวันว่างยามบ่าย บรรยากาศสบายๆ ที่บ้านใครสักคน นั่งพุดคุยถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาในวิถีแห่งสติ อาจเป็นความตื่นเต้นจากความรับผิดชอบใหม่ๆ หรือมองเห็นความสดใหม่ในงานเก่าหรือจะเป็นผู้คนที่เราพบเจอได้เรียนรู้ ความสุขที่เรามี หรือแม้แต่ความเหนื่อยล้า เรื่องอกหัก ความทุกข์ใจ ความยากลำบากในครอบครัวที่ต้องเผชิญ อื่นๆอีกมากมายที่เราพร้อมเปิดใจแบ่งปันต่อกัน การได้ใช้เวลาอยู่ตรงนี้ด้วยกันอย่างเต็มเปี่ยมถือเป็นการบำรุงหล่อเลี้ยงซึ่งกันและกันแบบไม่ต้องใช้สตางค์

8. กลับบ้านแล้ว
ใช้เวลาเพื่อพูดคุย ทำความรู้จัก เรียนรู้กันและกันให้มากขึ้น ลองเริ่มจากการบอกกล่าวความรู้สึกภายในกับคนในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการกล่าวขอโทษสิ่งที่เราอาจจะพลาดพลั้งไปจนทำให้อีกฝ่ายเสียใจ หรือกล่าวขอบคุณในความน่ารัก ความดีที่อีกฝ่ายได้ทำให้แก่เรา หรือเลือกกิจกรรมที่ชอบด้วยกันที่บ้าน เช่น ดื่มน้ำชา กินขนม ทำอาหารด้วยกัน นอนดูหนังเรื่องโปรด อ่านหนังสือ ผลัดกันเล่านิทาน เล่นเกม ออกกำลังกาย ร้องเพลง เล่นดนตรี ปิดท้ายด้วยการกอดสมาธิก็อบอุ่นดีไม่น้อย

9 แบ่งปันด้วยใจ
แบ่งปันเวลาทำประโยชน์เพื่อคนอื่นและสังคม บางคนอาจเริ่มต้นง่ายๆ จากสิ่งแวดล้อมรอบตัว เช่น โปรยอาหารให้นกตัวน้อยๆ ในสวนที่บ้าน เดินเก็บขยะแถวบ้าน รื้อข้าวของที่ไม่ใช้แล้วหรือไม่ค่อยได้ใช้ (แถมได้ฝึกการตัดใจด้วย) มาทำความสะอาดแล้ว นำไปบริจาคหาเจ้าของที่คู่ควรคนใหม่ หรือจะเข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสาต่างๆ ก็มีให้เลือกมากมาย ลองเข้าไปดูที่เว็บไซต์ www.volunteerspirit.org

10 ยิ้ม ยิ้ม ให้กับตัวเอง
ยิ้มแบบใสๆ ยิ้มให้กว้างๆ จนเผื่อแผ่ไปยัง คนรอบข้าง แล้วจะพบว่า ความสุขใจ ที่ไม่ต้องใช้สตางค์แบบนี้ นั้นแสนวิเศษ ยิ่งให้ก็ยิ่งได้

สารพัดแชมพู เลือกอย่างไรดี‏

สารพัดแชมพู เลือกอย่างไรดี




สารพัดแชมพู เลือกอย่างไรดี

(มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค)

ทำไมการสระผมจึงเป็นเรื่องสำคัญ เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ อากาศที่ร้อนและชื้นเกือบตลอดทั้งปีของประเทศไทย ประกอบกับเส้นผมคนไทยและคนเอเซียส่วนใหญ่จะหนาและดก ทำให้หนังศีรษะและเส้นผมมักจะอับชื้นด้วยสิ่งสกปรกที่ร่างกายขับออกมา เช่น น้ำเหงื่อและ ไขมัน

