วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2553

Samba Pianist

กฎแห่งกรรม (รู้แล้วอย่าทำกรรม)

กฏแห่งกรรม
1. เหตุใดคุณมีเสื้อผ้าแพรพรรณอันงดงามสวมใส่มากมาย
เพราะชาติก่อนคุณเคยถวายจีวรแด่พระสงฆ์

2. เหตุใดชาตินี้คุณมีอาหารดีดีรับประทานอยู่เสมอ
เพราะชาติก่อนคุณเคยทำทานอาหารแก่คนยากจนในชาติก่อน

3. เหตุใดชาตินี้คุณอดอยากยากจน ไม่มีเสื้อผ้าดีดีสวมใส่
เพราะคุณตระหนี่ขี้เหนียวไม่ยอมทำทานคนจน ในชาติก่อน

4. เหตุใดชาตินี้คุณมีบ้านเรือนให ญ่โต
เพราะคุณเคยถวายข้าวสารเข้าวัดในชาติก่อน

5. เหตุใดชาตินี้คุณมีความเจริ ญรุ่งเรืองและมีความสุขมาก
เพราะคุณเคยถวายเงินสร้างวัดในชาติก่อน

6. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนสวย และรูปงาม
เพราะคุณเคยถวายดอกไม้สดบูชาพระด้วยความเคารพในชาติก่อน

7. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องมีปัญญาดี
เพราะคุณเคยเป็นพุทธมามกะและทานมังสวิรัติในชาติก่อน

8. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นที่รักของทุกๆ คนและมีเพื่อนมากมาย
เพราะคุณเคยสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อทุกคนในชาติก่อน

9. เหตุใดชาตินี้คุณมีพ่อ แม่อยู่พร้อมหน้า
เพราะคุณเคารพและให้ความช่วยเหลือ ไม่ดูแคลนคนไร้ ญาติในชาติก่อน

10. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นเด็กกำพร้า
เพราะคุณเคยยิงนก ตกปลา และพรากสัตว์ในชาติก่อน

11. เหตุใดชาตินี้คุณมีอายุยืนแข็งแรง
เพราะคุณเคยปล่อยนก ปล่อยปลา สิ่งมีชีวิตในชาติก่อน

12. เหตุใดชาตินี้คุณอายุสั้น
เพราะชาติก่อนคุณเคยฆ่าสัตว์มากมาย

13. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนรับใช้
เพราะชาติก่อนคุณเคยดูถูกเหยียดหยามคนจน

14. เหตุใดชาตินี้คุณมีดวงตาสดใส
เพราะชาติก่อนคุณเคยเติมน้ำมันตะเกียงและจุดไฟบูชาพระ

15. เหตุใดชาตินี้คุณโง่ปั ญญาอ่อนและหูหนวก
เพราะชาติก่อนคุณเคยด่าว่าและหยาบคายต่อหน้าพ่อแม่

16. เหตุใดชาตินี้คุณต้องตายเพราะยาพิษ
เพราะชาติก่อนคุณเจตนาวางยาในต้นน้ำลำธารให้เป็นพิษ

17. เหตุใดชาตินี้คุณจึงแขวนคอตาย
เพราะชาติก่อนคุณใช้ตะข่ายล่าและดักสัตว์

18. ถ้าชาตินี้คุณฆ่าเขา
ชาติหน้าเขาก็จะฆ่าคุณ และจะฆ่ากันไป-มาไม่มีสิ้นสุด

19. ถ้าชาตินี้คุณบอกเล่ากฏแห่งกรรม
คุณจะเป็นที่เคารพนับถือมากมายในชาติหน้า

How Chinese Use Condoms ~clean & practical

Dentist in INDIA

SUPER MAGIC...amazing Dress Changes

62 YEAR OLD CASHIER DANCES

ประกาศวัยรุ่นไทยโปรดทราบ

Subject: FW: ประกาศวัยรุ่นไทยโปรดทราบ


***จำไว้นะ เวลาเจอคำนี้จะได้รู้กัน (ไม่เหวง)***


ประกาศวัยรุ่นไทยโปรดทราบ

หลังเหตุการณ์เจรจา บัดนี้คำว่าเหวง กลายเป็นศัพท์ฮิตใหม่ไปแล้ว แปลว่าพูดไม่รู้เรื่อง

ยกตัวอย่าง "มรึงอย่ามาเหวงได้มะ"
"อย่าไปคุยกะมัน แม่งเหวง"
"เหวงแระไอ้นี่ เลิกคุยๆ"

เรียนนำให้ไปใช้โดยทั่วกัน คำนี้แรงก่อนใช้คิดก่อน รักษาน้ำใจด้วยครับ

วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2553

Chinese Acrobats......หลวงจีนน้อย ทำได้ไง ฝีมือล้วนๆ

Two Giants of entertainment! Belafonte and Danny Kaye.

มีกิ๊กติดคุก 6 เดือน กฎหมายใหม่ คุมคู่แต่งงาน

เออ...มันเป็นไปได้นะ...สนุกล่ะสิทีนี้....
>
>
> มีกิ๊กติดคุก 6 เดือน กฎหมายใหม่ คุมคู่แต่งงาน (ข่าวสด)
>
> กระทรวงการพัฒนาสังคมฯ เร่งกำหนดคำนิยาม "สามีและภรรยานอกใจ-มีชู้-มีกิ๊ก"
> ลักษณะใดเข้าข่ายทำร้ายจิตใจตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว
> บ้าง หลังกฎหมายมีผลบังคับใช้เมื่อเดือน พฤศิกายน ปีที่แล้ว ระบุ
> การกระทำผิดลักษณะดังกล่าวมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 6 พันบาท
> หรือทั้งจำทั้งปรับ
> ด้านเอ็นจีโอจี้พม.เผยแพร่กฎหมายดังกล่าวแจกคู่มือคนทำงาน-ประชาชน
>
> นางจิตราภา สุนทรพิพิธ รองผอ.สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว
> กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)
> เปิดเผยว่าพ.ร.บ.คุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550
> ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา
> ระบุว่าความรุนแรงในครอบครัว หมายถึง การกระทำใด ๆ
> โดยมุ่งประสงค์ให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ หรือสุขภาพ
> หรือกระทำโดยเจตนาในลักษณะที่น่าจะก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกาย จิตใจ
> หรือสุขภาพของบุคคลในครอบครัว หรือบังคับ
> หรือใช้อำนาจครอบงำผิดทำนองคลองธรรมให้บุคคลในครอบครัวต้องกระทำการ ไม่กระทำการ
> หรือยอมรับการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดโดยมิชอบ
>
> "ดังนั้น กรณีที่ผู้หญิงและผู้ชายถูกสามีหรือภรรยาตัวเองนอกใจโดยไม่เต็มใจ
> ย่อมถือเป็นการทำร้ายจิตใจด้วย สามารถใช้สิทธิ์ฟ้องดำเนินคดีตามกฎหมายนี้ได้
> โดยโทษสูงสุดคือจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 6 พันบาท
> หรือทั้งจำทั้งปรับโดยสำนักงานกิจการสตรีฯ
> จะเร่งหารือกับผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเพื่อกำหนดนิยามของความรุนแรงด้านจิต
> ใจให้ชัดเจนว่าต้องมีระดับความรุนแรงอย่างไร
> หรือส่งผลกระทบกับผู้ถูกกระทำมากน้อยเพียงใด จึงจะเข้าข่ายตามกฎหมายนี้"
> รองผอ.สำนักงานกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กล่าว
>
> ด้าน น.ส. สุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิสตรี มูลนิธิเพื่อนหญิง
> เปิดเผยว่า พบว่ามีผู้หญิงปรึกษาปัญหาความรุนแรงในครอบครัว 3,496 กรณี
> ส่วนใหญ่ประสบปัญหามากกว่า 1 กรณี และมักเก็บเงียบ บางรายกลายเป็นผู้ต้องหา
> พยายามฆ่า หรือฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาในที่สุด
> โดยแอลกอฮอล์เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความรุนแรงในครอบครัวมากที่สุด

วันจันทร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2553

ไม่ใช่เป็นสี เหลือง ไม่ใช่เป็นสีแดง แต่เป็นคนรักพระเจ้าอยู่หัว

วันที่ในหลวงเสด็จกลับวังสวนจิตรลดา เรากะพ่อนั่งดูทีวีกัน
ภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราทอดพระเนตรสายน้ำเจ้าพระยาเบื้องหน้า ข้างพระองค์...
มีคุณทองแดงสุนัขทรงเลี้ยงที่แสนซื่อสัตย์ ...
ภาพนั้นเราจะจำไม่ลืม...
0000000000000000000000000000000000000000000000000000
พลันก็มีเสียงพ่อพูดเบาๆ เล่าเรื่องบางเรื่องที่ทำให้เราอยากส่งต่อ......

พ่อเล่าถึงเรื่องของเพื่อนรักคนหนึ่งที่นั่งคุยกันระหว่างจิบเบียร์ในคืนที่ฝนตกพรำๆ เพื่อนรักของพ่อคนนั้นเล่าว่า...

วันหนึ่งนั่งรถแท็กซี่ แท็กซี่ก็พูดเรื่องราวต่างๆ มากมายอย่างที่แท็กซี่สมัยนี้ชอบพูดกัน
เพื่อนพ่อนั่งฟังอยู่สักพักก็บอกกับคนขับว่า ขอพูดอะไรสักอย่างได้ไหม
ผมไม่ใช่สีอะไร หรือเสื้อสีอะไรทั้งนั้น แต่แค่สงสัยว่าคนไทยเป็นอะไรกัน..

ครั้งหนึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งไปแย่งอำนาจการปกครองมา
มีครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่งที่แสนจะธรรมดาหลบหลีกความวุ่นวายขณะนั้น
ไปใช้ชีวิตเรียบง่ายสมถะ ณ แดนไกล
อาศัยอยู่ตามอัตภาพในประเทศเล็กๆ ประเทศหนึ่ง
จากนั้นเมื่อคนกลุ่มที่ได้อำนาจตกลงกันไม่ได้ก็ตามให้ครอบครัวนั้นกลับมา
แล้วคนในครอบครัวเล็กๆ ธรรมดานั้นก็ทำงานให้คนไทยมาตลอดทั้งชีวิต อย่างทุ่มเท
แล้วพอวันเวลาผ่านไป...จู่ๆ ก็มีคนมาไล่คนๆ นั้นที่ทำงานอย่างไม่เคยอยากได้อะไรตอบแทน...

คุณจะให้เขาไปอยู่ที่ไหน เมื่อเขามีอายุมากขนาดนี้
ถ้าเป็นผมครบ 60 ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องมาตรากตรำทำงานอีก
ผมเองนี่ก็ใกล้แล้ว นอนอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ดีกว่าหรือ
คุณจะให้เขาไปอยู่ไหน...
คนไทยเป็นอะไรกันไปแล้ว...

ความคิดที่ไม่ซับซ้อนของเพื่อนพ่อ และการเล่าเรื่องที่ฟังง่ายๆ
แต่เราว่ามันลึกซึ้งเหลือเกินในความรู้สึก ...

เราคิดว่าคงไม่ใช่แค่คนขับแท็กซี่หรอกที่นิ่งอึ้งไป
เราก็รู้สึกเหมือนมีก้อนสะอื้นอะไรสักอย่างอยู่ในลำคอ
คุณก็คงเหมือนกัน...ถ้าคุณยังพอมี"ความทรงจำ"เกี่ยวกับท่านอยู่บ้าง
ท่านที่ทรงงานหนักเพื่อคนไทย
ท่านที่ใครมาบอกว่าร่ำรวยที่สุดในเอเชียอะไรนั่น (คุณคิดเช่นนั้นหรือ)
ท่านผู้ทรงไม่เคยใช้ชีวิตอย่างเศรษฐีเหมือนที่หลายคนทำ
ท่านที่ทรงเป็นพระผู้ให้คนไทยมากว่า 60 ปี
ท่านผู้ทรงมีพระชนมายุกว่า 80 พรรษา
คุณอยากได้อะไรจากท่านอีกหรือ... ?

แฉเปลือก.......... ไอ้ธุรกิจหารายได้พิเศษ ทำงานผ่านเน็ต ไม่จำกัดวุฒิ - มันคืออะไรกันแน่?

บอกตรง ๆ ว่า ได้รับเมล หัวข้อ แพนเค้ก เขมนิจ ทุกวันน่าเบื่อหน่ายมาก ๆ
จะทำอะไรกับพวกชอบส่งดีนะ.......สาบแช่งเลยนะ
เอามาจากในเวปพันทิปนะ ใครที่สนใจจะลองทำอยู่ หรือเคยได้รับอีเมล์แบบนี้อยู่บ่อยๆ ลองอ่านดูก่อนนะ

.
.

เนื่องจากเจ้าของกระทู้ เคยถูก เพื่อนร่วมสถาบัน หลอกลวง ไป

ด้วยความอยากรู้อยากเห็นว่าไอ้ที่โฆษณา ที่ว่า


"""รับสมัครงานโปรโมทเวบไซท์แพนเค้ก เขมนิจ



ทำหน้าที่ส่งเมลล์รายได้ 10,000-50,000 บาทต่อเดือน

อายุ 17ปีขึ้นไป (ไม่จำกัดวุฒิ)

ใช้ Internet และ คอมพิวเตอร์พื้นฐานได้

แบบฟอร์มสมัครงาน คลิก!!!!! """


เนี่ย มันเป็นยังไง มันทำแล้วได้เงินจริงหรอ

ก่อนจะไปเจ้าของกระทู้ ยังชั่งใจอยู่ว่า มันจะได้จริงหรอ งั้นคนไม่ต้องออกไปทำงานประจำกันแล้วมั้ง
ส่งอีเมลอยู่กับบ้าน ได้เงินขนาดนั้น

วันแรก ก็ไปที่ตึก ออลซีซั่น ตรง ถนนวิทยุ ตรงข้ามสถานทูตอเมริกา
มันก็นัดไปฟังๆๆๆ ซึ่งก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรเลยนอกจากที่รู้ๆมาว่า
ทำงานผ่านเน็ต ส่งอีเมลหาลูกค้า ซึ่งจากที่ไม่ได้ข้อมูลอะไรเลยนอกจากข้อมูลเดิมๆ เขาก็นัดให้มาใหม่ที่โรงแรมวินด์เซอร์

วัน รุ่งขึ้น จขกท. โดนโทรมาปลุกแต่เช้าเพื่อให้ไปโรงแรม พอถึงโรงแรม ที่หน้างานก็ บอกว่า ต้องจ่ายค่าเข้าร่วมงาน600บาท เพื่อเป็นค่าส้มนาและค่าอาหารกลางวัน ถ้าไม่ฟังวันนี้ ก็จะพลาดโอกาส เพราะเขาเป็นธุระกิจโครตยิ่งใหญ่ต้องเวียนจัด ซึ่งอาทิตย์หน้าจะต้องไปจัดที่เกาหลี (จริงๆจัดทุกอาทิตย์แหล่ะ) หลังจากเข้าฟังๆๆๆไปก็ยังไม่ได้คำตอบอะไร มีแต่คนมีพูดถึงความสำเร็จที่ว่า ได้เดือนเป็นแสนเป็นล้าน

อย่าว่าอย่างงู้นงี้เลย เพราะคนที่บอกว่าได้เป็นแสนเป็นล้านนี่ดูหน้าตาการแต่งตัว คือมันไม่ใช่อ่ะ

เจ้า ของกระทู้เริ่มเบื่อเพราะรู้สึกว่าที่ฟังมามันยังดูแปลกๆ แค่ส่งอีเมลได้เป็นแสนเป็นล้าน จนเจ้าของกระทู้แบบ เอาวะ รอกินข้าวโรงแรมให้สมกับที่จ่ายไป600ก่อนแล้วกัน แล้วไปเดินเล่นสยามดีกว่า ปรากฏ กินข้าวเสร็จจะออกแล้ว

เจ้าของกระทู้โดนด่าเลย ที่ลุกออกจากงาน ไม่มีมารยาท -*-

ก็เลยเอาวะ ไม่ออกก็ได้เอาให้มันรู้ไปเลยว่านี่คืองานอะไรกันแน่
ปรากฏ นั่งไปทั้งวัน จนงานเลิก เกือบๆ6โมงเย็น เจ้าของกระทู้ก็ยังไม่เข้าใจว่ามันงานอะไรกันแน่ ถามใครก็ไม่มีใครตอบ

ปรากฏ ท้ายงาน ก็มีคนมาบอกว่า พรุ่งนี้ต้องกลับบไปที่ตึก ออลซีซั่น ใหม่
เพื่อฟังเป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็จะบรรจุขอมูลของเราลงดาต้าเบท ของบริษัทเลย

เรา ก็กลับไปในวันรุ่งขึ้น ก็นั่งฟังตั้งแต่4โมงเย็นจน2ทุ่ม ก็ยังไม่ได้ข้อมูลอะไร พูดจา เวิ้นเว้อ จนกระทั่ง30นาทีสุดท้ายถึงบอกความจริงว่านี่คือธุระกิจขายตรง ให้เราไปขายของเฮอร์บาไลฟ์ โดยต้องเสียเงินค่าส่งทุน เป็น ซุปเปอร์เวเซอร์38,000บาท เพื่อนำผลิตภัณท์ไปขายต่อ

แบบ โหววววว ทุกวันนี้ จขกท. ยัง งง ว่า มันเกี่ยวกะงานอีเมลยังไง

อาทิตย์นึง มีคนถูกหลอกไปร่วมงานนี้กว่า 500คน

อาหาร โรงแรมก็จริงแต่มันเป็นอาหารพื้นๆเลยนะ ให้เต็มที่ ค่าอาหาร300บาท/คน แล้วเก็บ600บาท/คน แล้วอาทิตย์นึงคนไปร่วมงานเป็นหลายร้อยคน

แบบฟังดูแล้วไม่ค่อยแฟร์กับคนที่ไม่รู้เรื่องเลยอ่ะ





------------ --------- --------- --------- --



แต่ของผมโดนเพื่อน และรุ่นน้องที่มหาวิทยาลัยโทรมาให้ชื้อของที่นี้ บอกว่าจะลดความอ้วนได้ตามโปรแกรมต่างๆที่วางไว้ ช่วงนั้นผมโดนโทรมาเกือบทุกวัน วันละหลายเวลา จนผมทนไม่ไหว ต้องว่ากลับไป จนทุดท้ายเลิกคบเพื่อนและน้องๆคนนั้นเลยครับ ประมาณว่าเสียความรู้สึก

ส่วน เรื่องอีเมล์ พวกที่ส่งเมล์ ก็เปลี่ยนเมล์ทุกวัน สมัครเมล์ใหม่ทุกวัน ที่สำคัญคนที่ส่งเมล์มาให้เรา เขาได้เงินนะครับ ประมาณว่าทำนาบนหลังคน ตัวเองได้เงินจากการสร้างความรำคาญให้คนอื่น

ตอนนี้บริษัทแบบนี้ทำเป็นขบวนการแล้วนะครับ



------------ --------- --------- --------- ------



ผมโดนรุ่นพี่ชวนไปทำครับ

คือผมเริ่มหมั่นไส้ บริษัทหอกนี่ก็ตรงนี้แหละ มันจะขย้อนๆบอก เหมือนพวกขี้ติดตูดทำไม บอกมาให้หมดเลยสิ ว่าจะให้ทำอะไรมั่ง วันไหน ยังไง
ขายอะไร ทำอะไร รวยยังไง นัดไปทำหอกอะไรซ้ำซากหลายๆวัน
ตอนนั้นผมเิริ่มแบบไม่อยากจะยุ่งด้วยแล้ว ติดที่ว่ารุ่นพี่เป็นคนชวน

ที นี้เค้าจะอธิบายวิธีการทำงานของที่นี่ ว่า ขั้นแรกอยากจะขายสินค้า ต้องมีเงินเปิดบัญชีถึง 37000 แต่ว่าเค้าจะมีทางที่จะช่วยเรา หาเงิน 37000 นั่น

"คือเราต้องช่วยเค้าขายสินค้าจากคนใกล้ตัว แล้วเราจะได้ส่วนแบ่งจนถึง 37000 ทำให้เราเปิดบัญชีอะไรนั่นได้"

คน ใกล้ตัว ซึ่งนั่นก็คือเพื่อน หรือเพื่อนของเพื่อน เนี่ยแหละ ทำให้ผมเริ่มหมั่นไส้อีก คิดว่าเพื่อนหรือเพื่อนของเพื่อนผม มันจะมีตังซื้อสินค้าไอ้นี่ที่ราคา 3000 บาท รึไง (ถ้ามีก็แล้วไป) แต่คนเรามันไม่เหมือนกัน สังคมไม่เหมือนกัน ทำวิธีนี้ทุกคนไม่ได้หรอก

ซึ่งสุดท้ายแล้ว ผมก็ทำวิธีนี้ไม่ได้ ถึงเพื่อนผมจะอ้วนเป็นโขลงๆเลยก็ตาม
"แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะมีตังซื้อไอ้สินค้าที่ทำให้หุ่นเพรียวนี่"

"ผมไม่ชอบเลย ที่นี่มันขายของยังกะขายลูกอม"

สุดท้ายผมทำวิธีนี้ไม่ได้ ที่ปรึกษาระดับสูงๆ ก็เลยมาบอกผมว่า

"เมิงไม่มีตังค์ใช่มั้ย (คือไอ้บริษัทนี่ใช้วาจาสุนัขไม่รับประทานในการสนทนากันครับ)"
" ตอนเริ่มต้น รุ่นพี่เมิงก็ไม่มีตังเหมือนกัน แต่ว่าเขาขวนขวายหาตังมาจนได้"(เอาเริ่องความมานะบากบั่น มากล่อมให้ตูละอายแก่ใจอีก -*-)
"เพื่ิอนเมิงน่ะ มีมั้ย"
"เพื่อนเมิงซัก 10-20 คน ยืมคนละพันสองพันเมิงก็เปิดบัญชีได้แล้ว"

