วันอังคารที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2553

photography of Eiffel Tower: Visit under the tower in photo and 360 tour - photoJPL.com .::      

photography of Eiffel Tower: Visit under the tower in photo and 360 tour - photoJPL.com .::      

มาอีกแล้ว

<a href="http://video.th.msn.com/?mkt=th-th&from=&vid=45e5ce89-2018-4772-b42a-9de27e09eeff&from=th-th&fg=dest" target="_new" title="Asian Boy&#39;s Popstar Dream">ว&#3636;ด&#3637;โอ: Asian Boy&#39;s Popstar Dream</a>

Teaser - มือปืน/ดาว/พระ/เสาร์ Saturday Killer

เพลงประกอบภาพยนตร์ มือปืนดาวพระศุกร์

KAT PAT - ไม่ชอบผู้ชาย [TEASER]

" ประโยชน์ของเบียร์"วันนี้ ขอสักแก้วน่ะ

Subject: FW: " ประโยชน์ของเบียร์"วันนี้ ขอสักแก้วน่ะ



ดื่มเบียร์แทนไวน์ สักวันละแก้ว (กระป๋อง) ประหยัดกว่าเยอะ แถมอาจมีประโยชน์ มากกว่าด้วย

ประโยชน์ของการดื่ม"เบียร์"

เบียร์มีสารต่างๆ มากกว่า 1,000 ชนิด มีวิตามินและเกลือแร่ช่วยให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อแข็งแรง
สำหรับ คอเบียร์คงหูผึ่งเมื่อมีคนบอกว่าเบียร์มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ถึงอย่างไรก็ควรดื่มพอประมาณ แล้วเหตุใดฝรั่งจึงบอกว่าเบียร์ดีมีประโยชน์ เหตุผลก็คือเบียร์มีสารต่างๆ มากกว่า 1,000 ชนิด รวมทั้งวิตามินและเกลือแร่ เช่น สังกะสี แมกนีเซียม เหล็ก และแร่ธาตุจำเป็น ซึ่งช่วยให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อ แข็งแรง เหตุผลดีๆ ยังมีอีกมากมาย เช่น

ป้องกันโรคหัวใจ จากการศึกษาของนักวิชาการพบว่า ผู้ที่ดื่มเบียร์มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่มเบียร์ 40 - 60% แต่ควรดื่มไม่เกินครึ่งลิตรต่อวัน

ช่วยลดความเสี่ยงโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต สารที่มีประโยชน์ในเบียร์สามารถช่วยป้องกันเส้นเลือดอุดตันจึงช่วยป้องกันโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต

ช่วยลดความดันโลหิต แพทย์ชาวฮอลแลนด์และจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดค้นพบว่า การดื่มเบียร์ช่วยลดความดันโลหิตสูงได้

ป้องกันเบาหวาน ผู้ที่ดื่มเบียร์มีจำนวนน้อยที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน เหตุผลก็คือ เบียร์ทำให้ร่างกายสามารถปรับฮอร์โมนอินซูลิให้ความทรงจำดี นักดื่มเบียร์จึง
ไม่ค่อยเป็นโรคอัลไซเมอร์
ช่วยให้กระดูกแข็งแรง เบียร์ให้ผลดีต่อกระดูก สามารถช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ แต่ได้ผลเฉพาะกับหนุ่มสาวเท่านั้น

ช่วยให้อายุยืน จากการศึกษามากกว่า 50 สำนัก พบว่า ผู้ที่ดื่มเบียร์วันละ 1 - 2 แก้ว มักจะมีอายุที่ยืนยาว เนื่องจากเบียร์มีสารปกป้องหัวใจ

ป้องกันท้องร่วง โมเลกุลในเบียร์มีส่วนประกอบเหมือนกันกับกรดนมและน้ำส้มสายชู สารที่ว่านี้ขัดขวางเชื้อโรคในลำไส้ที่เป็นสาเหตุของท้องร่วงไม่ให้แพร่ เชื้อจนท้องเสีย

ต้านความเครียด นักวิชาการจากมหาวิทยาลัย Montreal ค้นพบว่า คนทำงานที่ได้ดื่มเบียร์บ้างเป็นครั้งคราวมีความเครียดน้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มเบียร์

ป้องกันนิ่วในถุงน้ำดีและในไต นักวิชาการจากเมืองเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ค้นพบว่า การดื่มเบียร์วันละหนึ่งขวดก็จะได้รับแมกนีเซียม ซึ่งจะช่วยลด ความเสี่ยงโรคนิ่วในไตได้ถึง 40%
ป้องกันโรคนอนม่หลับ สารจากดอก Hops ใน เบียร์เปรียบเสมือนยานอนหลับจากธรรมชาติ ช่วยให้ประสาทผ่อนคลาย ดังนั้น การดื่มเบียร์หนึ่งแก้วในตอนเย็นจึงเหมือนกับการกินยานอนหลับ

ช่วยต้านมะเร็ง เบียร์มีสารโพลีฟีนอยด์ที่จะช่วยป้องกันมะเร็ง โดยการดักจับอนุมูลอิสระตัวร้ายออกจากร่างกาย สารโพลีฟีนอยด์หลักก็คือ Xanthohumol ซึ่งมีข้อดี คือ ช่วยยับยั้งโปรตีนที่ช่วยในการพัฒนาการของมะเร็ง

ช่วยให้ผิวสวย ในเบียร์มีวิตามินสูง เช่น Pantothenic Acid วิตามินบี 3 และไนอาซิน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการผลิตเซลล์ผิวใหม่ ช่วยสร้างคอล ลาเจนและเม็ดสี ผิวจึง เรียบเนียนและอ่อนนุ่ม





ดีขนานนี้จะช้าอยู่ทำไมไปหาเบียร์กินกันเถอะ

Virgin Atlantic Safety Video

Thomson Airways Safety Video 2009

VIS VERSA - CONTORSION - LE PLUS GRAND CABARET DU MONDE

China straddling bus [ENGLISH computer voice over] the only English video

Sorry Sorry Super Junior 슈 퍼주니어3집 (dance cover) version Thailand Tourist...

안무Full영상_SuperJunior-SORRYSORRY_ Only댄스Ver

Navy Norway

วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

น่าคิด: ๕ สิ่งที่คนเรามักจะนึกเสียใจที่ไม่ได้ทำในช่วงที่ยังมีชีวิต‏

--------------------------------------------------------------------------------

สิ่งที่เรามักจะนึกเสียใจก่อนเสียชีวิต
โดย : รศ.ดร.พสุ เดชะรินทร์ pasu@acc.chula.ac.th

โดย นักเขียนผู้นี้เคยทำงานดูแลผู้ป่วยที่รู้ตัวว่าจะเสียชีวิตและกลับไปอยู่ที่ บ้านเพื่อรอวันตาย โดยเธอจะอยู่กับผู้ป่วยเหล่านี้ในช่วงสามถึงสิบสองสัปดาห์สุดท้ายก่อนที่ผู้ ป่วยจะเสียชีวิต โดยในช่วงเวลาดังกล่าว เธอได้มีโอกาสพูดคุย และรับฟังความในใจของผู้ป่วยเหล่านี้ เมื่อถามถึงสิ่งที่เสียใจหรือสิ่งใดๆ ก็ตามที่ถ้าทำได้อยากจะย้อนอดีตไปเปลี่ยนแปลงนั้น เธอพบว่ามีอยู่ห้าประเด็นที่มักจะพบในผู้ป่วยที่กำลังใกล้เสียชีวิตเป็นส่วน ใหญ่ครับ

ประเด็น แรก คือ ผู้ป่วยเหล่านี้อยากจะมีความกล้าที่จะใช้ชีวิตตามแบบที่ตนเองอยากหรือต้อง การจะเป็น ไม่ใช่ดำรงชีวิตตามความต้องการหรือความคาดหวังของผู้อื่น ซึ่งพบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผู้ป่วยอยากจะเปลี่ยนแปลงมากที่สุดครับ เนื่องจากเมื่อผู้ป่วยพบว่าชีวิตตนเองกำลังจะสูญเสียไป และมีโอกาสมองย้อนกลับไปในอดีตนั้น จะพบว่ามีความฝันหลายๆ อย่างที่ยังไม่ได้เริ่มต้นทำหรือยังไม่บรรลุ และเมื่อใกล้จะเสียชีวิตก็จะพบว่าความฝันของตนเองนั้นจะไม่มีวันบรรลุ และส่วนใหญ่ก็มักจะมานั่งนึกเสียใจ เพราะสาเหตุที่ไม่สามารถทำตามความฝันได้นั้น เป็นเพราะตัวเองเลือกที่จะไม่ทำเอง ตัวเองเลือกที่จะทำตามสิ่งที่ผู้อื่นขีดเส้นทางให้เดิน

ถือ เป็นบทเรียนที่สำคัญสำหรับทุกๆ ท่านนะครับ ที่ในช่วงชีวิตหนึ่ง ถ้ามีโอกาสและเลือกได้ก็ควรจะเดินตามความฝันของตัวท่านเอง เพราะคนเราหนีไม่พ้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย และเมื่อวันนั้นมาถึง เราก็คงจะไม่มีแรงที่จะเดินตามความฝันที่เราต้องการแล้ว การมีสุขภาพที่ดีจะช่วยทำให้ท่านเดินตามความฝันได้ แต่เมื่อใดก็ตาม ที่สุขภาพท่านเริ่มแย่แล้ว อิสระในการเดินตามฝันก็ท่านก็จะลดน้อยลง

ประเด็น ที่สอง คือ ผู้ป่วยใกล้เสียชีวิตเหล่านั้น คิดเสียใจว่าในอดีตจะไม่ได้ทำงานหนักเหมือนที่ผ่านมา ซึ่งเหตุการณ์นี้ มักจะเกิดขึ้นกับผู้ป่วยชายเกือบทุกคนเลยครับ คุณผู้ชายเหล่านี้มักจะเสียใจว่าในอดีตที่ผ่านมา ไม่ค่อยได้มีเวลาในการดูแลลูกๆ ของตนเท่าที่ควร รวมทั้งไม่ได้อยู่เป็นคู่ทุกข์คู่ยากภรรยาเท่าที่ควร ผู้ป่วยที่เป็นชายเกือบทุกคนจะรู้สึกเสียดายว่าในอดีตใช้ และให้เวลากับงานมากเกินไป

ข้อสังเกตนี้ก็ น่าคิดนะครับ ว่าในปัจจุบันเราให้ความสำคัญกับการทำงานมากเกินไปหรือไม่ เราต้องการแสวงหารายได้ ชื่อเสียง เกียรติยศมากเกินไปหรือไม่ สุดท้ายเมื่อเราใกล้ตายเราจะสำนึกเสียใจว่าเราได้พลาดโอกาสดีๆ ในชีวิตที่ไม่มีวันหวนกลับมาหรือไม่ การมีรายได้ที่พอเพียงอาจจะเป็นทางออกสำหรับทุกท่านนะครับ อีกทั้งการมีที่ว่างในตารางเวลาและชีวิต ที่ไม่ใช่เรื่องของการทำงานเพียงอย่างเดียว จะทำให้เรามีความสุขขึ้น และเมื่อเราใกล้เสียชีวิต จะไม่มานั่งย้อนนึกเสียใจในสิ่งที่เราพลาดไป

ประเด็น ที่สาม คือ ผู้ป่วยอยากจะกล้าที่จะแสดงอารมณ์และความรู้สึกที่แท้จริงของตน เนื่องจากคนจำนวนมากจะปิดกั้นอารมณ์และความรู้สึกที่แท้จริงของตน เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างสงบและสันติ ทำให้สุดท้ายแต่ละคนรู้สึกว่าอารมณ์ของตนเองถูกเก็บกด และไม่สามารถเป็นตัวตนที่แท้จริง

ประเด็นที่ สี่ คือ ผู้ป่วยที่ใกล้เสียชีวิตนั้น มักจะเสียใจที่ไม่ได้ติดต่อเพื่อนฝูงเก่าๆ เนื่องจากเรามักจะไม่ค่อยเห็นถึงคุณค่าของเพื่อนเก่าๆ จนกระทั่งใกล้เสียชีวิต คนจำนวนมากจะมัวแต่ยุ่งและวุ่นวายกับชีวิตประจำวัน จนละเลยต่อความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนฝูง ทำให้เรามักจะไม่ค่อยให้ความสัมพันธ์กับเพื่อนฝูงต่างๆ จนกระทั่งใกล้จะเสียชีวิต ก็จะเริ่มนึกถึงเพื่อนฝูงขึ้นมา

ดูเหมือนว่าเมื่อคนใกล้จะเสียชีวิต เกียรติยศ เงินทอง หรือสถานะทางสังคมต่างๆ กลับดูไปจะด้อยหรือไร้ความหมายนะครับ สุดท้ายดูเหมือนว่า เรื่องของความรัก ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลจะกลายเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยที่กำลังใกล้ตายนึกถึง

ประเด็น สุดท้าย ซึ่งค่อนข้างน่าแปลกใจ คือ ผู้ป่วยเหล่านี้กลับสำนึกเสียใจว่าไม่ได้ทำให้ชีวิตที่ผ่านมาของตนเองมีความ สุขเท่าที่ควร ผู้ป่วยหลายคนจะไม่เคยนึกถึงมาก่อนนะครับว่าตนเองสามารถที่จะเลือกที่จะทำ ให้ชีวิตมีความสุขได้ คนจำนวนมากเลือกที่จะอยู่และปฏิบัติในสิ่งที่คุ้นเคย ความกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง ทำให้คนเรามักจะหลอกตนเองว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นมีความสุข ซึ่งจริงๆ แล้วกลับไม่ใช้

ท่านผู้อ่านจะเห็นได้นะครับ ว่าเมื่อคนเราใกล้จะตายนั้น เรามักจะนึกย้อนกลับไปถึงอดีต และเริ่มสำนึกเสียใจในสิ่งที่ได้ทำหรือไม่ได้ทำมาในอดีต และเราจะพบว่าเมื่อเราใกล้ตายแล้ว เงินทอง ชื่อเสียง สถานะ เกียรติยศต่างๆ กลับไม่มีความหมาย สิ่งที่มีความหมายเมื่อใกล้ตาย คือ เรื่องของความรักและความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ซึ่งหลายครั้งกลับกลายเป็นสิ่งที่เราละเลยหรือไม่สนใจในขณะที่เรามีชีวิตอยู่

นอกจากนี้ เมื่อใกล้ตาย คนเราจะพบว่าชีวิตในอดีตที่ผ่านมานั้นเรามีสิทธิที่จะเลือก แต่เราดันเลือกในสิ่งที่ไม่ได้ทำให้เรามีความสุข หรือเลือกในสิ่งที่ทำให้เราต้องมาย้อนสำนึกเสียใจ เมื่อเราใกล้ตาย ดังนั้น ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่และยังแข็งแรง เราจะต้องเลือกอย่างมีสติ เลือกอย่างฉลาด เลือกในสิ่งที่ถูก และเลือกในสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขนะครับ

วันเสาร์ที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เชื้อราในสมอง...ภัยใกล้ตัวที่คนยังไม่รู้

เชื้อราในสมอง...ภัยใกล้ตัวที่คนยังไม่รู้


ตัวอย่างจริงเกี่ยวกับเชื้อราในสมอง :

ผมมีเรื่องที่พวกเราควรจะสนใจรู้มาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเชื้อราในสมอง ที่จะเล่าให้พวกเราฟัง


1. เรื่องแรกนั้น เกิดขึ้นกับคุณประสิทธิ์ มูลเมือง ซึ่งสอบได้ไปเป็นนายช่างการบินไทยประจำสถานี DALLAS หรือ DFWOMTG เมื่อสิบกว่าๆปีมาแล้ว คุณประสิทธิ์ ไปอยู่ DALLAS พร้อมครอบครัว โดยมีลูกๆ สามคนเดินทางไป เรียนด้วย คุณประสิทธิ์วางแผนอนาคตของลูกจะต้องอยู่เรียนต่อในอเมริกาหลังจากที่พี่ประสิทธิ์ต้องเดินทางกลับเมื่อครบกำหนดสี่ปี ทำให้พี่ประสิทธิ์ต้องพยายามเก็บเงินเอาไว้ให้ลูกๆใช้หลังจากที่แกต้องกลับมา ทำให้ต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด


จนกระทั่งหกเดือนก่อนครบกำหนดกลับ พี่ประสิทธิ์ไม่สบายจนต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล และได้รับการผ่าตัดสมอง เพราะหมอพบว่ามีเชื้อราในสมอง




เมื่อพบเชื้อราหมอฝรั่งจึงต้องหาสาเหตุ และพบว่า พี่ประสิทธิ์ชอบทานบะหมี่อบแห้งทานเกือบทุกวัน โดยสั่งมาจากเมืองไทย บะหมี่อบแห้งนั้น ถ้าเก็บไว้นานจนหมดอายุการเก็บ หรืออาจจะอบไม่ดีพอ เพราะของกินประเภทนี้บ้านเรามีมาก และพวกเราไม่ค่อยสนใจ อายุการเก็บหรือบางครั้งไม่มีบอกด้วย ทำให้มีเชื้อราเกิดขึ้น



ถ้าเรากินไม่บ่อยนักนานๆครั้ง เชื้อราพวกนี้จะถูกทำลายโดยภูมิคุ้มกันของตัวเรา แต่ถ้าทานมากๆหรือทุกวันจะเกิดการสะสมของเชื้อรา และลามขึ้นไปถึงสมองไปทำลายสมองของเรา พี่ประสิทธิ์ยังโชคดีที่ป่วยในอเมริกา หมอฝรั่งทำการผ่าตัดได้ แต่พี่ประสิทธิ์ก็ไม่สามารถทำงานต่อไปได้ ต้องลาออกจากการบินไทย กลับมาอยู่บ้านที่ ฝั่งโขง หน้าสนามบิน ผมรู้จักพี่ประสิทธิ์ดีเพราะเคยเดินทางไปเป็น OM ชั่วคราวที่ DALLAS ช่วงที่พี่เรายังดีอยู่ถึงสองครั้ง



2.