แชมพูที่ดีควรเป็นอย่างไร

แชมพูสระผมที่ดีและเหมาะสมควรจะทำหน้าที่ชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากหนังศีรษะได้หมดจรดโดยไม่ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองต่อหนังศีรษะและไม่ทำให้เส้นผมแห้งแตกปลาย ในขณะเดียวกันควรมีส่วนช่วยให้เส้นผมนุ่ม ลื่น และช่วยสาง หวีเส้นผมได้ง่ายเมื่อผมแห้ง

ส่วนประกอบสำคัญในแชมพูสระผม

สารทำความสะอาดชนิดที่มีคุณภาพทางเคมีดีพอสมควร มีปริมาณความเข้มข้นที่เหมาะสม ไม่เข้มข้นเกินไปและไม่ต่ำจนเกินไป

สารคอนดิชั่นนิ่ง ซึ่งเป็นสารช่วยเคลือบเส้นผม ช่วยให้เส้นผมนุ่ม ลื่นไม่พันกัน และยังช่วยปกป้องเส้นผมสิ่งแวดล้อมภายนอกได้บ้าง

หลักในการเลือกซื้อแชมพูสระผม

แชมพูสระผมผู้ใหญ่ ขอแนะนำว่าไม่ควรเลือกชนิดที่มีฟองมากเกินไป เพราะสารทำความสะอาดเหล่านั้นมักจะมีคุณภาพทางเคมีที่ต่ำ ไม่เหมาะกับเส้นผมและผิวหนัง เหมาะที่จะเป็นส่วนผสมในน้ำยาล้างจาน หรือน้ำยาถูพื้นมากกว่า สังเกตได้ง่าย ๆ ว่าเมื่อสระผมด้วยแชมพูที่มีฟองมาก ๆ และสระเป็นประจำ เส้นผมจะแห้ง แตกปลาย และไร้น้ำหนัก การใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของสารคอนดิชั่นนิ่ง จะช่วยรักษาคุณภาพเส้นผมได้พอสมควร ส่วนสารอาหารอื่น ๆ ที่ใส่เสริมในแชมพู เช่น วิตามินชนิดต่าง ๆ อโลวีร่า หรือสารสกัดสมุนไพรอื่น ๆ ที่โฆษณาว่าให้ประโยชน์ต่อเส้นผมนั้น ในความเป็นจริงไม่มีส่วนช่วยให้เส้นผมที่เสียไปแล้วดีขึ้นเลย ผู้ที่มีผมเสียเพราะได้รับการแต่งสีผม ดัดผม ควรจะตัดผมที่เสียทิ้งไปโดยไม่ต้องเสียดาย

แชมพูสำหรับเด็ก จะมีองค์ประกอบที่แตกต่างจากแชมพูสำหรับผู้ใหญ่ตรงที่ว่า สารทำความสะอาดจะมีคุณภาพที่อ่อนละมุนต่อผิวหนังมากที่สุด ที่สำคัญสูตรแชมพูสำหรับเด็กจะไม่มีสารคอนดิชั่นนิ่ง เพราะเส้นผมเด็กบางไม่หนาและไม่ดกเหมือนผู้ใหญ่ จึงไม่ควรให้เด็กใช้แชมพูผู้ใหญ่และการที่ผู้ใหญ่ใช้แชมพูเด็ก ก็จะทำให้ไม่ได้รับประโยชน์ต่อเส้นผมเท่าที่ควร

แชมพูสมุนไพร หากถามว่ามีความจำเป็นมากน้อยเพียงไร ให้ประโยชน์ได้มากมายต่อเส้นผม จริงหรือ คงตอบว่าไม่จริง เพราะหลักคือใช้แชมพูเพื่อทำความสะอาดเส้นผมและหนังศีรษะเท่านั้น หากต้องการใช้สมุนไพร ควรใช้สมุนไพรสดเช่นในสมัยโบราณจะให้ผลดีที่สุด เช่น น้ำเมือกจากผลมะตูม และประคำดีควาย ทั้งสองชนิดมีคุณสมบัติเป็นสารทำความสะอาดที่ดี ในสมัยโบราณมีการนำมาใช้ทั้งซักผ้าและสระผม แต่ถ้านำสารสกัดมาผสมในแชมพูสระผมที่มีสารทำความสะอาดชนิดสังเคราะห์แล้ว ประโยชน์จากสมุนไพรจะไม่เกิด อาจให้ผลตรงกันข้ามด้วยซ้ำไปเพราะการนำสมุนไพรมาใช้ ควรจะใช้เป็น หรือผ่านขบวนการสกัดที่เหมาะสม มิฉะนั้นคุณค่าจะสูญสลายไป