ตรงนี้แหละที่ทำให้ผมฉุนกึ้ก กับไอ้ที่ปรึกษาระดับสูงคนนี้ แถมมันยังบอกอีกว่า

"ตอนสมัยรุ่นพี่เมิงก็เหมือนเมิงนี่แหละ"(มีเปรียบเทียบอีก)
"ตอนแรกทำยังไงมันก็ไม่ยืม จนสุดท้าย กรูนี่แหละ เรียกให้มันมานั่งข้างหน้ากรู แล้วให้มันโทรยืมเพื่อนมัน ต่อหน้ากรูนี่แหละ"
"ปากเมิงมันก็บอกว่า ทำไม่ได้ ทั้งๆที่ยังไม่ได้ลงมือทำเลย ทำไมเมิงเป็นคนแบบนี้วะ"(หอกเอ้ย มาเสี้ยมสอนตูอี้กก)

สุดท้ายแล้ว ผมเลยตัดสินใจเลิกยุ่งกับไอ้บริษัทนี่ทันที
ผมเชื่อ ว่าทำแล้วมันได้ตังค์จริง แต่ผมเกลียดวิธีการของเค้า
ใครมีทุนหน่อย จะลองลงทุนดู แล้วก็เสียเวลาไปนั่งฟังประชุมทุกวันก็ลองละกันครับ อาจจะรวยเงินล้านจริงๆก็ได้

สินค้าเค้าดีจริงครับ ผมเคยลองใช้มาบ้าง แต่การทำงานที่นี่อุบาทว์ต่างจากสินค้ามากครับ




------------ --------- --------- ------



หุหุหุๆ ไอ้ยี่ห้อนี้ บ้านเราเคยโดนเป็นแสนๆเลยนะ ไอ้ซุปเปอร์ไวเซอร์นี้

แต่แม่กับพี่สาวเราโดนล้างสมองไปแล้วก็ขี้เกียจจะไปขัด

ทะเลาะกันบ้านแทบแตก มีบังคับไปประชุมที่รีสอร์ทวังตระไคร้ด้วย

จะได้หนีไปไหนไม่ได้ โดนล้างสมองเต็มๆ ให้ไปนั่งตบมือ

คนนี้สำเร็จคนนั้นสำเร็จ คุณก็เป็นอย่างผมได้

(ไปเป็นเพื่อนแม่เรานั่งฟังมันเป็นวันยังไม่เข้าใจเลย ใครพูดอะไรก็ตบมือๆ)

พอเป็นซุปแล้ว ก็จะได้ลด 50% เฉพาะ ตอนนี้เท่านั้น

ต้องซื้อตุนอย่างงั้นอย่างนี้ เสี้ยมมันทุกวันกำไรเห็นๆ รวยแน่ๆ

ถามว่าพวกวิตามินมันก็โอเคนะ เป็นผักผลไม้ไฟเบอร์อะไร

กินแล้วก็ถ่ายดีจริงๆ เขียวเป็นผักเชียว แต่โห เม็ดใหญ่เท่าลูกชิ้นรักบี้

ราคานี่ซื้อบัตรไปดูเดี่ยว8 แบบที่นั่งดีๆได้เลยนะ แพงshipหาย


แม่เราญาติเรา นั่งกินเชคชงเอง ใส่นมใส่ผงอะไรเขย่าๆแช่เย็น

พูดตรงๆรสชาติก็อย่างอ้วก เห็นแล้วก็อยากอ้วก แค่คิดจะกินก็ผอมแล้วอะ

พอซื้อมาแล้วขายไม่ออก ไปให้มันช่วยขาย รับคืน มันก็ไม่รับคืน

ไอ้ที่โทรมาทุกวัน พอเสียเงินค่าโง่จนมันอัพไปไม่รู้กี่ระดับก็เงียบไป

สุดท้ายก็ได้แต่ยอมรับว่าโง่เอง ก็อ่านเอาละกัน คิดแล้วหงุดหงิด

อีเมลมันยังส่งมากวนใจ เปลี่ยน topic ไปเรื่อยๆๆๆ

ที่ จขกท เล่ามาด้านบนเป็นเรื่องจริงทุกประการนะ เราก็เคยได้ยิน

คนรู้จักเล่ามาเหมือนกัน เตือนแล้วก็ไม่เชื่อ ไอ้ตึก allseason นั่นแหละ

ขออย่าให้ใครหลงเชื่อมันอีกเลย สาธุ !



------------ --------- --------- --------



น้องคนรู้จักเคยโดนหลอกไปฟัง...ฟังเสร็จละอินโคตรๆ
ออกมามึนเหมือนโดนมนต์ ตื้อที่บ้านจะเอาเงินให้ได้
แต่พี่ชายเค้าเป็นตร. เลยไปเเถวนั้นเอาทะเบียนรถมาตรวจ
(เค้าอ้างว่ารถคันนี้เป็นของคนนั้น ทำงานละขับเบนซ์)
ปรากฎ...เป็นรถเช่ามาทั้งหมดเลย -_-!! ซึ้งสนิทหายบ้าเลย



------------ --------- --------- ---------



เราอยากจะบอกว่าเราก็เคยเจอแต่แค่คุณลองใช้สติคิดให้ ดีสิคะว่าแค่คุณทำงานจาก internet วันละไม่กี่ชั่วโมงจะหาเงินได้หลักแสนหลักล้านเหรอ ความโลภทำให้เราโดนหลอก ถ้าอย่างนั้นพวกคุณไม่ต้องเรียนหนังสือกันแล้วล่ะค่ะ ปริญญาโทยังไม่ได้เงินเยอะขนาดนั้นเลย



------------ --------- --------- --------- --


คยไปที่ตึก Thai CC ค่ะ

อยากรู้ว่างาน part time อะไรได้เงินดีเลยลองส่งข้อมูลไป
เข้า ไปแล้วหนวกหูมาก คือเปิดดนตรีเสียงดัง โฆษณาว่าผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพกำลังมาแรงอย่างนั้นอย่างนี้ ... ใจเราไม่อยากฟังพวกนี้ แต่ด้วยความอยากรู้ว่าจะมีระบบทำงานอะไรที่มัน work มั๊ย เลยทนฟังต่อไปเรื่อยๆ

ซักพักก็มีคนซักประมาณ 20-30 คนต่อคิวขึ้นมาบอกว่า เริ่มงานกับ Herballife มากี่ปี สิ้นเดือนที่แล้ว Herbalife จ่ายให้ xxx บาท ขอบคุณ Haerballife ค่ะ/ครับ (เรียงลำดับคตั้งแต่หลักหมื่นยันหลักล้าน)
ทุกคนพูดจบก็จะมีเสียงกรี๊ดจากหน้าม้าด้านหลังประกอบกับเสียงดนตรีที่ดังจนแก้วหูสั่น

จนสุดท้ายเค้าบอกว่าให้แยกกลุ่มคุยกับผู้ที่ประสบความสำเร็จทั้งหลายแหล่ ..แต่ตอนนั้นรู้ทันละ เลยไม่เข้ากลุ่ม กลับบ้านเลยดีกว่า

เราโชคดีว่าคนที่เค้าชวนไม่ตื้อ เลยจบไปแบบไม่เสียความรู้สึกมาก

วิธีดูตัวเองอีคิวสูงหรือต่ำ

วิธีดูตัวเองว่ามีอีคิวสูงหรือต่ำ ดูได้ 4 เรื่อง - ดร.สนอง วรอุไร
หนังสือ อีคิวกับผู้สูงอายุ
ดร.สนอง วรอุไร
ชมรมกัลยาณธรรม

- ความโกรธเป็นเหตุให้เกิดความคิดไม่ดี
- หากเลิกโกรธได้ทันที -นั่นแหละ จิตมีความฉลาดทางอารมณ์สูง
- บางคนมีอารมณ์โกรธตั้งแต่เช้าจนดึกดื่นเที่ยงคืนยังไม่หายโกรธ -นั่นเป็นเครื่องแสดงว่าจิตมีอีคิวต่ำ -ในที่สุดผลร้ายจะเกิดตามมาแน่นอน



อยาก จะรู้ว่าตัวเองมีอีคิวสูงหรือต่ำ ดูได้ 4 เรื่อง

1. ดูที่พฤติกรรมต้องดูเรื่องการคิดพูด ทำ
พฤติกรรมด้านการคิด
- ถ้าคิดแล้วมีสาระ คิดสร้างสรรค์ -คิดจะให้ -คิดไม่เบียดเบียน -นี่คืออีคิวสูง นี่แหละคือพวกที่มีอีคิวสูง คิดมีสาระ คิดสร้างสรรค์ คิดแก้ปัญหา คิดช่วยเหลือ คิดให้
- ถ้าคิดฟุ้ง คิดเพ้อเจ้อ คิดแต่สิ่งไร้สาระ- คิดเบียดเบียน- คิดจะเอาจะได้ คิดสร้างปัญหา--> นี่แหละอีคิวต่ำ

พฤติกรรมด้านการพูด
- พูดความจริง พูดมีสาระ พูดแล้วเกิดกำลังใจ เกิดแรงจูงใจ- พูดไม่นินทา ไม่ให้ร้าย -พูดแล้วเกิดความปรองดอง เกิดความร่วมมือ- คำพูดต่าง ๆ เหล่านั้นเป็นคำพูดของคนที่มีอีคิวสูง
- ถ้าวันนี้พูดอย่าง มะรืนนี้พูดอีกอย่าง พูดกลับไปกลับมา -อย่างที่บางคนแสดงในจอโทรทัศน์ให้เราดู -พูดกลับไปกลับมา พูดไม่จริง- พูดแล้วไร้สาระ -ฟังแล้วไม่เข้าใจ ฟังแล้วเกิดความสงสัย- พูดแล้วเกิดท้อแท้ ไม่เกิดกำลังใจ -พูดแล้วแตกความสามัคคี -พูดนินทาคือพูดถึงคนอื่นในทางที่ไม่ดีลับหลัง -คำพูดต่าง ๆ เหล่านี้ออกมาจากปากของใคร ก็แสดงว่าคนพูดมีอีคิวต่ำ

พฤติกรรมด้าน การกระทำ
- ทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ -ทำแต่สิ่งที่ไม่เบียดเบียน -ทำเพื่อผู้อื่น ทำเพื่อสังคม ทำเพื่อส่วนรวม - เป็นการกระทำของคนที่มีอีคิวสูง
- ถ้ามีเป้าหมายในการทำที่ดีมีแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ มีสาระ -ทำในสิ่งที่สร้างสรรค์ สิ่งที่ทำให้สังคมสงบเย็น- ทำในสิ่งที่ทำให้จิตวิญญาณของตนงอกงาม -นั่นคือการกระทำของคนที่มีอีคิวสูง
- ถ้าทำแต่สิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ส่วนรวม -เบียดเบียน คอร์รัปชั่น -ข่มขู่ ฉ้อฉล คดโกง -นั่นแสดงถึงการกระทำของคนที่มีอีคิวต่ำ เป็นการทำลายสังคม ไม่ได้สร้างสรรค์สังคม ทำให้คนอื่นเดือดร้อน



2. ด้านบุคลิกภาพ
- ถ้าเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน -แสดงว่ามีอีคิวสูง
- ถ้าเป็นคนที่คับแคบ ไม่เชื่อ ไม่ฟัง ไม่สนใจ -ใครพูดอะไรไม่เชื่อ จิตใจคับแคบ ไม่รับฟัง -นั่นแสดงถึงคนมีอีคิวต่ำ
- ถ้าเราเปิดใจให้กว้าง- รับได้ทุกสถานการณ์ ทั้งดีทั้งไม่ดีฟังได้- ข้อมูลความรู้จะเข้ามามาก จะแก้ปัญหาชีวิตง่าย
- คนที่มีจิตใจคับแคบ มีอีคิวต่ำ -จึงแก้ปัญหาชีวิตได้ยาก- เพราะเขามีบุคลิกภาพเป็นคนคับแคบ
- ฉะนั้นเรื่องความอ่อนน้อม มีใจที่ไม่คับแคบ- มีใจเอื้ออาทร เห็นอกเห็นใจเห็นแก่ผู้อื่น -พวกอีคิวสูง
- ผู้มีบุคลิกภาพเป็นคนที่สงบเย็น มีเมตตา- ใครเขาจะด่าจะว่า มีแต่ใจสงบเย็น -พวกที่สงบเย็น มีเมตตาใคร ๆ ก็อยากเข้าใกล้ เมตตาเป็นความรักความปรารถนาที่จะให้คนอื่นได้รับประโยชน์และมีความสุข นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับใจที่มีเมตตา
- ถ้ารักเขาและเขาไม่เป็นไปตามที่ใจต้องการแล้วเกิดโทสะ อย่างนี้ไม่มีจิตเมตตา เป็นรักแบบมีตัณหาสนับสนุน
- เมตตา เป็นบุคลิกภาพที่แสดงถึงใจที่มีอีคิวสูง

- ถามตัวเองว่าเป็นคนร้อนหรือคนเย็น -ถ้ามีอารมณ์ร้อนแสดงถึงอีคิวต่ำ -ร้อนน้อยอีคิวก็สูงขึ้นหน่อย -ถ้าไม่ร้อนเลยอีคิวสูงสุด
- ถ้าเป็นคนขี้เกียจ ไม่อดทน -ทำอะไรเหนื่อยยากหน่อยก็บ่น -ไปไหนมาไหนก็บ่น ไม่อดทน -แสดงให้เห็นถึงการมีอีคิวต่ำ
- ถ้าขยันและมีความอดทน- ไม่พูด ไม่บ่น ทำงานไปเรื่อย ๆ-แสดงถึงการมีอีคิวสูง
- เป็นคนที่มีความรับผิดชอบ -ทำอะไรแล้วไม่เสียงาน -พวกนี้มีอีคิวสูงเป็นเครื่องสนับสนุนการทำงาน



3. สุขภาพ
- ถ้าจิตมีอีคิวต่ำ จะทำให้สุขภาพเสื่อม -เพราะอีคิวสะท้อนให้เห็นถึงโปรแกรมจิต
- จิตที่มีสำนึกดีจะกำหนดโปรแกรมจิตไว้ดี positive thinking -ถ้ากำหนดโปรแกรมจิตเป็นบวก คือเห็นถูกแล้วคิดดีอยู่เสมอ อีคิวจะสูง เพราะอีคิวสูงจึงส่งผลให้มีสุขภาพดี
- ผู้ใดคิดว่าตัวเองจะเป็นโรคนั้น จะเป็นโรคนี้ - แสดงถึงจิตมีอีคิวต่ำ กำหนดโปรแกรมจิตไว้ไม่ดี เพราะคิดไม่ดี จิตก็สั่งสมแต่สิ่งไม่ดี เมื่อเหตุปัจจัยไม่ดีลงตัว ก็เป็นโรคแน่นอน

- มีคนเป็นเนื้องอกที่รังไข่ แล้วก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ -ผมรู้จักดีเพราะว่าใกล้ชิด ได้เห็นบุคลิกภาพของเขา โปรแกรมจิตของเขาผิดไปหมด บุคลิกภาพผิด อีคิวจึงต่ำ เพราะอ่านเขาออก แต่ไม่มีสิทธิ์บอกเขา เพราะเขาไม่ได้มาขอคำแนะนำ

- จนวันหนึ่งเขาบอกว่าเขาเป็นเนื้องอกที่รังไข่ จะทำอย่างไร -ปรกติเขาเป็นคนมีอีคิวต่ำ ต้องทำให้มันมีอีคิวสูง เช่น ปกติเป็นคนร้อนก็ทำให้เป็นคนสงบเย็๋น -อะไรที่ปล่อยวางได้ก็ปล่อยวางลงบ้าง -ถ้าจิตใจไม่เข้าไปเกี่ยวข้องในด้านติดลบกับระบบสรีระต่าง ๆ อวัยวะต่าง ๆ ก็ทำหน้าที่ของมันเป็นปรกติ- โดยเฉพาะเม็ดเลือดขาว ที่อยู่ในระบบเลือด มีหน้าที่คอยจับกินสิ่งแปลกปลอม รวมทั้งกินเซลล์มะเร็งได้ -แต่ใจที่ไม่ดีของเรา ทำให้เม็ดเลือดขาวทำหน้าที่บกพร่อง ทำให้เม็ดเลือดขาวขี้เกียจ ทำให้ระบบสรีระผันแปร จึงส่งผลเป็นความเดือดร้อนกับร่างกายที่จิตใช้เป็นบ้านอาศัย

- ได้บอกเขาว่า คุณเปลี่ยนบุคลิกให้เป็นตรงข้าม- แทนที่คุณจะเป็นคนร้อน ซึ่งผลงานทุกอย่างต้องดีที่สุด -ขอให้ปล่อยวางให้เป็น -แล้วคุณจะหายจากการเจ็บป่วย

- เป็นสิ่งที่เหลือเชื่อที่เขาปฏิบัติตามคำแนะนำ ทำมาเดือนแรก ๆ ขนาดก้อนเนื้อเล็กลง -
เดือนที่ 2 ไป x-ray ใหม่ ขนาดลดลงอีก -
เดือน ที่ 3 ก้อนเนื้องอกหายไปหมดทั้งที่หมอได้นัดผ่าตัดแล้ว ในที่สุดหมอไม่ได้ผ่า

- ต้องสร้างโปรแกรมจิตว่าเม็ดเลือดขาวจับเซลล์มะเร็งกินทุกวัน-
ต้องสร้าง จินตนาการว่า เช้าตื่นขึ้นมาก้อนเนื้องอกมันเหลือเล็กลงทุกวัน เล็กลงๆจนหมดไป-
นี่คือการสร้างโปรแกรมจิตที่เป็นบวก


- ไปเจอคนเป็นลูคิเมียที่กรุงเทพ นอนป่วยในโรงพยาบาล 3 เดือน -จึงบอกให้เขาขึ้นมาหาที่เชียงใหม่ เขาขึ้นมาพร้อมพกยามาด้วย ต้องกินยาวันละ 20 กว่าเม็ด
ผมพาคนไข้ไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลมหาราช นครเชียงใหม่ รายงานหมอที่ออกมาผิดปรกติตรงกับที่โรงพยาบาลจุฬา
- ให้เขาไปฝึกจิตนิ่ง ฝึกสมาธิ 3 สัปดาห์ -เขาถามว่า ยาที่เขาต้องกินวันละ 20 เม็ดเลิกกินได้ไหม-
ผมบอกว่าไม่รู้ นอกจากตัวเองรู้เอง -ในที่สุดเขาลดกินยาและเลิกไปในที่สุด
- หลังจากนั้นพาคนไข้ไปโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่เป็นครั้งที่สอง ผลตรวจเลือด ตรวจทุกอย่างดีเหมือนคนปรกติ
- เขาอยู่พัฒนาจิตเกือบ 2 เดือน ก่อนกลับกรุงเทพ ผมบอกเขาว่า
เราก็รู้ว่าเราเป็นโรคลูคิเมียเพราะ อะไร แล้วที่มันหายไปก็รู้ว่าหายได้เพราะอะไร -
ต่อไปนี้จะเป็นโรคหรือ ไม่เป็นโรคก็เป็นเรื่องของคุณ- อะไรเกิดขึ้นได้ก็ต้องหายได้
-ความโกรธ เกิดขึ้นได้ ก็ไม่โกรธได้
-ความสุขหมดเมื่อไร ความทุกข์มันเกิดขึ้นได้
-เพราะ ฉะนั้น ไม่มีอะไรที่มันเกิดและคงอยู่ค้ำฟ้า ไม่มีอะไรที่คงอยู่นิรันดร ทุกอย่างมีเกิดแล้วมันดับ -มองตัวนี้ให้ออก สร้างโปรแกรมจิตให้เป็นบวกอยู่เสมอ แล้วอุปสรรคปัญหาจะไม่เกิดขึ้น

- ฉะนั้น อีคิวจะสูงหรือต่ำ ให้ดูที่สุขภาพ- ให้ตั้งโปรแกรมจิตเป็นบวกไว้ สุขภาพจะดี
- ใครที่เป็นอะไรแล้วก็หายได้ เพียงแต่ให้ตั้งโปรแกรมจิตเป็นบวกไว้
- ใครจะเป็นอะไร เป็นเรื่องของเขา- เรื่องของเรามีแต่สบาย
- ร่างกายของเรา ก็อย่าเอาของไม่ดีใส่เข้าบรรจุไว้

- อาหารอะไรก็ตามที่ชอบบริโภค กินแล้วบำรุงร่างกายให้แข็งแรง กินเข้าไปได้ แต่อย่าให้มันมากเกินไป ถ้าร่างกายกำจัดออกไม่หมด สิ่งที่มีเกินสามารถทำให้เกิดโทษได้
- ต้องตั้งโปรแกรมจิตให้เป็นบวกเสมอ แล้วจะแข็งแรง

- คนที่ทำชั่วไว้มาก -พวกนี้มีสุขภาพทางวิญญาณไม่ดี ในที่สุดไปไม่ดี ไปเกิดในภพต่ำ -
ถ้ายังไม่ตาย อยู่ในสังคมแล้วทำแต่ความเดือดร้อน ต้องเอาไปกักขังไว้ที่เฉพาะ (คุก)


4. วิถีการดำเนินชีวิต
- คนที่มีอีคิวสูง ดำเนินชีวิตแบบมักน้อย มีสาระ มีสันโดษ- สันโดษคือความพอใจในสิ่งที่ตนมี ตนเป็น ตนได้รับ
- พระพุทธเจ้าสอนคนให้สร้างความดี สอนคนให้ทำงาน สอนคนให้ขยัน -แต่ได้สิ่งตอบแทนกลับมาแค่ไหนเอาแค่นั้น นั่นคือสันโดษ