เรื่องที่สอง เพื่อนบ้านผมเป็นพยาบาล อยู่โรงพยาบาลในต่างจังหวัด และสาเหตุที่เป็นพยาบาลเวลาไม่สบายก็เอายาที่โรงพยาบาลมาทาน จนกระทั่งผมได้ข่าวว่าเธอเสียชีวิตลง
หมอและเพื่อนๆได้ทำการหาสาเหตุของการเสียชีวิตของเธอและพบว่าสาเหตุของการเสียชีวิตนั้นเกิดจากมีเชื้อราในสมอง ทำลายสมองหมด เชื้อรามาจากไหน และก็พบว่าสาเหตุจากเอายาโรงพยาบาลไปทานบ่อยๆเกือบทุกวัน



ทำไมยาจากโรงพยาบาลจึงมีเชื้อรา เพื่อนของผมมีร้านขายยา ตามปกติแล้วจะมีพวก SALE มาติดต่อขายยาให้ตามร้านขายยา หรือโรงพยาบาล ถ้าเป็นโรงพยาบาลก็จะมีการให้เปอร์เซนต์หมอหรือเภสัชผู้สั่งซื้อ ถ้าเป็นร้านค้าก็อาจจะกำหนดลงไปว่าถ้าซื้อจำนวนเท่าไรแล้วจะได้ของแถมหรือถ้ามาก ๆก็จะได้ไปเที่ยวเมืองนอก เพื่อนผมเขาเป็นลูกคนจีนร้านขายยาจึงได้ไปเที่ยวเมืองนอกประจำ โดยยาพวกนี้ เช่นสั่งยาสองแสนบาทก็จะได้ยาราคาเม็ดละประมาณไม่กี่สตางค็มาหลายแสนเม็ด ยาพวกนี้เอามาขายเม็ดละหลายบาท และเพราะสั่งยามาจำนวนมากจึงขายไม่หมด จนหมดอายุก็จะส่งคืนบริษัทยา ได้เงินคืนเหมือนกัน



ยาตามโรงพยาบาลสั่งมามากเมื่อหมดอายุจะคืนก็กลัวโดนสอบที่สั่งซื้อมามากก็พยายามใช้ให้หมด หรือบางครั้งยาที่ซื้อมาเป็นยาใกล้หมดอายุหรือหมดอายุแล้วที่คืนมาจากร้านขายยาและนำมาขายต่อราคาถูกให้เปอร์เซนต์โรงพยาบาล ยาพวกนี้หมดอายุจึงมีเชื้อรา กินไปมากๆก็เกิดการสะสมในร่างกายได้เป็นอันตราย




3. เรื่องที่สาม ผมไม่ทานขนมเปี๊ยะมานานแล้วทั้งๆที่สมัยเป็นเด็กชอบทานมาก ขนมเปี๊ยะเป็นขนมที่ส่วนมากแล้วคนจีนจะทำออกมาขายโดยทำจากแป้งและใส้หวานๆพวกฝักบดเชื่อมหรือในปัจจุบันนี้มีการใส่ไส้ไข่แดง หรือไข่เข็มใส่กล่องแดงๆน่ากินวางขายตามร้านทั่วไป หรือตาม ซุปเปอร์ ต่างๆ
ขนมพวกนี้มีอายุการเก็บ โดยที่ส่วนมากแล้วทางโรงงานทำขนมซึ่งเป็นโรงงานแบบครอบครัวเล็กๆจะเอาไปฝากวางขายโดยแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้ร้าน หรือ เอาไปส่งให้ร้านขายของพวกขนมไปวางขาย โดยทางโรงงานทำจะเอาขนมมาเปลี่ยนและเก็บขนมที่ขายไม่ได้นานๆกลับไป โดยมากแล้วทางโรงงานจะเลือกเอาขนมที่มองแล้วว่ามีราขึ้นแล้วกลับไป



ข้างบ้านผมมีโรงงานทำขนมเปี๊ยะ ที่ผมเห็นประจำคือ เจ้าของโรงงานทีเป็นคนจีนจะเอาขนมที่เก็บมาจากร้านค้ามาขูดเอาหน้าที่มีเชื้อราออกแล้วส่วนทีเหลือ เอาแป้งไปบดใหม่ใส่ปนไปกลับของใหม่ ไส้หวานๆก็เอารวมไปกับของใหม่ไม่ทิ้งไป แล้วทำเป็นขนมใหม่ส่งไปขายต่อไป
พวกเรานั้นถ้าซื้อเอากินมากๆก็อาจจะเป็นอันตรายได้เพราะเชื้อรานั้นติดมากลับขนมด้วย


ที่ผมเขียนมานี้คือสิ่งที่ผมเห็นมาว่าการเกิดเชื้อราที่สมองนั้นเกิดจากการกินอาหารที่มีเชื้อราเข้าไปมากและบ่อยๆจนเกิดการสะสมของเชื้อราขึ้นทำลายประสาทสมอง


พวกเรานั้นทำงานกันตามสถานีต่างๆผมเชื่อได้เลยว่าเกือบทุกคนมีบะหมี่อบแห้งอยู่ประจำบ้านและทานประจำโดยเฉพาะตอนแม่บ้านไม่อยู่เพราะสะดวก และมีรสชาติที่ดีด้วย ผมก็ทานแต่นานๆครั้ง ก่อนจะทานก็นึกถึง พี่ประสิทธิ์ไว้ด้วยก็แล้วกัน

โดย : คนการบินไทย
ขอขอบคุณข้อมูลจากเว็บไซด์ http://www.cityvariety.com/topic-21.html

Spain Declares War on Pigeons With Net Catapult

Found in NEGROS, Philippines

เตือนภัย....พวงมาลัยที่แพงที่สุดในชีวิต ที่แยกราชประสงค์

เตือนภัย....พวงมาลัยที่แพงที่สุดในชีวิต ที่แยกราชประสงค์



ก็อปกระทู้เตือนภัย +++++อยากเตือนเพื่อนๆ ที่อยากไปสักการะพระพรหม ที่แยกราชประสงค์ ( พวงมาลัยที่แพงที่สุดในชีวิต)



คือจริงแล้วมันก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นบ่อย และ หลายๆคนคงโดนมากันเยอะ
จนเราคิดว่าคนคงรู้กันหมดล่ะ แต่มันไม่ใช่นะสิ ยังมีอีกหลายๆคนที่ยังไม่เคยรับรู้เรื่องแบบนี้
แต่เมื่อเพื่อนสนิทเรามา โดนเอง เราถึงเข้าใจว่ามันไม่ใช่ล่ะ ยังมีหลายคนที่ยังไม่รู้และเรา
ก็อยากจะเล่าแบ่งปันให้ทุกทุกคน เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อแบบนี้ค่ะ

(ขออภัยหากเขียนไม่ดี หรือมีคำไหนผิด พึ่งเคยเขียนครั้งแรก ยาวหน่อยนะ แต่อยากให้เพื่อนๆ อ่าน)

ขอ เกริ่นนิดนึงนะ คือ ถ้าใครเคยผ่าน หรือไป สักการะพระพรหม ตรง แยกราชประสงค์แล้ว ทุกทุกคน คงสังเกต เห็นว่าจะมีร้านค้าขายพวงมาลัยอยู่ข้างหน้ามากมาย มีหลากหลายแบบให้เลือก ราคาก็จะไม่แตกต่างกันมากนะ โดยจัดว่าแพง เช่น ปกติพวงมาลัยดาวเรืองพวงเล็กธรรมด๊า ธรรมดา บริเวณร้านข้าง รอบนอกจะราคาอยู่ที่ 35++ บาทขณะที่ทั่วไปขายที่ 20-25 บาท

อ่า ทุกคนคงคิดว่า ก็ แพงกว่ากันนิดหน่อยเองก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรนิ มันไม่ใช่แค่นั้น

เพื่อน เราสองคน อีกคนนึงไปเพื่อแก้บน เรื่องเรียน อีกคนไปเป็นเพื่อน เพื่อน ทั้งสองคนก็ไม่รู้เรื่อง เพราะ คนที่จะไปแก้บน ที่ไปรอบแรก ก็ซื้อแค่พวงมาลัย ธูปเทียน ก็เลยเสียเงินไปไม่มากนะแค่ไม่กี่ร้อยบาท ก็เลยไม่ได้คิดอะไรมาก ส่วนเพื่อนอีกคนก็ไม่เคยไป

ที่นี้เรื่องมันเกิดตรงนี้ เพื่อนเราก็ชวนกันไปแก้บน ด้วยความที่ไม่เคยแก้บน ตอนบนก็ถามๆ แม่ค้าเอา พอมาแก้บน ก็กลับไปร้านเดิมนั้นล่ะ แม่ค้าก็จัดแจงทุกอย่างให้เสร็จสรรพ ได้แก่
พวง มาลัย 7 สี 7 ศอก จำนวน 28พวง (ถ้าใครเคยไป จะรู้ว่าเป็นที่แถวนั้นขาย จะเป็นพวงมาลัย
ร้อยด้วยดอกพุด ยาว 7ศอก และมีดอกไม้ต่างๆ 7 สี แซมๆ ) ช้างจำนวน 16 ตัว (ตัวเล็ก)
ยาสูบ 4 แพค ธูป เทียน ส่วนเพือนอีกคนที่ไปไหว้เป็นเพื่อน ก็มีแค่พวงมาลัยดาวเรือง
พวงเล็ก 4 พวง ช้างตัวเล็ก 4 ตัว ธูปเทียน

เพื่อน เราก็พยายามถามว่าราคาเท่าไหร่ แม่ค้าก็บอกว่า เอาไปก่อนเดี๋ยวค่อยมาจ่าย เพื่อนเราก็ถามย้ำแล้วย้ำอีก แม่ค้าก็ไม่ยอมบอก บอกแต่ว่าไปไหว้ก่อน เดี๋ยวพาไปไหว้ ช่วยถือของ นั่นโน่นนี้ แหม !! ช่างประทับใจจริง เพื่อนเราก็คิดว่าของคงไม่เท่าไหร่หรอก แล้วคราวที่แล้วก็ซื้อกับร้านนี้ แม่ค้าก็พูดดี ก็เลยไม่ทันคิดว่า ได้เสียท่าไปซะแล้ว พอไหว้เสร็จเรียบร้อย ก็ถามราคากับแม่ค้า ว่าเท่าไหร่ ต้องถึงกับช๊อค แทบเป็นลม เพื่อนเราคนที่ไปแก้บน แม่ค้าบอกว่า 8000 บาท (โอ้แม่เจ้า !!`)

ส่วน เพื่อนอีกคน ราคา 800 บาท ถึงกับอึ้ง พูดอะไร ไม่ออก เพื่อนเราก็พยายามบอกว่าทำไมแพงอย่างงี้ พอพูดปุ๊บ แม่ค้าร้านข้างๆ ต่างพากันมารุมล้อมม โอ๊ย นี้มันมาเฟียหรือไงเนี่ย เราก็ถามเพื่อนว่าแล้วทำไง ก็ท้ายสุดก็ต้องไปกดเงินมาจ่าย แม่ค้าก็เดินตามไปด้วย บอกว่าจะได้ไม่ต้องเหนือยเดินมาให้ (โห เหมือนจะเป็นคนดีนะเนี่ย )

หลังจากเรื่องวันนั้นจบไป เพื่อนก็มาเล่าให้เราฟัง ตามภาษาคนไทย.. ช่างมันเถอะ คิดว่าทำบุญ...
แต่แล้วความอดทนเราก็หมด เมื่อก็มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดอีก ........................


ต่อค่ะ เรื่องมันยังไม่หมด


เมื่อ วันอาทิตย์ที่ผ่านมา เราเองก็เคยไปบนกับท่านไว้เหมือนกัน ก็เลย ถือโอกาสไปแก้บนดีกว่า โดยปกติเราก็จะซื้อดอกไม้บริเวณท้าวมหาพรหมนั้นล่ะ ถ้าคนไปบ่อยๆ จะรู้ว่านอกจากแผงข้างนอก ในบริเวณพระพรหมเอง ก็จะมีดอกไม้ธูป เทียนจำหน่ายเหมือนกัน เพียงแต่ดอกไม้อาจจะไม่สดใหม่เอานั้นเอง ราคาก็มีตั้งแต่ 20 บาท 50 บาท 100บาท มีหลากหลายแบบ ให้เลือก แต่ถ้าเราไปแก้บน
เราก็จะซื้อของข้างนอกไปเอง เพราะเราพอจะรู้กิติศักดิ์ มาบ้างอยู่แล้ว เราก็จัดแจงเตรียมของไปเอง แบบรุงรังไปกับเพื่อนอีกคน ด้วยความที่ของเยอะ เราก็ให้เพื่อนนั่งเฝ้าของก่อน เราขอไหว้ก่อน

ระหว่าง ที่เรากำลังไหว้อยู่ ก็มี นักท่องเที่ยวเดินมาหาเพื่อนเราที่นั่งรออยู่ ถามว่า ซื้อพวงมาลัยมาเท่าไหร่ เพื่อนเราก็บอกว่า ซื้อมาเองไม่ได้ซื้อแถวนี้ เราซื้อพวงมาลัย 7 ศอก มา 4 พวง มีช้างตัวเล็ก 4 ตัว หมดไปประมาณ 900 บาท

นักท่องเที่ยว สองคนนั้นก็แสดงท่าทีตกใจมาก แล้วเค้าก็เล่าให้เรากับเพื่อนฟังว่า เค้าไปซื้อพวงมาลัยดาวเรืองพวงขนาดกลางหน่อย เค้าชี้ให้เราดูอ่ะนะ แล้วก็ได้ ธูปเทียน หมดเงินไปคนละ 3000 บาท แล้วตอนนี้เค้าสองคนไม่เหลือเงินเลย เรากับเพื่อนนั่งฟังแล้วก็คิดทำไงดีหว่า จะให้เงินเราก็ไม่มี

เราก็เลยถามเค้าว่า จะให้เราช่วยยังไง เค้าก็ตอบเรามาว่า อยากให้ไปช่วยคุยกับแม่ค้าให้ หน่อย เรากับเพื่อนก็มองหน้ากัน เออ เราไปสองคนมีหวังโดนตบแน่เลย แกเลยเรียกเจ้าหน้าทีแถวนั้นแต่ไม่ใช่ ตำรวจนะ แล้วสิ่งที่ได้กลับมาคือ เจ้าหน้าที่ฟังแล้วก็ยิ้มๆ แล้วก็เรียกเพื่อนอีกคน บอกว่า เฮ้ย เค้าโดนค่าพวงมาลัยไป สองคน 6000 ว่ะ เพื่อนอีกคนก็ อืม ทำหน้าเหมือนว่า ก็โดนกันอย่างงี้ ประจำล่ะ

เรากับเพื่อนก็นั่งคิดต่อ เอาไงดีว่ะ จะเดินไปแจ้งความก็คิดว่า ตำรวจพวกเดี๋ยวกันไหมเนี่ย จะไม่ช่วยก็ไม่ได้ ถ้าเราไปที่อื่นแล้วโดนแบบนี้บ้าง ไม่มีใครช่วยจะทำไง เพื่อนก็เลย โทรหาคนรู้จักที่เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่ออยากให้ส่งตำรวจมาหน่อย อย่างน้อยถ้าเป็นคนรู้จักส่งมาน่าจะสบายใจกว่า บอกเสร็จปุ๊ป ก็ โอเค อีกสิบนาทีเดี๋ยวมา เรากับเพื่อนก็นั่งอยู่ กับนักท่องเที่ยว ก็เลยถามไถ่รายละเอียดได้ความว่า เค้าไปถามแม่ค้าว่าราคาเท่าไหร่ ไหว้ยังไง แม่ค้าก็ทำเหมือนตอนเพื่อนเรา เป๊ะ หยิบพวงมาลัยมาให้ พาเดินมาไหว้ บอกราคาเดี๋ยวค่อยคุยกัน เค้าก็ คิดคนไทยมีน้ำใจจัง แต่พอไหว้เสร็จ แม่ค้าเก็บเงิน คนละ 3000 บาท เค้าสองคน ถึงกับอึ้งทำตัวไม่ถูก ก็ต้องจ่ายย ด้วยความเป็นนักท่องเที่ยว ก็กลัวเป็นเรื่องธรรมดา

ระหว่างที่เรานั่งคุย นั่งรอ อยู่ คงมีคนคาบข่าวไปบอกแม่ค้า แม่ค้าคนนั้นก็มายืนเกาะลูกกรง บอกว่า มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่า เดือดร้อนอะไร หรอ คุยกันได้นะ ออกมาคุยกันข้างนอกสิ เรากับเพื่อนมองหน้ากัน ไม่เอา ไม่ออกนะแก เดี๋ยวโดนรุม ก็เลย นั่งเฉยๆ นิ่งไว้ๆ

จนกระทั่งตำรวจมา เราก็เล่าให้ตำรวจฟังว่า นักท่องเที่ยวเกิดเหตุการณ์ แบบนี้ คุณตำรวจก็เรียกเรากับเพือนไปด้วย เรากับเพื่อน และนักท่องเที่ยวก็เดินตามคุณตำรวจไป พอไปถึงร้าน ยังไม่ทันจะพูดไรเลย คุณแม่ค้าบอกว่าเนี่ย ฉันให้โน่น ให้นี้ ให้ นั้น เต็มไปหมด นักท่องเที่ยว ก็บอก ไม่ ไม่ ไม่ ฉันได้ แค่นี้ คุณตำรวจก็ไม่ค่อยได้ ช่วยอะไร หรอกค่ะ มากันไม่ให้มีเรื่องมากกว่า คุณตำรวจพูดสั้นๆ กับแม่ค้าว่า “นักท่องเที่ยวเค้าว่าราคามันแพงเกินไป” (แค่เนี่ย !!!! ช่วยได้มากเลยค่ะ ชื่อเสียงประเทศไทยป่นปี้ ) แม่ค้าเลย ทำหน้าบึ้งๆ แล้วก็พูดว่า “อ่ะ คืนให้คนละพัน” (เออ แพงไปไหมอ่ะ ) เพื่อนเราก็เลยพูดสวนไปว่า “พวงมาลัยแค่เนี่ย แค่คนละพันก็แพงไปแล้วว นี้คนละ สองพันเลยหรอ”
แม่ค้าหันไปพูดกับคุณตำรวจว่า “โอ๊ย งั้นก็ไม่ได้ กำไรพอดี งั้นคืนให้อีกคนละ 500 ก็ได้”

สรุป ได้คืนมา 3000 บาท จาก 6000 บาท เราก็เลยถามนักท่องเที่ยวว่าโอเคไหม คือนักท่องเที่ยวเค้าก็ไม่อยากมีปัญหา เค้าก็โอเค แล้วก็บอกขอบคุณเรากับเพื่อน พอเสร็จ เรากับเพื่อนขอบคุณ คุณตำรวจ แล้วก็รีบเดินออกมาอย่างทันที ระหว่างที่เดิน แม่ค้าร้านอื่นๆ มองกันขาเขม็ง พร้อมกับตะโกนถามว่า เพื่อนกันหรอ ? (แล้วทำไมล่ะ ไม่ใช่เพื่อน แล้วช่วยไม่ได้หรือไงนะ แอบคิดอยู่แต่ไม่ได้พูดหรอก )


ต่อจากนั้นเรากับเพื่อนก็เดินไปไหว้พระพิฆเนศ ต่อ ผิดกับเหตุการณ์เมือกี้
ถ้า ใครเคยไป ไหว้พระตรีมูรติ หรือ พระพิฆเนศ บริเวณหน้า CTW จะทราบดีกว่า ธูปเทียนมีบริการให้ฟรี หรือจะหยอดเงินใส่ตู้ก็ได้ เรากับเพื่อนก็เตรียมของมา ถือมาเยอะแยะ แต่ขาดเทียนไม่ครบค่ะ เพื่อนเราก็เดินดูที่บริเวณจัดบริการธูปเทียนให้ว่ามีไหม ปรากฏว่าหมด เพื่อนเราก็จะเดินไปซื้อ เจ้าหน้าที่เห็นถือของเยอะ เดินมาบอกว่า “หนูๆ ตรงนั้นมีถาดไปหยิบมาใส่ของสิ”
เรากับเพื่อนก็บอกว่า “เดี๋ยวไปซื้อเทียนก่อนค่ะ”
เจ้าหน้าที่ “เอาในกล่องสิ”
เพื่อนบอกว่า “มันหมดค่ะ”
เจ้าหน้าที่ “เดี๋ยวไปเบิกมาให้ ”
เรากับเพื่อนรู้สึกดีมากๆ ผิดกับเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อกี้ ลิบลับ


เรา เลยอยากจะเตือนเพื่อนๆ ทุกคนที่คิดจะไปสักการะท้าวมหาพรหม นะ ว่า กรุณาตรวจสอบราคาให้แน่ใจก่อน อย่าไว้ใจใคร เพราะยุคนี้ ใครใครก็หาผล ประโยชน์ใส่ตัว ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ตาม ไม่อยากให้เพื่อนๆ เจอเหตุการณ์แบบนี้ คนไทยกันเองยังทำร้ายกันเอง คนต่างชาติจะเหลืออะไร อยากให้ทุกคนช่วยกันดูแล ช่วยเหลือนักท่องเที่ยวถ้าเจอปัญหา ในฐานะที่เราเป็นคนไทย นะค่ะ

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

หัวเราะวันละนิดจิตแจ่มใส (ถ้าคิดว่าตัวเองแก่อย่าอ่านนะครับ)

ใครแก่แล้ว ห้ามอ่าน


(มันสะเทือนใจเหวอ........พี่..)






กาลครั้งหนึ่งมีค้างคาว 3 ตัว อาศัยอยู่บนต้นไม้ต้นเดียวกัน
มีค้างคาวเด็ก ค้างคาวหนุ่ม และค้างคาวเฒ่า
ปกติมันทั้ง 3 จะผลัดเวรกันออกไปหาเลือดสดๆ มาแบ่งปันกัน
และวันนี้เป็นเวรของเจ้าค้างคาวน้อย

ค้างคาวน้อยออกไปนาน....นานมาก ก็ยังไปกลับ

แต่ที่สุดแล้วมันก็กลับมา...

' ข้าขอโทษนะที่หาอาหารมาให้ไม่ได้ ข้าคิดว่าช่วงนี้เป็นหน้าแล้งสัตว์ต่างๆพากันอพยพไปหมด'

ค้างคาวน้อยบอกเสียงเจื้อยแจ้ว

' ไม่ใช่หรอก เจ้าหนะ ยังด้อยประสบการณ์นัก เดี๋ย วข้าออกไปเอง...'

เจ้าค้างคาวหนุ่มกล่าว. ว่าแล้วมันก ็ออกไป

และออกไปนาน..นานกว่าเจ้าค้างคาวน้อยอีก...

และก็กลับมามือเปล่า ...........


' สงสัยท่านผู้เฒ่าต้องช่วยพวกเราแล้วหละครับ'


เจ้าหนุ่มกล่าว ว่าแล้วค้างคาวผู้เฒ่าก็ออกไป...

.... ไม่น่าเชื่อ....เพียงไม่นาน ท่านผู้เฒ่าก็กลับมา พร้อมกับเลือดสดๆ เต็มปาก....


' ท่านทำได้ไงเนี่ย ท่านผู้เฒ่า...' ค้างคาวทั้งสองร้องด้วยความดีใจระคนประหลาดใจ ...
ท่านผู้เฒ่ากล่าวอย่างเคร่งขรึม..... ..

' พวกมึงเห็นต้นไม้ด้านหน้านั้นมั้ย'.......




...' เห็นครับท่าน'....