นอกจากนี้แชมพูที่ดีที่ได้มาตรฐานควรจะมีการปรับพีเอชให้เป็นกลางเพื่อไม่ให้ระคายเคืองหนังศีรษะ ควรมีการเติมสารต้านเชื้อจุลรินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ เพราะสารสกัดสมุนไพร หรือสมุนไพรสด เชื้อจุลินทรีย์มักจะเจริญเติบโตได้ง่าย หากใช้แชมพูสมุนไพรที่ไม่ได้ผ่านขบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน อาจมีปัญหาหนังศีรษะคัน ผมร่วงได้ ส่วนใหญ่มักเกิดจากการปนเปื้อนของเชื้อจุลินทรีย์จากสมุนไพร หากพบปัญหาที่ว่าไปนี้ ควรหยุดใช้แชมพูที่กำลังใช้อยู่ทันที

แชมพูผสมสารขจัดรังแค สำหรับผู้ที่มีปัญหาหนังศีรษะคัน มีรังแค ควรเลือกใช้แชมพูประเภทนี้ เช่น ซิ้งไพริไทออน การจะใช้ให้ได้ผลควรมีการใช้อย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 2-3 เดือนก่อนจะหยุดใช้ แต่หากยังไม่ได้ผล ควรพิจารณาเปลี่ยนไปใช้แชมพูผสมสารต้านเชื้อรา ซึ่งแชมพูกลุ่มนี้ถูกจัดเป็นตำรับยา จะมีจำหน่ายในร้านขายยาเท่านั้น


ขอขอบคุณข้อมูลจาก

ข้อปฏิบัติในการใส่บาตร‏

ข้อปฏิบัติในการใส่บาตร

1. นิมนต์พระ
หลังจากที่เราเตรียมสำรับกับข้าวเรียบร้อยแล้ว
เราก็ยืนรอพระที่จะเดินบิณฑบาตผ่านมา
การยืนรอพระในขั้นตอนนี้ ควรศึกษาให้ดีเสียก่อนว่า
เส้นทางนี้มีพระเดินผ่านหรือไม่
ไม่ใช่ว่าไปรอบนทางสายเปลี่ยวที่ไม่มีพระเดินผ่าน คงไม่ได้ใส่กันพอดี

รอซักพัก พอมีพระเดินมา ก็นิมนต์ท่าน
การนิมนต์ ก็ควรใช้คำว่า "นิมนต์ครับ/ค่ะท่าน" แค่นี้พระท่านก็ทราบแล้ว
ตอนเป็นพระเคยเดินบิณฑบาตที่ตลาดเขมร
โยมนิมนต์ด้วยถ้อยคำอันรื่นหูว่า
"ท่านเจ้าประคุณเจ้าคะ นิมนต์เจ้าค่ะ" (ใช้คำไฮโซมาก)

มีอีกทีนึง โยมใช้คำว่า "นิมนต์เจ้าค่ะ พระอาจารย์"
(เอ่อ... โยม อาตมาเพิ่งบวชอาทิตย์เดียว)
การนิมนต์พระควรนิมนต์ด้วยความสำรวมและใช้เสียงดังพอประมาณ
โยมบางคนเรียกพระด้วยเสียงอันดัง
"นิ โมนน!!" (แง้ ทำไมต้องตะคอกด้วย - -")