- มีบุญมาก ทำนิดเดียวได้เงินมาก
- บางคนทำงานแทบตายไม่ได้เลื่อนขั้น อย่าไปอิจฉาคนอื่น- เขาไม่ทำอะไรเลยแล้วได้ดีกว่า แสดงว่าเขาเคยทำอะไรที่ดีมาก่อน ทำดีมามาก จิตสั่งสมสิ่งดีไว้มาก -พอเขาทำนิดเดียวบุญส่งให้ได้ผลแล้ว
- น้ำในโอ่ง ถ้ามีขี้โคลนสักครึ่งโอ่ง เอาน้ำใสใส่ลงไปนานไหม กว่าน้ำในโอ่งจะใส-
แต่ ถ้ามีขี้โคลนในโอ่งอยู่นิดเดียว พอเติมน้ำใสลงไปไม่เท่าไร น้ำในโอ่งจะใส

- ตอนรับราชการใหม่ ๆ ทำงานเหนื่อยแทบตายไม่ได้ดี คนอื่นทำงานสบายกว่าทำไมได้ดี คิดว่าจะไม่ทำราชการแล้ว -แต่ด้วยบุญเก่ายังมี จึงมีสติคิดได้ว่า ถ้าไม่ทำงานยิ่งแย่ลงไปอีก จึงทำไม่หยุด และไม่เอาไปเทียบกับคนอื่น -ตอนหลังทำบ้างไม่ทำบ้าง ได้ดีตลอด นี่คือของจริง

- คนที่มีอีคิวสูง วิถีการดำเนินชีวิตเป็นคนสมถะ มีสาระ สันโดษ -และอยู่เพื่อทำตัวเป็นที่พึ่งของผู้อื่น -เป็นผู้ให้เหมือนต้นไม้ใหญ่- มีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่น เพื่อประโยชน์ของคนอื่น

"ถิ่นกาขาว" .... คำทำนาย อ่านแล้วขนลุกทุกที


คุณเชื่อหรือไม่ กับคำทำนาย .... ถิ่นกาขาว

คำทำนายที่เคยมีช้านานนัก เริ่มประจักษ์ให้เห็นเร้นไม่ได้
หลวงพ่อฤาษีลิงดำเคยทำนาย เมื่อถึงปลายรัชกาลผ่านเข้ามา

ประเทศชาติจะรุ่งเรืองและเฟื่องฟุ้ง น้ำมันผุดขึ้นมาจนเห็นค่า
พวกกาขาวจะบินรี้หนีเข้ามา เป็นประชาจนเต็มพระนคร

ชนทั่วโลกจะยกพระองค์ท่าน ชื่อกระฉ่อนร่อนทั่วทุกสิงขร
ออกพระนามลือชื่อดั่งทินกร องค์อมรเอกบุรุษแห่งแผ่นดิน

ชาวประชาจะปิติยิ้มสดใส แต่อกไหม้หนอนกินข้างในสิ้น
จะมีพวกกาฝากคอยกัดกิน เพื่อให้ได้สิ่งถวิลสมจินตนา

จะมีการต่อตีกันกลางเมือง ขุนนางเขื่องกังฉินกินทั่วหล้า
คอรัปชั่นจะกัดกร่อนทั้งพารา ประดุจปลวกกินฝานั้นปะไร

ข้าราชการตงฉินถูกประณาม สามคนหามสี่คนแห่มาลากไส้
เกิดวิกฤติผิดเพี้ยนโดยทั่วไป โกลาหลหม่นไหม้ไร้ความดี

ประชาชีจะสับสนเรื่องดีชั่ว ถ้วนทุกทั่วจะหมุดขุดรูหนี
ไม่แน่ใจสิ่งที่ทำนำความดี เกรงเป็นผีตายตกไปตามกัน

พุทธศาสน์จะถูกรุกและล้ำ มิตรเคยค้ำเป็นศัตรูมุ่งอาสัญ
เกิดวิกฤติธรรมชาติอุบาทว์ครัน พายุลั่นน้ำถล่มดินทลาย

แผ่นดินแยกแตกเป็นสองปกครองยาก เกิดวิบากทุกข์เข็ญระส่ำระสาย
เกิดการปราบจลาจลชนล้มตาย เลือดเป็นสายน้ำตานองสองแผ่นดิน

ข้าเป็นนายนายเป็นข้าน่าสมเพช ผู้มีบุญมีเดชจะสูญสิ้น
ทั้งพฤฒาอาจารย์ลือระบิล จะร่วงรินดุจใบไม้ต้องสายลม

ความระทมจะถมทับนับเทวศ ดั่งดวงเนตรมืดบอดสุดขื่นขม
คนที่ดีจะก้มหน้าสุดระทม ส่วนคนชั่วหัวร่อร่าทำท่าดัง

จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว ควงคฑามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง
ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียวใจ

ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้
จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา

คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา
ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา ยามเมื่อฟ้าศรีทองผ่องอำไพ...

วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553

จดหมายจากเมียเก่า

จดหมายจากเมียเก่า (ไม่ใช่เมียเก็บ) (สารส้ม)



ณ บ้านจันทร์ดับ

22 พ.ย. 2552

เธอที่รัก...

ช่วงวันเกิด ฉันมีโอกาสได้เข้าวัดทำบุญ จิตใจสงบลงบ้าง และได้คิดอะไรบางอย่าง...

แผนการของเราจะสำเร็จไหม?

ฉันเริ่มไม่มั่นใจเสียแล้ว...

ไหนเธอเคยบอกว่า ถ้าเราเพียงแต่หย่ากัน เราก็จะสามารถรักษาทรัพย์สินเงินทองเอาไว้ได้ ด้วยการอ้างว่า เธอโกงมันก็ส่วนเธอ แต่ฉันไม่ได้มีตำแหน่งทางการเมือง ฉันไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะฉะนั้น ทรัพย์สินในส่วนของฉันก็ไม่ควรจะถูกยึดเป็นของแผ่นดิน

เมื่อเราหย่ากันแล้ว ทรัพย์สินของเธอและฉัน ก็ต้องแบ่งกันคนละครึ่ง

ถ้าแบ่งกันครึ่งๆ เหมือนแบ่งสินสมรส เราก็น่ามุบมิบเอาไว้ได้สัก 30,000 ล้านบาท ไม่ใช่หรือ?

นี่คือแผนสำรองของเรา ไม่ใช่หรือ?

ไหนเธอบอกว่า เราจะกอดเงินก้อนใหญ่เอาไว้ได้ด้วยวิธีนี้

ไหนเธอบอกว่า ทนายค่าตัวแพงของเราจะมีวิธีกลบเกลื่อน ซ่อนกล ทำให้ไม่มีใครจับได้ไล่ทันว่า เงินก้อน 76,000 ล้านบาทนั้น เป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดทั้งหมด เพราะถ้าไม่มีเงินก้อนใหญ่ที่เราซุกไว้ก่อนและระหว่างการเข้ามามีอำนาจรัฐ เธอก็ไม่สามารถทุจริตเชิงนโยบายได้อย่างไรเล่า

แต่ทำไปทำมา แทนที่เธอจะเข้ามาช่วยฉันสู้ในศาล ในประเทศไทย เธอกลับไปเสวยสุขอยู่ต่างแดน ซึ่งการพูดจาปลุกปั่นขอคะแนนสงสารจากนอกประเทศนั้น เธออาจจะหลอกพวกรากหญ้าได้ระยะหนึ่ง แต่ผู้พิพากษาในศาล เขารับฟังแต่คำให้การที่มีพยานหลักฐานแน่นหนัก

ถึงตอนนี้ คดีงวดเข้ามาทุกทีแล้ว เธอเห็นไหม พยานฝ่ายอัยการ เขาขึ้นเบิกความแต่ละคน ล้วนมีเอกสารหลักฐานมัดแน่นหนา ฉันจนใจเหลือเกินเธอจ๋า...

เธอคงไม่หาว่าฉันคิดมากไปนะ ที่มาพูดถึงแผนสำรองตอนนี้

เธอที่รัก... ฉันอยากให้เธอมองเห็นความเป็นจริงรอบข้างเธอบ้างเถิด

ลองตัดขาดจากพวกลูกจ้างที่คอยหลอกกินเงินเราสักพักได้ไหม เธอจะได้เห็นความจริงแจ่มชัดขึ้น

แต่ก่อน... เธอเคยหน้ามืดตามัว ติดผู้หญิง ติดลูกน้อง ติดนักร้อง ติดดารา ฉันเคยคิดว่าเลวร้ายแล้วนะ แต่มาวันนี้ ที่เธอกำลังติดกับดักความหวังลมๆ แล้งๆ หน้ามืดตามัวด้วยคำสรรเสริญ เยินยอ ทำอะไรด้วยความคั่งแค้น ผูกใจเจ็บต่อผู้หลักผู้ใหญ่ที่เธอคิดว่าเป็นศัตรูนั้น บัดนี้ ฉันเห็นว่า มันกำลังจะนำหายนะครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิตมาสู่พวกเรา

ที่รัก.. นี่เรากำลังทำอะไรอยู่หรือ?

เมื่อก่อน... ตอนที่เธอยังเป็นนายกรัฐมนตรี แอบใช้อำนาจรัฐกอบโกยผลประโยชน์เข้ากระเป๋าพวกเราเองบ่อยครั้ง แต่เราก็ยังพอจะมั่วๆ อ้างได้บ้างว่า เราได้ประโยชน์ ปะเทศชาติก็ได้ประโยชน์ด้วย

แต่มาวันนี้ เธอเดินเกมอะไรของเธอ เล่นสละเรือประเทศไทย ย้ายข้างออกไปสมคบกับเขมร โจมตีประเทศชาติและสถาบันเบื้องสูง ยืนอยู่นละข้างกับผลประโยชน์ของประเทศไทยส่วนรวม

คนทั่วไปที่มันไม่ได้รับเงินของเรา ใครเขาจะเอากับเราล่ะ?

จะสร้างสถานการณ์ความรุนแรง ปั่นป่วนบ้านเมือง เอาให้มันสุดๆ แก้ตัวหลังจากที่ตอนสงกรานต์ทำไม่สำเร็จ หรือเอาให้มันพังไปด้วยกันทั้งหมด แล้วจะได้ล้มกระดานเหรอ ?

จะปฏิวัติเหรอ... แล้วไงล่ะ?

แล้วฉันจะตอบคำถามบรรพชนชาวไทยอย่างไร ในเมื่อเรากำลังแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว บนความฉิบหายของประเทศชาติไทยส่วนรวม

เธอช่วยให้ไอ้ทนายหน้าหอของเรา ร่างคำพูดแก้ตัวแก้ต่าง เอาให้มันดูดีหน่อย ส่งมาให้ฉันอ่านเตรียมไว้ก่อนจะพบหน้าประชาชีด้วยนะ

อ้อ... ฝากบอกไปถึงนักร้องเสียงแหบขวัญใจของเธอคนนั้นด้วย จะลุ่มหลงมันอย่างไรฉันไม่ว่า แต่ฉันอุตส่าห์ซื้อกระเป๋าหลุยส์ให้ที่ดูไบ ยัยคนนี้ไม่รู้มันโง่หรือมันแค่อยากอวดตัวกันแน่ ถึงได้กลับมาให้สัมภาษณ์ว่าไปพบเธอกับฉัน อยู่พร้อมหน้ากันที่ดูไบ!

แบบนี้ ใครเขาจะเชื่อว่าเราหย่าขาดกันจริงๆ ล่ะ!

เฮ้อ... แผนสำรองของเราจะไม่เหลือ ก็เพราะตัณหาของเธอนี่ล่ะ
รักเธอนะ.. แต่รักตัวฉันเองมากกว่า
อ้อใหญ่

ปล. ที่ดินรัชดาฯ แปลงที่เธอกับฉันร่วมกันซื้อมาถูกๆ ตอนนี้ เขากำลังจะฟ้องร้องให้กลับไปเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินแล้วนะ... ไหนเธอเคยบอกว่า บนแผ่นดินนี้ เราจะทำอะไรก็ได้ อยากได้อะไรก็ต้องได้ ไม่มีใครกล้าขวางอย่างไรล่ะ?

วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553

Clip ขำขำ





นาทีชีวิต ภัยคุกคามคนเมืองหลวง !!!

สุนิสา นิติประเสริฐ
หญิงสาวตกเป็นเหยื่ออาชญากร ขณะนั่งโทรศัพท์อยู่ในรถส่วนตัว
มีดแหลมที่จี้คอทำให้ยอมเบิกเงินให้คนร้าย ก่อนถูกเชือดคอนำไปทิ้ง
โชคดีไม่ตาย เธอบอกว่า...เมืองหลวงเต็มไปด้วยภัย

'ขับไปภาคใต้' เสียงตะโกนสั่งเพื่อนร่วมแก๊ง ของชายฉกรรจ์วัยประมาณ 30 ปี ที่ใช้มีดปอกผลไม้จี้อยู่ที่ลำคอ
ขณะถูกบังคับให้นั่งคุกเข่าที่พื้นด้านหลังรถ ยังดังก้องหู น.ส.สุนิสา นิติประเสริฐ
นักธุรกิจประมูลงานรับเหมาก่อสร้าง แม้เวลาจะผ่านมานานกว่าสัปดาห์แล้วก็ตาม

ประสบการณ์ที่แทบเอาชีวิตไม่รอดครั้งนี้ ทำให้นักธุรกิจรายนี้ถึงกับผวา
และไม่มั่นใจในความปลอดภัยในชีวิตและ ทรัพย์สิน . . . เธอบอกว่า
ไม่คิดมาก่อนว่าโจรจะกล้าลงมือชิงทรัพย์เธออย่างอุกอาจ กลางเมืองหลวงของประเทศ
โดยไม่เกรงกลัวกฎหมาย และไม่คิดมาก่อนว่ากรุงเทพมหานครจะอันตรายเช่นนี้

'ตอนเกิดเหตุเวลาประมาณ 19.40 น. ฉันกลับจากเยี่ยมเพื่อนในซอยลาดพร้าวซอย 71
ขณะรถวิ่งมาถึงกลางซอยลูกชายก็โทรศัพท์มาหา ตอนแรกก็ไม่อยากรับ
เพราะมีกฎหมายห้ามคุยโทรศัพท์ขณะขับรถ แต่คิดว่าลูกชายคงโทรมาสั่งให้ซื้ออาหาร
เข้าไปรับประทานที่บ้าน จึงจอดรถข้างทางคุยโทรศัพท์
ระหว่างนั้นเห็นชายฉกรรจ์อายุประมาณ 30 ปี สวมเสื้อแขนสั้นสีดำ นุ่งกางเกงยีน
เดินเข้ามาประชิดรถ ท่าทางไม่น่าไว้ใจ จึงพยายามล็อกประตู
แต่ก็ไม่ทัน ชายคนดังกล่าวกระชากประตูเปิดออกอย่างแรง'
สุนิสา ย้อนลำดับเหตการณ์ขณคนร้ายลงมือชิงทรัพย์ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

ท่ามกลางความตกใจของ 'สุนิสา' คนร้ายได้เข้าประชิดตัวและชกเธอเข้าที่ใบหน้าด้านซ้ายอย่างแรง
1 ครั้ง แรงปะทะของกำปั้น ทำให้ร่างของเธอถึงกับเซล้มลงบนเบาะด้านข้างคนขับ
พร้อมๆ กันนั้นก็มีชายวัยเดียวกับคนร้ายคนแรกกระชากประตูด้านหน้าซ้ายแล้วขึ้นมาบนรถ
พร้อมกับใช้ข้อศอกล็อกคอ แล้วลากเธอจากที่นั่งคนขับจนไปตกลงตรงที่ว่างระหว่างเบาะด้านหน้ากับเบาะหลังรถ
พร้อมกับใช้มีดปอกผลไม้จี้ที่ลำคอ ขู่บังคับไม่ให้ขัดขืน

แม้ สุนิสา จะพยายามดิ้นรนต่อสู้โดยหวังจะหนีออกจากรถ ไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมทาง
แต่เธอไม่สามารถทำได้ คนร้ายปิดประตูรถได้สำเร็จ พร้อมกับขับรถทะยานออกจากที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว
โดยคนร้ายไม่ลืมที่จะปรับเบาะที่นั่งด้านข้างคนขับจนเอนทับตัว สุนิสา ไว้ เพื่อป้องกันการหลบหนี

'ตอนนั้นเหมือนจะเป็นลม กลัวอย่างบอกไม่ถูก คนร้ายใช้มีดเฉือนลงที่ลำคอจนเลือดไหลซิบๆ
ก่อนจะขู่ให้บอกรหัสเอทีเอ็ม หลังจากพวกมันรื้อค้นได้จากกระเป๋าถือของฉันที่วางไว้หน้ารถ
มันขู่ จะฆ่าทิ้งหากไม่บอก ด้วยความกลัวจึงบอกรหัสจริงไป มันตระเวนกดเงินจากตู้เอทีเอ็มอยู่หลายจุด
หลังจากได้เงินแล้วฉันก็ถามมันไปว่า ทำไมต้องทำอย่างนี้ มันตอบกลับมาว่าต้องการเงินไปเลี้ยงลูกเมีย
หลังจากนั้นประมาณ 10 นาที พวกมันก็จอดรถ แล้วลากฉันลงมาทิ้งไว้ที่พงหญ้าข้างทาง
ตรงข้ามกับปั๊มน้ำมันในย่านสามพราน จ.นครปฐม ก่อนที่พวกมันจะขับรถฉันหนีไป' สุนิสา ลำดับเหตุการณ์

หลังเกิดเหตุ สุนิสา ขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านในละแวกที่คนร้ายนำเธอมาทิ้งไว้ ให้ช่วยนำเธอส่งโรงพยาบาล
หลังจากแพทย์ตรวจดูอาการแล้ว สุนิสา จึงเข้าแจ้งความที่ สภ.สามพราน โดยแจ้งความรถหายด้วย
กระทั่งเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม ได้รับแจ้งจากตำรวจว่า รถยนต์โตโยต้ายาริส สีบรอนซ์ทะเบียน สส 847 ของเธอ
ถูกคนร้ายนำไปจอดทิ้งไว้ที่หน้าร้านอาหารเทสตี้ชอยส์ เลขที่ 866 ถนนภาณุรังษี แขวงวังบูรพาภิรมย์ เขตพระนคร กทม.

คนร้ายได้เงินไปจาก สุนิสา ประมาณ 1.4 แสนบาท เธอยังโชคดีที่มีชีวิตรอดกลับมา
แม้จะถูกคนร้ายทำร้ายร่างกายจนสะ บักสะบอมก็ตาม

สุนิสา บอกว่าไม่คาดคิดมาก่อนว่าในเมืองหลวงของประเทศไทยโจรผู้ร้ายจะชุกชุม
และลงมือก่อเหตุอย่างอุกอาจเช่นนี้ และขอเตือนไปยังสุภาพสตรีทุกท่านให้ระมัดระวังตัว
ทำงานเสร็จแล้วให้รีบกลับบ้าน นั่งในรถยนต์ต้องล็อคประตูทุกครั้งและต้องหมั่นมองกระจกหลัง
และกระจกข้างซ้ายขวาเป็นระยะ หากพบสิ่งไม่ชอบมาพากลให้แจ้งตำรวจทันที

ในสภาพเศรษฐกิจเช่นนี้ ต้องระมัดระวังตัวเป็นพิเศษ หากเผลออาจตกเป็นเหยื่อโจรผู้ร้ายได้ทุกเสี้ยววินาที

***ส่งต่อให้เพื่อนๆๆๆที่ขับรถนะ***

คนเราเจอกัน เพราะ ที่บุญ เคยทำร่วมกันมาจริง ๆ

มีชายหญิงคู่หนึ่งรักกันมาก คบกันมา 3 ปี ทั้ง 2 ตกลงจะแต่งงานกัน
เมื่อกำหนดวันเรียบร้อย ฝ่ายชายเองก็รอคอยวันที่จะแต่งงาน
ต่อมาไม่นานฝ่ายชายรู้ข่าวว่า คู่รักของตนแต่งงานกับคนอื่นอย่างกะทันหัน
โดยฝ่ายหญิงเองก็เต็มใจ ไม่ได้ถูกบังคับแต่อย่างใด
เมื่อได้ทราบข่าว เขาทั้ง งง และ เสียใจ มาก
ร้องไห้ไม่กินไม่นอน ไม่นานก็ป่วยหนักเพราะตรอมใจ

เวลาผ่านไป ฝ่ายชายป่วยหนักขึ้นเรื่อยๆไปหาหมอเท่าไหร่ก็ไม่ดีขึ้น
ขณะที่นอนซมอยู่ที่บ้านนั้น มีหลวงตาแก่ๆผ่านมา
เมื่อมาถึงหลวงตาหยุดอยู่ที่หน้าบ้าน แล้วมองเข้าไปในบ้านจึงเคาะประตู
เด็กรับใช้ออกมาเปิดประตูพบว่า เป็นพระ จึงบอกว่า ไม่ทำบุญนิมนต์ข้างหน้า
หลวงตายิ้มอย่างมีเมตตาแล้วพูดว่า อาตมาไม่ได้มาบิณฑบาต
ในบ้านมีคนป่วยใช่มั้ย อาตมาพอมีความรู้ทางด้านการแพทย์นิดหน่อย
ไม่รู้จะพอช่วยได้รึปล่าว เด็กรับใช้ได้ฟังก็อึ้งแต่ก็บอกว่าตัดสินใจเองไม่ได้
ต้องขอไปถามเจ้านายก่อน เด็กรับใช้เดินเข้าไปในบ้านถามเจ้านาย
เจ้านายตอบอย่างตัดรำคาญว่าอยากเข้ามา ก็เข้ามา!