' นั่นแหละ.........................กูไม่เห็น

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

30/8/53...ตำรวจจราจรใช้ใบสั่งออนไลน์ e-ticket

30/8/53...ตำรวจจราจรใช้ใบสั่งออนไลน์ e-ticket



รายงานข่าวจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) แจ้งว่า วันที่ 30 ส.ค.นี้บช.น.จะ

นำเครื่องออกใบสั่งออนไลน์แบบมือถือ e-ticket ให้ตำรวจจราจรใช้ลงพื้นที่กวดขัน

วินัยจราจร แทนการออกใบสั่งกระดาษในปัจจุบัน



จะเริ่มนำร่องใน 9 สถานี ได้แก่

สน. วัดพระยาไกร, สน.ลุมพินี, สน.ทองหล่อ, สน.ท่าเรือ,สน.ทุ่งมหาเมฆ,

สน.บางโพงพาง, สน.พระโขนง, สน.บางนา,สน.คลองตัน และงาน 5 (ตรวจพิเศษ)

กองกำกับการ 1 กองบังคับการตำรวจจราจร (บก.จร.)



รวม 10 เครื่อง ขนาดพกพาได้ มีตัวรับสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ใช้สำหรับรับส่งข้อมูลออนไลน์

และพิมพ์ใบสั่งได้ในตัว ใบสั่งที่ออกมากว้างประมาณ 3 นิ้ว ส่วนความยาวแล้วแต่ข้อมูล

มีตราครุฑกำกับเป็นเอกสารราชการ พร้อมบาร์โค้ดกำกับ เมื่อใช้เครื่องป้อนข้อมูลชื่อผู้ขับขี่

และทะเบียนรถจะรู้ได้ทันทีว่า ผู้กระทำความผิดเคยมีคดีอื่น ๆ หรือหมายจับก่อนหน้านี้หรือไม่

รถคันดังกล่าวเป็นรถที่จดทะเบียนถูกต้องหรือไม่เป็นรถที่สวมทะเบียนมาหรือไม่ ใช้เวลาเพียง 30 วินาที จ่ายค่าปรับได้ทุก สน.ไม่ต้องเดินทางไปจ่ายยัง สน.ที่ออกใบสั่ง และ

ไม่ต้องยึดใบขับขี่

ทั้งนี้ เดิม บช.น.มีแนวคิดใช้เครื่องออกใบสั่งออนไลน์มานานแล้ว แต่ติดขัดงบประมาณเช่า

เครื่องมือ จึงทำหนังสือเสนอสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และสนับสนุนเครื่องอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ก่อน 10 เครื่อง พร้อมปรับปรุงแก้ไขระเบียบข้อบังคับเรื่องใบสั่งแบบใหม่ จะ

ประเมินผลการใช้งานโครงการนำร่องก่อนขยายโครงการกับทุกท้องที่ โดยจะเปิดตัวพร้อม

สาธิตการใช้งานเครื่อง ก่อนวันที่ 27 ส.ค.นี้ ที่บก.จร.

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

OW2.0:Plastic to Oil Fantastic

ผลไม้ทายนิสัย ~ ~ ~

Subject: ผลไม้ทายนิสัย ~ ~ ~






กระท้อน
คนชอบกินกระท้อน จะมีลักษณะแข็งนอกอ่อนใน ดูภายนอกเหมือนคนก้าวร้าวแต่ จริง ๆ จิตใจดี อ่อนไหวง่าย ไม่ชอบความรุนแรง รักสงบ

กล้วย
สำหรับคนที่ชอบทานกล้วย ภายนอกดูจะเป็นคนเงียบขรึม แต่นิสัย จริง ๆ คืออ่อนไหวง่าย ถ้าถูกใครพูดกระทบกระแทกหน่อย ก็จะเก็บเอาไปคิดเสียใจ เป็นคนโอบอ้อมอารีย์ มีเหตุผล รอบคอบ มองการณ์ไกล ชอบวางแผน อนาคตให้ตัวเอง และคนที่อยู่รอบข้างเสมอ เป็นคนนิสัยรักสันโดษ เป็นคนที่มีจิตเป็นกุศล ชอบทำบุญแก่คนทุกข์ยาก

เงาะ
สำหรับ สาว ๆ ที่ชอบกินเงาะ จะเป็นคนค่อนข้างขี้เล่น สามารถทำให้คนรอบข้างมีความสุขได้ ถึงคุณจะขี้โม้ไปบ้างแต่ เพื่อน ๆ ก็ชอบในความร่าเริงสนุกสนานของคุณ

ชมพู่
สำหรับคนขี้เกรงใจ จะชอบกินชมพู่มากเป็นพิเศษ มีความอดทนสูง ยิ้มได้ในทุกสถานการณ์ แต่เป็นคนมองโลกในแง่ร้าย และคิดมาก แต่ไม่ชอบที่จะทำร้ายจิตใจใคร จริง ๆ ดังนั้นถ้าหนุ่มคนไหน ชอบกินชมพู่เป็นพิเศษหล่ะ ก็ควรจะเอาใจเค้าให้มาก เพราะเค้าจะคิด อะไร ๆ ไปในทางลบเสมอ

แตงโม
เป็นของว่างจานโปรดสำหรับสาวใจกว้าง อ่อนโยน มีน้ำใจกับมิตรสหาย ซื่อสัตย์ไม่คิดคดทรยศ เป็นคน ง่าย ๆ มองโลกในแง่ดี จะไม่ค่อยโวยวาย หรือคิดมาก ตั้งอกตั้งใจทำงานดี แต่มักแพ้ภัยแก่เพศตรงข้าม และคนที่ชอบกินแตงโม จะเป็นคนที่รักใคร่เอ็นดูของเพื่อนฝูงอีกด้วย

ฝรั่ง
สาว ๆ ที่ชอบฝรั่งมักเป็นคนรักอิสระ ชอบที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวในสถานที่ ต่าง ๆ ไม่ชอบทำอะไรซ้ำซากจำเจ




มะพร้าว

เพื่อน ๆ ที่ชอบมะพร้าวมักเป็นคนใจบุญ มีจิตเป็นกุศล มองโลกในแง่ดี วาจาคมคาย พูดจาเหน็บคนให้เจ็บด้วยใบหน้าที่ใสซื่อเก่งนักแหละ

มะละกอ
ผลไม้โปรดของคนที่มีน้ำอดน้ำทนสูง มีความคิดลุ่มลึก คิดเป็นเหตุเป็นผล วางแผนแยบยล โอบอ้อมอารีย์

มังคุด
เหมาะสำหรับคนที่เก็บเนื้อเก็บตัว ช่างฝัน และมีอารมณ์โรแมนติก อ่อนไหวง่าย รักใครได้ ง่าย ๆ และเก็บเอาไปนึกคิดคนเดียว แต่ไม่นานก็ลืมเอา ดื้อ ๆ แล้วก็ไปหลงคนอื่นต่อไปเรื่อยเปื่อย พูด ง่าย ๆ คือเป็นผลไม้สำหรับคนเจ้าชู้ไงจ๊ะ

ลองกอง
พวกที่ยึดเอาลองกองเป็นอาหารหลัก เป็นคนรักสันโดษ ชอบเดินทาง ชอบการผจญภัยในที่ที่ตนเองไม่เคยไป อนุรักษ์นิยม

ลางสาด
สำหรับ เพื่อน ๆ ที่เลือกลางสาดเป็นผลไม้หลัก จะเป็นคนอนุรักษ์นิยม ยึดมั่นในแนวความคิด เก่า ๆ ชอบวิถีทางที่เคยทำมาแต่ก่อน แต่เป็นคนมีเหตุผล

ลิ้นจี่
ผลไม้สำหรับคนชอบทำงาน เบา ๆ ไม่ต้องใช้กำลังแรงงาน มาก ๆ คนชอบทานลิ้นจี่กลัว เพื่อน ๆ จะลำบากน้อยกว่า เลยให้ เพื่อน ๆ เอางานไปช่วยทำซะหมด ตัวเองคอยชักใยอยู่เบื้องหลัง สบาย ๆ นี่เอง

ลำไย
คนชอบทานผลไม้เม็ดเล็กชนิดนี้มักเป็นคนปากหวาน ชอบประจบประแจง ใช้คำพูดยกยอคนให้หลงปลื้ม แต่มักเป็นคนชอบนินทาว่าร้ายคนอื่นลับหลัง

สตรอเบอร์รี่
ถ้าชอบทานสตรอเบอร์รี่ บอกได้เลยว่าคุณเป็นสาวคุยสนุก มีอารมณ์ขัน ทำให้คนอื่นหัวเราะได้ตลอดเวลา เป็นที่ต้องการของ เพื่อนๆ ในกลุ่ม และเมื่อจะพูดคุย หรือทำอะไรก็ต้องมีคนดู คนฟัง และค่อนข้างมีรสนิยมทีเดียว

สาลี่
ผลไม้คุณหนู ผู้ที่ชอบทานมักจะมีนิสัยอ่อนหวาน สุภาพ อ่อนโยน ไม่ชอบขัดใจใคร มองโลกในแง่ดี ไม่นินทาว่าร้ายใคร นอกจากนี้ยังเป็นนักเล่าเรื่องที่ดี

ส้มเขียวหวาน
เห็นชอบส้มอย่างนี้เป็นคนทันสมัย หัวก้าวหน้า แต่มักมีนิสัยหึงหวงเพศตรงข้ามอยู่ เนือง ๆ มัธยัสถ์ รู้จักใช้จ่าย

ส้มโอ
คนที่ชอบส้มโอ จะเป็นคนที่รักความสบาย ความหรูหรา โอ่อ่า ใจอ่อนง่าย ถ้ามี ใคร ๆ มาตื๊อก็คงยอมให้กันทุกอย่างแบบเทกระเป๋าไปเลย

สัปปะรด
ผู้ที่ชอบกิน เป็นคนที่แคร์คนอื่นมากเกินไป มัวแต่ไปเอาใจคนอื่นเกินไป ทำให้ เพื่อน ๆ มักจะรำคาญ และเบื่อหน่ายอยู่เสมอ

องุ่น
ผลไม้ยอดฮิตของคนสวยมีเสน่ห์ เพื่อน ๆ ที่ชอบทาน มักเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ดี เข้ากับคนง่าย นิสัยร่าเริง มีความคิดความอ่านสุขุมรอบคอบ ปากกับใจไม่ค่อยตรงกันนัก ไม่ค่อยชอบบอกเรื่องส่วนตัวให้ใครรู้ ง่าย ๆ

แอ๊ปเปิ้ล
ผลไม้ของคนขี้เหงา ขาดเพื่อนไม่ได้ เป็นคนไม่ค่อยแคร์เรื่องความรัก คือนึกจะรักใครก็รัก นึกจะเลิกก็เลิกขึ้นมา ง่าย ๆ แต่จะเป็นคนที่มีความอดทนในเรื่องของการทำงาน

รายชื่อจังหวัดในประเทศไทย ภาษาอังกฤษ และอักษรจีน เรียงตามลำดับตัวอักษร

Subject: รายชื่อจังหวัดในประเทศไทย ภาษาอังกฤษ และอักษรจีน เรียงตามลำดับตัวอักษร




- กรุงเทพมหานคร (Bangkok - 曼谷)
- กระบี่ (Krabi - 甲米)
- กาญจนบุรี (Kanchana Buri - 北碧)
- กาฬสินธุ์ (Kalasin - 胶拉信)
- กำแพงเพชร (Kamphaeng Phet - 甘烹碧)
- ขอนแก่น (Khon Kaen - 孔敬)
- จันทบุรี (Chantha Buri - 尖竹汶)
- ฉะเชิงเทรา (Cha Choeng Sao - 北柳)
- ชลบุรี (Chon Buri - 春武里)
- ชัยนาท (Chai Nat - 猜纳)
- ชัยภูมิ (Chaiyaphum - 猜也奔)
- ชุมพร (Chumphon - 春蓬)
- เชียงราย (Chiang Rai - 昌莱)
- เชียงใหม่ (Chiang Mai - 清迈)
- ตรัง (Trang - 董里)
- ตราด (Trat - 桐艾)
- ตาก (Tak - 达)
- นครนายก (Nakhon Nayok - 那空那育)
- นครปฐม (Nakhon Pathom - 佛统)
- นครพนม (Nakhon Phanom - 那空帕农)
- นครราชสีมา (Nakhon Rajcha Sima - 呵叻)
- นครศรีธรรมราช (Nakhon Sri Thamaraj - 洛坤)
- นครสวรรค์ (Nakhon Sawan - 那空沙旺)
- นนทบุรี (Nontha Buri - 暖武里)
- นราธิวาส (Nara Thiwat - 陶公)
- น่าน (Nan - 难)
- บุรีรัมย์ (Buri Ram - 武里喃)
- ปทุมธานี (Pathum Thani - 巴吞他尼)
- ประจวบคีรีขันธ์ (Prachuap Khiri Khan - 巴蜀)
- ปราจีนบุรี (Prachin Buri - 巴真武里)
- ปัตตานี (Pattani - 北大年)
- พระนครศรีอยุธยา (Phra Nakhon Sri Ayutthaya - 大城)
- พะเยา (Phayao - 碧瑶)
- พังงา (Phang Nga - 攀牙)
- พัทลุง (Phatthalung - 博他仑)
- พิจิตร (Phichit - 披集)
- พิษณุโลก (Phit Sanulok - 彭世洛)
- เพชรบุรี (Phetcha Buri - 佛丕)
- เพชรบูรณ์ (Phetchabun - 碧差汶)
- แพร่ (Phrae - 帕)
- ภูเก็ต (Phuket - 普吉)
- มหาสารคาม (Maha Sarakham - 吗哈沙拉堪)
- มุกดาหาร (Muk Dahan - 莫拉限)
- แม่ฮ่องสอน (Mae Hong Son - 夜丰颂)
- ยโสธร (Ya Sothon - 益梭通)
- ยะลา (Yala- 惹拉)
- ร้อยเอ็ด (Roi Et - 黎逸)
- ระนอง (Ranong - 拉农)
- ระยอง (Rayong - 罗勇)
- ราชบุรี (Rajcha Buri - 叻丕)
- ลพบุรี (Lop Buri - 华富里)
- ลำปาง (Lampang - 喃邦)
- ลำพูน (Lamphun - 喃奔)
- เลย (Loei - 黎)
- ศรีสะเกษ (Si Saket - 四色菊)
- สกลนคร (Sakon Nakhon - 沙功那空)
- สงขลา (Songkhla - 宋卡)
- สตูล (Satun - 沙敦)
- สมุทรปราการ (Samut Prakan - 北榄)
- สมุทรสงคราม (Samut Songkhram - 夜功)
- สมุทรสาคร (Samut Sakhon - 龙仔厝)
- สระแก้ว (Sra Kiao - 萨缴)
- สระบุรี (Sara Buri - 北标)
- สิงห์บุรี (Sing Buri - 信武里)
- สุโขทัย (SuKhothai - 素可泰)
- สุพรรณบุรี (Suphan Buri - 素攀)
- สุราษฎร์ธานี (Surat Thani - 万仑)
- สุรินทร์ (Surin - 素辇)
- หนองคาย (Nongkai - 廊开)
- หนองบัวลำภู (Nong Bua Lumphu - 廊磨南蒲)
- อ่างทอง (Ang Thong - 红统)
- อำนาจเจริญ (Amnat Charoen - 庵纳乍能)
- อุดรธานี (Udon Thani - 乌隆)
- อุตรดิตถ์ (Utta Radit - 程逸)
- อุทัยธานี (Uthai Thani - 乌泰他尼)
- อุบลราชธานี (Ubon Rajchathani - 乌汶)


การเขียนชื่อจังหวัดในประเทศไทย


การเขียนชื่อจังหวัดในประเทศไทย
ตามนามบัญญัติที่กำหนดโดยราชบัณฑิตยสถาน
(คัดจากจดหมายข่าวราชบัณฑิตยสถาน ปีที่ 7 ฉบับที่ 70 มีนาคม 2540)

1. กรุงเทพมหานคร Krug Thep Maha Nakhon (Bangkok Metropolis)
2. จังหวัดกระบ ี่ Changwat Krabi
3. จังหวัดกาญจนบุร ี Changwat Kanchanaburi
4. จังหวัดกาฬสินธุ์ Changwat Kalasin
5. จังหวัดกำแพงเพชร Changwat Kamphaeng Phet
6. จังหวัดขอนแก่น Changwat Khon Kaen
7. จังหวัดจันทบุร ี Changwat Chanthaburi
8. จังหวัดฉะเชิงเทรา Changwat Chachoengsao
9. จังหวัดชลบุร ี Changwat Chon Buri
10. จังหวัดชัยนาท Changwat Chai Nat
11. จังหวัดชัยภูม ิ Changwat Chaiyaphum
12. จังหวัดชุมพร Changwat Chumphon
13. จังหวัดเชียงราย Changwat Chiang Rai
14. จังหวัดเชียงใหม  Changwat Chiang Mai
15. จังหวัดตรัง Changwat Trang
16. จังหวัดตราด Changwat Trat
17. จังหวัดตาก Changwat Tak
18. จังหวัดนครนายก Changwat Nakhon Nayok
19. จังหวัดนครปฐม Changwat Nakhon Pathom
20. จังหวัดนครพนม Changwat Nakhon Phanom
21. จังหวัดนครราชสีมา Changwat Nakhon Ratchasima
22. จังหวัดนครศรีธรรมราช Changwat Nakhon Si Thammarat
23. จังหวัดนครสวรรค  Changwat Nakhon Sawan
24. จังหวัดนนทบุร ี Changwat Nonthaburi
25. จังหวัดนราธิวาส Changwat Narathiwat
26. จังหวัดน่าน Changwat Nan
27. จังหวัดบุรีรัมย  Changwat Buri Ram
28. จังหวัดปทุมธาน ี Changwat Pathum Thani
29. จังหวัดประจวบคีรีขันธ  Changwat Prachuap Khiri Khan

30. จังหวัดปราจีนบุร ี Changwat Prachin Buri
31. จังหวัดปัตตาน ี Changwat Pattani
32. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา Changwat Phra Nakhon Si Ayutthaya
33. จังหวัดพะเยา Changwat Phayao
34. จังหวัดพังงา Changwat Phangnga
35. จังหวัดพัทลุง Changwat Phatthalung
36. จังหวัดพิจิตร Changwat Phichit
37. จังหวัดพิษณุโลก Changwat Phitsanulok
38. จังหวัดเพชรบุร ี Changwat Phetchaburi
39. จังหวัดเพชรบูรณ  Changwat Petchabun
40. จังหวัดแพร่ Changwat Phrae
41. จังหวัดภูเก็ต Changwat Phuket
42. จังหวัดมหาสารคาม Changwat Maha Sarakham
43. จังหวัดมุกดาหาร Changwat Mukdahan
44. จังหวัดแม่ฮ่องสอน Changwat Mae Hong Son
45. จังหวัดยโสธร Changwat Yasothon
46. จังหวัดยะลา Changwat Yala
47. จังหวัดร้อยเอ็ด Changwat Roi Et
48. จังหวัดระนอง Changwat Ranong
49. จังหวัดระยอง Changwat Rayong
50. จังหวัดราชบุร ี Changwat Ratchaburi
51. จังหวัดลพบุร ี Changwat Lop Buri
52. จังหวัดลำปาง Changwat Lampang
53. จังหวัดลำพูน Changwat Lamphun
54. จังหวัดเลย Changwat Loei
55. จังหวัดศรีสะเกษ Changwat Si Sa Ket
56. จังหวัดสกลนคร Changwat Sakon Nakhon
57. จังหวัดสงขลา Changwat Songkhla
58. จังหวัดสตูล Changwat Satun
59. จังหวัดสมุทรปราการ Changwat Samut Prakan
60. จังหวัดสมุทรสงคราม Changwat Samut Songkhram
61. จังหวัดสมุทรสาคร Changwat Samut Sakhon
62. จังหวัดสระแก้ว Changwat Sa Kaeo
63. จังหวัดสระบุร ี Changwat Saraburi64. จังหวัดสิงห์บุร ี Changwat Sing Buri
65. จังหวัดสุโขทัย Changwat Sukhothai
66. จังหวัดสุพรรณบุร ี Changwat Suphan Buri
67. จังหวัดสุราษฎร์ธาน ี Changwat Surat Thani
68. จังหวัดสุรินทร  Changwat Surin
69. จังหวัดหนองคาย Changwat Nong Khai
70. จังหวัดหนองบัวลำภ ู Changwat Nong Bua Lam Phu
71. จังหวัดอ่างทอง Changwat Ang Thong
72. จังหวัดอุดรธาน ี Changwat Udon Thani
73. จังหวัดอุตรดิตถ  Changwat Uttaradit
74. จังหวัดอุทัยธาน ี Changwat Uthai Thani
75. จังหวัดอุบลราชธาน ี Changwat Ubon Ratchathani
76. จังหวัดอำนาจเจริญ Changwat Amnat Charoen
คำว่า จังหวัด อาจเขียนเป็น Changwat หรือ Province
คำว่า อำเภอ อาจ??ขียนเป็น Amphoe หรือ District
คำว่า ตำบล อาจเขียนเป็น Tambon หรือ Sub-district
--
credit: http://www.marinerthai.com

อันตราย!...ที่ยวลาว ผู้หญิงไปกันเองโดยลำพังต้องระมัดระวังให้มาก

ลองนึกว่าเป็นญาติพี่น้อง หรือ ลูกสาว ของเราไปเที่ยวแล้วเจอเหตุการณ์อย่างนี้ ท่านจะทำอย่างไร?