การนิมนต์ควรสังเกตอายุของพระด้วย
ถ้าอายุน้อยกว่าเราหรือว่าเยอะกว่าไม่มากก็เรียกว่าหลวงพี่
ถ้ามีอายุหน่อยก็เรียกหลวงน้า
ถ้าแก่พรรษามากก็เรียกหลวงตา
หรือนอกจากนี้ก็อาจจะเรียกหลวงอา หลวงลุง หลวงปู่ฯลฯ แล้วแต่จะลำดับญาติ
อย่างฉัน ปีนี้อายุ ๒๓ ปี หน้าตาค่อนข้างเด็ก แต่เคยมีโยมใช้คำว่า
"นิมนต์ค่ะ หลวงลุง" ทำเอาเสีย self จนอยากสึกออกไปทำ baby face
โยมบางคนคงเขินอายพระ เนื่องจากไม่ค่อยได้ใส่บาตรเท่าไร
เวลาพระเดินมาก็ยื่นมือออกมาทำท่ากวักๆ ทำเหมือนพระเป็นรถเมล์

หลังจากนิมนต์พระ ก็เข้าสู่ขั้นตอนถัดไปคือ

2. จบ
อันนี้ไม่ได้หมายความว่า เรื่องจบ แล้วนะ
การจบ หมายถึง การเอาของใส่บาตร มาทูนไว้ที่หัวแล้วอธิษฐาน
การจบ ควรใช้เวลาอธิษฐานแต่พองาม ไม่ต้องอธิษฐานนานจนเกินไป
เคยมีโยมนิมนต์ไปรับบาตร ไอเราก็เดินไปเปิดฝาบาตร รอรับ
โยมก็จบอยู่ ขอบอกว่า นานมากกกกกกก
นานจนอดคิดไม่ได้ว่า "โยมขออะไรเราน้า?"

3. ถอดรองเท้า ยืนด้วยเท้าเปล่า
จริงๆแล้ว จุดประสงค์ของการถอดรองเท้าคือ เป็นการให้ความเคารพพระสงฆ์
โดยการไม่ยืนสูงกว่าท่าน เพราะเวลาพระสงฆ์บิณฑบาตจะเดินเท้าเปล่า
แต่มีญาติโยมบางคนไม่เข้าใจเกี่ยวกับการถอดรองเท้า
ซึ่งมีหลายประเภทเหมือนกัน เช่น

บางคนถอดรองเท้าอย่างเรียบร้อยแต่ยืนบนรองเท้า - -" (สูงกว่าเดิมอีก)
บางคนถอดรองเท้าและยืนบนพื้นจริง แต่ว่าตัวเองยืนบนฟุตบาท
พระยืนบนพื้นถนนซะงั้น (หนักกว่าเก่า)

เคยมีเรื่องเล่าว่า มีโยมคนนึงยืนใส่บาตรพระ
พระเห็นว่าโยมใส่รองเท้า เลยแนะนำโยมไปว่า

พระ : "โยม อาตมาว่าโยมควรถอดรองเท้าใส่บาตรนะ"

โยมมีสีหน้าตกกะใจ ตอบพระไปว่า
โยม : เอ่อ จะดีเหรอคะ

พระ : ไม่เป็นไรหรอกโยม

โยมก็จัดแจงถอดรองเท้า ยกขึ้นมาพร้อมกับถามพระว่า
โยม : จะให้ใส่ข้างเดียวหรือว่าสองข้างเลยคะ

อิบ้า!! ท่านหมายถึงถอดรองเท้าเวลาใส่บาตร ไม่ใช่ถอดรองเท้าเอามาใส่ในบาตร
อันนี้เป็นเรื่องที่หลวงน้าท่านนึง เล่าให้ฟังระหว่างฉันเพล (เรื่องขำขันขณะฉันเพล)
พอถอดรองเท้าเสร็จ ก็เข้าสู่ขั้นตอนที่สี่