เมื่อหลวงตาเข้าไปพบที่ห้องนอนพบว่า
ชายคนดังกล่าวนอนอย่างหมดอาลัยตายอยากอยู่บนเตียง
สีหน้าซีดเซียว ร่างกายซูบผอมประหนึ่งครึ่งคนครึ่งศพ
เด็กรับใช้นำน้ำมาถวายหลวงตา พร้อมจัดเก้าอี้ถวายข้างๆเตียงของชายคนนั้น
หลวงตายิ้มแล้วพูดว่าอาการหนักเลยนะ
ชายคนนั้น นิ่งเงียบไม่สนใจในสิ่งที่หลวงตาพูด
หลวงตาตรวจอาการพอเป็นพิธี จึงกล่าวว่า โทรมมากเลยนะ
ชายคนนั้นไม่สนใจ หลวงตาบอกว่าไม่เชื่อ ลองมองที่กระจกสิ
ชายคนนั้นไม่สนใจ แต่ขณะที่หางตาชายไปที่กระจกแต่งตัวในห้องนอน
เขามองเห็นภาพของคนที่รักอยู่ในนั้น ไม่นานภาพของคนรักก็ค่อยๆจางหายไป
กลายเป็นภาพทิวทัศน์ชายทะเล.... ที่ชายทะเลแห่งนั้นเงียบสงบ ไม่มีคนผ่านไปมา
ขณะที่ชายคนที่ป่วยนั้น มองภาพในกระจกด้วยความสนใจนั้น
เขาพบว่า มีศพหญิงสาวนอนเปลือยกายอยู่ที่ชายหาด
เวลาผ่านไปสักครู่ มีชายคนหนึ่งเดินผ่านมา
เขามองเห็นศพหญิงคนนั้นด้วยความรังเกียจ แล้วเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ต่อมาพักใหญ่มีชายอีกคนหนึ่งเดินผ่านมา เขามองเห็นศพนั้น
เขาสงสารจึงถอดเสื้อนอกออกมาคลุมร่างของหญิงคนนั้น แล้วเดินจากไป
พักใหญ่ๆอีกเช่นกัน มีชายอีกคนเดินผ่านมา
เขาพบคนนอนมีผ้าคลุมอยู่ จึงเปิดออกดู เมื่อพบว่า เป็นศพ
ด้วยใจสงสาร จึงจะฝังให้เรียบร้อย แต่ก็ไม่มีเครื่องมือจะขุด
เขาจึงตัดสินใจใช้มือทั้ง 2 ข้างๆ ค่อยๆกอบทรายขึ้นมา
เขาทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนเย็น พอได้หลุมใหญ่พอสมควร
จึงได้ฝังศพผู้หญิงคนนั้นเรียบร้อยแล้วจากไป

จากนั้นภาพในกระจกก็เปลี่ยนเป็นภาพของศพหญิงคนนั้น
และก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นภาพของหญิงคนรัก เขาได้เห็นก็ตกใจ
พอสักพัก ก็ปรากฏเป็นภาพชายคนที่ 2
แล้วก็ค่อยๆจางหายไป เหลือแต่เงาของตัวเองในกระจก

ทันใดนั้นหลวงตาพูดว่า ทีนี้เข้าใจรึยัง ศพนั้นคือคู่รักของโยม
ชายคนที่ช่วยฝังศพเธอ ผูกวาสนากับเธอหนึ่งชาติ
ชาตินี้เธอเลยแต่งงานกับเขา ส่วนโยมช่วยคลุมศพเธอ
จึงผูกวาสนา 3 ปี ตอนนี้ครบ 3 ปี วาสนาสิ้นแล้วก็ต้องจากกัน

เมื่อชายคนนั้นฟังจบก็กระอักเลือดออกมา เด็กรับใช้ตกใจมาก
หลวงตายิ้มแล้วบอกว่า โยมรอดแล้ว เมื่อกี้โยมกระอักเลือดเอาเลือดเสียออกมาแล้ว
ต่อมาไม่นานชายคนนั้นก็ได้ออกบวชในที่สุด .....

คนเราเจอกัน ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ความสัมพันธ์ พ่อ , แม่ , พี่ , น้อง ,
ญาติ , เพื่อน , ศัตรู , คนรัก ฯลฯ ไม่ใช่ของเลื่อนลอย


เมื่อมีวาสนา ไม่ต้องเรียกร้อง ถึงเวลาก็มาเจอกัน
เมื่อสิ้นวาสนา ก็ต้องจากกัน รั้งยังไงก็ไม่อยู่


ในตอนที่ยังไม่จากกันนี้ คุณทำได้ทำดีต่อคนของคุณหรือยัง
เพราะถึงเวลาที่ต้องจากกัน ไม่ว่าคุณจะมีเงินหรืออำนาจล้นฟ้า ก็เรียกมันกลับคืนมาไม่ได้ ทำดีต่อกันไว้ดีกว่า เพราะไม่มีใครรู้ว่า เราจะต้องจากกันเมื่อไหร่

Music

วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2553

ตารางประโยชน์ของน้ำผึ้งในการสร้างเสริมสุขภาพและรักษาโรคต่าง ๆ

ตารางประโยชน์ของน้ำผึ้งในการสร้างเสริมสุขภาพและรักษาโรคต่าง ๆ
ปริมาณและวิธีใช้
1. บำรุงสุขภาพ น้ำผึ้ง 3 ช้อนโต๊ะผสมน้ำอุ่นดื่มทุกวัน
2. อดนอน น้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ หรือผสมน้ำผลไม้
3. ยาอายุวัฒนะ น้ำผึ้ง½ -1 ช้อนโต๊ะ ดื่มทุกวัน เช้า / ก่อนนอน
4. นอนไม่หลับ น้ำผึ้ง 1ช้อนโต๊ะดื่มเวลาอาหารเย็นหรือก่อนนอน
5.ไอ หลอดลมอักเสบมีเสมหะ กระเทียม 1-2 กลีบ (ตำให้ละเอียด) น้ำมะนาว ½ เกลือเล็กน้อย พิมเสน
หรือ การบูร 2-3 เกล็ด น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
6. ท้องอืด ท้องเฟ้อ น้ำผึ้ง ½ ช้อนโต๊ะน้ำขิงเข้มข้น ½ ถ้วย เกลือเล็กน้อยดื่มวันล่ะ 3 เวลาหลังอาหาร 7. ท้องผูก น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะดื่มก่อนนอน
8. เด็กปัสสาวะรดที่นอน น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา (ไม่ผสมน้ำ) ดื่มก่อนนอน
9. ท้องเสียรุนแรง น้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะ เกลือ ½ ช้อนชา ผสมน้ำอุ่น 1แก้ว
10. เด็กหวะนม น้ำผึ้ง ½ -1 ช้อนโต๊ะ ผสมนมให้เด็กดื่ม
11. กล้ามเนื้อเป็นตะคริว น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา ดื่มทุกเมื่ออาหาร
12. ล้างแผล แผล ฝี หนอง แผลเรื่อรัง น้ำผึ้ง 1 ส่วน ผสมน้ำ 9 ส่วนชะล้างแผล หัวหอมแดง 2 หัวตำให้ละเอียด+น้ำผึ้งพอกฝี น้ำสุกที่ เย็นแล้วล้างแผลให้สะอาด ใช้สำลีหรือผ้าพันแผลชุบน้ำผึ้งปิดบริเวณแผล
13. แผลไฟไหมน้ำร้อนลวก ถูกท่อไอเสีย ใช้ผ้าพันแผลชุบน้ำผึ้งปิดแผลไว้แล้วเปลี่ยนผ้าพันแผลทุก 12 ชั่วโมง
14. โรคกระเพาะ ดื่มน้ำผึ้ง 2-3 ช้อนโต๊ะขณะปวด และ 3 ช้อนโต๊ะก่อนนอน
15. ผู้ป่วยด้วยโรคพิษสุรา(ตับแข็ง/โรคตับ) น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำ ½ ถ้วยแก้ว ดื่มวันละ3 ครั้งเป็นประจำ คอเหล้าดื่มน้ำผึ้ง 1-2 ช้อนโต๊ะก่อนนอน
16. ผู้ป่วยริดสีดวงทวาร น้ำผึ้งผสมกระเทียมโทน บริโภควันละ 3 ครั้งหลังอาหาร
17. เด็กโตช้า และโลหิตจาง น้ำผึ้งผสมนมดื่มเป็นประจำ
18. เสียน้ำหรือเสียเลือด(10-20%) น้ำ 1 ถ้วยแก้วผสมเกลือ ¼ ช้อนชา น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
19. โรคเด็ก (ทางเดินอาหารผิดปกติ) น้ำผึ้ง 1 ช้อนชาต่อน้ำ 1ถ้วย

กรุณาส่งต่อเพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นต่อไปได้บุญมากๆๆๆๆ

ใช้ Flash Drive อย่างไรให้เหนือชั้น

รากฐานของความดี ต้องมีความกตัญญู

รากฐานของความดี ต้องมีความกตัญญู


มาในยุคนี้ ยุคที่ใคร ๆ ก็เชิดชูในเรื่องเหตุเรื่องผล แม้ในครอบครัวก็เช่นกัน

ลูก ๆ สมัยนี้กล้าที่จะพูดสวนคุณพ่อคุณแม่หากคิดว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่มีเหตุผล โดยไม่รู้จักคำว่า "กุศโลบาย" ในการพูด ในทางที่จะรักษาน้ำใจกันไว้ รวมทั้งคำว่า "กตัญญู" ก็ดูจะเบาบางไปทุกที



จำได้ว่าครั้งแรกสุดที่ไปกราบหลวงปู่ดู่ หลวงปู่ได้สอนเน้นไปที่ความกตัญญู

ท่านไม่ให้มุ่งเอาแต่กราบพระนอกบ้านจนมองข้าม "พระอรหันต์ที่บ้าน" คือคุณพ่อคุณแม่

ท่านว่า ลูกที่ทำบุญกับพ่อแม่ก็เหมือนทำบุญกับพระอรหันต์
ในทางตรงข้ามหากเราทำบาปกับท่าน ก็จะได้รับวิบากกรรมหนักเช่นกัน



สำหรับคนที่ชอบวัตถุมงคลแล้ว หลวงปู่จะสอนว่า เวลาไปต่างจังหวัด นอนค้างอ้างแรมในที่ที่เรารู้สึกไม่ปลอดภัย แม้ไม่มีวัตถุมงคลติดตัวไปก็ไม่เป็นไร ขอให้เราระลึกถึงคุณพ่อแม่ กราบระลึกถึงคุณท่านก่อนนอน แล้วความกตัญญูอันนี้จะช่วยปกปักรักษาเราให้แคล้วคลาดปลอดภัยได้





แน่นอนว่า ความมีเหตุมีผลเป็นเรื่องสำคัญ

แต่บางครั้งเราก็ไม่ควรเอาเรื่องเหตุผลมาอยู่เหนือความเป็นพ่อ-แม่ เป็นลูก หากไม่เห็นด้วย ก็ควรหากาละเทศะที่เหมาะสมที่จะเรียนท่านให้เข้าใจ มิใช่สวนกลับให้ท่านต้องเสียใจ



นักปฏิบัติโดยมากจะขี้เกรงใจกับเพื่อนฝูงหมู่คณะ แล้วละเลยมิได้เอามาใช้กับพ่อแม่และคนที่บ้าน เรียกว่าออกนอกบ้านก็เป็นนักมวยยกมือตั้งการ์ด รักษาไว้ด้วยดีตลอดวัน แต่พอเข้าบ้านก็ปลดการ์ด อะไรนิดอะไรหน่อยก็หงุดหงิดรำคาญใจ ไม่คิดว่าการปฏิบัติธรรมมีได้ทั้งนอกบ้านและในบ้าน



มองที่บ้านเรามีพ่อแม่ญาติผู้ใหญ่ที่เราต้องกตัญญูรู้คุณท่าน มองไปที่วัดวา เรามีครูอาจารย์ที่ท่านสอนให้เราเป็นคนดี เป็นคนฉลาดทางธรรมเพื่อว่าจะได้เป็นทั้งคนดีและคนที่มีทุกข์น้อย



โลกแห่งวัตถุนิยมได้ทำคนให้เสียทั้งฆราวาสและพระ...



ได้เห็นพระที่ท่านไม่กตัญญูต่ออุปัชฌาย์อาจารย์ ไม่อดทนต่อคำสั่งสอนที่ท่านตั้งใจอบรมชี้แนะด้วยเมตตา ผลก็คือ ไม่ช้าไม่นานก็จะมีความวิบัติเกิดขึ้น เช่น ถูกขับออกจากสงฆ์บ้าง หรือไม่ก็ไม่สามารถรักษาสมณเพศเอาไว้ได้ตลอดรอดฝั่ง



จึงว่ารากฐานความดีต้องมีความกตัญญู พระพุทธเจ้าตรัสรับรองไว้ว่า

"ความกตัญญูคือเครื่องหมายของคนดี"



หลวงปู่ท่านแสดงออกถึงความกตัญญูมาโดยตลอด ใคร ๆ ก็รู้ว่าหลวงปู่ตั้งใจที่จะไม่ออกนอกวัดเลย แต่เมื่อโยมพี่สาวที่เคยดูแลท่านถึงแก่อนิจกรรม ท่านก็ออกไปจัดแจงงานศพให้ หลวงปู่นอบน้อมและกตัญญูต่อหลวงปู่ใหญ่ เจ้าอาวาสวัดสะแก สมัยนั้นเป็นอย่างมาก ทุกครั้งที่หลวงปู่ใหญ่เอ่ยปากให้หลวงปู่ทำอะไร หลวงปู่จะตั้งใจทำถวายครูอาจารย์เสมอ และทำด้วยความนอบน้อม กระทั่งหลวงปู่ใหญ่สิ้น หลวงปู่ก็ทำเหรียญที่ระลึกและตั้งใจอธิษฐานพระตั้งพรรษา ท่านว่าท่านตั้งใจทำถวายครูอาจารย์ หากเหรียญนี้ไม่ดีจริงให้มาว่าท่านได้



ในสมัยหลังที่หลวงปู่ใหญ่สิ้น หลวงปู่ซึ่งเป็นผู้อาวุโสสูงสุด และมีคุณธรรมเป็นที่ยอมรับ สมควรแก่ตำแหน่งเจ้าอาวาสองค์ใหม่ แต่เมื่อมีคนมานิมนต์ให้ท่านเป็นเจ้าอาวาส ท่านก็ปฏิเสธ เพราะท่านไม่ชอบการปกครองสงฆ์ รวมทั้งต้องการมีเวลาให้กับการอบรมญาติโยมในทางปฏิบัติภาวนามากกว่า



อย่างไรก็ดี เมื่อมีเจ้าอาวาสองค์ใหม่ หลวงปู่ก็วางตัวเป็นพระลูกวัดที่ดี ให้ความยำเกรงในองค์เจ้าอาวาส ปัจจัยสังฆทานต่าง ๆ หลวงปู่ก็ให้รวบรวมนำส่งเจ้าอาวาสทุกวัน ผมเองก็เคยไปช่วยนับเงินในบางวัน กิจการส่วนรวมเช่น พัฒนาวัด พัฒนาโรงเรียนวัดสะแก สร้างสะพาน หลวงปู่ก็รับเป็นธุระ ทำให้สำเร็จด้วยดี



ไม่เพียงหลวงปู่จะแสดงออกถึงความกตัญญูที่มีต่อครูอาจารย์ แม้แต่โยมอุปัฏฐาก หรือโยมที่มาถวายภัตตาหาร หลวงปู่ก็ไม่เคยลืมบุญคุณ หลวงปู่จะแผ่เมตตาให้ หรือบางครั้งที่เกิดเหตุอันตราย หลวงปู่ก็จะส่งกระแสจิตไปปกปักรักษา เช่น กรณีของลุงแกละ โยมอุปัฏฐากท่านหนึ่งของหลวงปู่ ที่กำลังโดนไฟดูด (น้ำท่วมบ้าน) หลวงปู่แม้อยู่ที่วัด ท่านก็ทราบ ท่านได้กำหนดจิตไปช่วยผลักลุงแกละ ทำให้รอดตายออกมาได้อย่างหวุดหวิด แต่ตัวหลวงปู่เองกลับมีอาการเลือดกำเดาไหล ลูกศิษย์ที่วัดเห็นเข้าก็ตกใจ ถามท่านว่าท่านเป็นอย่างไร ท่านว่าท่านไปช่วยตาแกละ...



ที่สำคัญมากอีกเรื่องหนึ่งคือ หลวงปู่ท่านจะสอนให้ลูกศิษย์กตัญญูต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ท่านว่าท่านไม่เคยลืมที่จะแผ่เมตตาให้ทุก ๆ วัน มิได้ขาดเลย



ในขณะที่คนยุคสมัยใหม่ค่อย ๆ ลืมเลือนกับคำว่า "กตัญญู" แม้ทุกวันนี้ก็มีให้เห็นว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยกำลัง อกตัญญูต่อแผ่นดินและองค์พระมหากษัตริย์ ก็ขอให้พวกเราพากันเอาหลวงปู่เป็นแบบอย่าง ยึดมั่นในคุณธรรมข้อ "ความกตัญญู" นี้ให้มั่น ว่า…



หากขาดความกตัญญูอันเป็นรากฐานของความดีทั้งหลายแล้วไซร้



ก็ไม่ต้องไปพูดถึงมรรคผลนิพพานหรือธรรมะชั้นสูงอะไรเลย

วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553

ผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ

Air traffic Worldwide - WOW!!‏

CONSTRUCTION in Africa... "cementing" overthere ~ ~ ~‏

Is it a joke? لوووووووووووول من قلب‏

Detroit Airbus Bomb‏

TOPLess Bar :-))‏

เรื่องดี ๆ ที่อยากแบ่งปัน‏

หมาขี้เรื้อน
ลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคน หนึ่ง เพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอก
ยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อน
เพื่อเห็นแก่แม่..บัณฑิตใหม่หมาดๆจากเมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ได้
เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯแห่งหนึ่งเสร็จแล้ว
ผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับพระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่ง ที่วัดป่าแถวภาคอีสาน
พระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดีมีแต่ความสุขสบาย
เมื่อมาอยู่วัดป่ากว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือน

แต่ก็นั่นแหละกว่าจะนิ่งก็ทำเอาพระร่วมวัดหลายรูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆกัน
ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอาก็เพราะพระใหม่มีนิสัยชอบจับผิด
และชอบอวดรู้ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ
วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่าไม่ได้รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน
ออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง
เห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้าก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่หาว่าล้าสมัย
ไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี่ ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่า
ท่านรองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกินกว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่งจนขาเป็นเหน็บชา

ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้างก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไปทีล้างไปบ่นไป
ประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมืองนอกต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้
โอ้ชีวิต! ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้ถือดี
ว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูง มีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้น
ผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมด
มองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่างรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าทุกประตู
นึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจ กลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทิน
นับถอยหลังรอวันสึกด้วยใจจดจ่อ

อยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่าท่านเจ้าอาวาสวัดป่าแห่งนี้ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา
ซ้ำนานๆครั้งจะออกมาให้ โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง
วันๆไม่เห็นท่านทอะไรเอาแต่กวาดใบไม้เก็บขยะ
ซักผ้าเอง (เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน
การบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคน
จัดการไปเสียทุกอย่าง เห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชา
เสนอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่าล้าสมัย
รวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วยอีกข้อหนึ่ง เพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้ว
ไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูก
อีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้นพระใหม่เสนอให้
หลวงพ่อเจ้าอาวาสมีปฏิสัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้
สอนให้มากขึ้นเทศน์ให้มากขึ้น
และแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงานอย่างการซักจีวรเองเป็นต้นด้วยตนเอง
ควรจะกระจายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า

เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำ
หลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติกลางลานทรายด้วย
ท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่านให้พระหนุ่มสามเณรน้อย
ทั้งหลายฟังแต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียน
อ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตาพลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมา
แล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง
ที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่ง จากใต้ต้นอโศกที่อยู่ใกล้ๆ

เธอทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่ เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อน
คันไปทั้งตัว ฉันเห็นมันวิ่งวุ่นไปมาทั้งวัน
เดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้นเดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้
อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคัน แต่พวกเธอรู้ไหม
เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหนมันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจ
หาว่าแต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง นอนที่ไหนก ็ไม่หายคัน
สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี

คิดอย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน
แต่หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักที
เลยต้องวิ่งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้งวัน เจ้าหมาโง่ตัวนั้นมันหารู้สักนิดไม่ว่า
เจ้าสาเหตุแห่งอาการคันนั้นหาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่
แต่สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองนั่นต่างหาก
พูดจบแล้วหลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลงเป็นสัญญาณให้รู้ว่า
ได้เวลาภาวนาหลังการทำวัตรสวดมนต์เย็นแล้ว

ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้น
ในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกติ นอกสงบ แต่ในวุ่นวาย
นึกอย่างไรก็มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดู
ยิ่งนั่งสมาธินานๆ ยิ่งคันคะเยอในหัวใจ ทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง

นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน
จากคนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อย จากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน
จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง
เมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจจากครอบครัวท่านก็ยังไม่ยอมสึก

" อาตมาเป็นหมาขี้เรื้อน
ขออยู่รักษาโรคจนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสักหนึ่งพรรษา"
โยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชาย
แล้วก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถพลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่าคำว่า
หมาขี้เรื้อน ของพระลูกชายหมายความว่าอย่างไรกันแน่หนอ

ถ้าเรายังเป็นโรคอยู่ในใจ ไม่พอใจอะไรซักอย่าง เงินเดือนน้อย หน้าที่การงานไม่พัฒนา ตำแหน่งไม่ไปไหน
ไม่ว่าเราย้ายงานไปที่ไหน เราก็ไม่พอใจ สถานที่เหล่านั้นไม่ดี คนไม่ได้เรื่อง ทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยได้ดูตัวเองเลยว่า
เราพัฒนาการทำงานของเรามั้ย ขวนขวายหาความรู้หรือเปล่า ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับหมาขี้เรื้อนตัวนั้นเลย

************ ********* ********* ********* ********* ********* **
ขอบุญจากธรรมทานนี้จงถึงแก่นายเวรและผู้ปกปักรักษาดูแลช่วยเหลือข้าพเจ้าและครอบครัว
ที่มาถึงตัวทุกภพภูมิ
ขอบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบัน
หากไม่ถึงเพียงใดให้ขอให้คำว่าไม่มี ไม่รู้ในสิ่งที่ดี
จงอย่าได้ปรากฏแก่ข้าพเจ้า
ขอให้เกิดในภพภูมิ เขต ประเทศที่มีพระพุทธศาสนาประดิษฐานอย่างมั่นคง
และได้ศึกษาพระธรรมได้อย่างเข้าใจถ่องแท้ ลึกซึ้ง ตลอดจนกว่าจะเข้าพระนิพพานด้วยเทอญ.