เที่ยวลาว : ผู้หญิงไปกันเองโดยลำพังต้องระมัดระวังให้มาก อันตรายครับ


เที่ยวนี้ผมเข้าลาวเป้าหมายไปหลวงพระบาง-วังเวียง โดยเวียงจันทน์เป็นทางผ่าน

ผมเข้าลาวตั้งแต่หัวค่ำวันที่ 1 กพ.พักที่วียงจันทน์ก่อน รุ่งขึ้นเข้าหลวงพระบาง


ที่หลวงพระบางผมเดินเที่ยวเองในเมือง เนื่องจากความตั้งใจต้องการไปวัด โบราณสถาน
โรงเรียนและใส่บาตรข้าวเหนียวเป็นหลัก ซึ่งส่วนใหญ่สถานที่หลักๆก็อยู่ในเมือง

ส่วนสถานที่อื่นๆ หากมีเวลาก็ไป พักอยู่สองคืนก็เดินทางย้อนกลับเข้าวังเวียง พักสองคืน

ที่วังวียง
เป้าหมายคือธรรมชาติ กระโดดน้ำ ถ้ำน้ำ ถ้ำอื่นๆ และหากอยู่แล้วชอบอาจพักหลายคืน
เนื่องจากเที่ยวนี้พอมีเวลาแต่แล้วผมก็พักอยู่แค่สองคืน คืนที่สองผ่านไปรุ่งเช้าคือวันที่ 6 กพ.
ผมเก็บข้าวของเดินทางรวดเดียวจากวังเวียง-กรุงเทพฯ ต่อรถเรื่อยๆไม่หยุดพักค้างคืนที่

เวียงจันทน์หรืออุดรฯอีกคืน ทั้งที่ตั้งใจไว้แต่แรกว่าจะพักที่เวียงจันทน์หรืออุดรฯอีกคืน

ปิดท้ายการเดินทาง เนื่องจากได้รับรู้เหตุการณ์ที่ไม่พึงปรารถนาจะพบเห็น ทำให้ไม่สบายใจ

เรื่องราวที่ไม่พึงปรารถนาจะพบเห็นและทำให้ไม่สบายใจ เกิดขึ้นที่วังเวียง

เหตุการณ์เกิดตอน 1day trip ที่วังเวียง
ผมซื้อความสบายหวังว่าจะได้รับประสบการณ์ที่ดีมีความปลอดภัย
ไม่ต้องดิ้นรน หนึ่งวันจะประกอบด้วย นั่งห่วงยางลอดถ้ำน้ำ
เลี้ยงอาหารกลางวันมีข้าวผัด บาบีคิว กล้วยน้ำว้าสองใบ มีน้ำดื่มให้หนึ่งขวดใหญ่
พายเรือคะยัค กระโดดน้ำ และพายเรือคะยัคต่อหรือล่องห่วงยางถึงวังเวียง แล้วแต่เวลา

1day trip ผมซื้อในราคา 90000 กีบโดยไม่ต่อราคา(เข้าใจว่าต่อได้)
ในคืนวันที่ 4 กพ.ที่ไปถึงวังเวียง เช้าวันต่อมา 5 กพ. คนของทัวร์มารับยังที่พัก 9.30 น.
พาขึ้นรถบรรทุกตะเวนรับนักท่องเที่ยวตามที่พักหรือสำนักงานขายทัวร์รวมกันไปด้วยรถ

บรรทุกสองคัน ช่วงที่รับคนญี่ปุ่นขึ้นรถ ได้ยินชาวลาวคุยกันว่า ผู้หญิงญี่ปุ่นสวยด้วยแล้ว

ก็หัวเราะกัน (ภาษาลาว แต่พอฟังออก) ทั้งหมดรวมกันประมาณ 24-27 คน

ผมจำไม่ได้แน่นอน

ใน trip นี้มีผมเป็นคนไทยคนเดียว นอกนั้น ผู้ชายชาวอินโดฯ 1 คน
ชายชาวเกาหลีหนึ่งคนมากับผู้หญิงชาวลาว(คาดว่าเป็นผู้หญิงกลางคืน)
สาวญี่ปุ่น 4 คน นอกนั้นฝรั่งทั้งนั้นหลายชาติหลายภาษา

รถบรรทุกขับพาลูกทัวร์ออกนอกเมืองไปประมาณ 15 กิโลฯทางที่จะขึ้นไปหลวงพระบาง
เมื่อไปถึงรถเลี้ยวจากทางหลักเข้าซอยที่เป็นฝุ่นแดงไม่ไกลนัก คณะทัวร์ก็ลงจากรถเดิน

เข้าไปอีกไม่กี่ร้อยเมตรก็ถึงถ้ำน้ำ ตรงนี้ไกด์จะจัดแบตเตอรี่พร้อมหลอดไฟมีสายคาด

ที่ศรีษะโดยให้หลอดไฟอยู่ตรงหน้าผากนักท่องเที่ยวพานั่งห่วงยางเข้าไปในถ้ำน้ำใช้เวลา
ครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงแล้วแต่เวลาเหมาะสม ตอนนี้ก็สนุกดี น้ำเย็น สะอาดอยู่ เหนื่อยนิดหน่อย

ผมไม่ได้ถ่ายรูปเพราะกลัวเปียกน้ำ ไปคนเดียวถ่ายรูปตัวเองขณะนั่งห่วงยางลอดถ้ำน้ำก็

ไม่ได้และเป็นภาระ นำแต่กระเป๋าเงินกับกุญแจห้องพักและกุญแจล็อคกระเป๋าเดินทางใส่

ถุงพลาสติกที่เตรียมมาจากบ้านเอง ใส่กระเป๋ากางเกงขาสั้นที่มีซิป(ทัวร์จะมีถุงกันน้ำให้

แต่ผมไม่ต้องใช้เพราะไม่เอาอะไรติดตัวไป หากใครนำผ้าเช็ดตัว หมวก แว่นกันแดด

ครีมกันแดด กล้องถ่ายรูป และอื่นๆก็ต้องใช้ถุงกันน้ำ) อ่อ...ฝรั่งบางคนกล้องถ่ายรูปกันน้ำ

เขาก็นำติดตัวไป เข้าใจว่าแพง ผมไม่มีปัญญาซื้อ

ช่วงระหว่างลอดถ้ำน้ำ ไกด์จะเข้าไปด้วยบางคน บางคนก่อไฟปิ้งบาบีคิว เพื่อเป็น

อาหารกลางวันสำหรับนักท่องเที่ยว

หลังจากเสร็จจากถ้ำน้ำก็ทานข้าวกลางวันกันที่นั่น ไกด์มากัน 6 คน ก็ช่วยกันแจกข้าวกล่อง
บาบีคิวคนละสองไม้ ขนมปังแบบฝรั่งเศส 1 ชิ้น กล้วยน้ำว้า 2 ใบ เมื่อทานเสร็จไกด์ก็เรียก

นักท่องเที่ยวบอกเราจะไปถ้ำช้างกัน ช่วงนี้เองเริ่มมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้น

เรื่องผิดปกติคือเมื่อไกด์เรียกนักท่องเที่ยวไปต่อ ผมเดินขึ้นไปก่อน ส่วนคนอื่นๆก็เก็บข้าว

ของทยอยตามมา ช่วงที่รอคนอื่นผมก็ยืนคุยกับไกด์ชาวลาว สะดุดตรงคำพูดที่ว่า

“ไกด์ : พี่มาคนเดียวหรือ กลับพรุ่งนี้หรือป่าว ค่ำนี้ค้างแถวสไลด์เดอร์เช้าเขาจะไปส่งที่พัก
ผม : มีอะไรหรือ ถึงให้ค้างที่นั่น
ไกด์ : ผู้หญิงญี่ปุ่น 4 คน ไม่มีผู้ชายมาด้วย เดี๋ยวผมจัดให้พี่หนึ่งคน (สาวญี่ปุ่นมากันสี่คน

ยังเด็กทั้งหมดเรียนหนังสืออยู่ เพราะได้ทักทายกันบ้างนิดหน่อย)
ผม : พยักหน้า แต่ไม่พูดอะไร (ในตอนนั้นรู้สึกได้ทันทีว่าผิดปกติ ไกด์มีสิทธิ มีอำนาจสั่ง

คนญี่ปุ่นได้ขนาดนั้นหรือ และ“จัดให้” ที่ว่าหมายถึงอะไร)”

พอนักท่องเที่ยวอื่นๆเดินมาถึงก็หยุดคุยกันและเดินต่อไปถ้ำช้าง ไปถึงผมก็เข้าไปไหว้พระ
ไกด์ก็อธิบายให้นักท่องเที่ยวคนอื่นฟังเกี่ยวกับพระพุทธรูปและเรื่องราวทางศาสนา ผมไหว้

พระเสร็จก็ออกมายืนฟัง

เสร็จจากถ้ำช้างไกด์ก็เรียกขึ้นรถ รถขับพากลับไปทางที่จะเข้าวังเวียงประมาณ 5 กิโลฯ

เพื่อเอาเรือคะยัคลงลำน้ำชอง ไกด์ก็อธิบายการพายเรือให้นักท่องเที่ยวฟัง แล้วก็จัดให้

นักท่องเที่ยว ใครจะพายคนเดียว ใครจะพายสองคน ช่วงนี้ไกด์จัดให้คนญี่ปุ่นหนึ่งคน

ลงเรือคะยัคไปกับผม ผมปฏิเสธบอกพายเรือไม่เป็น ขอไปกับไกด์ดีกว่า

เมื่อเรือคะยัคพายมาได้ช่วงหนึ่ง ถึงตรงกระโดดน้ำก็หยุด แวะให้นักท่องเที่ยวกระโดดน้ำ
ผมโดดไปสองหนก็สนุกเที่ยวแรก เที่ยวหลังเริ่มไม่หวาดเสียวก็เลยพอ ยืนดูดีกว่า ฝรั่ง

สนุกสนานมากกินเหล้ากินเบียร์กัน


ผมหันไป-มามองคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย หันไปเจอกลุ่มไกด์กำลังก่อไฟในเตาถ่านปิ้งปลาที่

จับในลำน้ำชองกินกับข้าวเหนียว ไกด์กวักมือเรียกผม ผมก็เดินเข้าไป ไกด์ชวนให้กินด้วย

ผมบอกอิ่มกินไม่ไหว ไกด์จึงล้วงขวดเหล้าออกมา ยี่ห้อเหล้าไม่คุ้น
เข้าใจเองว่าเป็นเหล้าท้องถิ่นของลาวชวนผมกินด้วย ผมบอกกินเหล้าไม่เป็น

ผมนั่งคุยกับไกด์ได้สักพัก เหล้าเหลือครึ่งขวด ไกด์ล้วงกระเป๋าสะพายดึงของออกมาสองซอง
ฉีกแล้วเทลงขวดเหล้?ที่เหลือครึ่งขวด (ผมเห็นแบบนั้นนึกย้อนกลับไปถึงคำพูดของไกด์ทันที
“ผู้หญิงญี่ปุ่นสวยด้วย”ตอนเพิ่งขึ้นรถในวังเวียง กับ “พี่มาคนเดียว ค่ำนี้พักที่นี่ เดี๋ยวผมจัด

คนญี่ปุ่นให้หนึ่งคน”)


ซองแบบนั้นผมเคยเห็นเมื่อตอนที่ไปแม่สายข้ามไปท่าขี้เหล็ก คนที่เคยไปคงนึกภาพ

ออกถึงคนพม่าสะพายตะกร้าห้อยคอขายไวอะกร้าและสินค้าอื่นๆ รวมทั้งซองแบบนี้ด้วย

บนซองจะมีภาพพิมพ์รูปผู้หญิง ผมบอกไกด์ปวดถ่ายเบาลุกเดินออกมา แล้วเดินไปหาที่ถ่ายเบา
ในความคิดตอนนั้นเริ่มแน่ใจแล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น นี่มันอาชญากรรมแล้ว ผมจะจัดการกับ

เหตุการณ์นี้อย่างไร



เมื่อถ่ายเบาเสร็จ ผมเดินไปดูตรงที่กระโดดน้ำ ซึ่งคนญี่ปุ่นสี่คนกระโดดน้ำแล้วมายืนอยู่แถวนั้น
ผมยืนและครุ่นคิดในใจจะเอาไงดี จะบอกคนญี่ปุ่นดีหรือไม่ ผมมายืนตรงนี้หลังจากถ่ายเบา
ประมาณไม่ถึงนาที หนึ่งคนในคณะไกด์ก็เดินมาพร้อมขวดเหล้า ผมไม่ได้หันไปมอง

ตาน่ะมองคนกระโดดน้ำ แต่หางตามองไปทั่ว สมองก็คิดเริ่มเครียด

ไกด์รินเหล้าใส่แก้วใสใบเล็กๆให้คนญี่ปุ่นกิน เขาก็กินแฮะ ชิมนิดหน่อย ไกด์กวักมือ

แสดงท่ากินให้หมด คนญี่ปุ่นก็ว่าง่ายกินหมดแก้ว จนครบ 4 คน

ผมเข้าใจว่า คนญี่ปุ่นคงนึกว่านั่นเป็นส่วนหนึ่งของบริการใน trip อาจจะประกอบกับ

อาการสนุกสนาน ตื่นเต้น เหนื่อย ระคนกันไป ที่สำคัญยังเด็กด้วย

ผมยืนอยู่ข้างๆห่างไม่เกินสองเมตรเห็นเหตุการณ์นั้น ไม่สบายใจเลย

สักพักหลังจากคนญี่ปุ่นกินเหล้าครบทั้ง 4 คน ไกด์เรียกกลับแล้ว (เร็วกว่าเวลาตาม trip

หนึ่งชั่วโมง) ระหว่างทางเดินจากที่กระโดดน้ำถึงเรือคะยัค ไกด์เดินมาคุยกับผมบอก

จะแยกกรุ๊ปทัวร์ออกเป็นสองกลุ่ม


กลุ่มแรกเขากับเพื่อนอีกคนจะพานักท่องเที่ยวพายเรือคะยัคกลับเข้าวังเวียงจบ trip แล้ว

แยกคนญี่ปุ่น 4 คนกับผมออกไปที่สไลด์เดอร์ โดยมีหนุ่มเกาหลีกับสาวกลางคืนชาวลาว

และคณะไกด์ที่เหลืออีก 4 คนอยู่ด้วย โดยไกด์บอกผมว่าไปส่งนักท่องเที่ยวกลับแล้วเดี๋ยวจะกลับมา

ตามโปรแกรมทัวร์ สไลด์เดอร์ไม่อยู่ในรายการ trip นี้ และคนที่เคยไปคงนึกภาพออก

แถวสไลด์เดอร์มีร้านขายเหล้าเบียร์มีดนตรี และละแวกนั้นมีบังกะโลหรือจะเรียกกระท่อม

เป็นหลังๆ ก็แล้วแต่จะเรียก คนไม่เยอะ ไม่เหมือนแถวกระโดดน้ำ


ระหว่างพายเรือคะยัคจากจุดกระโดดน้ำถึงสไลด์เดอร์น่าจะประมาณไม่เกิน

10 นาที ผมนั่งมาในเรือกับไกด์เหมือนเดิม
ถึงไลด์เดอร์ ไกด์พายเรือจะเข้าฝั่งส่งผม แล้วค่อยพานักท่องเที่ยวฝรั่งอื่นๆกลับวังเวียง
พอเรือใกล้ฝั่งผมหันไปบอกไกด์ผมเหนื่อยมาก เพลียและเจ็บตัวจากที่ขาผมขูดกับเตียง

นอนของที่พักเป็นแผล เมื่อโดนน้ำแล้วผมกลัวไม่สะอาดจะรีบกลับไปทำแผล
แล้วผมไม่ชอบคนญี่ปุ่นชอบคนไทยมากกว่า เขาตอบกลับมาว่าเที่ยวนี้ไม่มีคนไทย

อาทิตย์ที่แล้วสิคนไทย ผมได้ยินแบบนั้นก็ทำเฉยๆ


บอกไปอีกว่าผมกลับดีกว่า (ช่วงนั้นผมไม่ได้ใส่ใจกับเรื่องอื่น คิดอยู่แต่เรื่องจะทำอย่างไรดี เอาไงดี รวมเวลาตั้งแต่ที่แน่ใจว่าจะเกิดเหตุอะไรคือเห็นฉีกซองใส่ขวดเหล้าจนถึงสไลด์เดอร์น่าจะประมาณ

15-20 นาที ) ไกด์จึงตะโกนบอกเพื่อนให้ชวนหนุ่มอินโดฯอยู่ด้วย หนุ่มอินโดฯก็เลือกที่จะอยู่

ที่ผมตัดสินใจกลับเข้าวังเวียง นึกอยู?ว่า นี่ต่างถิ่น ไกด์ 6 คนและอาจมากกว่า ส่วนผม
คนเดียว เครื่องมือสื่อสารก็ไม่มี ผมตัดสินใจนิ่งเฉยปล่อยให้เหตุการณ์ดำเนินไปโดยที่

ไม่ได้ทำอะไร ฉีกตัวเองออกจากเหตุการณ์

เมื่อกลับถึงที่พักก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าออกมานั่งสั่งข้าวกินที่รีสอร์ท ระหว่างกินไปก็ย้อนนึกถึงเหตุการณ์ ลำดับเหตุการณ์ ยิ่งนึกก็ยิ่งไม่สบายใจ ใจอยากกลับเมืองไทยเดี๋ยวนั้น แต่ความ

จริงกลับไม่ได้หรอก ไปไม่ทันด่านปิดแน่ คืนนั้นผมนอนไม่หลับเกือบตลอดคืน ทั้งๆที่เหนื่อย

เพลีย ปวดเมื่อยไปหมด นึกถึงแต่เหตุการณ์และการตัดสินใจของตนเอง ผมยอมรับนอน

น้ำตาไหลบนที่นอน ทั้งๆที่เด็กสาวชาวญี่ปุ่นไม่เกี่ยวข้องกับผม ไม่ใช่ญาติพี่น้องผมเลย

เช้าวันรุ่งขึ้นผม หารถ minivan (รถตู้เล็กฮุนได) กลับเข้าเวียงจันทน์ เช้าวันนั้น 6 กพ.
ที่วังเวียงฝนตกหนักด้วย ถึงเวียงจันทน์ที่ตลาดเช้า ผมซื้อตั๋วขึ้นรถเที่ยวบ่ายสองกลับไทยโดยไม่แวะเที่ยวที่เวียงจันทน์แล้ว


พูดถึงระยะเวลาของเหตุการณ์สั้นๆ 15-20 นาทีตอนนั้น แต่ในความรู้สึกผมมันช่างยาวนาน

มากเหลือเกิน คิด เลือกที่จะตัดสินใจกลับไป-มาหลายตลบเสมือนหนึ่งสับสนด้วย เครียดด้วย

แล้วกับเด็กสาวชาวญี่ปุ่นทั้ง 4 คน คืนนั้นคงเป็นคืนที่ยาวนานมากกว่าผมหลายร้อยหลายพันเท่า

ตอนที่คิดกลับไป-มาหลายตลบนั้นมีหลายหนทางเหลือเกิน
-ชนเลยดีไม๊
-เลือกอยู่ต่อที่สไลด์เดอร์ดีไม๊
-เจรจากับไกด์ดีไม๊
-สุดท้ายผมตัดสินใจก่อนเรือถึงฝั่งที่สไลด์เดอร์ว่ากลับเมืองวังเวียง พร้อมทั้งนึกในใจพี่

ขอโทษด้วยที่ไม่ได้ช่วยน้องเลย ที่ผมตัดสินใจกลับวังเวียง เนื่องจากคิดว่าผมไม่ใช่ตัวละคร

ในไดฮาร์ดหรือแรมโบ้ อยู่กลางเขาสายน้ำชอง ต่างถิ่น ใกล้ค่ำแล้ว เครื่องมือสื่อสารก็ไม่มี

หากชนผมคงไม่ได้กลับเมืองไทย

อย่างหนึ่งคือ ตอนนั้นผมนึกถึงข้อความที่คุณป้อมโพสไว้ในนี้ว่า “ที่ลาวให้ระวังคนดีมากกว่าคนร้าย”

ถึงตอนนี้ผมก็ยังไม่สบายใจกับเหตุการณ์ครั้งนี้ แม้เหตุการณ์ไม่ได้เกิดผลร้ายต่อผม เพียงถูกไกด์พยายามดึงให้เข้าไปมีส่วนร่วม

ทำไมผมไม่โวยวายตรงกระโดดน้ำ ซึ่งมีนักท่องเที่ยวฝรั่งเป็นร้อยเต็มไปหมด
ทำไมผมกลับถึงเมืองวังเวียงไม่เล่าให้เจ้าของรีสอร์ตฟัง
ทำไมผมไม่ไปแจ้งความกับตำรวจลาว
ทั้งสามกรณีผมบอกได้เลยว่าตอนนั้นนึกไม่ออก


ผมไปลาวเที่ยวนี้ ตั้งใจไปไหว้พระทำบุญ ตักบาตรข้าวเหนียว แต่กลับมาด้วยความไม่สบายใจ