4. ใส่บาตร
อันนี้ถือเป็นจุดไคลแมกซ์ของการใส่บาตร
สิ่งสำคัญที่ทุกคนมองข้ามก็คือ ควรดูว่าของที่นำมาใส่บาตรนั้น เสียรึเปล่า
บางคนมีเจตนาอยากทำบุญดี แต่ดันไปซื้อของเสียมาใส่บาตร
พระฉันไป เข้าห้องน้ำไป
พวกร้านค้าก็จริงๆ บางครั้งเอาของค้างคืนมาขายเอากำไร ไม่สนใจพระเจ้า
เห็นแก่ตัว หากินกับพระ ก็ฝากด้วยนะครับ เด๋วทำบุญจะได้บาปเปล่าๆ

นอกจากนี้ ของที่นำมาใส่ ถ้าเพิ่งปรุงสุกเสร็จ ควรดูด้วยว่ามันร้อนมากรึเปล่า
เคยมีโยมใส่แกง ร้อนมากๆๆ บาตรเกือบหล่น
ทั้งนี้เพราะบาตรทำจากโลหะ นำความร้อนได้ดี
ปริมาณไม่ควรมากจนเกินไป

เคยมีโยมใส่บาตรด้วย "กล้วย ๓ หวี"
กล้วยเล็บมือนาง กล้วยไข่ อาตมาไม่ว่า
แต่นี่ใส่ "กล้วยหอม" (อันนี้เกิดกับตัวเองจริงๆ)
คิดดู "กล้วยหอม ๓ หวี" อยู่ในบาตร หนักมากกกก
จนอยากบอกโยมว่า "โยม อาตมาไม่ใช่ช้าง"

การใส่ก็ควรวางในบาตรด้วยอาการสำรวม
โยมผู้หญิงบางคนกลัวโดนพระจัด พอถุงกับข้าวถึงแค่ปากบาตร
ก็ปล่อยลงมา ตุ๊บ!!
นึกว่ากาลิเลโอ กลับชาติมาทดลองเรื่องแรงโน้มถ่วงของโลก (วางดีๆก็ได้ 55)
ขั้นตอนต่อไปคือ

5. รับพร
หลังจากใส่บาตรเสร็จ พระสงฆ์ส่วนมากก็จะให้พร
เราเป็นญาติโยม ก็ประนมมือรับพรกันตามระเบียบ
โดยอาจยืนหรือนั่งยองๆก็ได้ ก้มหัวแต่พองาม
เคยมีโยมยืนประนมมือ แต่ก้มหน้ามาแทบชนพระ ห่างจากหน้าพระประมาณคืบเดียว
ไม่ต้องใกล้ชิดศาสนาขนาดนั้นก็ได้โยม
ถ้าเป็นโยมผู้หญิงก็นั่งให้เรียบร้อยเหมาะสม
ระหว่างนี้ก็อุทิศส่วนกุศลให้คนที่รัก เจ้ากรรมนายเวรและอื่นๆ ก็ว่ากันไป

การใส่บาตรที่อยากแนะนำก็มีประมาณเท่านี้
ขั้นตอนการทำบุญง่ายๆ
ตื่นเช้ามาใส่บาตรกันเถอะครับ พี่น้อง

ใครตอบผิดไปให้เด็กประถมสอนเลย‏

Subject: FW: ใครตอบผิดไปให้เด็กประถมสอนเลย

จงเลือกคำตอบข้อที่ถูกที่สุด

ก.ซื้อส้ม 5 ผล ผลละ 3 บาท จ่ายเงิน 21 บาท
ข.ซื้อส้ม 5 ผล ผลละ 3 บาท จ่ายเงิน 15 บาท
ค.ซื้อส้ม 5 ผล ผลละ 3 บาท จ่ายเงิน 12 บาท
ง.ถูกทุกข้อ

ดช.ป๋อง...เลือก ตอบข้อ ค.

ครู::: อะไรกัน โจทย์ง่ายๆอย่างนี้เธอยังตอบผิดอีก อย่างนี้ครูคงให้เธอขึ้น ป.3 ไม่ได้แล้วล่ะ

แล้วคุณหล่ะ เลือกข้อไหนอยากรู้มั๊ยเป็นงัยต่อ เลื่อนดูด้านล่างซิ........


