โฆษณาแนะนำประเทศไทย ที่ไม่ได้ออนแอร์ในประเทศไทย‏

MAN vs CHIMP :-))

วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2553

ปล่อย...เพื่อทำบาปเพิ่มให้กับตัวเอง

1 ชีวิตก็มีค่า ทุกชีวิตมีความสำคัญ เรามาร่วมกันเผยแพร่และช่วยทำความเข้าใจในการทำบุญที่เราไม่เข้าใจถึงผลที่เราจะได้รับ เพราะบุญที่เรากำลังจะทำนั้นมันเป็นชีวิตของผู้อื่นที่จะได้รับความทุกขเวทนา เพื่อแลกกับความสุขใขของเราเอง
Top 5 ของสัตว์ที่นิยมปล่อย
อันดับที่ 1 ปลาไหล
อันดับที่ 2 หอยขม
อันดับที่ 3 นก
อันดับที่ 4 เต๋า
อันดับที่ 5 ปลาหมอ
บางเสี้ยวส่วนขอ งความจริงที่ รายการ ' จุดเปลี่ยน ' พบและเป็นความจริง
- ปลาไหลขนาดเล็กตัวเป็นๆ นับพับกิโลกรัมต่อวัน ถูกเบียดอัดมาในกระสอบปุ๋ยเดินทางจากเขมรสู่ประเทศไทยหลายต่อหลายทอด โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องมีชีวิตไปจนถึงมือคนใจบุญ
- ปลาไหลที่ปล่อยลงในน้ำลึกไหลเชี่ยว ไม่สามารถรอดชีวิตอยู่ได้ เพราะธรรมชาติของปลาไหลต้องอยู่ในน้ำแฉะมีดินโคลนให้มุดเพื่อหลบพัก
- หอยขมที่อยู่ในดินโคลนตามธรรมชาติ เมื่อถูกเทลงสู่ก้นแม่น้ำลึกอย่างแม่น้ำเจ้าพระยา หอยก็จมน้ำตายได้เหมือนกัน
- นกกระติ๊ดจะสูญพันธุ์ในไม่ช้า เพราะคนจับมาเบียดเสียดในกรงแคบ บางตัวแข้งขาหักตายคากรง ส่วนที่เหลือซึ่งบินจากไปก็บอบช้ำเกินกว่าจะรอดชีวิต และบ้างก็ไม่มีแหล่งหากินในเมือง
- เต่าเป็นสัตว์เลื้อยคลาน แต่คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ และเ มื่อถูกปล่อยลงน้ำที่ไม่มีสิ่งใดให้ยึดเกาะ เต่าก็จะต้องว่ายน้ำต่อไปจนกว่าจะขาดใจตายเพราะเหนื่อยและหมดแรง
- เต่าเป็นสัตว์ที่อายุยืนที่สุดในโลก แต่ถ้ าเต่าถูกปล่อยในที่ที่แออัดน้ำเน่าเสียไม่มีที่เกาะ เต่าจะตายอย่างทรมานเพราะอาการเจ็บป่วยที่กระดองเน่าเปื่อย และจมน้ำตาย กลายเป็นสัตว์ที่น่าสงสารที่สุดในโลกชนิดหนึ่ง
ทำไมการปล่อยสัตว์ในยุคสมัยนี้จึงมีบาปมากกว่าบุญ
1. เพราะปล่อยไม่ถูกที่ถูกทาง ทั้งสภาพความเป็นอยู่และศัตรูธรรมชาติ ทำให้สัตว์ที่ป ล่อยไปไม่มีโอกาสรอดชีวิต
2. เพราะส่งเสริมให้มีการจับสัตว์ที่อยู่ในธรรมชาติอย่างปกติสุขมากักขังหน่วงเหนี่ยว ทรมาน
3. ในทุกขั้นตอนตั้งแต่การจับ กักขัง ขน ส่ง และรอจำหน่าย มีสัตว์จำนวนมากต้องตายอย่างทรมานก่อนที่จะได้รับอิสรภาพ
สิ่งมีชีวิตแม้จะเล็กเท่าผุ่นละออง แต่นั่น มันก็เท่ากับ 1 ชีวิต...

ช่วยกัน FW เพื่อให้ทุกคนได้รู้ว่าคุณทำบาปกันอยู่ ไม่ได้ทำบุญ ผลบาปที่ทำกับสัตว์เหล่านี้จะย้อนมาสนอง ถ้าดูรายการกรรมลิขิต จะรู้ว่าคนที่ทำบาปกับสัตว์รับผลกรรมแบบไหน คิดได้แล้วหยุดส่งเสริมการทำบาปกับเถอะ วิธีทำบุญมีเยอะไป ต่อไปจะเริ่มสร้างกระแสปลูกต้นไม้ทำบุญกันดีกว่า เพราะสร้างที่อยู่ในสัตว์ได้อาศัย สร้างอากาศให้คนได้หายใจ เป็นการทำบุญแบบต่อชีวิต แถมสิ่งแวดล้อมดีอีกต่างหาก

6 ต้นตออาการปวดศีรษะที่คุณคาดไม่ถึง ♣

6 ต้นตออาการปวดศีรษะที่คุณคาดไม่ถึง ♣







อาการปวดศีรษะเป็นๆ หายๆ หลายคนใช้วิธีบรรเทาอาการด้วยการกินยาแก้ปวด ทั้งที่ความจริงมีวิธีร้อยแปด ช่วยให้คุณหายปวดศีรษะเป็นปลิดทิ้ง หากรู้สาเหตุที่แท้จริง









ตัวกระตุ้น ที่ 1 : กิจวัตรวันหยุสุดสัปดาห์
หลายคนทำงานหนักและ สะสมความเครียดตั้งแต่จันทร์ - ศุกร์ (บางคนรวมวันเสาร์ด้วย) พอถึงวันเสาร์ - อาทิตย์จึงเอาคืนด้วยการนอนมาราธอน ตื่นซะเที่ยง สิ่งที่เป็นของแถมมาคือ อาการปวดศีรษะตุบๆ เป็นเพราะเมื่อเครียดน้อยลง ฮอร์โมนความเครียดอย่างคอร์ติซอล (cortisol) และนอราดรีนาลิน (noradrenaline) ก็ลดลงด้วย ส่งผลให้สารสื่อประสาท (neurotransmitter)ไปกระตุ้นหลอดเลือดแดงให้หดและคลายตัวอย่างรวดเร็ว จนเกิดอาการปวดศีรษะได้

วิธีรับมือ

- อย่านอนเยอะไป พบว่า 79 เปอร์เซ็นต์ของคนที่ปวดศีรษะบ่อยๆ นอนหลับมากกว่าคืนละ 8 ชั่วโมง

- ดื่มกาแฟเวลาเดิมทุกวัน คนติดกาแฟที่ปกติดื่มกาแฟตอนเช้าทุกวันก่อนทำงาน ช่วงสุดสัปดาห์ก็ควรดื่มเวลาเดิม เพราะหากร่างกายไม่ได้รับสารกาเฟอีนอย่างที่เคย อาจทำให้ปวดศีรษะรุนแรงได้

- ออกกำลังกายระหว่างสัปดาห์ครั้งละ 30 นาที สัปดาห์ละ 3 วันช่วยลดความถี่ของอาการปวดศีรษะได้กว่าครึ่ง การออกกำลังกายช่วยลดผลกระทบของความเครียด ทั้งยังทำให้ร่างกายหลั่งสารระงับปวดชื่อเอนดอร์ฟิน (endorphin) ออกมา

- นอกจากนี้ กิจกรรมผ่อนคลายอื่นๆอย่างฝึกโยคะ นั่งสมาธิ ทำให้สามารถควบคุมปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายที่มีต่อความเครียดได้ดีขึ้น อย่างเช่นความตึงของกล้ามเนื้อและอัตราการเต้นของหัวใจ พบว่าผู้ที่ปวดศีรษะบ่อยๆ มีอาการทุเลาลงถึง 80 เปอร์เซ็นต์ เมื่อทำกิจกรรมข้างต้น

ตัวกระตุ้น ที่ 2 : การรักษาแบบผิดๆ

เมื่อปวดศีรษะหลายคนมัก พึ่งยาแก้ปวดอย่างพาราเซตามอล ไอบูโพรเฟน (ibuprofen) หรือนาพร็อกเซน (naproxen) โดยหารู้ไม่ว่า การกินยาแก้ปวดเหล่านี้บ่อยกว่าสัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้ง มีผลต่อศูนย์ควบคุมความเจ็บปวดในสมอง และอาจลดสารเซโรโทนิน (serotonin) ในสมองซึ่งเป็นสารที่ทำให้รู้สึกดีมีความสุข ผลก็คือ ทำให้ปวดศีรษะหนักและถี่ขึ้นจนถึงขั้นปวดทุกวัน ผู้หญิงยิ่งต้องระวัง เพราะ 75 เปอร์เซ็นต์ของคนที่ปวดศีรษะด้วยสาเหตุนี้เป็นผู้หญิงโดยเฉพาะที่มีอายุเกิน 30 ปี

วิธีรับมือ

- อย่าใช้ยาบ่อย และอ่านฉลากก่อนใช้ นานๆ ทีคงไม่เป็นไร แต่ต้องมั่นใจว่าปฏิบัติตามคำแนะนำในฉลากอย่างเคร่งครัด หากกินเกินขนาดที่แนะนำ จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการปวดศีรษะเรื้อรัง

- หากสงสัยว่าอาการปวดศีรษะเรื้อรังของคุณมีสาเหตุจากการใช้ยาแก้ปวดบ่อยเกิน ไป ควรรีบปรึกษาแพทย์ ซึ่งจะแนะนำให้คุณหยุดกินยา หรือลดปริมาณยาอย่างค่อยเป็นค่อยไปการรักษาอาจสร้างความทรมานให้พอสมควร แต่ระหว่างนี้แพทย์อาจจ่ายยาแก้อาการปวดศีรษะบางตัวเพื่อช่วยคุมอาการปวด ด้วย อาการควรดีขึ้นใน 1 - 3 สัปดาห์ แต่บางรายก็อาจใช้เวลานานถึง 3 เดือน

ตัวกระตุ้นที่ 3 : รอบเดือน

จาก บรรดาผู้ป่วยไมเกรนเพศหญิงทั้งหมด มีจำนวนถึง 60 เปอร์เซ็นต์ที่มีอาการปวดศีรษะเฉพาะก่อนมีรอบเดือน หรือช่วงวันแรกของรอบเดือน สาเหตุเพราะการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนเอสโทรเจน ส่งผลให้สารเซโรโทนินลดลงไปด้วย สังเกตได้ว่าในช่วงตั้งครรภ์ อาการปวดศีรษะจะลดลงเพราะระดับฮอร์โมนเอสโทรเจนค่อนข้างคงที่นั่นเอง

วิธีรับมือ

- พบแพทย์ แพทย์มักจ่ายยากลุ่มทริปแทน (triptan) โดยอาจแนะนำให้กินติดต่อกัน 2 วันก่อนมี ประจำเดือน หรือกินต่อเนื่องระหว่างมีประจำเดือน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรุนแรงและความถี่ของอาการปวด นอกจากนี้ยาแก้ปวดกลุ่มที่ไม่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์อย่างไอบูโพรเฟน ถ้ากินทุกวันช่วงก่อนมีประจำเดือน 5 - 7 วัน จะช่วยลดความถี่ของอาการปวดศีรษะได้เช่นกัน

- รักษาระดับฮอร์โมนเอสโทรเจนโดยใช้ยาคุมกำเนิด เคยเชื่อกันว่าการกินยาเม็ดคุมกำเนิดทำให้อาการปวดศีรษะแย่ลง แต่ปัจจุบันไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว ตรงกันข้าม การกินยาเม็ดคุมกำเนิดขนานใหม่ๆ ที่มีระดับฮอร์โมนไม่สูงนักต่อเนื่องกันทุกวัน อาจบรรเทาอาการปวดได้ เพราะช่วยรักษาระดับฮอร์โมนเอสโทรเจนไม่ให้เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังไม่ได้รับการยืนยันชัดเจน ดังนั้นหากคิดจะกินยาเม็ดคุมกำเนิดแบบต่อเนื่องเพื่อลดอาการปวดไมเกรนควร ปรึกษาแพทย์ก่อน

ตัวกระตุ้นที่ 4 : การเก็บกดความโกรธ

การ พยายามเก็บความโกรธไว้คนเดียวไม่ส่งผลดีทั้งต่อคุณเองหรือต่อใครๆ เพราะเป็นสาเหตุให้เกิดอาการปวดศีรษะรุนแรงกว่า และมากกว่าโรคเครียดและโรคจิตกังวลเสียอีก เมื่อเราโกรธกล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายจะตึง รวมถึงบริเวณแผ่นหลังลำคอ และใต้หนังศีรษะ ทำให้ปวดศีรษะและมีอาการคล้ายมีอะไรรัดศีรษะจนแทบจะระเบิดออกมา

วิธีรับมือ

- ครั้งต่อไปที่เริ่มรู้สึกเดือดปุดๆ ให้สูดหายใจเข้าลึกๆโดยใช้เวลานานกว่าปกติ กลั้นไว้ 3 - 5 วินาที ขณะใช้นิ้วโป้งจรดกับนิ้วชี้วางไว้บนหน้าตักให้เหมือนกันสองข้างคล้ายนั่ง สมาธิ แล้วหายใจออกทางปากช้าๆ จนรู้สึกว่าลมระบายจากปอดทั้งหมด ทำซ้ำ 2 - 3 ครั้ง จะช่วยบรรเทาอาการตึงของกล้ามเนื้อคอและไหล่ ป้องกันอาการปวดศีรษะได้

- คิดทบทวน เมื่ออารมณ์เย็นลงแล้ว คิดทบทวนว่า จำเป็นต้องโกรธขนาดนั้นหรือไม่กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น หน้าตาน่าเกลียดแค่ไหนในตอนนั้น เรื่องที่โกรธสำคัญขนาดต้องจดจำไปเป็นเดือนๆ ไหม วิธีนี้ช่วยให้คุณคิดบวกและหาทางออกได้ดีขึ้น พบว่าคนที่ปล่อยวางความโกรธในช่วงแรกสามารถจัดการกับปัญหาได้ดีขึ้นในเวลา ต่อมา ตรงกันข้ามถ้าเลือกที่จะโกรธ คุณจะหงุดหงิดจนปวดศีรษะตลอดทั้งวัน

- ถ้าโกรธจนปวดศีรษะไปแล้วหาผ้าชุบน้ำอุ่นประคบต้นคอบริเวณท้ายทอยสัก 2 - 3 นาที ช่วย ผ่อนคลายกล้ามเนื้อคอ (sternocleido-mastoid muscles) ซึ่งเป็นจุดหลักที่ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะจากความเครียด

ตัวกระตุ้นที่ 5 : อาหารบางชนิด

หาก คุณรับประทานชีส ช็อกโกแลต และน้ำอัดลมประเภทไม่ผสมน้ำตาล แล้วเกิดอาการปวดศีรษะก็ไม่ต้องแปลกใจ เพราะพบว่าสารเคมีในอาหารเหล่านี้มีส่วนกระตุ้นอาการปวดศีรษะไมเกรนเช่น ไทรามีน (ในชีส) ทีโอโบรมีน (ในช็อกโกแลต) และแอสปาร์แตม (ในเครื่องดื่ม) ผงชูรสและไนเตรต (ในเนื้อปลาปรุงรสหรือไส้กรอก) นอกจากนี้ยังมีหลักฐานสนับสนุนว่า เพียงเลิกน้ำอัดลมก็สามารถทำให้อาการปวดศีรษะลดลงได้

วิธีรับมือ

- จดรายการอาหารที่รับประทานเพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวดศีรษะ อะไรที่กินเป็นประจำแล้วปวดศีรษะก็พยายามเลี่ยง จากนั้นสังเกตดูว่าอาการดีขึ้นหรือไม่

- อย่าอดอาหาร การงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดดิ่งลง จนอาจเป็นสาเหตุของอาการปวดศีรษะไมเกรนได้

ตัว กระตุ้นที่ 6 : กลิ่นน้ำหอม

- กลิ่นหอมอ่อนๆ อาจน่าหลงใหลแต่กับบางคน นั่นอาจเป็นสาเหตุของอาการปวดศีรษะ กลิ่นต่างๆ ที่เราสูดเข้าไปล้วนมีผลต่อสารต่างๆ ในสมอง พบว่าคนที่ปวดไมเกรนกว่า 50 เปอร์เซ็นต์แพ้กลิ่นฉุน เช่น กลิ่นน้ำยาถูพื้นและกลิ่นน้ำหอม

วิธี รับมือ

อยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเท แน่นอนว่าคุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงกลิ่นฉุนๆได้เสมอไป แต่สิ่งที่ทำได้คือ พยายามจัดบ้านและที่ทำงานให้อากาศถ่ายเทสะดวก อาจใช้วิธีติดตั้งพัดลมระบาอากาศ หรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม

คุณ ปวดศีรษะแบบไหน : การวินิจฉัยโรคอย่างถูกต้องเป็นขั้นแรกสู่การรักษาที่ได้ผล คุณเป็นโรคปวดศีรษะ

ไมเกรน : ปวดศีรษะตุบๆ รุนแรงบริเวณขมับหน้าผาก เบ้าตา หรือท้ายทอย และมักปวดศีรษะข้างเดียวทั้งยังอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ถ่ายท้อง ไวต่อเสียงและแสงผิดปกติ มักเป็นซ้ำๆ แบบเดิม

วิธีการรักษา ที่ได้ผล : รับประทานแอสไพริน ไอบูโพรเฟน หรือยาแก้ปวดไมเกรนโดยเฉพาะ เช่น เอกซ์เซดริน (excedrin) หากอาการไม่ดีขึ้นหรือปวดมากกว่าเดิม ควรปรึกษาแพทย์เพื่อการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงการป้องกันด้วย

ปวด ศีรษะจากกล้ามเนื้อตึงเครียด : รู้สึกว่าเส้นตึง ปวดบริเวณท้ายทอยต้นคอ หรือปวดทั่วทั้งศีรษะคล้ายมีอะไรมาบีบรัด มักไม่ปวดบ่อยๆ และไม่มีรูปแบบซ้ำเดิม แต่บางคนอาจปวดเรื้อรัง

วิธีการ รักษาที่ได้ผล : ไม่ว่าจะเป็นแอสไพริน ไอบูโพรเฟน หรือพาราเซตามอล ก็ใช้บรรเทาอาการปวดศีรษะจากกล้ามเนื้อตึงเครียดได้ทั้งสิ้น แต่ถ้าคุณปวดศีรษะเรื้อรัง ปรึกษาแพทย์ดีที่สุด

ไซนัส : ปวดบริเวณแก้ม ระหว่างหัวคิ้ว และกลางหน้าผาก และมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่น น้ำมูกไหลลงคอและเจ็บคอ

วิธีการรักษาที่ได้ผล : ใช้แอสไพรินไอบูโพรเฟน หรือนาพร็อกเซน ที่มีฤทธิ์ลดอาการปวดและต้านอาการอักเสบร่วมกับยาลดอาการคัดจมูก ซึ่งทำให้อาการปวดลดลง คุณยังควรปรึกษาแพทย์เพื่อรักษาด้วยยาปฏิชีวนะหรือให้การรักษาด้วยวิธีอื่นๆ

เทคนิคง่ายๆ แก้ปวดศีรษะ

- ร่างกายแข็งแรง และอารมณ์ดีขึ้น ซึ่งน่าจะเป็นเพราะไทชิเน้นการผ่อนคลาย การกำหนดลมหายใจและการเคลื่อนไหวร่างกายทุกส่วนสัมพันธ์กัน จึงช่วยลดอาการปวดศีรษะได้

- กินแมกนีเซียม : พบว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยไมเกรนมีระดับแมกนีเซียมในร่างกายต่ำ ผู้หญิงส่วนหนึ่งมีแมกนีเซียมในร่างกายค่อนข้างต่ำและยิ่งต่ำลงอีกในช่วง เครียด การรับประทานวิตามินเสริมแมกนีเซียมวันละ 400 มิลลิกรัม จึงเป็นอีกวิธีช่วยลดอาการปวดศีรษะ

- กินวิตามินเสริมโคเอนไซม์ Q10 : เป็นสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งมีในร่างกายคนเรา พบว่าผู้ที่รับประทานโคเอนไซม์ Q10 เป็นอาหารเสริมครั้งละ 100 มิลลิกรัมวันละ 3 เวลา มีอาการปวดไมเกรนน้อยลง แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพราะสารนี้อาจทำปฏิกิริยากับยาชนิดอื่นๆ ที่รับประทาน

รู้เขารู้เรา ตอน 16 ข้อแห่งความยิ่งใหญ่ของเวียดนามเหนือไทย

16 ข้อแห่งความยิ่งใหญ่ของเวียดนามเหนือไทย


ดร.โสภณ พรโชคชัย .(1).
ประธานกรรมการ มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย .(2).