พบเห็นเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ ไม่รู้ว่าตัวเองไปได้บุญหรือได้บาปกลับมา ไม่รู้ว่าตนเองเลือก

หนทางถูกหรือไม่ ไม่รู้ว่าตนเองตัดสินใจถูกหรือไม่ ผมนิ่งเฉยไม่ทำอะไรทั้งๆที่คาดได้ว่าจะ

เกิดอะไรขึ้นกับเด็กสาวชาวญี่ปุ่นทั้ง

4 คน

ผมได้แต่กลับมาเตือนคนไทยด้วยกัน ไปเที่ยวลาว ผู้หญิงไปกันเอง ใช่ว่าปลอดภัย
หากแต่อันตรายมาก

กวนกวน

สวรรค์ มีวิธีจะไปถึงได้สองวิธี คือ ทำความดี กับ มี sex
เสียบอล ผู้เล่นโดนแย่งลูกไปได้ ถ้าเป็นคนดู หมายถึงแพ้พนัน
บอลแพ้ ภราดรไม่ชนะ

F4 บิดาของเด็กวัยรุ่นไทย

กระเทย เพศที่ควบคุมการเพิ่มประชากรโลกได้ดีที่สุด

แบ่งดินแดน ปกติเป็นหน้าที่ของกรมที่ดิน แต่ปัจจุบัน เป็นหน้าที่ของผู้ก่อการร้ายภาคใต้

วันแดงเดือด วันที่แมนยูเจอลิเวอร์พูล ถ้าเป็นผู้หญิงหมายความว่า เมนส์มา

หงส์ ที่อังกฤษเป็นทีมฟุตบอล ที่เมืองไทยกลับเป็นยี่ห้อเหล้า

นมบูด จะเกิดขึ้นกับบุคคลที่มีภรรยาอายุ 60 ปีขึ้นไป

ผู้ใหญ่ลี บุคคลผู้มีความสามารถทำสุกรให้เป็นหมาน้อย ทำท่อนซุงให้เป็นไม้จิ้มฟัน

ได้หน้าลืมหลัง อาการของตุ๊ดกลับใจ

หัวช้าง บางครั้งก็เล็กกว่าหัวคน ถ้าเป็นชื่อของสิว

แตกต่าง ไม่จำเป็นต้องแปลกแยก

วัว สัตว์ที่มีความจำสั้นที่สุด...ตีนของตัวเองยังจำไม่ได้

บีบสิว เปรียบเหมือนพ่อแม่ทำร้ายลูก ...แล้วตัวเองเจ็บยิ่งกว่า

ทอง ของมีค่าที่คนอยากได้... แต่จะไร้ค่าเมื่อเป็นวัยของผู้หญิง

ผายปอด ต่างจากผายลมคือ ผายปอดให้ผู้อื่นช่วย ส่วนผายลมทำเองล้วนๆ

รักแร้ สิ่งที่เด็กสมัยใหม่เห็นเป็นเครื่องเชิดหน้าชูตา

บาทเดียว ถ้าเป็นดีแทคโทรได้ทั่วไทย ถ้าเป็นพระ(บาตรเดียว)บิณฑ์ได้ทั่วโลก

สิทธิสตรี เครื่องมือทลายกำแพงทุกอย่าง แม้กระทั่งคำสอนในศาสนา

ลิขสิทธิ์ สิ่งที่บ่งบอกให้รู้ว่า “กูนี่แหละ เป็นเจ้าของ”

สวด ถ้าคนทั่วไปหมายถึงด่า..ถ้าเป็นพระทำแล้ว...โยมถวายปัจจัย

ขายตัว 1 จริงๆ แล้วขายเพียงบางส่วน

ขายตัว 2 ถ้าเป็นคนจนเรียก กะหรี่ ..ถ้าเป็นคนรวย คือ นักการเมือง

ขาประจำ สำหรับทักษิณแล้วหมายถึง พวกที่ชอบวิจารณ์รัฐบาลในทางไม่ดี

ตู้เย็น เครื่องทำความเย็น ปัจจุบันใช้เป็นกำบังหลบกระสุนตำรวจ

ห่า โรคร้ายแรงชนิดหนึ่ง สมัยก่อนสัตว์เป็นพาหะนำเชื้อ...ปัจจุบันออกจากพาหะคือปากคนล้วนๆ

ก้น อวัยวะมีไว้สำหรับนั่ง ส่วนตูดมีไว้สำหรับขี้

เหินฟ้า การทะยานไปในอากาศ สำหรับเบคแฮม คือ การยิงลูกโทษ

ชัยชนะ เกิดขึ้นได้จากการพ่ายแพ้ของฝ่ายตรงข้าม

โล่งอก สำหรับผู้หญิง คือการเอาซิลิโคนออกจากนม

ขอบอก มาจากคำว่า ขอร้อง อยากบอก

ไข่ดาว หาได้จากหน้าอกของผู้หญิงบางคน

หนู สัตว์ชนิดหนึ่งที่ผู้หญิงเกลียด แต่เมื่อเอามาเรียกตัวเองกลับชอบ

ฟุตบอล คล้ายกับเมีย คือ หลังจากได้ครอบครองแล้วก็ต้องเขี่ยมันออกไป

กองหลัง ผู้ที่เล่นตำแหน่งนี้ได้ดีที่สุดคือ ตุ๊ด

ชิป วัตถุอิเล็กทรอนิคชนิดหนึ่ง ...ถ้าหาไม่เจอเรียกว่า ชิบหาย

ฉลาม สัตว์ที่ไม่อยากเกิดมามีหู

ปอด อวัยวะที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับบุหรี่

งานศพ งานที่เจ้าตัวไม่เคยออกมาต้อนรับแขกเลย

ประทับใจ ความรู้สึก

ขนมไหว้พระจันทร์

Subject: Fw: ขนมไหว้พระจันทร์




ความเป็นมาของขนมไหว้พระจันทร์
วันไหว้พระจันทร์
วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 ของทุกปี เป็นวันไหว้พระจันทร์ของชาวจีน
ภาษาจีนเรียกวันไหว้พระจันทร์ว่า" จงชิว " ที่มาของคำว่าจงชิวนี้คือ เดือนแปดตามปฏิทิน
จันทรคติตกอยู่ช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วง (เดือนเจ็ดและเดือนแปดอยู่ในฤดูใบไม้ร่วง หนึ่งฤดูแบ่งเป็น เมิ่ง
จ้ง จี้ ) ดังนั้นก็เลยเรียกว่า " จ้งชิว " ประกอบกับวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนแปดก็ตกอยู่ในช่วงกลางของ
เวลาที่เรียกว่าจ้ง ชิวนี้ จึงเรียกเทศกาลดังกล่าวว่า" จงชิว " ด้วย
ในคืนวันไหว้พระจันทร์ ดวงจันทร์สว่างและกลม ถือว่าสวยที่สุด ผู้คนถือว่าดวงจันทร์ที่กลม
เป็นเสมือนสัญลักษณ์ของความสามัคคี ดังนั้นจึงเรียกเทศกาลนี้ว่า " เทศกาลแห่งความกลมเกลียว "
เทศกาลไหว้พระจันทร์เป็นเทศกาลดี เป็นเทศกาลที่มีความเกี่ยวข้องกับตำนาน เรื่องดวง
จันทร์ของชาวจีนอย่างแนบแน่น เช่นเรื่อง " ฉังเอ๋อเหินสู่ดวงจันทร์ " ถือว่าเป็นเรื่องที่มีชื่อเสียงมาก

วันไหว้พระจันทร์ เป็นการไหว้ครั้งที่ 6 ของปี เรียกการไหว้ครั้งนี้ว่า "ตงชิวโจ่ย" การ
ไหว้พระจันทร์ของคนจีน เป็นที่รู้จักกันดีกว่าเทศกาลไหว้อื่นๆ เพราะมีเรื่องราวที่น่าสนใจ เป็นการไหว้
เจ้าแม่กวนอิม และมีของไหว้ที่เป็นแบบเฉพาะ เช่นมีขนมไหว้พระจันทร์ มีต้นอ้อย โคมไฟ เทศกาลนี้เป็น
อุบายในการปลดแอกชาติจีน ออกจากการปกครองของพวกมองโกล
วันไหว้พระจันทร์ ถือเป็นวันสารท เพราะตรงกับวันกลางเดือน คือวันที่ 15 ถ้าเป็นตรุษจะ
เป็นวันที่ 1 ของเดือน ตรงกับวันที่ 15 เดือน 8 ของจีน และถือเป็นวันกลางเดือนของเดือน กลางฤดู
ใบไม้ร่วง ด้วยว่าประเทศจีนนั้นแบ่งวันเวลา เป็น 4 ฤดูกาล ฤดูหนึ่งมี 3 ดวง คือ ชุง แห่ ชิว ตัง คือ
ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูฝน ฤดูใบไม้ร่วง ฤดูหนาว ตามมลำดับ

ตำนานวันไหว้พระจันทร์
ขนมที่ทำมาเป็นพิเศษในเทศกาลไหว้พระจันทร์นี้ก็คือ ขนมเปี๊ยก้อนใหญ่พิเศษ ไส้หนา มีขนม
โก๋สีขาว ขนมโก๋สอดไส้ ขนมโก๋สีเหล์อง เมื่อไหว้เสร็จก็แบ่งกันรับประทานในครอบครัว
เรื่อง " ฉังเอ๋อเหินสู่ดวงจันทร์ " ปรากฎเป็นครั้งแรกในยุคต้นของสมัยจั้นกว๋อ ( สมัยสงครามระหว่าง
รัฐ ) เล่าเรื่องราวของฉังเอ๋อที่ได้กินยาอายุวัฒนะของเจ้าแม่ซีหวังหมู่ แล้วไปเป็นเทวีแห่งดวงจันทร์
เมื่อถึงสมัยราชวงศ์สุยและถัง เนื่องจากผู้คนในสมัยนั้นมีความนิยมที่จะชื่นชมดวงจันทร์ว่าสวยและดูน่ารัก
ใคร่ ดังนั้นทัศนะที่มีต่อฉังเอ๋อผู้ซึ่งอาศัยอยู่บนดวงจันทร์ว่าเป็นผู้ที่อ่อน หวาน สวยงาม ฉลาด มีจิตใจดี
งาม มีความสามารถในการร้องรำ เป็นต้น มีตำนานอีกเรื่องที่เล่าถึงเทวีแห่งดวงจันทร์ว่า สมัยโบราณ
นานมาแล้ว โลกเรานี้มิได้มีดวงอาทิตย์เพียงแค่ดวงเดียวเท่านั้น แต่มีถึงสิบดวง นำมาซึ่งภัยพิบัติแต่โลก
มนุษย์ ทำให้โลกร้อนระบุเป็นเพลิง ส่วนที่เป็นน้ำก็เหือดแห้งไป ภูเขาถล่มแผ่นดินแยก ต้นไม้ใบหญ้าแห้ง
กรอบ ผู้คนไม่มีที่จะไปหลบซ่อนอาศัย ในช่วงนี้เองได้ปรากฎวีรบุรุษคนหนึ่งชื่อ" โฮ่วอี้ " เป็นผู้ที่มีฝีมือใน
การยิงธนูได้อย่างมหัศจรรย์มาก เขาได้ยิงธนูขึ้นสู่ฟ้า เพียงดอกเดียวก็ยิงถูกดวงอาทิตย์ตกลงมาถึงเก้า
ดวง เหลืออยู่เพียงแค่ดวงเดียว ถือเป็นการขจัดทุกเข็ญให้กับบรรดาประชาชน ผู้คนจึงพากันยกย่องให้
เขาเป็นกษัตริย์ แต่ทว่า พอเขาได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ เขาก็ลุ่มหลงในสุราและนารี ฆ่าฟันผู้คนตามอำเภอใจ
กลายเป็นทรราช ราษฎรล้วนแต่โกรธแค้นและชิงชังเขาเป็นที่สุด โฮ่วอี้รู้ตัวว่าตัวเองคงจะอยู่เป็นสุขเช่น
นี้ไปได้อีกไม่นาน จึงเดินทางไปที่ภูเขาคุนหลุน ( คุนลุ้น ) เพื่อขอยาอายุวัฒนะจากเจ้าแม่หวังหมู่มากิน
แต่ฉังเอ๋อ ภรรยาของเขากลัวว่าถ้าสามีของเธอมีอายุยืนนานโดยไม่มีวันตายเช่นนี้ ก็จะเข่นฆ่าราษฎรต่อ
ไปเรื่อยๆ ดังนั้นเธอเลยตัดสินใจกินยาอายุวัฒนะนั้นเสียเอง แต่พอกินเข้าไป ในฉับพลันทันใด ร่างของ
เธอก็เบาแล้วก็ลอยขึ้นไปสู่ดวงจันทร์ ยังมีนิทานอีกเรื่องเล่าว่า ศิษย์ของโฮ่วอี้ชื่อ" เฝิงเหมิ่ง " อิจฉาฝี
มือการยิงธนูของโฮ่วอี้มาก คอยคิดแต่จะสังหารโฮ่วอี้ อยู่มาวันหนึ่ง เฝิงเหมิ่งถือโอกาสตอนที่โฮ่วอี้ออก
ไปล่าสัตว์บังคับให้ฉังเอ๋อ ภรรยาของโฮ่วอี้มอบยาอายุวัฒนะให้แก่ตนเอง แต่ฉังเอ๋อไม่ยอม โดยกินยา
อายุวัฒนะที่มีอยู่ทั้งหมดลงท้องไป ผลก็คือ ร่างของเธอเบา และลอยขึ้นไปสู่ดวงจันทร์ในที่สุด นับแต่นั้นมา
บนดวงจันทร์ก็ปรากฎนางฟ้าผู้งดงามและจิตใจดีเช่นฉังเอ๋อนี้
เนื่องจากตำนานเรื่องต่างๆที่เล่าขานเกี่ยวกับดวงจันทร์ทั้ง หลายนี้ ดังนั้นนับแต่สมัยโบราณ
เป็นต้นมา ผู้คนก็จะมีประเพณีการชมและบูชาดวงจันทร์ จักรพรรดิถือความนิยมในการบูชาพระอาทิตย์ใน
ฤดูใบไม้ผลิ และบูชาพระจันทร์ในฤดูใบไม้ร่วง พวกราษฎรก็มีประเพณีการบูชาพระจันทร์ในฤดูใบไม้ร่วง
ด้วยเช่นกัน ในการบูชาพระจันทร์นั้น ตามปกติพิธีจะเริ่มหลังจากที่ดวงจันทร์ขึ้นแล้ว บางท้องที่สิ่งที่นำมา
บูชาดวงจันทร์ได้แก่ขนมไหว้พระจันทร์ ผลไม้ ถั่ว ดอกหงอนไก่ หัวไชเท้า รากบัว เป็นต้น ในขณะที่ทำ
การบูชาดวงจันทร์นั้น เนื่องจากดวงจันทร์อยู่ธาตุหยิน ก็มักจะให้ผู้หญิงไหว้ก่อน แล้วถึงให้ผู้ชายไหว้ และ
ก็ยังถึงกับมีความนิยมที่ว่าผู้ชายจะไม่ไหว้พระจันทร์อีกด้วย หลังจากไหว้พระจันทร์เสร็จแล้ว คนใน
ครอบครัวก็จะร่วมกันดื่มสุราแห่งความกลมเกลียว และกินข้าวชมจันทร์ วันนี้ผู้หญิงที่กลับบ้านแม่ไปเยี่ยม
ญาติก็ยังต้องกลับบ้านมาเพื่อความกลม เกลียว
ในฐานะที่ขนมไหว้พระจันทร์เป็นสิ่งของสำคัญในการบูชาดวง จันทร์ หลังจากการบูชาจบลง
คนทั้งบ้านก็จะแบ่งกันกิน เนื่องจากขนมไหว้พระจันทร์เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความกลมเกลียว สะท้อนให้
เห็นความหวังอันงดงามของผู้คนที่มีต่อชีวิตในอนาคตของพวกตน ดังนั้นบางที่ก็จะเรียก ขนมไหว้พระจันทร์
ว่า " ขนมแห่งความกลมเกลียว "
ตามที่เล่าขานสืบต่อกันมานั้น ขนมไหว้พระจันทร์ปรากฎขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง ครั้นถึง
ราชวงศ์ซ่ง ( ซ้อง ) ก็ยิ่งเป็นที่นิยมมากยิ่งขึ้น ขนมไหว้พระจันทร์นั้นไม่เพียงแต่เป็นขนมที่สืบทอดกันมา
โดยถือว่าเป็นผลิตผล จากสี่ฤดูกาลเท่านั้น ในด้านการทำ รสชาติก็ยังแตกต่างกันไปในแต่ละถิ่นที่ด้วย
เช่นขนมไหว้พระจันทร์แบบซูโจว ขนมไหว้พระจันทร์แบบกว่างตง ( กวางตุ้ง ) ขนมไหว้พระจันทร์
แบบเป่ยจิง ( ปักกิ่ง ) ขนมไหว้พระจันทร์แบบหนิงโป ขนมไหว้พระจันทร์แบบเฉาซาน ( แต้จิ๋ว-
ซัวเถา ) ขนมไหว้พระจันทร์แบบหยุนหนาน ( ยูนนาน ) แม้แต่ในท้องถิ่นเดียวกัน ก็ยังมีการทำไส้ขนมที่
ต่างกัน ลวดลายขนผิวขนมก็ต่างกัน และก็เรียกชื่อต่างกันไป เช่น ไส้ผลไม้ ไส้ถั่วแดง ไส้ลูกบัว ไส้แฮม
ไส้ไข่เค็ม เป็นต้น

อยากให้อ่านคนขับรถ หรือ นั่งรถไปด้วยกัน ..ห่วงเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ จริง ๆ...เตือน หมากฝรั่ง และ ไข่ไก่‏

Subject: FW: อยากให้อ่านคนขับรถ หรือ นั่งรถไปด้วยกัน ..ห่วงเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ จริง ๆ...เตือน หมากฝรั่ง และ ไข่ไก่


อ่านหน่อยมีประโยชน์มากโดยเฉพาะขับรถตอนกลางคืนคนเดียว.....