ดช.ป๋อง ::: ก็ถูกแล้วนี่ฮะ โจทย์ให้ตอบข้อที่ถูกที่สุด ซื้อ 5 ผล จ่ายแค่ 12 บาท ถูกที่สุดแล้วข้ออื่นแพงกว่าทั้งนั้นเลย


555

มาลองทายกันดูนะครับ ถ้าใครตอบได้ครบ ส่งคำตอบมาเลย..(หาคนฉลาดที่สุด)‏





ไข่ปลิง‏

ดอกไม้สวย แต่อาจมีพิษถึงชีวิตได้‏

ดอกไม้สวย แต่อาจมีพิษถึงชีวิตได้


(Embedded image moved to file: pic02368.jpg)ไฮแดรนเยีย การเกิดพิษ มีพิษทุกส่วน
ถ้ารับประทานจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน กล้ามเนื้อทำงานไม่สัมพันธ์กัน เดินเซเหมือนคนเมา
หายใจลำบาก กล้ามเนื้อเปลี้ย ถ้าเป็นมากหมดสติ บางรายมีอาการชัก

(Embedded image moved to file: pic28692.jpg)ชวนชม การเกิดพิษ : ถ้าน้ำยางถูกผิว
หนังจะทำให้ผิวหนังอักเสบเป็นผื่นแดง ถ้าเข้าตา ตาจะอักเสบ กินเข้าไปจะเป็นพิษ แต่น้ำยางมีรสขมมาก
โอกาสกินมีน้อย ถ้ากินจะมีผลต่อหัวใจ อาการเบื้องต้นจะทำให้ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ตา
พร่า หัวใจเต้นอ่อน ความดันลดลงอาจตายได้


(Embedded image moved to file: pic21425.jpg)เทียนหยด ส่วนที่เป็นพิษ : ใบ ผล
สารพิษ : ใบ ผล มีสาร saponin และผลมีสาร narcotine alkaloids
การเกิดพิษ : รับประทานผลอาจตายได้ จะทำให้อาเจียน ปวดท้อง ปวดศีรษะ มีไข้ ตาพร่า กระหาย
น้ำมาก ถ้าได้รับพิษมาก เม็ดเลือดแดงแตกได้ พืชนี้เป็นพิษต่อสัตว์เลือดเย็นด้วย

(Embedded image moved to file: pic10555.jpg)คริสต์มาส ส่วนที่เป็นพิษ : น้ำยางสีขาว
จากใบ ต้น
สารพิษ : resin สารออกฤทธิ์เป็นกลุ่ม diterpene ester
การเกิดพิษ : น้ำยางถูกผิวหนังจะระคายเคืองมาก ผิวหนังเป็นปื้นแดง ต่อมาจะบวมพองเป็นตุ่มน้ำ ภาย
ใน 2- 8 ชั่วโมง ถ้ารับประทานจะทำให้กระเพาะอักเสบ

(Embedded image moved to file: pic03434.jpg)ยี่โถ ส่วนที่เป็นพิษคือ ทั้งต้น มีพิษต่อระบบ
หลอดเลือดและหัวใจพืชในกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่จะมีผลต่อการเต้นของหัวใจและแรงดันของหลอดเลือด

(Embedded image moved to file: pic16549.jpg)รำเพย ส่วนที่เป็นพิษ : น้ำยาง เมล็ด
การเกิดพิษ : น้ำยางถูกผิวหนัง จะมีอาการแพ้เป็นผื่นคัน แดง แสบ ถ้าเคี้ยวเมล็ดจะรู้สึกชาที่ลิ้นและ
ปาก มีอาการปวดแสบปวดร้อน คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ อาจท้องเสีย ง่วงนอน ม่านตาขยาย ความ
ดันลดลง หัวใจเต้นผิดปกติ ชีพจรเต้นช้าลง ถ้ามีอาการมากและรักษาไม่ทันท่วงทีอาจตายได้
(เด็กรับประทาน 1-3 เมล็ด ผู้ใหญ่รับประทาน 8-12 เมล็ด อาจตายได้)