ตอนนี้เวียดนามกำลัง “ฮิต” ติดตลาด มีคนสนใจไปลงทุนกันมากมาย มีเสน่ห์มากกว่าไทยด้วยซ้ำไป เวียดนามยังไม่อาจไล่ทันไทยในเร็ววันนี้หรอกครับ (ปลอบใจสักหน่อย) แต่มีศักยภาพที่จะยิ่งใหญ่เหนือไทยได้ในวันหน้า เราควรสังวรและพิจารณาให้ดี หลายเรื่องเราควร “เอาเยี่ยงกา” มาลองดูกันครับ


1. สนามบินสะดวกกว่าไทย อันที่จริงสนามบินหลายแห่งในประเทศไทยทันสมัยกว่าสนามบินกรุงฮานอยและนครโฮช ิมินห์ แต่ที่เวียดนาม เครื่องบินจอดถึงงวงเสมอ ไม่ต้องต่อรถโค้ชให้เสียอารมณ์แบบบ้านเรา และที่สำคัญในอีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้า นครโฮชิมินห์จะมีสนามบินใหม่ที่ใหญ่กว่าสุวรรณภูมิของเราในขณะนี้เสียอีก

2. คนเวียดนามรักชาติ ไม่ต้องดูอื่นไกล เขานิยมอาหารของเขาเอง ประเภทอาหารแฟชั่น/ขยะของฝรั่งเข้าไปตีกินในประเทศเขาได้ยาก คุณสมบัติที่ไม่ยอมเป็นเมืองขึ้น (แม้ทางความคิด) กับใครเช่นนี้เชื่อว่าเหนือกว่า “เลือดไทย” ที่ทำท่าจะเจือจางลงทุกวัน

3. “ผ้าขี้ริ้วห่อทอง” คนเวียดนามที่เราเห็นแต่งตัวดูปอน ๆ นั้น เขาชอบสะสมทอง ว่าง ๆ ก็เอามาชื่นชมเล่นเงียบ ๆ เขาไม่ต้องการทำตัวหรูหรา เพราะเดี๋ยวถูกเพ่งเล็ง เขามีเงินสะสมไว้มาก แต่ไม่เปิดเผย ซื้อของก็มักใช้เงินสด ซื้อบ้านอาจมีกู้เงินบ้าง แต่ก็ยังจำกัดมาก ข้อนี้อาจทำให้ระบบการเงินของประเทศไม่หมุนเวียนมากนัก แต่ผมก็ยังนิยมความมัธยัสถ์มากกว่าการสุรุ่ยสุร่าย สังเกตง่าย ๆ อีกอย่างหนึ่งก็คือสนนราคาของอาหารเวียดนามนั้น หาได้ถูกกว่าไทย มาตรฐานค่าครองชีพไม่ได้ต่ำกว่าไทยเลย นี่แสดงว่าเขามีแหล่งรายได้ที่ไม่เปิดเผยหรือรับ job ทำงานพิเศษต่าง ๆ ไม่ใช่กินแต่เงินเดือนปกติ

4. คนเวียดนามชอบค้าขาย เปิดร้านค้าขายแทบทุกหัวระแหง ในทุกท้องที่มีสินค้าครบถ้วน ไม่ต้องไปเดินห้างใหญ่หรือไม่ต้องไปย่านการค้าใด ด้วยความนิยมค้าขายโดยสายเลือดบวกกับความขยันขันแข็งเช่นนี้ โอกาสที่เวียดนามจะแซงไทยได้ คงไม่ไกลเกินเอื้อม

5. มีขอทานน้อยกว่าไทย ในนครโฮชิมินห์ที่มีประชากรไม่แพ้กรุงเทพมหานคร แต่แทบจะหาขอทานไม่พบ มีแต่คนอุ้มลูกจูงหลานมาขายหมากฝรั่ง ให้พอรำคาญเล่น คนใจอ่อนก็อุดหนุนกันไปบ้าง แต่ประเภทเป็นขอทานแท้ ๆ แทบไม่เคยพบ ทางการเขาเอาจริง จับและกวาดต้อนไปฝึกอาชีพ ไม่ปล่อยให้เกลื่อนถนนแบบไทยที่มีกระทั่งขอทานเขมรมาเพ่นพ่านเต็มไปหมด (น่าอนาถแท้ ๆ ประเทศไทย)

6. (แทบ) ไม่มีปัญหายาเสพติด หรือเด็กเกเร-อันธพาล ที่เวียดนามใครขืนเสพหรือค้ายาเสพติด มีโอกาสเกิดใหม่สูงมาก เขาไม่ค่อยขังให้เปลืองข้าวแดงเสียด้วย ย่านอิทธิพลค้ายาหรือขาใหญ่แบบสลัมเมืองไทย แทบหาไม่ได้ ที่เคยมีก็ถูกรื้อไปสร้างแฟลตกันแทบหมดแล้ว

7. เศรษฐกิจ “กระดี๊กระด๊า” ดูดีไปหมด! ทั้งนี้เพราะเติบโตปีละ 7-10% มาหลายปี ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 เวียดนามก็กระอักแบบไทย แต่ฟื้นตัวเร็วกว่าและฟื้นตัวอย่างมั่นคงกว่าไทยมาก อนาคตของประเทศแลดูสดใส อยู่ในช่วงขาขึ้น มีการพัฒนาสาธารณูปโภคอย่างขนานใหญ่และต่อเนื่อง

8. ให้การต้อนรับกระทั่งมหาวิทยาลัยต่างชาติ นี่เป็นมิติที่ขอย้ำถึงการส่งเสริมการลงทุนของต่างชาติในเวียดนาม มหาวิทยาลัยชั้นนำของต่างประเทศสามารถเข้าไปตั้งสาขาได้ ผิดกับของไทยที่กีดกันมหาวิทยาลัยจากต่างประเทศ มหาวิทยาลัยไทยหลายแห่งกลัวการออกนอกระบบ เพียงเพราะเกรงใจอาจารย์ที่เป็นข้าราชการจะสูญเสียผลประโยชน์ แต่ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของนักศึกษาและประเทศชาติ

9. แทบหา “บ้านว่าง” (บ้านที่สร้างเสร็จแต่ไม่มีผู้เข้าอยู่) ไม่ได้เลย ที่อยู่อาศัยทุกระดับราคาต่างมีคนเช่าหรือซื้ออยู่อาศัย ที่ว่างมีไม่ถึง 5-10% นี่แสดงว่าความสูญเสียทางเศรษฐกิจของอสังหาริมทรัพย์แทบไม่ปรากฏให้เห็นในเว ียดนามเลย

10. ระบบผ่อนบ้านมีหลักประกัน (ของไทยยังล้าหลังกว่า!) ในเวียดนามบ้านสร้างเสร็จก็แสดงว่าการผ่อนชำระค่าบ้านเสร็จพอดี ซึ่งเป็นลักษณะ escrow account ที่ป้องกันไม่ให้ผู้ประกอบการนำเงินไปหมุนทางอื่นหรือนำไปซื้อรถเมอร์เซดีส โครงการต้องนำเงินงวดของการผ่อนมาก่อสร้างบ้านจนแล้วเสร็จ และหากใครจะขอกู้ ก็ต้องติดต่อสถาบันการเงินให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เมื่อสถาบันการเงินตกลง สถาบันการเงินนั้นก็จะผ่อนชำระกับโครงการจนแล้วเสร็จแทนเราต่อไป

11. กล้าย้ายสถานที่ราชการออกนอกเมือง แล้วนำที่ดินทำเลทองมาพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นท่าเรือหรืออื่น ๆ ในฟิลิปปินส์ ถึงขนาดย้ายค่ายทหารออกไปนอกเมือง เพื่อนำที่ดินทำเลทองมาพัฒนาเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ แต่สำหรับไทย คงทำไม่ได้เพราะ “เขตทหารห้ามเข้า” (ฮา) หรือเพราะเรามัก “เจาะยาง” ด้วยการตีขลุมว่า ขืนเอาทรัพย์สินไปหาผลประโยชน์เชิงพาณิชย์ อาจเกิดการการฉ้อราษฎร์บังหลวง นี่คือกระบวนการกีดกัน/ยับยั้งความเจริญของชาติอย่างแท้จริง

12. กฎหมายเวนคืนศักดิ์สิทธิ์ ทางราชการเวียดนามสามารถย้ายชาวบ้านได้ทุกบริเวณที่ต้องการ อาจมีอิดออดบ้าง แต่ต้องไปภายในเวลาที่รวดเร็ว จะมาอ้างรักถิ่นฐาน อนุรักษ์เครือข่ายเพื่อนบ้านหรือรักษาจิตวิญญาณชุมชน ไม่ได้เด็ดขาด และโดยความศักดิ์สิทธิ์นี้เอง พื้นที่แปลงขนาดใหญ่จึงสามารถนำมาพัฒนาให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างมี ประสิทธิภาพและทันท่วงที นี่เป็นจุดเด่นสำคัญที่ทำให้เวียดนามก้าวล้ำนำไทยที่ “ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก” เช่นทุกวันนี้

13. กฎหมายมีการปรับเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว บางครั้งแม้แต่ข้าราชการยังตามไม่ทัน แต่เป็นข้อดีอย่างยิ่งที่ทำให้กฎหมายสามารถตอบสนองสถานการณ์ใหม่ ๆ ของการพัฒนาประเทศ ไม่เหมือนไทย ที่การแก้ไขกฎหมายเพื่อชาติและประชาชน เชื่องช้าเป็นที่สุด เช่น เรามี พรบ.ผังเมืองตั้งแต่ 2475 แต่มีผังเมือง กทม. ฉบับแรกเมื่อปี 2535 หรืออีก 60 ปีถัดมา! เพราะชนชั้นนำของประเทศไม่ต้องการให้ที่ดินของตนเสียผลประโยชน์นั่นเอง .(3).

14. ปราบปรามการฉ้อราษฎร์บังหลวงอย่างจริงจัง ท่านเชื่อหรือไม่ กัปตันเครื่องบินเวียดนามแอร์ไลน์ ถูกไล่ออกเพียงเพราะซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้าประเทศมูลค่าเพียงหลักแสนบาทโดย ไม่ผ่านด่านศุลกากร นักฟุตบอลเวียดนาม 4 คนที่ไปรับสินบนในงานแข่งขันกีฬาซีเกมส์ที่ฟิลิปปินส์เมื่อปี 2548ขณะนี้ยังติดคุกหัวโตอยู่เลย (4). เรื่องนี้ประเทศไทยในยุคคุณธรรมนำการเมือง เทียบอะไรเขาได้หรือไม่

15. การเมืองเวียดนามมีแต่ความมั่นคง ไม่มีรัฐประหาร ผมได้รับเชิญจากสมาคมนายธนาคารมาเลเซีย (Malaysian Investment Bankers Association) ไปพูดที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ เขาบอก (เชิงขอบคุณประเทศไทย) ว่า หลังรัฐประหารของไทย มาเลเซียได้รับอานิสงส์ไปเต็ม ๆ เงินลงทุนแทนที่จะมาไทยกลับไปมาเลเซีย ที่เวียดนามก็เช่นกัน นักลงทุนไปกันมากมาย นักลงทุนทั่วโลกแทบจะข้ามหัวประเทศไทยไปหมดเพราะเขาไม่นิยมรัฐประหาร!

16. ข้อสุดท้ายนี้น่ากลัวที่สุดกล่าวคือ เวียดนามกำลังรวมตัวกัน แต่ไทยกำลังจะแตก นับจากสิ้นสุดสงครามเวียดนามเมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา เวียดนามเป็นปึกแผ่นแน่นแฟ้นยิ่ง ๆ ขึ้น คนเวียดนามโพ้นทะเล ส่งเงินกลับบ้านจำนวนมหาศาลถึง 150,000 ล้านบาท .(5). แต่ประเทศไทยของเรากลับกำลังจะแตกแยก ภาคใต้ไม่แน่ว่าจะต้องปล่อยให้ปกครองตนเองหรือกลายเป็นประเทศอิสระในไม่ช้าไ ม่นานนี้ (โอมเพี้ยง ขอให้เดาผิด) การแตกแยกคุกรุ่นของคนในประเทศกลับยิ่งเพิ่มขึ้นหลังรัฐประหาร ไทยกับเวียดนามสวนกระแสกันอย่างนี้ แล้วไทยจะเหลือหรือ

ผมไม่ได้เชียร์เวียดนาม แต่หวั่นใจว่าไทยเราจะถอยหลัง ก็ได้แต่หวังว่าข้อคิด 16 ข้อนี้จะทำให้เราได้ “เสียวสันหลัง” กันเสียบ้าง ปรองดองกันเถอะครับ จำไว้ว่า “เข่นฆ่ากันทำไม เราเป็นคนไทยด้วยกันทั้งผอง ไทยฆ่าไทย ให้ชาติอื่นครอง วิญญาณปู่จะร้องไอ้ลูกหลาน[^_^]” .(6)..

หมายเหตุ
ดร.โสภณ พรโชคชัย เคยเป็นที่ปรึกษารัฐบาลเวียดนามด้านการวางระบบการประเมินค่าทรัพย์สิน ประจำการอยู่ที่กรุงฮานอย แต่ได้เดินทางไปศึกษาเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ในนครอื่นด้วย ดร.โสภณมีอาชีพเป็นผู้ประเมินค่าทรัพย์สินและนักวิจัยด้านอสังหาริมทรัพย์ ยังเป็นกรรมการที่ปรึกษาหอการค้าไทยสาขาอสังหาริมทรัพย์ ผู้แทนสมาคมประเมินค่าทรัพย์สินนานาชาติ (IAAO) ประจำประเทศไทย และกรรมการสภาที่ปรึกษา Appraisal Foundation ซึ่งก่อตั้งโดยสภาคองเกรสเพื่อการควบคุมการประเมินค่าทรัพย์สินในสหรัฐอเมริ กา Email: sopon@thaiappraisal.org

โรคทางใจ โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

โรคทางใจ โดย หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี


โรคทางใจ......................



หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
กายเกิดจากวัตถุธาตุ มีดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นต้น
เมื่อโรคเกิดขึ้นที่วัตถุธาตุ ซึ่งมันอาจขาดธาตุอะไรสักอย่าง
ครั้นหมอพิสูจน์รู้สมุฎฐานความเป็นจริงแล้วก็ต้องรักษาด้วยการเพิ่มธาตุนั้นๆ
ส่วนจิตเป็นสภาวธรรมอันหนึ่ง เกิดขึ้นแล้วดับพร้อมกับอารมณ์นั้นๆ
ซึ่งมีธาตุรู้เป็นผู้ยืนโรง จิตจะเกิดโรคชนิดใดต้องอาศัยอารมณ์เป็นเครื่องวัด

ฉะนั้น หมอธรรมดาซึ่งไม่มีความรู้ ไม่ฉลาดในอารมณ์นั้น ๆแล้ว
ไม่สามารถจะรักษาโรคทางใจได้
พระพุทธเจ้าของเราพระองค์เป็นแพทย์ผู้วิเศษ
ใช้ธรรมโอสถเป็นยารักษาโรคได้อย่างเด็ดขาด หายแล้วไม่กลับเกิดอีก
ถึงอมตะดับทุกข์ร้อนถอนอาลัยไม่กังวล
เพราะพระองค์ทรงรู้แจ้งในตำแหน่งที่มาของโรคใจได้ทุกประการ
และวางยาวิเศษอันได้นามสมัญญาว่า "มรรค ๘ หรือ ศีล สมาธิ ปัญญา"ให้เหมาะกับโรคนั้นๆ

อนึ่ง เพื่อสะดวกแก่การรักษาโรคนั้น ๆ โดยเฉพาะ
ท่านได้จัดยาไว้เป็นพิเศษเพื่อรักษาโรคนั้นๆ โดยเฉพาะมีดังนี้คือ

โรคราคะ ทำให้จิตใจน้อมเอนเอียงไปในความกำหนัดรักใคร่
ไม่ว่าจะเห็นรูปด้วยตา ฟังเสียงด้วยหู เป็นต้น
ย่อมเห็นเป็นของน่ารักใคร่น่าพอใจทำให้เกิดความกำหนัดยินดีไปทั้งนั้น
ท่านให้ใช้ยาคือ อสุภะเห็นเป็นของปฏิกูลน่าพึงเกลียด
หรือเห็นเป็นเหตุก่อให้เกิดทุกข์เป็นต้น

โรคโลภะ เมื่อความทะยานอยากได้ไม่รู้จักพอ
เพราะไม่เห็นคุณค่าแห่งการแจกจ่ายแบ่งปันให้แก่คนอื่น
ฉะนั้นท่านจึงสอนให้รักษาด้วย การให้ทาน
เมื่อทำทานไปแล้วผู้ที่ได้รับทานจะแสดงความขอบใจและดีใจ
อาจทำการอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง ตอบแทนจนเป็นที่พอใจ
แล้วจะเห็นคุณค่าของการทำทานอันล้ำค่า
หรือเห็นสมบัติทั้งหลายในโลกนี้ มิใช่ของตนคนเดียว
แต่เป็นของสาธารณะ เพียงเปลี่ยนมือกันใช้เท่านั้น
ตายแล้วทุกคนต้องทอดทิ้งไว้ในโลกนี้ด้วยกันทั้งนั้น
ไม่มีใครเอาติดตัวไปด้วย นอกจากบาปและบุญเท่านั้น ฯ

โรคโทสะ คิดแต่แง่ทำลายหมายแต่โทษความผิดของผู้อื่น
โดยมิได้ทบทวนคิดถึงความดีมีประโยชน์ของเขาบ้าง
ความชั่วหรือความผิดมีนิดเดียว ก็สร้างให้มากทวีขึ้น
หรือแม้ความชั่วความผิดของคนอื่นเขาไม่มีเสียเลย
แต่เราไปสร้างขึ้นเองด้วยความไม่พอใจของเรา
จึงเป็นโรคที่ร้ายแรงมากอาจสร้างนรกไว้บนสวรรค์ก็ได้
เป็นการทำความเดือดร้อนให้แก่คนอื่นโดยเฉพาะ
ท่านจึงสอนให้วางยาเย็นคือ ความเมตตา ปรารถนาให้คนอื่นมีความสุข
จนเห็นโทษในการทำความเดือดร้อนให้แก่คนอื่น

ทุกคนเกิดมามีกิเลสประจำตัวอยู่แล้ว ไม่มากก็น้อย
และทุกคนก็เกลียดทุกข์ ปรารถนาสุขด้วยกันทั้งนั้น
จึงประกอบแต่สิ่งที่เห็นว่าดี ถูกต้อง อันจะนำความสุขมาให้
แต่เพราะกิเลสยังมีประจำใจอยู่ จึงอาจมีผิดบ้างบางกรณี

ฉะนั้น หากจะโกรธใครคนอื่น
จงคิดถึงเจตนาของเขาหรือประมวลความผิด ความชั่วของเขา เท่าที่เราจะประมวลได้
แล้วเอามาลบความดีของเขา เท่าที่เราจะประมวลได้เหมือนกัน
ถ้าหากความดีของเขายังเหลือ เป็นอันใช้ได้
อย่าพึงโกรธเขาก่อนเลย
แล้วก็อย่าลืม เอาความผิด หรือความชั่วของเรา
มาลบความดีของเราอีกด้วยว่าจะได้ผลลัพธ์อย่างไร

โรคโมหะ ความคิดผิด เห็นผิด
เป็นเหตุให้กระทำผิดพูดผิดจากความจริง โดยเห็นผิดเป็นถูก เห็นดีเป็นชั่ว เป็นต้น
อันเป็นเหตุให้กิจการนั้น ๆ ไม่สำเร็จลุล่วงไปได้เท่าที่ควร
เหมือนกับปลาติดอวนหรือนกติดข่าย
มีแต่จะนำความฉิบหายมาให้แก่ตนส่วนเดียว
ต้องรักษาด้วยยาคือ สุตตะ หมั่นได้ยินได้ฟัง และไต่ถามตริตรองบ่อย ๆ

10 วิธีที่คุณทำร้ายกระดูกสันหลัง

สูตรแห่งความสุข...ตำราชีวิตประจำวัน By สุทธิชัย หยุ่น

สูตรแห่งความสุข...ตำราชีวิตประจำวัน By สุทธิชัย หยุ่น

พรรคพวกส่งจดหมายเวียนผ่านอีเมล์มาให้...บอกว่าเป็น “สูตรแห่งชีวิตประจำวัน”
ที่ควรจะส่งต่อไปให้คนที่เรารัก, ห่วงใยและต้องการให้เขาหรือเธอมีความสุขทั้งกายและใจ...