---------- Forwarded message ----------
ผมเจอกับตัวเองเมื่อวันที่ 26ก.ค วันอาสาฬหบูชา นี้เองที่สะพานพระราม 5 ฝั่งบางกรวย จอดที่หน้าร้านก๊วยเตี๋ยวเรือใกล้กับร้านขายเฟอร์นิเจอร์ concept มันใช้หมากฝรังชนิดนิ้มเหนียว ทิ้งไว้ที่กระจกกับที่ปัดน้ำฝนพอโดนความร้อนจะละลายติดกระจก ก่อนออกรถไม่สังเกตุ ผมขับออกไปเลยไฟแดงไปแล้วจอดทำความสะอาดริมถนนครู่เดียวมันมาสองคันเลย มีทั้งรถเก็งและรถกระบะ มาสังเกตการณ์ หาโอกาสลงมือแต่บริเวณนั้นรถมากไม่สะดวก ประกอบกับผมเห็นผิดปกติ
จึงหยุดทำความสะอาด และรีบขับออกจากบริเวณนั้นไป มันยังขับตามอีก ผมวนดูพฤติกรรม ของแก๊งนี้มันจะวางหมากฝรั่งและคอยเก็บเหยื่อวนอยู่บริเวณนั้นอยู่หลายเที่ยวเตือนเพื่อนๆให้ระวัง ถ้าเห็นมีหมากฝรั่งทิ้งไว้ที่หน้ากระจกอย่าทำความสะอาดในที่ปลอดคน อาจจะโดนมิฉฉาชีพพวกนี้ลงมือได้
สำหรับคนขับรถ และคนที่ไม่ขับเองก็เก็บไว้เตือนคนขับจ้า...เพื่อทราบ และโปรดระมัดระวัง

ถ้าคุณขับรถกลางคืน แล้วโดนปาหน้ารถด้วย "ไข่"(ไข่จริงๆ ไม่ได้มุข) อย่า........ฉีดน้ำ และปัดกระจกเป็น อันขาด!! เพราะเมื่อไข่ผสมกับน้ำแล้วกลายเป็นคราบเหนียว บดบังทัศนวิสัยของคุณ ได้ถึง 92.5%
นั่นหมายถึง คุณจะถูกบีบบังคับให้ต้องจอดรถข้างทาง (ก็มันมองไม่เห็น ก็ต้องหยุดก่อน) ดีไม่ดีคุณก็จะลงไปเช็ดกระจกอีกต่างหาก ซึ่งจังหวะนั้นเองที่ คุณจะกลายเป็นเหยื่อไข่ของมิจฉาชีพทันที
นี่เป็นยุทธวิธีใหม่ของโจรบนท้อง ถนน


โปรดส่งเตือนญาติ มิตร เพื่อนฝูงของคุณ...ที่คุณรักและห่วงใยเขาด้วย

หมาขี้เรื้อนเปลี่ยนคนใจดำ? ( อ่านแล้วน้ำตาคลอ )‏

Subject: Fw: หมาขี้เรื้อนเปลี่ยนคนใจดำ? ( อ่านแล้วน้ำตาคลอ )




เรื่องจริงที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เอง
หมาขี้เรื้อน เปลื่ยนคนใจดำ

เรื่อง มีอยู่ว่า.. พี่ชิตแกเป็นคนใจดำครับ ชอบยิงนกตกปลาไปเรื่อย แต่ที่หนักก็คงเป็นเนื้อหมา แกกินแหลกครับแต่ แม่แกบอกมันบาปนะลูก(ไม่สนโว้ย)เมื่อราว 15 ปีก่อน มีเหตุการณ์ที่ทำให้แกเปลี่ยนไป ครั้งนั้นมีหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งครับมันมักวิ่งไปหาของกินแถวๆบ้านแกบ่อย เพราะบ้านแกติดตลาด พี่แกกินหมาอยู่บ่อยๆแต่ กรณีหมาขี้เรื้อนแกบอก ' กินไม่ ลงว่ะ ' แกทำอย่างเดียวคือไล่ฆ่า แต่มันรอดได้ทุกครั้ง (สงสัยมีของ) มันไปหาของกินบางทีก็ได้บางทีก็ไม่ได้ คราวนั้นเนื้อแห้งที่แกตากไว้หายไป

พอมองไปก็เห็นแม่หมาขี้เรื้อนวิ่งหลุนๆไปแกเดือดทันทีครับวิ่งตามไป คราวนี้ทันครับเพราะหมาขี้เรื้อนวิ่งช้ามาก
แกทุบไปทีเดียวหมานั่นล้มลงชักทันที (แกบอกว่าหากตีตรงจุด แค่ใช้ไม้บรรทัดก็ตาย)แกทิ้งไว้ตรงนั้นไม่อยากจับแต่จะทำกินตรงนั้น จึงกลับบ้านไปเตรียมของ(แค้นจัดอยากกินหมาขี้เรื้อน) ให้ผมเฝ้าไว้ ผม ก็มัวแต่เก็บตะขบจนลืมดู (ในใจอยากให้มันรีบไปจะได้ไม่ตาย) มันไปจริงครับหายวับไป พี่ชิตแกโกรธมากคงอยากเตะผมเต็มแก่ แต่ลุงผม แกเป็นนักเลงใหญ่และเป็นคนสอนวิธีฆ่าหมาให้ ก็ต้องวิ่งตามอย่างเดียวพร้อม บ่น ' ทำไมมันไม่ตายวะ '

พักหนึ่งก็ได้ยินเสียงหมาเห่าแกตามทันทีพอไปถึง ภาพที่เห็น ..............................................
หมาขี้เรื้อนกำลังจะตายมันมีลูกที่ต้องเลี้ยง 5 ตัวครับ วัยกำลังหย่านมบางตัวยังกินนมอยู่ บางตัวก็วิ่งไปคาบเนื้อที่แม่หมาขี้เรื้อนคาบไปฝาก(เห็นกับตา) ที่มันยังไม่ยอมตายเพราะต้องกลับไปให้นมลูก แม้น้ำนมแห้งกรัง เอาอาหารไปให้ลูกมัน เรียกลูกๆเพื่อให้นม ให้อาหารเป็นครั้งสุดท้าย
แม่หมาพยายามอย่างดี ที่สุด

มันมองผมกับพี่ชิตอย่างขอร้อง ขอให้มัน ให้นมลูกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตาย
ไม่อยากเชื่อนั่นคือน้ำตาของหมาขี้เรื้อน มันแค่ต้องการให้นมลูกก่อนตาย พี่ชิตไม้หล่นลงกับพื้น เดินเข้าไปดูแม่หมานั่น ในยามนั้นสิ่งที่แกเห็นไม่ใช่หมาขี้เรื้อน
แต่แกเห็นแม่ที่ยิ่งใหญ่ที่ทนเจ็บกลับไปหาลูก แกไม่พูดอะไรทุกอย่างจุกอยู่ที่ลำคอ สายตาอ่อนโยนลง

ลูกหมาตัวหนึ่งวิ่งไปหาแกกระดิกหางให้ แกอุ้มลูกหมาขึ้นพร้อมพูดว่า ' ขอโทษ ' พูดได้แค่นั้นแม่หมาก็ตาย เราช่วยกันฝังแม่หมา แกรับเลี้ยงหมานั่นไว้ ทั้ง5ตัวตั้งแต่นั้นแกกลายเป็นคนใจดีไม่ไล่ยิงนกยิงหมายิงแมวอีกแกบอก ' มันอาจมี ลูกรออยู่ก็ใด้ '

เมื่อ 12 สิงหา 2 ปีที่แล้ว แกเอามะลิร้อยเป็นพวงไปให้แม่ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยทำ พูดกับแม่ว่า ' แม่ตอนผมอายุ16 แม่สอนผมยังไงนะสอนอีกหนใด้ไหมครับ '
แม่แกน้ำตาคลอพูดไม่ออก

ไม่อยากเชื่อแม่หมาขี้เรื้อนตายไป 1 ตัว
กลับทำให้คนใจดำอย่างแกเปลี่ยนไปขนาดนี้.....รักแม่

ใกล้ถึงวันแม่แล้วนะครับ หาสิ่งดีๆไปหาและกราบท่านบ้างนะครับ รักท่านตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นะครับ อย่าไปรักท่านตอนที่ท่านไม่ได้มีชีวิตอยู่ในโลกนี้นะครับ......ผมรักแม่มากๆนะครับ

ชามเก่าและอาม่า‏

+++ อ่านกี่ครั้งก้อรู้สึกดี......

ครั้งหนึ่ง มีบ้านหลังหนึ่งมีสามี ภรรยา ลูกชาย และอาม่าแก่ๆคนหนึ่ง
อาม่าแก่มากและไม่แข็งแรง มีอาการมือสั่นตลอดเวลา

ทำให้ถือของลำบาก โดยเฉพาะเวลาทานข้าวร่วมกับครอบครัว

อาม่าจะถือชามข้าวได้ลำบากและทำข้าวหกลงบนโต๊ะตลอดเวลา

ลูกสะใภ้อาม่าก็รู้สึกหงุดหงิดและรำคาญกับเรื่องนี้มาก จึงปรึกษากับสามีว่า

นางทนไม่ได้ที่เห็นอาม่าทานข้าวหกเลอะเทอะเกลื่อนโต๊ะ มันทำให้นาง

กินข้าวไม่ลง สามีก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเขาไม่สามารถ

หาวิธีทำให้มืออาม่าหายสั่นได้

จากนั้น ไม่กี่วัน

ลูกสะใภ้ก็พูดกับสามีเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกว่า

จะไม่แก้ไขอะไรเลยหรือ นางทนไม่ได้แล้ว

หลังจากโต้เถียงกันไปสักพัก

สามีก็ยอมแก้ไขตามคำแนะนำของภรรยา นั่นคือ

เมื่อถึงเวลาทานข้าว เขาก็จัดโต๊ะให้แม่นั่งแยกต่างหาก

ตามลำพังคนเดียว โดยใช้ถ้วยข้าวราคาถูก ๆ บิ่น ๆ

เพราะอาม่าชอบทำถ้วยแตกบ่อย ๆ

เมื่อถึงเวลาทานข้าว อาม่าเศร้าใจมาก

เพราะอาม่าก็ไม่มีปัญญาจะแก้ไขอะไรได้

นางนึกถึงอดีตที่นางเคยเลี้ยงดูลูกชายด้วยความรักเสมอมา

นางไม่เคยปริปากบ่น หรือย่อท้อต่อความเหนื่อยยาก

เวลาที่ลูกชายเจ็บไข้ นางก็ดูแลเขาเป็นอย่างดี

เวลาที่เขามีปัญหา นางก็ช่วยแก้ไขทุกครั้ง

สภาพร่างกายของนางที่ทรุดโทรมเป็นที่รำคาญของลูกสะใภ้ในวันนี้

ก็คือผลจากการอดทน ตรากตรำทำงานหนักมาเป็นเวลายาวนานในวันก่อน ๆ

เพื่อให้ลูกชาย..หรือสามีของลูกสะใภ้ในวันนี้ได้เล่าเรียน..

มีความรู้..มีอาชีพการงานที่ทำให้ลูกเมียอยู่สุขสบาย

แต่ตอนนี้อาม่าเสียใจมาก..รู้สึกว่า..ตัวเองไร้ค่า..ถูกทอดทิ้ง

หลายวันผ่านไป..

อาม่ายังคงเศร้าสร้อย รอยยิ้มเริ่มจางหายจากใบหน้า

หลานชายตัวน้อยของอาม่าซึ่งเฝ้าจับตาทุกอย่างมาโดยตลอด

ก็เข้าไปปลอบใจและบอกคุณย่าว่า เขารู้ว่า..

คุณย่าเสียใจมากแค่ไหน ที่ถูกพ่อแม่ของเขาปฏิบัติต่อท่านเช่นนี้

และเขาก็บอกท่านว่า เขามีวิธีที่จะให้อาม่าได้กลับ

ไปทานข้าวร่วมกับทุกคนได้เหมือนเดิม

ความหวังเริ่มเบ่งบานขึ้นในหัวใจของหญิงชรา

นางถามหลานชายว่าจะทำอย่างไร

เด็กน้อยได้แต่ตอบเพียงว่า " เย็นนี้ขอให้คุณย่าแกล้งทำชามข้าว

ของคุณย่าตกให้มันแตก..เหมือนกับไม่ได้ตั้งใจนะครับ"

อาม่าได้ฟังก็แสนจะแปลกใจ

แต่หลานชายตัวน้อยก็คงยืนกรานให้คุณย่าทำตามที่เขาบอก

และบอกว่าที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าทีของเขาเอง

และแล้ว..เมื่อได้เวลาอาหารเย็น

หญิงชราก็ตัดสินใจลองทำตามที่หลานพูด เพื่อจะดูว่า

หลานชายมีแผนการอะไร นางจึงยกถ้วยข้าวใบเก่าที่เต็มไปด้วยรอยบิ่นขึ้น

แล้วแกล้งปล่อยลงบนพื้น เหมือนกับทำหลุดมือ

ถ้วยข้าวเก่าใบนั้นหล่นแตกกระจายไม่มีชิ้นดี!!!!!

ลูกสะใภ้เห็นดังนั้น ก็ลุกขึ้น เตรียมจะด่าว่าอาม่าทันที

แต่แล้ว..ลูกชายตัวน้อยของเธอ กลับรีบชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า

" ว้า..คุณย่าทำไมทำชามแตกซะเละหมดล่ะครับ

นี่ผมอุตส่าห์ตั้งใจไว้ว่า..จะเก็บชามใบนี้ไว้ให้คุณแม่ผมใช้ต่อ

แล้วเนี่ยผมจะเอาชามเก่าที่ไหนมาให้คุณแม่ผมใช้

ตอนแกแก่เท่าคุณย่าล่ะครับ ??"

ลูกสะใภ้เมื่อได้ยินลูกชายพูดเช่นนี้ก็ถึงกับอึ้งงงงง....หน้าซีด ด่าไม่ออกอีกต่อไป

นางรู้สึกได้ทันทีว่า...ทุกสิ่งที่นางทำลงไปในวันนี้ย่อมจะเป็นตัวอย่าง

ให้ลูกชายของนางปฏิบัติต่อนางในวันหน้าเมื่อนางแก่ตัวลงเช่นกัน

นางรู้สึกอับอายและสำนึกผิดต่อการกระทำของตัวเอง

ตั้งแต่นั้นมา ทุกคนในบ้านก็นั่งทานข้าวร่วมกันตลอดมา.

กบฟุ้งซ่าน....ข้างกำแพงวัด

กบฟุ้งซ่าน....ข้างกำแพงวัด


กบฟุ้งซ่านตัวหนึ่งนั่งอยู่ข้างกำแพงวัดทุกเช้ามันเฝ้าดูพระออกบิณฑบาตตั้งแต่เช้ามืด พอพระกับมาถึงวัดเพื่อฉันเช้า...กบมันนึกในใจ อยากเกิดเป็นพระเป็นพระสบายดี มีคนถวายอาหารให้กินทุกวันเมื่อพระฉันเสร็จก็นำอาหารที่เหลือมากมายนั้นไปให้เด็กวัดกินต่อแล้วเด็กวัดก็กินกันอย่างเอร็จอร่อยตอนนี้

กบเปลี่ยนใจ อยากเกิดเป็นเด็กวัดแล้ว เพราะสบายกว่าพระ มันเห็นเด็กวัดหลายคนตื่นสายได้ และไม่ต้องออกตามพระไปบิณฑบาตก็ได้ สบายกว่าเยอะเลย เมื่อเด็กวัดกันเสร็จก็โกยอาหารที่เหลือทั้งหมดให้หมาวัดไปกินแล้วเด็กวัดทุกคนก็ไปช่วยกันล้างจานถึงตอนนี้กบเปลี่ยน! ! ใจ

อยากเกิดเป็นหมาวัดแล้ว เพราะไม่ต้องล้างจานเหมือนเด็กวัดสบายว่า.....พอหมาวัดกินอาหารเสร็จก็แยกย้ายไปทำหน้าที่เฝ้าบริเวณวัดคอยเห่าคนแปลกหน้า ฝู่งแมลงวันก็บินมาตอมและกินอาหารต่อจากหมาวัด ถึงตอนนี้ กบเปลี่ยนใจอีกแล้ว

อยากเกิดเป็นแมลงวัน เพราะสบายที่สุด ไม่ต้องทำอะไรเลยหนำซ้ำ ยังมีกองอาหารให้กินไม่มีหมดด้วย ขณะที่เจ้ากบฟุ้งซ่านกำลังคิดเพลินๆ อยู่นั้นพอดีหันมาเห็นแมลงวันบินมาใกล้ๆจึงใช้ลิ้นตวัดเอาแมลงวันเข้าปากตัวเองโดยสัญชาตญาณถึงตอนนี้


กบฟุ้งซ่านจึงบรรลุธรรมฉับพลัน ( Sudden knowledge)
คิดได้ว่า เอ้อ! เป็นตัวของเราเองนี้แหละ ดีที่สุดเลย(The best to be yourself)
จงเชื่อมั่นในตัวเอง (! ! Be yourself)

Warning!! : เรื่องเล่า วันแม่‏

สิ่งที่จะเล่าให้ฟังต่อจากนี้ เป็นเรื่องที่น่าระทึก ที่เกิดขึ้นกับตัวเองครับ เชิญติดตามได้เลยครับ
เมื่อคืนวันพุธ หลังจากได้นัดหมายแผนการทำงานกับทีมงาน และ แยกย้ายกันกลับบ้าน ตัวผมแวะเลยไปส่งแฟนกลับบ้าน แล้วออกจากบ้านแฟนมาเวลาประมาณ 4 ทุ่ม
ขณะกลับรถใต้สะพานลอย แถวพัฒนาการ-เทิดไท มุงสู่ถนนเพชรเกษม-ราชพฤกษ์ เพื่อกลับบ้านบางใหญ่
กลับรถ ตั้งลำสู่ทางตรง ยังไม่ทันเร่งความเร็วเลย มีรถมอเตอร์ไซค์ ชะลอมาปาดหน้า จอดรถขวาง ชายคนหลังไม่สวมหมวกกันน๊อค เห็นหน้าได้ชัดเจน เดินส่ายตรงมาที่รถผม
“ ซวยแล้วกรู “ ความนึกคิดแบบนี้ ออกมาทันที แล้วยื่นมือไป กด ล๊อคประตูทันที
เหลือบสายตาไปที่กระจกมองหลัง มีรถยนต์จอดต่อท้ายอย่างใกล้ชิด ข่างประหลาดใจยิ่งนัก
“ มรึงแน่นักเหรอ ขับรถปาดหน้ากรู มรึงลงมาเลย “ ว่าแล้วก็กระชากประตู
เหอะๆๆๆ มุกหมาๆ ดีนะที่รู้ทันล๊อคประตูไว้ก่อน ผม แง้มกระจกลงนิดหน่อย แล้วถามว่า
“ ผมปาดคุณที่ไหนเหรอ ถนนมีช่องเดียวมาตลอดทาง “
“ มรึงไม่ต้องพูดมาก ลงมาพูดกับกรูให้รู้เรื่อง นักเลงมากนะมรึงเนีย “ สุภาพชนตะโกนมา พร้อมกระชากประตูรถอีกที
แล้วถอยหลังไปหน่อย ถลกชายเสื้อ เพื่อจะคว้าปืนที่เอว
“ มรึงท่าจะบ้านะ “ คือคำตอบสุดท้ายที่ผมสนทนาด้วย แล้วปิดกระจก
เหยียบเบรก เหยียบคันเร่งเต็มที่ มอเตอร์ไซค์ที่ขวางหน้า เหมือนรู้ตัว คนขับเริ่มขยับรถออกด้านซ้าย แล้วผมก็เคลื่อนออกมาอย่างช้าๆ เมิ่อขับผ่านมอเตอร์ไซค์ ก็เหลือบมองกระจกมองหลัง แล้วก็ขับรถกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย
ภาพที่ผมเห็นในกระจกมองหลังคือ แทนที่สุภาพชน จะวิ่งตามมาขึ้นรถมอเตอร์ไซค์ ตามหาเรื่องผมต่อ กลับยืนคุยกับรถคันหลัง
ผมสรุปได้เลยว่า มันวางแผนมาปล้นครับ
1. ด้วยที่ผมกำลังครุ่นคิดอยู่กับแผนงาน ผมรู้ตัวดีว่า ผมขับรถช้ากว่าปกติ ไม่มีทางปาดหน้าใครแน่นอน ให้แซงตลอด อีกทั้งเป็นถนนเลนดียว เพื่อมุ่งสู่ที่กลับรถใต้สะพาน ( เขาอาจจะคิดว่า คนขับเป็นผู้หญิง เหยื่อที่หมายตาเนื่องจากมองจากระยะไกล เพราะผมขับช้าตราเต่าจริงๆ )
2. เมื่อเพิ่งกลับรถ รถย่อมยังไม่มีความเร็ว เหมาะกับการปาดหน้าแล้วจอดขวาง เพราะรถจะเบรกทัน เขายังมีความปลอดภัย ลงมาเดินส่ายได้ต่อ
3. รถที่ตามประกบหลัง มีประโยชน์มาก คือ
3.1 หลอกลวงให้หลงผิด นึกว่ามีคนช่วย มีคนรู้เห็น
3.2 หากเขาสามารถเปิดประตูรถผมได้ คนในรถคันหลัง คงจะย้ายมารถผมแน่นอน
3.3 เขาจอดปิดท้ายผม ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะถอยหลังหนี หรือ เพิ่มระยะทางเร่งความเร็วพุ่งชนได้เลย
4. บ้านเมืองนี้ คนพกปืนขี่รถจักรยานยนต์กันเกลื่อนเมืองขนาดนั้นกันเลยหรือ มีปัญหา( ที่สร้างขึ้นมาเอง ) นิดหน่อย ปืนพร้อมใช้งานทันที
5. ผมคงไม่ใช่เป้าหมายโดยตรง ทำงานอาจจะยากขึ้นหน่อย ไม่เสี่ยง เลยปล่อยผมออกมาอย่างลอยนวล
ที่บรรยายมานี้ เป็นเรื่องจริงที่เกิดกับตัวผม โดยที่ไม่คาดว่าจะเกิดขึ้นบนท้องถนนในตัวเมือง กทม.
หากผมล๊อครถไม่ทัน อะไรจะเกิดขึ้น
หากผมไม่กดคันเร่งจนมิด เขาจะหลบมั๊ย
หากผมขาดสติ ตกใจเกินเหตุ ผมคงไม่มีโอกาสมาเขียน mail ไม่มีโอกาสมาดำเนินการตามแผนที่ได้วางไว้กับทีมงานในวันนี้ ก็เป็นได้
ขอบคุณทุกท่าน ที่ได้อ่านจนถึงบรรทัดนี้ ที่เล่ามาทั้งหมด เผื่อจะเป็นประโยชน์ในยามคับขันที่อาจจะเกิดขึ้นกับได้
ขอให้สิ่งศักด์สิทธิ์ ที่ทุกท่านนับถือ จงบันดาลให้เรื่องแบบนี้ เกิดขึ้นกับคนที่เรารัก คนที่เรารู้จักเลยครับ
ด้วยรักทุกท่าน
วิสุทธิ์ สิปิยารักษ์

ก่อนออกจากบ้าน...อย่าลืมคิดถึงสิ่งนี้‏

ทุกเช้าก่อนออกจากบ้าน.......อย่าลืมคิดถึงสิ่งที่ต้องใช้ในชีวิตประจำเหล่านี้
1. เครื่องประดับที่สวยที่สุดบนเรือนร่าง คือ รอยยิ้ม
2. งานที่ทำแล้วพอใจที่สุด คือ การช่วยเหลือผู้อื่น
3. ความสุขที่สุด คือ การให้
4. อาวุธร้ายแรงที่ต้องระมัดระวัง และเก็บรักษาให้ดีที่สุด คือ การพูดทำร้ายผู้อื่น
5. พลังยิ่งใหญ่ที่สุดที่ทำให้ทุกอย่างสำเร็จ คือ ความรัก
6. ความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ การทำร้ายตัวเอง
7. ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่จะต้องเอาชนะให้ได้ คือ ความกลัว
8. ยานอนหลับที่ให้ผลดีที่สุด คือ ความสงบในใจ

ที่มา : พระอาจารย์ บุญร่วม กตปุญโญ

Disappearing Car Door

Disappearing Car Door

วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

"นิทานรัสเซีย"

"นิทานรัสเซีย"









ชายยากจนคนหนึ่ง มีลูกชายสามคน เขาบอกลูกๆของเขาอยู่เสมอว่า...