(Embedded image moved to file: pic07441.jpg)บานบุรีเหลือง ส่วนที่เป็นพิษคือ ทั้งต้น มีพิษ
ต่อระบบ หลอดเลือดและหัวใจ พืชในกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่จะมีผลต่อการเต้นของหัวใจและแรงดันของหลอด
เลือด และทำให้ท้องเสียอย่างรุนแรง

(Embedded image moved to file: pic09512.jpg)ลำโพงขาว เมื่อ รับ
ประทานใบ ดอกหรือเมล็ด จะก่อให้เกิดอาการ สายตาพร่ามัว ปากแห้ง กระหายน้ำ มีไข้สูง มีอาการ
ทางจิตและประสาท ในกรณีที่รับประทานเข้าไปมากก็จะ เข้าขั้นโคม่า หายใจช้าลงและเสียชีวิต ในที่สุด
ส่วนที่เป็นพิษนั้นมีทั้งต้น

(Embedded image moved to file: pic30145.jpg)ราตรี โดยส่วนที่มีพิษนั้นพบ
ใน ผล ใบ ต้น ซึ่งพบสารชื่อ Solanine และ Atropine เมื่อได้รับจะทำให้เกิดอาการปากคอแห้ง
ม่านตาขยาย หัวใจเต้นเร็วแต่หายใจช้าลง ปัสสาวะไม่ออกและเสียชีวิตได้ถ้าได้รับการรักษาไม่ทันท่วงที

(Embedded image moved to file: pic18060.jpg) ดอกเข็มขาว มีสาร
บางอย่างคล้ายสารซัลยาไนท์อยู่ในดอก ไม่ควรรับประทาน

(Embedded image moved to file: pic21718.jpg)ลั่นทม ยางสีขาวขุ่นที่มีในทุก
ส่วนของต้นนั้น มีสารพิษ abobioside และ abomonoside ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของหัวใจ หัวใจ
จะเต้นเร็วกว่าปกติ ซึ่งน้ำที่คั้นจากกิ่งอ่อน หากกินเข้าไปจะทำให้เป็นตะคริว หรืออัมพาตที่กราม และ
กระเพาะปัสสาวะ เคยมีการใช้เบื่อปลา และผสมเป็นยาพิษอาบหัวลูกดอก ส่วนที่เป็นพิษคือ น้ำยางจาก
ทุกส่วนของต้น

(Embedded image moved to file: pic03753.jpg) ต้นแพงพวยฝรั่ง ส่วนที่
เป็นพิษคือ น้ำยางจากราก อาการโดยการกิน ทำให้เกิดอาการประสาทหลอน น้ำเคี่ยวจากรากมีสาร
พิษที่เป็นอันตราย กับหญิงมีครรภ์ อาจทำให้แท้งได้


(Embedded image moved to file: pic16139.jpg) ผักเสี้ยน ถ้ารับประทานดิบจะ
ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน กล้ามเนื้อทำงานไม่สัมพันธ์กัน หายใจขัด กล้ามเนื้ออ่อนเพลีย

(Embedded image moved to file: pic12423.jpg) มะกล่ำตาหนู อาการที่พบคือคลื่นไส้
อาเจียน กระหายน้ำ ถ่ายเป็นเลือด ระบบประสาทส่วนกลางเป็นอัมพาต ทำให้หยุด การหายใจถึงแก่เสีย
ชีวิต

(Embedded image moved to file: pic16279.jpg)ละหุ่ง ส่วนที่เป็นพิษคือ
ทั้งต้น มีพิษต่อระบบ หลอดเลือดและหัวใจพืชในกลุ่มนี้ ส่วนใหญ่จะมีผลต่อการเต้นของหัวใจและแรงดันของ
หลอดเลือด