ทำนองเดียวกันที่ชาวชีวจิตมีความห่วงหาอาทรต่อกันอย่างไม่ลดละ
เพื่อนเรียกสูตรนี้ว่าเป็น Lifebook หรือเป็น “ตำราแห่งชีวิต” ซึ่งผมคิดว่าเหมาะเจาะกับเนื้อหา
และคำแนะนำที่น่าสนใจยิ่ง ทั้งง่ายและตรงไปตรงมา, ใครจะทำก็ได้, ไม่ทำก็ได้,
เป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล, ไม่บังคับยัดเยียดกัน, ไม่ต่อว่าต่อขานกัน, แต่ถ้าหากมีความมุ่งมั่นจะทำอะไร
ให้กับชีวิตของตนเอง, ก็ถือว่าเป็นเรื่องน่าส่งเสริมสนับสนุน สมควรที่จะให้กำลังใจแก่กันและกันอย่างยิ่ง


สูตรที่ว่านี้มีง่าย ๆ อย่างนี้
๑. ดื่มน้ำให้มาก
๒. กินอาหารเช้าเหมือนราชา, รับประทานอาหารเที่ยงเหมือนเจ้าชายและเมื่อถึงอาหารเย็น,
ให้วาดภาพว่าตัวเองเป็นแค่ขอทาน (แปลว่ากินมือหนักที่สุดตอนเช้า, และกลาง ๆ ตอนเที่ยง
และตกเย็นแล้ว, ทำตัวเป็นยาจก, ไม่มีอะไรจะกิน...สุขภาพจะเป็นอย่างเทวดาทีเดียวเชียวแหละ)
๓.กินอาหารที่โตบนต้นและบนดิน, พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ผลิตจากโรงงาน
๔.ใช้ชีวิตบนหลักการ 3 E...นั่นคือ energy หรือพลังงาน, enthusiasm หรือกระตือตือร้น
และ empathy คือเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก ๆ
๕. หาเวลาทำสมาธิหรือสวดมนต์เสมอ
๖. เล่นเกมสนุก ๆ เสียบ้าง, อย่าเครียดกันนักเลย
๗. อ่านหนังสือให้มากขึ้น...ตั้งเป้าว่าปีนี้จะอ่านมากกว่าปีที่ผ่านมา
๘. นั่งเงียบ ๆ อยู่กับตัวเองสักวันละ 10 นาทีให้ได้
๙. นอนวันละ 7 ชั่วโมง
๑๐.เดินสักวันละ 10 ถึง 30 นาที, แล้วแต่จะสะกวด, ไม่ต้องเครียดกับมัน, วันไหนไม่ได้เดิน,
ก็อย่าหงุดหงิดกับมัน
๑๑.ระหว่างเดิน, อย่าลืมยิ้ม
นั่นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพกายและใจที่ผสมปนเปกันได้เสมอ, หากทำเป็นกิจวัตร,
ชีวิตก็จะแจ่มใส,แต่อย่าทำให้ตัวเองเครียดด้วยการรู้สึกผิดถ้าหากวันไหนทำไม่ได้ตามที่วางกำหนดเวลา
ของตนเอาไว้ วันนี้ทำไม่ได้, พรุ่งนี้ทำก็ได้ แต่การไม่เอาจริงเอาจังกับตัวเองเกินไปไม่ได้หมายถึงการ
ผัดวันประกันพรุ่ง, ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน
สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเองที่ควรไปจะคู่กับสูตรสุขภาพมีอย่างนี้ครับ

๑. อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนอื่น คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้นเขามีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณ
อย่างไรบ้าง
๒. อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้ แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย, ก็ทุ่มเทกำลังและพลังงานให้กับความคิดทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย
๓. อย่าทำอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้...รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน
๔. อย่าเอาจริงเอาจังกับตัวเองนัก เพราะคนอื่นเขาไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก
๕. อย่าเสียเวลาและพลังงานอันมีค่าของคุณกับเรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ....นอกเสียจากว่ามันจะ
ทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง
๖. จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอนหลับ
๗. ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ๆ ปลี้ ๆ...คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็น
ต้องมีแล้ว
๘. ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสีย และอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของ
อีกฝ่ายหนึ่งเลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ
๙. ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร...จงอย่าเกลียดคนอื่น
๑๐.ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น, จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ
๑๑.ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง
๑๒.จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน คุณมาเพื่อเรียนรู้ และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตร
ซึ่งมาแล้วก็หายไป...เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต...แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต
๑๓. จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น
๑๔. คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกแถลงกับคนอื่นหรอก...บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่าง
กันได้...เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร

แล้วเราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชนและคนรอบข้างเราล่ะ?
๑. อย่าลืมโทรฯหาครอบครัวบ่อย ๆ
๒. จงหาอะไรดี ๆ ให้คนอื่นทุกวัน
๓. จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง
๔. จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6 ขวบ
๕. พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน
๖. คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณไม่ใช่เรื่องของคุณสัก หน่อย
๗. งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก แต่ครอบครัวและเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณ
ในยามคุณมีปัญหาสุขภาพ ดังนั้น, อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็นอันขาด


และถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้มีความหมายได้, ก็ควรจะทำดังต่อไปนี้
๑. ทำสิ่งที่ควรทำ
๒. อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์, ไม่สวย, ไม่น่ารื่นรมย์, จงทิ้ง
ไปเสีย...เก็บไว้ทำไม?
๓. เวลาและพระเจ้าย่อมรักษาแผลทุกอย่างได้
๔. ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด, เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน
๕. ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน, จงลุกจากเตียง, แต่งตัวและปรากฎตัวต่อหน้า
คนที่เราร่วมงานด้วย...get up, dress up and show up.
๖. สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง
๗. ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้, อย่าลืมขอบคุณพระเจ้า หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย
๘. เชื่อเถอะว่าส่วนลึกๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุขเสมอ...ดังนั้น, ส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไปทำไมเล่า?

และสุดท้ายที่สำคัญที่สุด

ส่งบทความที่ต่อไปให้คนที่คุณรักและห่วงหาอาทรด้วย

10 สุดยอดคำสาปของโลก

Subject: FW: 10 สุดยอดคำสาปของโลก


อันดับ 10 เพชรโฮป (Hope Diamond)
http://variety.teenee.com/world/img6/16542.jpg
เป็นเพชรสีนํ้าเงินขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีนํ้าหนักถึง 45.52 กะรัต
โดยพ่อค้าฝรั่งเศสนาม จอห์น แบ็บติส ทราวิเนียร์ ได้ขโมยมาจากพระ
นลาฏ(หน้า ผาก) เทวรูปฮินดูในวิหารแห่งหนึ่งของอินเดีย เมื่อราว ค.ศ.
1600 โดยหารู้ไม่ว่าโคตรเพชรนี้มีคําสาปติดมาด้วย นั่นคือ มันผู้ใดที่
ขโมยหรือครอบครองเพชรโฮป จะต้องประสบความวิบัติทุกรายไป!

และ ก็จริงตามคําสาป นับตั้งแต่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14
ซึ่งทรงซื้อเพชรนี้จากนายทราวิเนียร์
พระองค์และพระราชวงศ์ก็ทรงได้รับภัยร้ายกาจจาก
การปฏิวัติของฝรั่งเศส ตลอด กระทั่งนาย เฮนรีย์ ฟิลิป โฮป
(เจ้าของชื่อเพชรเม็ดนี้) นายปิแอร์ คาร์เทียร์
(พ่อค้าอัญมณีชื่อดังที่เรารู้จักกันดี)
ล้วนประสบกับอัปมงคลจนถึงผู้ครอบครองรายสุดท้ายคือ ตระกูลของ เซอร์
ฮาร์รีย์ วินสตัน ได้ให้เลดี้ไฮโซ ผู้หนึ่งยืมสร้อยคอเพชรโฮป สวม
ใส่ในงานราตรี สองเดือนต่อมา ลูกน้อยของเธอก็ตายอย่างลึกลับ
สามีกลายเป็นบ้าและต้องหย่าขาดกัน ในที่สุด ทายาทตระกูลวินสตันจึง
มอบเพชรโฮปให้สถาบันสมิธ โซเนียนของสหรัฐฯ เป็นผู้อนุรักษ์แทน


อันดับ 9 วิหารกระดูก แห่งเมือง อีโวรา, โปรตุเกส
http://z.about.com/d/goeurope/1/0/Z/m/1/bone-chapel-2.jpg
วิหารนี้สร้างในศตวรรษที่ 15 โดยพระนิกายฟรานซิสกัน ที่ประหลาดพิสดารคือ
ผนังภายในวิหารนี้สร้างขึ้นจากกระดูกของมนุษย์กว่า 5,000 คน
ครับ เท่านั้นไม่พอ มีซากศพ 2 ร่าง ห้อยแขวนติดผนังด้านหนึ่งด้วย!
ตํานานวัดระบุว่า ครั้งกระโน้นมีสตรีนางหนึ่งซึ่งยึดมั่น ในคาทอลิก
แต่ได้
ถูกสามีผู้โมโหร้ายกับลูกชายของเธอเองช่วยกันโบยตีจนตาย ก่อนสิ้นชีวิต
เธอได้สาปให้วิญญาณของเขาทั้ง 2 ลงนรก แม้แต่พื้นพสุธา ก็จะไม่
ยินดีรับร่างของเขาไว้ ไม่นานนัก ชายทั้งสองก็ถึงแก่มรณกรรม
ชาวเมืองพยายามขุด หลุมฝังศพของเขา แต่ขุดลงไปที่ใดก็เจอะแต่หิน เมื่อจน
ปัญญา พวกเขาจึงนําเอาซากศพทั้งสองขึ้น ไปห้อยแขวนไว้กับ
ผนังวิหารดังกล่าว สําหรับให้นักบวชได้ใช้ปลง ในระหว่างทําสมาธิ
ก็นับเป็น
คําสาปที่ขลังยิ่ง


อันดับที่ 8 ละครเรื่อง แม็คเบ็ธ (Macbeth) ของเชคสเปียร์
http://variety.teenee.com/world/img6/16546.jpg
ละคร เรื่องนี้มีฉากที่เกี่ยวกับแม่มดและ คําสาปมนต์ดํา
ว่ากันว่าทําให้แม่มดตัวจริงสมัยนั้น เคืองแค้น
ที่เชคสเปียร์นําเอาเรื่องลับของพวกเขา
มาเปิดเผย จึงสาปให้ละครเรื่องนี้มีอันเป็นไป-หากใครนํามาแสดงโดยเฉพาะตัวละครที่เล่น
บทแม็คเบ็ธ ผลของคําสาปอุบัติขึ้นตั้งแต่หนแรกสุด
ที่ละครนี้ออกแสดง โดยผู้แสดงที่ชื่อ ฮัล เบอร์ริดจ์ ซึ่งสวมบทเลดี้เอม
ได้ล้มเจ็บลงในคืนนั้น และสิ้นใจตายหลังเวที

และ นับแต่นั้นมาเกือบ 400 ปี
ละครเรื่องนี้ก็มีอาถรรพณ์เกิดขึ้นกับนักแสดงมาตลอด เช่น
มีอุบัติเหตุบาดเจ็บ ล้มตาย บางคนฆ่าตัวตาย และที่น่า
พรึงเพริดที่สุด ก็คือ ในปี ค.ศ. 1947 นักแสดงชื่อ ฮาโรลด์ ทอร์แมน
เป็นผู้รับบทแม็คเบ็ธ ในระหว่างการดวลดาบนั้น คู่ต่อสู้ของเขาลืมสวมที่
ครอบปลายดาบ พอแม็คเบ็ธ ถูกแทงล้มลง กลางเวที
ผู้ดูต่างก็ปรบมือพอใจในบทบาท หากทว่า หลังเวทีนั่นซิ
ต่างก็ตกใจกันยิ่งนักที่เขาโดน
แทงจริงๆ ทอร์แมนตายใน 3 สัปดาห์ต่อมา


อันดับ 7 คําสาปของ อลิสแตร์ ครอว์ลีย์ พ่อมดแห่งทะเลสาบล็อคเนสส์, สกอตแลนด์
http://variety.teenee.com/world/img6/16548.jpg
ปี 1899 ครอว์ลีย์อาศัยอยู่ในบ้านอย่างโดดเดี่ยว
ทางตอนใต้ของทะเลสาบที่ลือลั่น ในเรื่องอสุรสัตว์ กล่าวกันว่าเขา
ขมังในเรื่องเวทมนตร์และ
เลี้ยงวิญญาณภูตไว้ถึง 115 ตน เขาสามารถดลบันดาลให้
เพื่อนบ้านหลายคนมีอันเป็นไปนานา จนเป็นที่หวาดหวั่นไปทั่ว ก่อนตาย
ครอว์ลีย์ ได้
สาปทิ้งท้ายไว้กับยอด เขาแห่งหนึ่งซึ่งเรียกกันว่า "ปล่องไฟปีศาจ"
และครอว์ลีย์เคยหลงทางที่ยอดเขานี้ ซึ่งทําให้เขาขัดเคืองใจ จึงสาปว่า
เมื่อใดที่ยอดเขานี้พังทลาย สิ่งชั่วร้ายต่างๆก็จะถูกปลดปล่อยแผ่กระจายไปด้วย

"ปล่อง ไฟปีศาจ" ยืนหยัดอยู่นานนับพันปี แต่แล้วในเดือนเมษายน 2001
ยอดสูงราว 70 เมตร ก็มีอันถล่มทลายลงมาในทะเล เรื่องนี้ทําให้ผู้ที่
เชื่อถือในตํานานพากันผวาไปตามกันเลยครับ ป่านนี้นรกคงครอบคลุมแผ่นดินแล้ว!


อันดับ 6 คําสาปวูดูแห่งนิวออร์ลีนส์, สหรัฐฯ
http://yoyo.cc.monash.edu.au/groups/eas/voodoo.jpg
แม่ มดวูดูผู้นี้มีนามว่า มารี ลาโว มีชีวิตอยู่ในช่วง ค.ศ. 1800 กว่าๆ
เพื่อนบ้านรํ่าลือกันว่าเธอสามารถสาปได้ทั้งคนและสัตว์ โดยใช้มนต์ดําของ
วูดู กระทั่งทุกวันนี้ยังมีการ จัดทัวร์พาไปชมบ้านของเธอ
รวมทั้งบนบานขอให้เธอช่วยสาปใครก็ได้ เรียกกันว่า บลัดดี้มารีทัวร์

ทั้ง นี้ ผู้ขอจะต้องปฏิบัติดังนี้ครับ เริ่มจากเคาะ 3
ครั้งบนโลงศพของมารี แล้วหมุนกายทวนเข็มนาฬิกา 3 รอบ เซ่นเหล้ารัม
ข้ามหลุมศพ 3 หน
แล้ว เปล่งชื่อของเธอออกมาดังๆ จากนั้นก็บอกกล่าวถึงจุดประสงค์ของคุณ
(ว่าจะให้เธอดลให้ศัตรูของคุณวิบัติอย่างไร) ไม่เชื่อก็เดินทางร่วม
ทัวร์ไปพิสูจน์ได้


อันดับ 5 คําสาป ตุตันคาเมน, อียิปต์
http://variety.teenee.com/world/img6/16552.jpg
เรื่อง นี้เราคงเคยได้ฟังกันมาแล้ว จึงขอผ่านนะ สรุปสั้นๆแค่ว่า ทั้ง
โฮวาร์ด คาร์เตอร์, ลอร์ด คาร์นาวอน และผู้มีส่วนรบกวนสุสานของฟาโรห์
องค์นี้ ล้วนมีอันล้มหายตายจากก่อนวัย อันควรทั้งนั้น


อันดับ 4 อีกา แห่งป้อมปราสาท ลอนดอน (Tower of London)
http://variety.teenee.com/world/img6/16554.jpg
ป้อมปราสาทนี้ เป็นที่รู้จักกันดี ในฐานะถูกใช้เป็นที่คุมขังและ
ประหารบุคคลสําคัญๆ ของอังกฤษมากมาย หลายท่าน ณ ลานปราสาทแห่งนี้
จะ มีการเลี้ยงดูอีกา จํานวน 6 ตัว เนื่องจากมีคําสาปมานานกว่า 900 ปี
ว่า ถ้าหากอีกาลดจํานวนลงเมื่อใด เมื่อนั้นความหายนะจะมาเยือน นคร
ลอนดอน และสิ้นสุดพระราชวงศ์แห่งอังกฤษ!

เรื่อง นี้มีตํานานปรากฏเป็นเอกสาร ในสมัยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 2
ราวศตวรรษที่ 17 ด้วยนะ ไม่ใช่เรื่องเลื่อนลอยแต่อย่างใด
และทําให้ทุกคนไม่ว่าจะ
เป็น ยาม หรือกษัตริย์ถือเป็นเรื่องจริงจังอย่างเคร่งครัด เช่นว่า
ถ้ามีอีกาตายหนึ่งตัว จะต้องรีบถวายรายงานต่อควีนทันที
และต้องจัดหาอีกาตัวใหม่
มาทดแทนโดยด่วน ซึ่งอีกาทุกตัวจะมีชื่อเรียก
และถ้าตายก็จะถูกนําไปฝังอย่างมีพิธีการ
จะมีการเลี้ยงอีกาไว้สํารองตลอดเวลา ถ้าตัวใดล้ม
ป่วย ก็ต้องรีบตรวจสอบ หาไม่ถ้าหากตายโดยโรคติดต่อ (เช่น ไข้หวัดนก)
และเช้าขึ้นมาอีกาตายเกลี้ยงละก้อ เชื่อกันว่าทั้งพระราชวงศ์ก็จะ
อันตรธานไปเช่นกัน


อันดับ 3 คําสาปตะกั่วแห่งกรีซ
http://variety.teenee.com/world/img6/16556.jpg
ใน ค.ศ. 1979 มีการขุดค้นโบราณสถานชื่ออโกรา, นครเอเธนส์
ทําให้พบแผ่นม้วนตะกั่วบางๆ ซึ่งมีจารึกภาษาโบราณอันเป็นคําสาปปรากฏอยู่
แผ่น ตะกั่วนี้เรียกกันว่า คาตาเรส (Katares) ใช้ใส่ลงในโลงศพก่อนจะฝัง
เชื่อกันว่าตะกั่วจะทําให้คําสาปจมลงไปอย่างรวดเร็วถึงขุมนรกพร้อมกับ
วิญญาณผู้ตาย เพื่อที่พระยมจะได้อ่านคําสาปและดลบันดาลให้เป็นไปตามนั้น

นอก จากนี้ การฝากหรือทิ้งแผ่นคําสาปลงไปในนํ้าก็เป็นอีกวิธีการหนึ่ง
เพราะนํ้าจะสามารถสื่อ ไปถึงผู้ที่เราต้องการสาปได้ ซึ่งแผ่นคาตาเรส
กว่า 100 แผ่นที่ค้นพบนี้ได้ระบุจ่าหน้าถึง ซูลิส ไมเนอร์วา
ซึ่งเป็นเทพีด้านอุทกของโรมัน


อันดับ 2 คําสาปวัฏจักรมรณกรรมของประธานาธิบดีสหรัฐฯ
http://variety.teenee.com/world/img6/16558.jpg
นี่ ก็เป็นอาถรรพณ์อีกอย่างซึ่ง โด่งดังมาก นั่นคือ ปธน. สหรัฐฯ
ท่านใดที่ได้รับเลือกตั้งในปี ค.ศ. ที่ลงท้ายด้วยเลข 0 จะต้องถึงแก่
มรณกรรม
ในหน้าที่ ตํานานระบุว่า ผู้ที่สาปก็คือ เตคัมเซ่ หัวหน้าเผ่าอินเดียนแดง
ผู้คับแค้นจากการถูกชนผิวขาวเข้ามายํ่ายีแย่งแผ่นดิน เขาได้สาปไว้ก่อน
ที่จะถูกฆ่าตายในปี ค.ศ. 1813

ปธน. คนแรกที่ตกเป็นเหยื่อก็คือ วิลเลียม เฮนรีย์ แฮร์ริสัน
ที่ได้รับเลือกตั้งใน ค.ศ. 1840 ถัดจากนั้นคําสาปก็เป็นจริงมาตลอด
ไม่ว่าจะเป็น
ลินคอล์น (1860) การ์ฟิลด์ (1880) แม็คคินลีย์ (1900) ฮาร์ดิ้ง (1920)
รูสเวลท์ (1940) เคนเนดี้ (1960)

เพิ่ง มีรอดรายเดียวคือ ปธน. เรแกน (1980) แต่ท่านก็ถูกมือปืนชื่อ จอห์น
ฮิงค์ลีย์ ยิงบาดเจ็บสาหัสในปี 1981 นัยว่าปืนที่ใช้นั้นไร้ประสิทธิภาพ
ท่านจึงรอดพ้น อาถรรพณ์มาได้อย่างหวุดหวิด


อันดับ 1 คําสาปในสวนอีเดน (Garden of Eden)
http://variety.teenee.com/world/img6/16560.jpg
นับ เป็นคําสาปแรกเริ่มสุดๆ ตั้งแต่ครั้งพระเจ้าสร้างโลกโน่นเลย
โดยปรากฏเรื่องราวอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิลว่า
ก็อดทรงเสกอาดัม-มนุษย์ผู้ชาย
ขึ้นก่อน จากนั้นก็แซะเอาซี่โครงของอาดัมมาเสกเป็นอีฟ
แล้วส่งทั้งคู่ไปอยู่ในสวนอีเดน พร้อมรับสั่งว่าจะกินอะไรก็ได้ทุกอย่าง
ยกเว้นผลไม้
จากต้นแห่งความรู้หรือแอปเปิ้ล แต่ X งูตัวแสบซิครับ
มันยุยงอีฟให้หมํ่าแอปเปิ้ลเข้าไป หมํ่าคนเดียวไม่พอ
อีฟยังชักชวนให้อาดัมหมํ่าด้วย
เมื่อขัดคําสั่งของพระเจ้า ก็เป็นเรื่องซิครับ โดยนายงูจอมแสบ
โดนสาปให้ไปไหนมาไหน ด้วยการ ใช้ท้องไถไป อีฟ โดนสาปให้คลอดลูก ด้วย
ความ เจ็บปวดรวดร้าว ส่วนอาดัมต้องทํางานหา เลี้ยงท้องอย่าง
เหน็ดเหนื่อยทั้งชีวิต ซึ่งคําสาปมหากาฬนี้ก็ตกทอดมาถึง
พวกเราทุกคนกระทั่ง
ทุกวันนี้

สุดมือสอยก็ปล่อยมันไป

อะไรก็ตาม ที่เราไม่ถนัด หรือถึงถนัด...แต่ไม่มีความสุขที่จะทำ ก็อย่าทำ ก้อแค่นั้น...