เราไม่มีฝูงสัตว์ ไม่มีเงินทอง ไม่มีทรัพย์สินอื่นไว้เป็นสมบัติ
ดังนั้นลูกจงเตรียมสร้างสมบัติอย่างอื่นไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวแห่งตน คือ

พยายามที่จะเรียนรู้ และเข้าใจในสิ่งต่างๆ ให้มากยิ่งขึ้น
พบพานสิ่งใดเข้า ก็อย่าได้ปล่อยให้มันผ่านไปโดยไม่พิจารณาให้ละเอียด

ให้ความมีไหวพริบเฉียบแหลม เข้ามาแทนฝูงสัตว์ ฝูงใหญ่ ๆ
ให้ความเฉลียวฉลาด เข้ามาแทนเงินแทนทอง ด้วยทรัพย์สมบัติ เช่นนี้
เจ้าจะผ่านความยากลำบาก ต่าง ๆ ไปได้ และ จะมีความสุขในชีวิต

หลังจากบิดาเสียชีวิตลง พี่น้องทั้งสาม ได้ปรึกษาหารือกัน
ในที่สุดก็ตกลงกันว่า... การที่จะอยู่บ้านหลังนี้ต่อไป ก็ไม่เกิดประโยชน์
ออกไปตระเวนชมโลกกันดีกว่า ไปรับจ้างเลี้ยงสัตว์ในถิ่นอื่น ๆ
เราก็จะไม่อดตาย

สามพี่น้องเดินทางไปตามที่ราบลุ่มอันเวิ้งว้างง่าวเปล่า
ข้ามเขาลงห้วย เดินกันอยู่นาน อาหารที่นำติดตัวมา
ก็กินกันจนหมดเกลี้ยง เหน็ดเหนื่อยเมื่อล้าตาม ๆ กัน
แต่ก็ยังมองปลายทางไม่เห็น หยุดพักเหนื่อยแล้ว

พี่น้องทั้งสามก็ออกเดินทางกันต่อไป
ในที่สุดก็มองเห็นต้นไม้สูง ๆ
ปลูกเป็นแนวเรียงรายอยู่ข้างหน้า มีหอคอย และ บ้านเรือน เข้าใจว่า ...
เป็นเมืองใหญ่ สามพี่น้องพากันดีใจ สาวเท้าเดินให้เร็วขึ้น พลางพูดกันว่า...
พ้นช่วงร้ายไปแล้ว เข้าสู่ช่วงดีแน่ ๆ

เมื่อเดินเข้าใกล้เมือง พี่ชายคนโตมองดูพื้นดินแล้วพูดว่า...
มีอูฐตัวใหญ่เดินผ่านมาที่นี่เมื่อไม่นานมานี่เอง เดินเลยไป...

น้องคนรองกวาดตามองสองข้างทางแล้วบอกว่า...
อูฐตัวนี้ตาบอดไปข้างหนึ่งด้วย

ผ่านไปอีกน้องคนเล็กก็บอกว่า... มีผู้หญิงกับลูกน้อยขี่มันมา
จริง ๆ ด้วย... พี่คนโตและคนรองเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
พี่น้องทั้งสามพากันเดินต่อไป

ในไม่ช้ามีคนขี่ม้าตามมาถึง พี่น้องทั้งสาม
พี่ชายคนโตเงยหน้าขึ้นมองแล้วถามว่า...
ของหาย และ กำลังตามหา ใช่ไหมท่าน

คนขี่ม้าบังคับม้าให้หยุด แล้วตอบว่า...ใช่แล้ว

ของที่หายไปคือ อูฐ ใช่หรือไม่ ... ใช่ ... อูฐ
ตัวใหญ่ใช่หรือไม่ ... ใช่ ...ตัวใหญ่
อูฐ นั้นตาบอดข้างซ้าย ... ใช่หรือไม่ น้องคนกลางถาม ...
ถูกแล้ว ... มันตาบอดข้างซ้าย ...
มีสตรีกับลูกน้อย ขี่มันมาใช่หรือไม่ ... น้องคนเล็กถาม ...

คนขี่ม้า จ้องมอง พี่น้องทั้งสาม ด้วยความสงสัยแล้วพูดว่า ...
หมายความว่า ... อูฐของข้า อยู่กับพวกท่าน ขณะนี้อยู่ที่ใด ...

อูฐ ของท่านเราไม่เคยเห็น พี่น้องทั้งสามกล่าว ...
ไม่เคยเห็นแล้วท่านทราบได้อย่างไรว่า ...อูฐ มีลักษณะอย่างไร

พวกเราพิจารณาจาก รอยเท้าที่ปรากฎให้เห็น จึงทายได้ถูกต้อง
รีบควบม้าตามไปทางด้านโน้นโดยเร็ว เถิด อาจจะตามหา อูฐ ของท่านพบ...

ไม่ ... ข้าไม่ไปนั้น อูฐ ของข้าอยู่กับพวกท่าน ...
บอกแล้วว่า ...ไม่เห็น ไม่เคยเห็นอูฐของท่าน สามพี่น้องกล่าวพร้อมกัน

คนขี่ม้าชักดาบออกมาจากเอว ข่มขู่ให้พี่น้องทั้งสามเดินตรงไปที่พระราชวัง
ให้ทหารควบคุม สามพี่น้องเอาไว้ แล้วตัวเองเข้าไปรายงานให้ เจ้าเมืองทราบ ...

ข้าแต่เจ้าเมือง กระผมพาฝูงสัตว์เลี้ยงไปกินหญ้าตามเนินเขา ลูกโน้น
ส่วนเมียและลูก ขี่อูฐตัวใหญ่ ตาบอดข้างหนึ่งตามมาด้วย
แล้วเธอก็หลงทางหายไป กระผมเที่ยวตามหาจนพบกับชายพเนจรทั้งสาม
เชื่อว่า ...ทั้งสาม เอาอูฐ ของตนไป และสงสัยว่า ...
ฆ่าเมียและลูกของกระผมเสียแล้ว”
เจ้าเมืองได้ฟังจึงถามว่า ...
เจ้ารู้ได้อย่างไรว่า ...เป็นเช่นนั้น ก็เพราะพวกเขาเล่าให้ฟังว่า ...
อูฐ นั้นตัวใหญ่ ตาบอดข้างซ้าย และมีสตรีกับเด็กขี่หลังมัน

เจ้าเมืองนิ่งคิด...แล้วกล่าวว่า ... หากเจ้าไม่ได้บอกเขา แล้วเขาทายถูกว่า ...
อูฐ มีลักษณะอย่างไรได้แม่นยำ พิสูจน์ได้ว่า ... อูฐอยู่กับพวกเขา
จงไปนำชายพเนจร ทั้งสามที่นี่

เจ้าขโมย ... เจ้าเมืองตะคอกถาม ...
พวกเจ้าเอาอูฐของชายคนนี้ไปไว้ที่ใด ... พวกกระผมไม่ได้ขโมย
และไม่เคยเห็น อูฐของเขาเลย ... แต่พวกเจ้าบอกลักษณะของ อูฐได้ถูกต้อง
พวกเจ้าจะไม่ยอมรับได้อย่างไร

ข้าแต่ผู้ครองเมือง เรื่องนี้ไม่แปลกประหลาดอะไรเลย
พวกเราเรียนรู้ตั้งแต่เล็กว่า ... จะไม่ปล่อยให้สิ่งใด หลุดพ้นสายตา
และพิจารณาอย่างละเอียด เราได้เรียนรู้ ฝึกฝน รู้จักสังเกต และ ใช้ปัญญา
แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้มากมาย เราจึงทราบลักษณะของ อูฐ ตัวนี้ได้
แม้ว่า ... เราจะไม่เคยพบเห็นตัวของมันเลย เจ้าเมืองหัวเราะลั่น เราจะมาพิสูจน์กัน

เจ้าเมืองเรียกคนสนิทเข้าแล้วกระซิบ คนสนิทก็ออกจากวังไปทันที
สักพักใหญ่ ก็กลับมาพร้อมด้วยคนรับใช้สองคน ที่ช่วยกันแบกลังใบใหญ่
คนรับใช้ค่อย ๆ วางหีบลง อย่างระมัดระวัง ตรงประตู ให้เจ้าเมืองมองเห็นได้
แล้วก็เลี่ยงออกไปอยู่ห่าง ๆ พี่น้องทั้งสามเฝ้าสังเกตดูอยู่แต่ไกล ว่า ...

คนรับใช้นำลังมาจากไหน นำมันมาอย่างไร และวางลงพื้นห้องอย่างไร
เจ้าขโมยทั้งสาม ลองทายซิว่า ... มีอะไรอยู่ในลังนี่ เจ้าเมืองถาม

ท่านเจ้าเมือง พวกกระผมไม่ได้เป็นขโมยขโจร แต่ในลังนั้นมี...
สิ่งกลม ๆ เล็ก ๆ วางอยู่ พี่ชายคนโตกล่าว ...
และน้องคนกลางก็เสริมว่า ... มันคือ ผลทับทิม
และเป็นผลทับทิมที่ยังไม่แก่จัดเต็มที่ น้องคนเล็กเสริม

เจ้าเมืองตะโกนสั่งให้ยกลังเข้าไปใกล้ และให้เปิดปรากฏว่า ...
มีผลทับทิมที่ยังไม่ทันสุกลูกหนึ่ง วางอยู่
เขาหยิบทับทิมขึ้นมาให้ทุกคนได้เห็น แล้วหันไปทางเจ้าของอูฐ ว่า...

พวกเขาไม่ได้เป็นขโมย และก็เป็นความจริงว่า ...
พวกเขาเป็นคนช่างสังเกตมีไหวพริบหลักแหลม เจ้าไปตามหาอูฐของเจ้าที่อื่นเถอะ

ทุกคนในที่นั้นรวมทั้งเจ้าเมืองแปลกใจ กับความช่างสังเกตและความแม่นยำ
พี่น้องทั้งสามเป็นอย่างมาก เจ้าเมืองได้สั่งให้นำข้าวปลาอาหารเลิศรสนานาชนิด
มาเลี้ยงสามพี่น้องอย่างเต็มที่ พวกเจ้านั้นเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่มีความผิดแต่อย่างใด

ก่อนที่จะจากไป ทราบได้อย่างไรว่า ...ชายคนนั้นทำอูฐหาย และว่าอูฐ
มีลักษณะอย่างไร พี่ชายคนโตตอบว่า ... ได้เห็นรอยเท้าของมันในดินว่า ...
มีอูฐตัวใหญ่เพิ่งผ่านมา และเดาเอาว่าชายที่ตามมา มองซ้ายแลขวาอยู่ตลอดเวลา
คงมาตามหาอูฐตัวนั้น แล้วใครล่ะที่รู้ว่า ... อูฐนั้นตาบอดข้างซ้าย
กระผมเองเป็นคนบอก น้องคนกลางตอบ แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไร ...
รอยพงหญ้าข้างด้านขวาถูกเล็ม ด้านซ้ายไม่ถูกแตะต้องเลย
แล้วใครล่ะที่ล่วงรู้ได้ว่า ...บนหลังอูฐมีสตรีและเด็กขี่มา
น้องคนเล็กกล่าวว่า กระผมสังเกตเห็น อูฐ หยุดอยู่ตรงที่แห่งหนึ่ง
คุกเข่าให้คนลง และมีรอยรองเท้าบูทนวมของ สตรีและรอยเท้าอีกคู่ที่เล็กกว่า
จากรอยเท้าเหล่านี้ ถูกต้องทุกอย่าง

แต่พวกเจ้ารู้ได้อย่างไรว่า...ในลังใบใหญ่นั้นมีผลทับทิมอยู่ข้างใน
ลังถูกยกมาด้วยคนรับใช้สองคน พี่ชายคนโตกล่าว...
แต่สังเกตได้ง่ายว่า...ลังนั้นหนักเท่าไหร่ วางลังลงบนพื้น
กระผมได้ยินว่า ....มีอะไรกลม ๆ กลิ้งไปมาอยู่ในนั้น

ลังนั้นถูกนำมาจากสวน แล้วในนั้นมีสิ่งกลม ๆ ไม่ใหญ่นัก
ซึ่งก็น่าจะเป็นผลทับทิม เพราะสังเกตว่า ... ใกล้ ๆ วังของท่าน
มีต้นทับทิมขึ้นอยู่มากมาย ถูกของเจ้า และถามน้องคนเล็กสุด ว่า...
รู้ได้อย่างไรว่า ... ทับทิมยังดิบอยู่ ช่วงนี้เป็นฤดูที่ทับทิมยังไม่สุก
ว่าแล้ว เขาก็ชี้ไปทางหน้าต่างให้เจ้าเมืองได้เห็นว่า ...
ในสวนทับทิมของตนนั้นเต็มไปด้วยผลทับทิมที่ยังดิบอยู่ แล้วอุทานว่า ...

พวกเจ้ามิได้ร่ำรวยด้วยทรัพย์สินเงินทอง แต่ก็มั่งคั่งด้วยสติปัญญาที่เฉลียวฉลาด

จากหนังสือเรื่อง “นิทานรัสเซีย”
เจือจันทร์ ฐาปโนสถ (แปล)

20วิธีที่ทำให้คุณดูเด็กลง

Subject: Fw: 20วิธีที่ทำให้คุณดูเด็กลง








1. บริโภควิตามินซีและอี เป็นประจำ ทำให้ดูเด็กลงกว่าเดิมไม่ต่ำกว่า 6 ปี
2. อย่าอยู่ใกล้ควันบุหรี่ คนที่อยู่ใกล้ๆ ควันบุหรี่วันละไม่ต่ำกว่า 4 ชั่วโมง จะดูแก่กว่าอายุจริงราวๆ 6.9 ปี ซึ่งพอๆกับคนที่ สูบบุหรี่เป็นประจำเลยที่เดียว
3. แปรงฟันและใช้ฟลอสขัดฟันทุกวัน คนฟันสวย จะดูเด็กกว่าประมาณ 6.4 ปี
4. มีเซ็กส์ เซ็กส์ที่มีคุณภาพหมายถึงไปถึงจุดยอดได้มากเท่าไร ใน 1 ปี จะทำให้เราดูเด็กกว่าอายุจริงได้ถึง 1.6-8 ปี
เชียวน่ะ
5. อย่าอด อาหารเช้าบริโภคมื้อเช้าทุกวันจะดูเด็กกว่าอายุจริงๆ ลงได้ 2 ปี
6. หัวเราะเข้าไว้ การหัวเราะ ทำให้คุณดูเด็กลง 1.7-8 ปี
7. เลือกอาหารไขมันต่ำ อาหารไขมันต่ำ ทำให้คุณดูเด็กลงไม่ต่ำกว่า 6 ปี
8.. เรียนรู้สิ่งรอบๆตัวตลอดเวลา การเรียนรู้และหากิจกรรมทำสม่ำเสมอ ทำให้คุณดูเด็กลง 2.5 ปี
9. สร้างเครือข่ายสังคม การอยู่ในสังคมที่ดี มีเพื่อนสนิทครอบครัวที่รักใคร่
กลมเกลียวจะช่วยลดความเครียดจากการทำงานจะทำให้เราดูเด็กลงได้ตั้งแต่ 2-30 ปี
10. นอนหลับให้พอ การนอนหลับยาวๆนานๆสม่ำเสมอในแต่ละคืนทำให้ดูอ่อนเยาว์
กว่าวัย หญิง 7 ช.มและชาย 8 ช.ม.จะทำให้เราดูเด็กลง 3 ปี
12. ไปตรวจสุขภาพบ้าง คนที่ดูแลสุขภาพตัวเองอย่างดี จะทำให้เราดูเด็กลงกว่าอายุจริงถึง 12 ปี
13. ตรวจสอบประวัติสุขภาพของครอบครัว การป้องกันตัวเองจาก โรคที่เคยเป็นในครอบครัวดังกล่าว
จะช่วยให้คุณดูเด็กกว่าพ่อแม่ของคุณ เมื่อเวลาที่คุณมีอายุ เท่ากับท่านถึง 4 ปี
14. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การออกกำลังที่เหมาะสมจะทำให้ดูเด็กลง 3-8 ปี
15. หยุดสูบบุหรี่ คนที่สูบบุหรี่เป็นประจำ จะดูแก่กว่าอายุจริง 8 ปี
16. งดบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลง การติดแอลกอฮอล์ จะทำดูแก่กว่าอายุจริง 3-5 ปี
17. อย่าลืมเรื่องเศรษฐกิจ.คนที่มีปัญหาเครียดเรื่องเงิน จะทำดูแก่กว่าอายุจริง 8 ปี
18. รักษาน้ำหนักให้มาตราฐานคงที่ คนที่ลดน้ำหนักลงได้ จะทำดูเด็กกว่าอายุจริงไม่ต่ำกว่า 6 ปี
19. บริโภคอาหารแคลอรี่ต่ำแต่คุณค่าโภชนาการสูง การบริโภคผักผลไม้สดและปลา จะทำดูเด็กลง 4 ปี
20. หาทางออกที่เหมาะสมเมื่อพบวิกฤติของชีวิตการเอาชนะปัญหาชีวิตได้ จะทำคุณดูเด็กลง 8-16 ปี


หลังจาก 20 วิธีข้างบนแล้ว
ยังมี 7 สิ่งที่กินแล้วอ่อนเยาว์มาให้ด้วย ทุกคนจะได้ดูเด็ก กันไปเร้ยยยยยยยย
.กินแล้ว..อ่อนเยาว์
อาหาร 7 อย่างต่อไปนี้จะช่วยชะลอสัญญาณแห่งวัยดึก
ทั้งผมร่วง ผิวแห้ง เฉื่อยชา ให้ดูอ่อนเยาว์ขึ้นภายใน 3 - 6 เดือน

หยุดผมร่วง
รับประทานกล้วย ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินบี มีสรรพคุณป้องกันผมร่วงได้ดี การรับประทานกล้วยเข้าไปในปริมาณที่เพียงพอ จะช่วยรักษาเส้นผมให้อยู่คู่กับหนังศีรษะได้นานวัน

ลดผิวมัน
รับประทานธัญญาหารทุกเช้าซึ่งอุดมด้วยวิตามินบี 2 ที่ช่วยหยุดยั้งการผลิตน้ำมันส่วนเกินของต่อมผลิตภายในร่างกายที่เป็นสาเหตุหนึ่งของเส้นผมบางและมัน

หยุดการลอกของผิวหนัง
รับประทานปลาแซลมอนในเกลือรมควันอาหารทะเล หรือสลัดผักสดก็ได้

ผิวเนียนใสเหมือนเด็ก
มะม่วงมีเบต้าแคโรทีนที่ช่วยทำให้ผิวมีสุขภาพดี โดยช่วยกระตุ้นการสร้างผิวหนัง รวมทั้งหนังศีรษะเพื่อทดแทนของเดิมที่หยาบแห้งและขรุขระ ให้กลับมีความชุ่มชื่นและนุ่มเนียน

ชะลอผมหงอก
รับประทานถั่วลิสงอบเนยรวมกับเกล็ดขนมปังที่อบมาร้อน ๆ ก่อนมื้ออาหารถั่วลิสงมีวิตามินบี ที่สามารถหยุดการเปลี่ยนสีผมให้เป็นสีดอกเลาได้ และยังทำให้ผิวหนังดูดีขึ้นอีกด้วย

ดูหนุ่มสาวขึ้นอีก 5 ปี
รับประทานฝรั่ง หรือน้ำฝรั่งซึ่งอุดมด้วยวิตามินซี เพราะจะช่วยเก็บรักษาคอลลาเจนที่เป็นบ่อเกิดแห่งโปรตีนภายใต้ผิวหนัง หรือรับประทานมะละกอ ส้ม ลูกเกดสีดำอบแห้ง ร่วมกับผลไม้ประจำวันก็จะช่วยเพิ่มวิตามินซีเช่นกัน

ปกป้องใบหน้าจากมลพิษ
วิตามินบี ในอะโวคาโดช่วยทำให้ใบหน้าดูอ่อนกว่าวัย และร่างกายเกิดความต้านทานจากการทำลายในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งนี้รวมถึงการถูกทำลายจากบรรยากาศที่มลภาวะเป็นพิษ

จะปอกแอปเปิ้ลยังไงให้ทานแล้วอร่อยหวานกรอบ



Jackie Evancho, 10 (Opera Singer) on America's Got Talent YouTube Special

วิธีรักษาโรคปวดเข่า

ปวดเข่า(19 ส.ค. 2553)