(Embedded image moved to file: pic25996.jpg)ดอกมันแกว ส่วนของมันแกว
ที่รับประทานได้ไม่มีพิษ คือ หัว ใบอ่อน และฝักอ่อน แต่เมื่อใบแก่ ฝักแก่แล้วจะเป็นพิษ กินไม่ได้ ถ้ารับ
ประทานเข้าไปจะระคายเคืองระบบทางเดินอาหาร มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง และจะทำลายตับ
ไต กระเพาะอาหาร ทำให้ลำไส้อักเสบ รายที่เป็นรุนแรงอาจมีปัญหาระบบกล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อน
แรง ระบบไหลเวียนผิดปกติทำให้ชักได้ โดยสารนี้หากสูดดมเข้าไป พิษจะรุนแรงกว่า คือจะกดการหายใจ
ทำให้เสียชีวิตได้ มีการออกฤทธิ์อย่างรวดเร็วจะแสดงอาการภายใน 1 ชั่วโมง ในเมล็ดมันแกวมีสารพิษ
ได้แก่ โรเทโนน (Rotenone) เพชีไรซิน (Pachyrrhizin) มีฤทธิ์ฆ่าแมลงหลายชนิด และยังพบสาร
ซาโปนิน (Soponin) สามารถละลายน้ำได้ จะเป็นพิษต่อปลา ทำให้ปลาตาย ส่วนใบแก่ของมันแกวมีสาร
พิษที่มีชื่อว่า เพชีไรซิด (Pachyrrhizid) โดยทั่วไปชาวบ้านในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมักจะนำเมล็ด
แก่กับฝักแก่มาบด เพื่อทำเป็นยากำจัดศัตรูพืชอีกด้วย

(Embedded image moved to file: pic16687.jpg)มันสำปะหลัง มันสำปะหลังแบ่งเป็น 2
ชนิด(1) คือ
1. ชนิดหวาน ใช้เพื่อบริโภค มีปริมาณกรดไฮโดรไซยานิคต่ำ ไม่มีรสขม สามารถใช้หัวสดทำอาหาร
ได้โดยตรง เช่น นำไปนึ่ง เชื่อม ทอด
2.ชนิดขม มีรสขมไม่เหมาะสำหรับการบริโภคของมนุษย์ หรือใช้หัวสดเลี้ยงสัตว์โดยตรง เนื่องจากมี
ปริมาณกรดไฮโดรไซยานิคสูง มีความเป็นพิษต่อร่างกาย ต้องนำไปแปรรูปเป็นมันอัดเม็ดหรือมันเส้นแล้วจึง
นำไปเลี้ยงสัตว์ได้
การเป็นพิษ หากรับประทานมันสำปะหลังดิบ (Cassava) ในส่วนหัว ราก ใบ จะมีพิษทำให้ถึงตายได้
รากของมันสำปะหลังดิบมีสาร limanarin และมีเอนไซม์ limanarinase ซึ่งสามารถย่อยเปลี่ยนรูป
limanarin ได้สารไซยาไนด์ ซึ่งเป็นสารพิษที่มีความเป็นพิษสูง ทำให้เสียชีวิตได้ในเวลารวดเร็ว
สารทั้งสองตัวจะถูกทำลายเมื่อนำมันสำปะหลังมาผ่านความร้อนทำให้สุก
พิษในระยะแรกทำให้ชีพจรเร็ว หลอดเลือดขยายตัว ปวดศีรษะ เวียน
ศีรษะ ความดันโลหิตลดลง จากนั้นจะทำให้ชัก หมดสติ หัวใจหยุดเต้น ระบบหายใจล้มเหลว และ
เสียชีวิตในที่สุด
รากที่มีรสขมมีไซยาไนด์มากกว่ารากที่มีรสหวาน รากมันสำปะหลังดิบที่มีรสหวานมีไซยาไนด์
ประมาณ 20 mg/kg และในรากที่มีรสขมมีไซยาไนด์มากถึง 1 g/kg ปริมาณการกินสารกลุ่ม
nitrile ซึ่งมีไซยาไนด์อยู่ด้วยแล้วทำให้เสียชีวิตประมาณ 100 mg/kg

เป็นห่วง ระวังหน่อยนะ

















ค้นหา