สุดมือสอยก็ปล่อยมันไป

เมื่อคุณชี้แจงไปแล้ว เขาก็ควรจะยอมรับฟัง แต่เมื่อเขาไม่ฟัง และคุณก็ได้ทำหน้าที่ของตนเองอย่างดีที่สุดไปแล้ว ก็คงต้อง “ปล่อยมันไป”

ในโลกนี้ มีเรื่องอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างที่เราไม่สามารถให้เวลากับมัน หรือไม่สามารถทำในสิ่งนั้นให้ดีที่สุด แต่แล้วเราก็ต้องปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นผ่านไป เพราะหากเรามัว แต่จะ“นับเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา” เวลาของคุณคงไม่พอเป็นแน่
(มีความหมายว่า จะพยายามทำให้คนทั้งโลกรู้สึกพอใจตัวเองในทุกเรื่อง)

ดังนั้น ทำอะไรก็ตาม ควรทำเท่าที่เราทำได้ เมื่อทำอย่างดีที่สุดแล้ว คนเขาไม่เห็นว่าดีก็ต้อง “ปล่อยมันไป”

เลือกทำในสิ่งที่เห็นว่า เราถนัดที่สุด และมีความสุขที่จะทำก็พอแล้ว
อะไรก็ตาม ที่เราไม่ถนัด หรือถึงถนัด...แต่ไม่มีความสุขที่จะทำ ก็อย่าทำ

เรามีเวลาไม่มากนักหรอกที่จะแบกสารพัดภาระในโลกนี้ ควรมองไหล่ของตัวเองดูสักหน่อยว่า พร้อมจะแบกเป้หลังที่มีน้ำหนักมากน้อยเพียงใด อย่าแบกอะไรที่เกินกำลังของตัวเองเพราะไม่เพียงแต่มันจะทำให้คุณเป็นทุกข์ แต่บางทีอาจมีผลต่อการยืนตรงๆ อย่างยาวนานของคุณด้วย

ขออนุโมทนาขอบคุณชาวพุทธทุกท่านที่กรุณา forward mail แนะนำธรรมทานนี้ต่อ ๆ กันไป
ทางชมรมฯ ไม่สงวนลิขสิทธิ์ใด ๆ และขออภัยอย่างสูง หาก mail นี้รบกวนท่าน

สุดยอดข่าวการตาย ที่แสนจะพิศดาร

ตายเพราะโลภ
ในปี ค.ศ. 1977 John Smith ถูกรถยนต์ชนในนิวยอร์ก
ไม่ได้รับบาดเจ็บ
แต่เจ้าของรถแนะนำให้จอห์นแกล้งนอนสลบหน้ารถ
เพื่อจะได้รับเงินจากประกัน
จอห์นเห็นดี แต่ขณะรอประกัน สิบล้อดันขับมาชนท้าย
รถเลยไถลทับตัวนายจอห์นตายอนาถ

เตียงมรณะ
ผมชื่นชมคนที่คิดประดิษฐ์เตียงชนิดมีสปริงซ่อนเก็บได้ข้างฝา
เวลาจะใช้ก็ดึงให้ถ่างออกมา เกี่ยวขอไว้
ครั้นเวลาเก็บก็แค่ปล่อยขอ
เตียงก็จะเด้งพับเก็บเข้าที่ซ่อนเรียบร้อย
ประหยัดพื้นที่สำหรับห้องเล็กๆ
เช่น คอนโด แต่นางเอเดเลต มานยาสโก วัย 80 ปีคงไม่ชอบแน่
เพราะขณะที่เธอกำลังนอนหลับสบายนั้น
เตียงก็เกิดเด้งกลับกะทันหัน
นางเอเดเลตเข้าไปติดตายอยู่ในกล่องเก็บเตียง

ตาย 2 หน
อาร์มานโด คาสซา เครียดอย่างแรง
เนื่องจากรายงานที่ผิดพลาดของรัฐ
ซึ่งแจ้งหน่วยงานต่างๆว่าเขาตายในอุบัติเหตุเพลิงไหม้ทั้งที่เขายังไม่ตาย
ทำให้เขามีปัญหาเรื่องการสมัครงาน
การใช้สิทธิประกันสังคมการขอหลักฐานเอกสารมากมาย
ด้วยความเครียดเรื่องที่ถูกหาว่าตายเขาจึงตัดสินใจกระโดดตึกตายในปี ค.ศ. 1991

นาฬิกาปลุกมรณะ
ชาร์ลส์ บาร์เกอร์ เป็นคนขี้เซา เขาอาศัยอยู่ที่นิวตัน
รัฐนอร์ทแคโลไรน่า ในเดือน ธ.ค. ปี 1992 เขางัวเงียตื่นเพราะเสียงนาฬิกาปลุก
เขาหลับตาคลำหานาฬิกาปลุกได้ที่ใต้หมอน
เมื่อจับได้อะไรตะปุ่มตะป่ำก็พยายามกด ดึง ดัน
เพื่อปิดเสียงน่ารำคาญ
.............. โป้ง !! สิ่งที่เขากดคือไกปืนสมิทเวสสัน .38
ผลคือกระสุนฝังหัว เขาไม่ต้องตื่นอีกเลย

ตายหมู่
ฝูงญวนมุงในเมืองโฮจิมินท์ออกันเต็มสะพานดูหญิงเวียดนามกำลังจะกระโดดน้ำตาย
สะพานหักกลางเพราะรับน้ำหนักไม่ไหว .......... ญวนมุงตกน้ำตาย 9 คน
ส่วนหญิงต้นเหตุปลอดภัยดี

ตายเพราะฟื้น
นางจูเลีย คาร์สัน ชาวเมืองนิวยอร์ก ป่วยเป็นโรคหัวใจ
และแพทย์ชันสูตรลงความเห็นว่าเธอถึงแก่กรรมในเวลาต่อมา
ขณะทำพิธีศพนางจูเลียกลับฟื้น เธอลุกขึ้นนั่งในโลง
ถามลูกสาวที่ยืนข้างโลงว่าทำอะไรกัน
จูลี่ ลูกสาวของเธอล้มตึง ช็อกตายหน้าโลง ............

ช้ำรัก
เวอร่า เซอแมค ชาวกรุงปราก ไม่อาจทนมีชีวิตต่อไปได้
เมื่อสามีที่อยู่กินกันมานานพูดหน้าตาเฉยว่าขอแยกทางเพราะมีเมียน้อย
เธอตัดสินใจฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดห้องพักชั้นสาม
ร่างของเธอพุ่งละลิ่วลงมาทับสามีที่กำลังเดินออกจากอาคารโดยบังเอิญ
สามีของเธอตายคาที่ ส่วนตัวเธอเองบาดเจ็บสาหัส

การลดน้ำหนักด้วย SEX

การลดน้ำหนักด้วย SEX

เห็นว่าเป็นเรื่องที่มีประโยชน์ดีมาก
จึงนำเอาตาราง Sex Calorie Counter จากองค์การอนาจารโลก
มาฝากให้เพื่อนๆ เป็นคู่มือไว้ใช้นะคับอิอิ
ถอดเสื้อผ้าของเธอ
เธอเต็มใจ........................... 12 แคลอรี่
เธอไม่เต็มใจ...................... 187 แคลอรี่
ถอดบราของเธอ
ด้วยสองมือ.......................... 8 แคลอรี่
ด้วยมือเดียว........................ 12 แคลอรี่
ด้วยฟัน.............................. 85 แคลอรี่
ใส่ถุงยาง
" มัน"เย้ยฟ้า........................... 6 แคลอรี่
" มัน"ท้าดิน...................... 315 แคลอรี่
เล้าโลมเธอ
พยายามหาสยิวสปอต............. 8 แคลอรี่
พยายามหาจีสปอต............... 92 แคลอรี่
ตำแหน่ง
พื้นฐาน.............................. 52 แคลอรี่
69 แนวนอน........................ 78 แคลอรี่
69 แนวตั้ง......................... 112 แคลอรี่
กงล้อหมุน......................... 216 แคลอรี่
เธอเหนือกว่า...................... 524 แคลอรี่
ม้าพยศ............................. 726 แคลอรี่
ลิงอุ้มแคนตาลูป.................. 912 แคลอรี่
ออกัสซั่ม
จริง................................. 112 แคลอรี่
ปลอม.............................. 315 แคลอรี่
ถึงที่หมายแล้ว...
นอนโอบกอดกันและกัน......... 18 แคลอรี่
ลุกออกไปทันที.................... 36 แคลอรี่
อธิบายว่าทำไมต้องลุกออกไปทันที...... 816 แคลอรี่
ตื่นตัวรอบที่ 2 ถ้าคุณอายุ …
20-29 ปี............................ 36 แคลอรี่
30-39 ปี............................. 80 แคลอรี่
40-49 ปี.......................... 1124 แคลอรี่
50-59 ปี.......................... 1972 แคลอรี่
60-69 ปี.......................... 2916 แคลอรี่
70 ปีขึ้นไป.......................อยู่ระหว่างการพยายามทดลองต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะทราบผล
ใส่เสื้อผ้า
สบายๆ............................... 32 แคลอรี่
รีบร้อน............................... 98 แคลอรี่
คุณพ่อเธอเคาะประตูอยู่...... 1218 แคลอรี่
ภรรยาคุณเคาะประตูอยู่... 5521 แคลอรี่
สามีเธอเคาะประตูอยู่....... 7201 แคลอรี่ !!!!!
ไม่ส่งต่อแฟนมีชู้.......สาธุ!!!!!!!!!

โดนสุดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด

กรุณา สละ เวลาสัก 2-3 นาที

พ่อทำงาน...อาบแดด...ถูกแผดเผา
ลูกดื่มเหล้า..ฟังเพลง...ครื้นเครงเหลือ


แม่ขายผัก...กินข้าว...เคล้ากับเกลือ
ลูกเอื้อเฟื้อ...พาสาวเที่ยว...เลี้ยวโฮเตล


พ่อหาเงิน...ส่งลูกเรียน...เพียรอุตส่าห์
ลูกติดยา...คบเพื่อนชั่ว...มั่วให้เห็น


แม่กระหาย...ดื่มน้ำคลอง...ตอนกลองเพล
ลูกทะเล้น...จิบวายแดง...แพงจับใจ


พ่ออดอยาก...ไม่เคยบ่น...ทนลำบาก
ลูกมักมาก...เพศสัมพันธ์...มันส์ชิบหาย


แม่ทอผ้า...ปลูกหม่อน...หารายได้
ลูกหญิงชาย...เที่ยวสนุก....โรคติดตัว


พ่อสูบน้ำ...เข้าแปลงนา...ปลูกข้าวกล้า
ลูกมัวเมา...การพนัน...หมั่นหาผัว


แม่หาบน้ำ...เลี้ยงเป็ดไก่...ทำสวนครัว
ลูกใจชั่ว...ใช้เงินเพลิน...เดินหลงทาง


พ่อขายวัว...ส่งควายเรียน...เวียนศรีษะ
ลูกตะกละ...กินฟาสฟู๊ต...พูดกว้างขวาง


แม่ปวดเมื่อย...สู้งานหนัก...ไม่ละวาง
ลูกสำอาง...ใช้ของแพง...แข่งสังคม


พ่อผอมแห้ง...เรื่ยวแรงน้อย...ด้อยอาหาร
ลูกประพฤติ...อันตพาล...ล่าเสพสม


แม่เป็นดอก...ทบต้น...หมดอารมณ์
ลูกเขี้ยวคม...ฆ่าพ่อแม่...ก่อนแก่ตาย



อ่านแล้วขอความกรุณาส่งต่อสัก 2-3 เมล
เพื่อแสดงความรักพ่อแม่ของเราด้วยนะจ๊ะ.........

วันเสาร์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2553

ห้ามวางอาหารจองโต๊ะที่ Food Center

การวางจานอาหารจองโต๊ะที่ Food Center ไว้ แล้วไปซื้ออย่างอื่นเพิ่มเติม อาจเป็นอันตราย

>

> เนื่องจากมิจฉาชีพจะทำทีมาหยิบทิชชู แล้วแอบใส่ยานอนหลับอย่างแรงแล้วออกไป จากนั้นแกล้งเข้ามา

> ถามทาง เมื่อเห็นอาการเราแล้วสงสาร จึงอาสาพาส่งโรงพยาบาล ประคองขึ้นรถไปปลดทรัพย์ และ

> ข่มขืน เน้นว่าต้องข่มขืน เพื่อให้อับอายไม่กล้าแจ้งตำรวจ

>

> ---------------------------------------------------------------

>

> นางผาสุก อายุ ๒๘ ปี เข้าไปจับจ่ายซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เมื่อรู้สึกหิว จึงแวะที่ศูนย์อาหาร

> ของห้าง ที่นั่นมีผู้คนพลุกพล่าน เธอจึงไม่ทันสังเกตถึงสายตาประสงค์ร้ายสองคู่กำลังจับจ้องตนเองอยู่

> โดยมีเครื่องประดับมีค่าบนตัวเป็นเป้าหมา ย ผาสุกทิ้งอาหารไว้บนโต๊ะเพื่อไปซื้อเครื่องดื่ม จึงเป็น

> โอกาส

>

> ของคนร้ายที่จะลงมือปฏิบัติการ จริยา(นางนกต่อ) 1 ในแก็งฟ้าสฟู้ด ซึ่งนั่งห่างออกไปไม่ไกลนักรีบเดิน

>

>

> มาที่โต๊ะของผาสุกทำทีเป็นหยิบทิชชูบนโต๊ะ ด้วยความรวดเร็วแอบเทยานอนหลับอย่างแรง ใส่ลงไปใน

> อาหารที่ผาสุกวางทิ้งไว้ แล้วทำทีเป็นเดินเลือกซื้ออาหารตามร้าน ผาสุกกลับมาที่โต๊ะพร้อมน้ำดื่มและ

> เริ่มต้นรับประทานอาหาร ขณะที่จริยาก็หาที่นั่งที่ใกล้ที่สุด....ทำทีดื่มน้ำ

>

>

>

> ' ตอนนั้นไม่ได้สงสัยอะไร ที่ผู้หญิงคนนั้นเขามานั่งใกล้ๆ เพราะ Food Center มันก็เป็นอย่างนั้นอยู่

> แล้ว

>

> อีกอย่างเห็นว่าเขาเป็นผู้หญิงด้วยกัน ' ผาสุกให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ

>

>

>

> เพียงเวลาไม่นานที่ผาสุกรับประทานอาหารผสมยานอนหลับเข้าไป เธอก็เริ่มง่วงและมึนศีรษะ และนั่น

> คือโอกาสของแก็งมิจฉาชีพ จริยาตรงรี่เข้าไปทันที ' ขอโทษคะ คืออยากจะถามว่าแผนกเครื่องสำอาง

> นี่อยู่ชั้นไหน ' ผาสุกพยายามตั้งสติแต่ความง่วงมึนงงมั นก่อตัวขึ้นรวดเร็วจนควบคุมไม่ได้

>

> ' คุณเป็นอะไรไปคะ...ไม่สบายหรือคะ ' จริยารีบเข้าประคองผาสุกให้ลุกขึ้น ซึ่งเธอก็หมดแรงจะขัด

> ขืน ' ฉันจะพยุงไปนะคะ สงสัยต้องไปโรงพยาบาลแล้วล่ะค่ะ ' จริยา (นกต่อ) ประคองกึ่งลากผาสุก

> ออกไปจากบริเวณนั้น โดยมีสายตาหลายคู่จ้องตามไป แต่ไม่มีใครสงสัย เพราะภาพที่เห็นทำให้คิดว่าผู้

> หญิงคนหนึ่งไม่สบายและเพื่อนกำลังพาออกไปเท่านั้น ไม่มีใครสังเกตก่อนหน้านี้ว่าใครเป็นใคร มาคน

> เดียวหรือมากับใคร นอกจากมิจฉาชีพเท่านั้น! ผาสุกให้การกับเจ้าหน้าที่ตำรวจต่อไปว่า

> ' ตอนนั้นเท่าที่จำได้ก็คือรู้สึกมึนงง เวียนหัว คล้ายจะเป็นลม หนังตามันจะปิดซะให้ได้

>

> ฉันพยายามสู้กับมัน พยายามจะไม่หลับ แต่ก็ไม่มีแรง รู้แต่ว่ามีคนประคอง ' จริยานางนกต่อพยายาม

> พยุงเหยื่อที่ใกล้หมดสติไปยังจุดนัดพบ ซึ่งที่นั้นไกรสร สมาชิกร่วมแก็งทำทีเป็นคนขับวินรถจักรยาน

>

> ยนต์รับจ้าง คอยท่าอยู่แล้ว ไกรสรตะโกนถาม ' มอเตอร ์ไซค์มั้ยพี่ ' จริยารีบตอบ ' ไปโรง

> พยาบาลที่ใกล้ที่สุด ' เพียงเท่านี้ก็ขจัดความสงสัยของคนรอบๆ ไปได้ แล้วจริยาก็พยุงผาสุกขึ้นรถ

> จักรยานยนต์ซ้อนสามไปด้วยกัน (บางแก็งก็เป็นรถโดยสารประเภทอื่น) แน่นอน คนร้ายมิได้นำเธอส่ง

> โรงพยาบาล

> แต่กลับพาไปยังบ้านพักของตนเองที่ถนนลาดหญ้า เขตคลองสาน เมื่อมาถึงผาสุกพยายามลืมตามองรอบๆ

> ก่อนจะอาเจียนออกมาจนหมด สองมิจฉาชีพรีบประคองผาสุกเข้าไปภายใน มงคลหัวหน้าแก็ง

>

> ซึ่งรออยู่แล้ว ละลายยานอนหลับให้หญิงสาวดื่มอีก แต่คราวเธอปัดป้องจึงถูกจับกรอกแทน ทั้งคู่ช่วย

>

> กันปลดทรัพย์ จริยา(นางนกต่อ) หยิบกระเป๋าสตางค์ของผาสุกออกดูบัตรประชาชน ' อยู่ไหน ' เสียง

> มงคลถาม ' แถวเยาวราช ' จริยาตอบ มงคลพยักเพยิกให้จริยาออกไป แล้วจัดการปลดกระดุมเสื้อ

> ผาสุกหมายจะข่มขืน ซึ่งพวกมันมักจะทำเป็นประจำภายหลังจากรูดทรัพย์แล้ว แต่ครั้งนี้เหยื่อไม่มีท่าทีจะ

> หมดสติเอาง่ายๆ

>

>

>

> ' ที่ฉันจำสถานที่ได้ เพราะฉันเคยไปมาก่อน และ คงเป็นเพราะฉันอาเจียนออกมาหมดด้วย '

>

> ผาสุกให้การต่อไป ' ตอนที่มาถึงบ้านคนร้าย ก็พยายามสำรวจว่าเราอยู่ที่ไหน รู้สึกว่ามันผิดปกติแล้ว

> แต่ไม่มีแรง พวกมันเอาน้ำมาให้กิน แต่คิดว่าเป็นยานอนหลับอีก ไอ้คนที่เป็นหัวหน้าพยายามลวนลาม ฉัน

> เลยรวบรวมสติขัดขืน มันก็คงร้อนตัว ' เมื่อเห็นว่าเหยื่อยังมีสติ คนร้ายจึงรีบร้อนพาเหยื่อออกจากบ้าน

> โดยเร็ว คราวนี้ด้วยรถแท๊กซี่ซึ่งเป็นพวกเดียวกัน นำเธอไปทิ้งไว้ไม่ไกลจากบ้านของเธอเอง

> ' ตอนนั้นฉันเกือบจะไม่ได้สติแล้ว แต่ยังจำได้ว่าเป็นซอยบ้าน จึงพยายามเดินไปให้ถึง พอถึงบ้าน

>

> ก็หลับเป็นตายเลย '

> ผาสุกสรุปคำให้การ.......เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้ง ภายหลังจากที่พยายามทบทวนเหตุการณ์อย่างหนัก

> เธอก็จำได้ว่าสถานที่ที่ถูกพาไปรูดทรัพย์นั้น ตนเองเคยไปทำธุระมาก่อนเมื่อไม่นานมานี้

> เธอจึงชวนน้องสาวไปแอบดูสถานที่เพื่อความแน่ใจ

>

> ' ใช่ ใช่ แน่แน่ นั่นไงมอเตอร์ไซค์ คันนั้น นั่นไงรอยอ้วกของพี่ '

>

>

>

> พฤติกรรมของมิจฉาชีพเหล่านี้ จะยังสามารถกระทำกับเหยื่อรายอื่นต่อไปได้อีกหลายครั้ง

>

> ถ้านางผาสุกไม่ตัดสินใจเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แก็งคนร้ายพวกนี้ความจริง

> ตำรวจกำลังตามจับ เพราะก็ได้ข้อมูลพฤติกรรมพวกนี้อยู่ แต่ที่ผ่านมาไม่มีการแจ้งความ

> บางคนเป็นพยาบาล บางคนเป็นนักธุรกิจ ยิ่งถ้าโดนข่มขืนด้วยก็คงรู้สึกอับอาย เลยไม่มาแจ้งความ

> คราวนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจรวบตัวได้ทั้งแก็ง พร้อมคำสารภาพ

>

> ' ผมจะคอยเฝ้าดูอยู่ที่ Food Center ตามห้างต่างๆ

> คอยดูคนที่มีทองเยอะ ๆ ท่าทางฐานะดี ทำมาหลายครั้ง กว่า ๒๐ ครั้งได้ ยานอนหลับจะใช้อย่างแรง

> เลย ซื้อจากร้านขายยาที่บางแค เอามาบดผสมน้ำ

>

> ที่ผ่านมามักจะเป็นผู้หญิง รูดทรัพย์แล้วก็ข่มขืนด้วย เพื่อให้เขาไม่กล้าแจ้งความ '

>

> ++ กรุณาส่งต่อให้กับคนที่คุณรัก ++

ค้นหา