สาเหตุ ในผู้ที่มีอาการปวดเข่าประมาณ 100 กว่าราย ไม่รวมผู้ที่มีกระดูกบริเวณเข่าโค้งงอหรือบิดเบี้ยวผิดปกติ พบว่าทุกรายเป็นเพราะกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นด้านหลังต้นขาจากก้นย้อยถึงรอยพับหลังหัวเข่าอักเสบและตึง ดึงกระดูกท่อนบนจากหัวเข่าถึงโคนขาและกระดูกท่อนล่างจากหัวเข่าถึงข้อเท้าเข้าหากัน ทำให้มีเสียงดังเป๊าะเวลายืดหรืองอเข่า แต่แพทย์แผนปัจจุบันวิเคราะห์ว่า เสียงที่ดังเป็นเพราะกระดูกอ่อนที่หัวเข่าสึกกร่อน ขรุขระและไม่เรียบ ซึ่งไม่น่าจะเป็นความจริง เพราะว่าเมื่อบริหารตามข้างล่างนี้จนเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อยืดหรือหายอักเสบแล้ว เสียงดังกล่าวหายไปด้วยทั้งๆ ที่กระดูกอ่อนที่หัวเข่ายังเหมือนเดิมโดยมิได้เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด อาการปวดเข่าดังกล่าวแล้ว มักเกิดขึ้นกับผู้ที่นั่งเก้าอี้ทำงานเป็นเวลานานๆ เป็นประจำ ทำให้เลือดไปเลี้ยงขาโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านหลังขาไม่สะดวก
อาการ เริ่มด้วยอาการปวดและตึงบริเวณขาด้านหลังจากรอยพับหลังหัวเข่าถึงก้นย้อย อาการมากขึ้นจนเห็นได้ชัดเมื่อพยายามนั่งยองๆ หรือเมื่อไม่สามารถนั่งยองๆ ได้ อาจมีเสียงดังเป๊าะที่เข่าเมื่อมีการเปลี่ยนอริยาบทจากยืดเข่าเป็นงอเข่าหรือตรงกันข้าม มีอาการปวดที่รอยพับหลังหัวเข่าอย่างรุนแรง ถ้าไม่สังเกตุให้ดีอาจทำให้เข้าใจผิดได้ว่าเป็นอาการปวดที่ข้อเข่าด้านหน้า อาการปวดดังกล่าวเกิดขึ้นได้ (ก)เมื่อนั่งยองๆ หรืองอเข่า (ข)หลังจากนั่งเก้าอี้เป็นเวลานาน เมื่อลุกขึ้นจะมีอาการปวดที่รอยพับหลังหัวเข่าและต้นขาด้านหลัง (ค)หลังจากเดินได้สักพักหนึ่ง เช่น 1-2 ชั่วโมง เป็นต้น อาการปวดอาจรุนแรงมากเมื่องอเข่าแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม ปวดที่รอยพับหลังหัวเข่ามากเมื่อก้าวขาเดิน เพราะในการก้าวขาเดินหัวเข่าของขาข้างนั้นต้องงอเล็กน้อย เมื่อมีอาการปวดมาก ผู้ป่วยก็ไม่ยอมก้าวเท้าเดิน ต้องเดินขาแข็งในลักษณะลากขาโดยที่หัวเข่าเหยียดตรง มีอาการปวดเข่าอีกแบบหนึ่ง ซึ่งปวดบริเวณรอบๆ ขอบเข่า ซึ่งรู้สึกได้ชัดเจนเมื่อเข่าอยู่ในตำแหน่งที่พับหรืองอ ตรงนี้คือบริเวณที่เอ็นของกล้ามเนื้อ(Tendon) ยึดกล้ามเนื้อให้ติดกับกระดูก ผู้ป่วยไม่สามารถนั่งคุกเข่าได้ ไม่สามารถลุกขึ้นยืนจากตำแหน่งนั่งกับพื้นได้โดยไม่ใช้มือยันหรือโหนตัวขึ้น และไม่สามารถขึ้นลงบันไดได้อย่างสะดวกโดยเฉพาะอย่างยิ่งขาลงบันได เพราะจะปวดบริเวณรอบๆ ขอบเข่ามาก และอาจมีอาการบวมและร้อนร่วมด้วย การรับประทานใบง็อกสามารถรักษาอาการปวดเข่าในกรณีหลังนี้ให้หายได้อย่างรวดเร็ว โปรดดูหัวข้อ ’ สมุนไพร ‘ ส่วนการบริหารตามตำรานี้มีส่วนช่วยได้บ้าง




ตำแหน่งจุด (1) ดูรูปที่ 1 จุด 3 อยู่ที่บริเวณก้นย้อย จุด 5 อยู่บนเส้นรอยพับหลังหัวเข่า ตรงจุดกึ่งกลางความยาวของเส้นรอยพับ (2) จุด 4 อยู่เลยจุดกึ่งกลางของเส้น 35 ขึ้นไปทางก้นย้อยประมาณ 1 นิ้วหัวแม่มือ(ความกว้างของนิ้วหัวแม่มือตรงใต้โคนเล็บลงมาประมาณ 1 ซ.ม.) ความยาว 1 นิ้วหัวแม่มือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘ 1 ซุ่น หรือ 1 ข้อนิ้วมือ’ และ(3) จุด 7 อยู่ใต้จุด 5 ลงมา 8 ข้อนิ้วมือ รูปที่ 1
การกดจุด (1) ผู้ป่วยนอนคว่ำบนพื้นใกล้โต๊ะที่แข็งแรง ( โต๊ะมีไว้ให้ผู้ทำหน้าที่กดจุดในข้อ (2)จับยึดมิให้หกล้มหรือลื่นไถล ) ขาเหยียดตรงห่างกันเล็กน้อย มีผ้าขนหนูหนาประมาณ 2-3 ทบหนุนใต้สะบ้า เพื่อลดอาการเจ็บสะบ้าเมื่อมีการเหยียบหรือกดจุด
(2) ให้ผู้ที่ทำหน้าที่กดจุดๆ โดยใช้ส้นเท้าเหยียบ ผู้กดจุดควรกระดกฝ่าเท้าให้ทำมุมประมาณ 45 องศากับแนวดิ่ง แล้วใช้ส่วนที่เป็นส้นเท้าเท่านั้นเหยียบหรือกดตามส่วนต่างๆ ส่วนใดที่ตึงหรือปวดตื้อๆ เมื่อถูกเหยียบ ให้ทำซ้ำๆ กันหลายครั้งๆ ละประมาณ 5 วินาที ในการเคลื่อนย้ายส้นเท้า มิให้ยกเท้าขึ้นมาในอากาศ ให้ผ่อนแรงกดแล้วลากไปตามผิวหนังของผู้ป่วย วิธีเหยียบที่เหมาะสมทำได้ดังต่อไปนี้ สมมุติว่าใช้เท้าขวากดจุด ให้ใช้เท้าซ้ายยืนอยู่บนพื้น ส้นเท้าขวาอยู่บนจุดที่ต้องการจะกด ค่อยๆ ถ่ายน้ำหนักตัวจากเท้าซ้ายไปยังเท้าขวา ให้แรงกดมากพอสมควรเท่าที่ผู้ป่วยจะทนได้
(3) ให้เริ่มต้นเหยียบที่จุด 3 เลื่อนลงมาตามแนวเส้นตรง 345 แต่ละครั้งเลื่อนลงมาประมาณ 3-5 ม.ม. การเหยียบจะลงมาไม่ถึงจุด 5 ให้หยุดเมื่อเริ่มมีการเจ็บสะบ้าเพราะถูกกดกับพื้น ปกติสะบ้าจะเริ่มเจ็บเมื่อเหยียบมาถึงจุดที่อยู่เหนือรอยพับหลังหัวเข่าประมาณ 1 ฝ่ามือ สรุปให้เว้นไม่เหยียบพื้นที่
เหนือรอยพับหลังหัวเข่าไว้ประมาณ 1 ฝ่ามือ จากนั้นให้เหยียบเลยลงไปในแนวเส้นตรงจากจุด 5 ไปยังจุด 7 โดยเว้นไม่เหยียบบริเวณประมาณ 1 ฝ่ามือใต้รอยพับหลังหัวเข่า การเหยียบครั้งหลังนี้ให้ลดแรงกดลงเหลือเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
(4) ให้เหยียบปูพรมทั่วขาด้านหลังตามวิธีการในข้อ (3) โดยเหยียบในแนวเส้นตรงขนานกับเส้น 3457 และมีจุดเริ่มต้นที่แนวก้นย้อย
(5) ในขั้นนี้จะกดจุดในบริเวณที่เว้นไว้คือเหนือและใต้รอยพับหลังหัวเข่า 1 ฝ่ามือ ดังมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
ก) ใช้นิ้วหัวแม่มือหรือปลายแหลมของข้อศอกค่อยๆ กดเบาๆ ที่จุด 5 เมื่อถูกจุดจะมีอาการเจ็บแหลมๆ คล้ายถูกเข็มฉีดยา กดครั้งละนานประมาณ 5 วินาที กด2-3ครั้ง และ
ข) ใช้หน้าแขนบริเวณใกล้ปลายแหลมของข้อศอกกดนวดบริเวณที่เหลืออย่างทั่วถึง กดด้วยแรงพอสมควร อย่าให้หนักมากเกินไป
(6) สำหรับผู้ที่มีอาการปวดบริเวณรอบๆ ขอบเข่า
ก) ให้พับเข่าคล้ายท่านั่งสมาธิ หรือนั่งเก้าอี้ ฝ่าเท้าวางอยู่บนพื้นและเข่างอประมาณ 90 องศา เพื่อให้กล้ามเนื้อบริเวณขอบเข่าตึง ใช้นิ้วหัวแม่มือและมือนวดตั้งแต่ขอบเข่าขึ้นไปประมาณ 1 ฝ่ามือ ตรงไหนเจ็บผิดปกติ ให้เน้นตรงนั้นมากๆ
ข) ให้ยืนข้างโต๊ะที่มั่นคงแข็งแรง ย่อเข่าลงทีละน้อยจนคล้ายกับการนั่งยองๆ แล้วยืนขึ้น ถ้ามีอาการปวดที่เข่ามาก ให้ย่อเข่าแต่พอสมควร อย่าฝืนมากจนเกินไปและให้ช่วยพยุงตัวด้วยการออกแรงกดลงไปบนโต๊ะ ทำเช่นนี้หลายๆ ครั้ง ในโอกาสต่อไปค่อยๆ ย่อเข่าลงให้มากกว่าเดิมและเพิ่มจำนวนครั้งขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่าหักโหมมากเกินไป
หมายเหตุ หลังจากกดตามข้างต้นแล้ว อาการปวดเข่าบริเวณด้านหลังเข่าน่าจะหายไปหมดหรือเกือบหมด จนผู้ป่วยสามารถย่อเข่าหรือนั่งยองๆ ได้ หลังจากนี้อาการปวดเข่าอาจกลับมาอีกได้ ทั้งนี้เพราะว่าอาการปวดเข่าเกิดจากความเสื่อมของสังขาร หรือการขาดการออกกำลังกาย เพื่อป้องกันไม่ให้อาการปวดเข่ากลับมาอีก ให้บริหารร่างกายทุกวันตามวิธีต่างๆ ดังต่อไปนี้

วิธีที่ 1
วิธีนี้อาจใช้ทดสอบอย่างง่ายๆ ว่า อาการปวดเข่าที่เป็นอยู่ เกิดจากสาเหตุที่เส้นเอ็นด้านหลังขาตึงหรือไม่ ถ้าหลังจากทำตามวิธีนี้แล้ว อาการปวดเข่าลดลงหรือเข่าเบาและโล่ง เป็นที่แน่นอนว่าการรักษาตามตำรานี้จะทำให้อาการปวดเข่าหายแน่นอน ที่จริงแล้วถ้าทำตามวิธีนี้อย่างน้อยวันละ 2-3 ครั้ง อาการปวดเข่าอาจหายได้ แต่อาจต้องใช้เวลานานกว่าวิธีในหน้าแรก วิธีนี้อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีอาการปวดหลัง แต่ก็มีข้อดีตรงที่ว่าไม่ต้องอาศัยผู้อื่นช่วย
(1) ผู้ป่วยยืนห่างจากเก้าอี้ประมาณ 50 เซนติเมตร สมมุติว่าเข่าที่ปวดคือเข่าขวา ให้ยกส้นเท้าขวาวางบนส่วนรองก้นของเก้าอี้ ขาขวาเหยียดตรง เข่าขวายืดตรงจนแอ่น
(2) กระดกปลายเท้าขวาเข้าหาตัวอย่างสุดๆ และเกร็งไว้ในตำแหน่งนี้
(3) ในขณะที่โน้มหน้าอกไปยังเข่าขวาช้าๆ จนหน้าอกเข้าใกล้เข่าขวามากที่สุด ใช้หน้าแขนขวากดเบาๆ ตรงหนือเข่าขวาประมาณ 1 ฝ่ามือ เพื่อให้เข่าตึงและเหยียดตรงตลอดเวลา ค่อยๆ ลดสะโพกลงให้ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วยการย่อขาซ้าย( เข่าขวายังแอ่นตึงอยู่ตลอดเวลา )จนรู้สึกปวดเส้นเอ็นด้านหลังขาขวาอย่างสุดๆ ปานประหนึ่งว่าเส้นเอ็นจะฉีกขาดออกจากกัน รักษาตำแหน่งนี้ไว้ให้ได้นานประมาณ 10 – 20 วินาที เรียกว่า 1 ครั้ง
(4) ทำ (1)-(3) อย่างน้อยวันละ 2-3 เวลา เวลาละประมาณ 3 ครั้ง ที่จริงแล้วเพียงแค่ทำครั้งเดียว อาการปวดเข่าจะลดลงเป็นอย่างมากจนรู้สึกเบาได้ทันที ทำในทำนองเดียวกันกับขาซ้าย

วิธีที่ 2
วิธีนี้คล้ายกับวิธีที่ 1 แต่มีลักษณะเด่นตรงที่เหมาะกับผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ไม่สามารถยืนได้อย่างมั่นคง
(1) ผู้ป่วยนั่งลงบนพื้น ตัวตรง เหยียดขาขวาไปข้างหน้า เข่าและขาขวาเหยียดตรงแนบกับพื้น ขาซ้ายอยู่ในลักษณะงอราบบนพื้นก็ได้
(2) ในขณะที่ขาขวาและเข่าขวาเหยียดตรง ( เข่าแอ่น ) โน้มตัวไปข้างหน้า ให้หน้าอกเข้าใกล้เข่าขวามากที่สุดที่จะมากได้ ใช้หน้าแขนขวากดเบาๆ ลงที่เหนือเข่าขวาประมาณ 1 ฝ่ามือ เพื่อมิให้เข่างอขึ้นมา พร้อมกันนี้กระดกปลายเท้าขวาเข้าหาหน้าแข้งขวาให้มากที่สุดที่จะมากได้และรักษาไว้ในตำแหน่งนี้ตลอดเวลา พยายามทนเจ็บที่รอยพับหลังหัวเข่า หรือบริเวณด้านหลังขาส่วนที่อยู่เหนือรอยพับหลังหัวเข่าให้มากที่สุดเท่าที่จะทนได้ เป็นเวลาประมาณ 10 – 20 วินาที เรียกว่า 1 ครั้ง
(3) ทำ (1)-(2) อย่างน้อยวันละ 2-3 เวลา เวลาละประมาณ 2-3 ครั้ง ปกติแล้วเพียงแค่ทำครั้งเดียว อาการปวดเข่าจะเบาจนรู้สึกได้ทันที ทำในทำนองเดียวกันกับขาซ้าย

สมุนไพร
เพื่อให้การรักษาอาการปวดเข่าได้ผลดีอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการปวดรอบๆ ขอบของหัวเข่า ผู้ป่วยควรรับประทานใบต้นง็อกควบคู่กันไปด้วย โดยรับประทานก่อนอาหารหรือตอนท้องว่าง วันละ 2 มื้อคือ เช้าและเย็น หรือตอนค่ำ มื้อละประมาณ 5-10 ใบ หรือวันละ 1 มื้อๆ ละ 8-15 ใบ ด้วยการเคี้ยวกินใบง็อกสดๆ เมื่อหายดีแล้วควรลดลงเหลือมื้อละประมาณ 3-5 ใบ หรืองดโดยสิ้นเชิง ผู้เรียบเรียงตำรานี้มีอาการปวดมากที่บริเวณขอบเข่า และปวดและตึงมากที่บริเวณด้านหลังของต้นขา รับประทานใบ ง็อกวันละ 1 มื้อๆ ละ 15 ใบ ในวันรุ่งขึ้นอาการปวดและตึงลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจน ประสบการณ์จริงอีกเรื่องหนึ่งมีดังนี้ ที่บ้านมีสุนัขแก่ตัวหนึ่งมีอาการปวดขาหลังทั้ง 2 ข้าง โดยสังเกตเห็นจากการเดินด้วยขาหลังที่กระย่องกระแย่ง วันรุ่งขึ้นหลังกินใบง็อกสด สุนัขเดินเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ระหว่างรับประทานใบง็อกควรตรวจสอบปริมาณน้ำตาลในเลือด และความดันโลหิตเป็นประจำด้วย เพราะง็อกอาจลดปริมาณน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตด้วย
ใบมะรุมเป็นสมุนไพรอีกตัวหนึ่งที่รักษาอาการปวดเข่าและปวดข้อรูมาตอยด์ได้ดี ปัจจุบันมีผู้ผลิตใบมะรุมตากแห้งบรรจุในแคปซูลขาย เนื่องจากใบมะรุมลดปริมาณน้ำตาลในเลือดและลดความดันโลหิตด้วย ควรตรวจสอบปริมาณน้ำตาลในเลือด และความดันโลหิตเป็นประจำด้วย ข้อควรระวังอีกประการหนึ่งคือบางคนอาจมีอาการแพ้มะรุมอย่างรุนแรง


ระดับน้ำตาลในเลือด
ช่วงระดับน้ำตาลในเลือดปกติ = 80-120 มิลลิกรัม/ 100 ลบ. ซม.
ระดับน้ำตาลในเลือดเฉลี่ยปกติ = 90 มิลลิกรัม/ 100 ลบ. ซม.
ระดับน้ำตาลในเลือดหลังรับประทานอาหารสำหรับผู้ที่ไม่ป่วยเป็นเบาหวานมีค่าประมาณ 140 มก. / 100 ลบ.ซม.
ความดันโลหิต
ความดันโลหิตปกติ = น้อยกว่า 120 มม.ปรอท/ น้อยกว่า 80 มม.ปรอท
ความดันโลหิตก่อนเป็นความดันโลหิตสูง = 120-140 มม.ปรอท/ 80-90 มม.ปรอท
ความดันโลหิตสูง = สูงกว่า 140 มม. ปรอท/ สูงกว่า 90 มม.ปรอท


--------------------------------------------

Armless Pianist in China's Got Talent 2010-08-08

วันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วิธีไช้หนี้พ่อแม่ อ่านนะ ดีมากเลย‏

วิธีใช้หนี้พ่อแม่ : ฉบับหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน
1.จงสร้างความดีให้กับตัวเอง
และ นี่ก็เป็นการใช้หนี้ตัวเอง ตัวเราพ่อให้หัวใจ แม่ให้น้ำเลือดน้ำเหลืองอยู่ในตัวแล้ว จะไปแสวงหาพ่อที่ไหน จะไปแสวงหาแม่ที่ไหน บางคนรังเกียจแม่ ว่าแก่เฒ่าไม่สวยไม่งาม พอตัวเองแก่ก็เลยถูกลูกหลานรังเกียจ จึงเป็นกงกรรมกงเกวียนยืดเยื้อกันต่อไปอีก

2. ใครที่คุณแม่ล่วงลับไปแล้ว
ก็ ให้หมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ท่าน และถ้าจะทำบุญด้วยการเจริญกรรมฐาน แล้วอุทิศส่วนกุศลไป การทำเช่นนี้ถือว่าได้บุญมากที่สุด ทั้งฝ่ายผู้ให้และผู้รับ

3. ผู้ใดก็ตาม
ที่ คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ให้กลับไปหาแม่ ไปกราบเท้าขอพรจากท่าน จะได้มั่งมีศรีสุข ส่วนคนที่เคยทำไม่ดีไว้กับท่าน ก็นำเทียนแพไปกราบขออโหสิกรรม ล้างเท้าให้ท่านด้วย เป็นการขอขมาลาโทษฯ

4. ขอฝากท่านไว้ไปสอนลูกหลาน
อย่า คิดไม่ดีกับพ่อแม่เลย ไม่ต้องถึงกับฆ่าหรอก แค่คิดว่าพ่อแม่เราไม่ดี จะทำมาหากินไม่ขึ้น เจ๊ง ท่านต้องแก้ปัญหาก่อนคือ ถอนคำพูด ไปขอสมาลาโทษเสีย แล้วมาเจริญกรรมฐาน รับรองสำเร็จแน่ มรรคผลเกิดแน่ ฯ

5. บางคนลืมพ่อลืมแม่
อย่าลืมนะการเถียงพ่อเถียงแม่ไม่ดี ขอบิณฑบาต สอนลูกหลานอย่าเถียงพ่อเถียงแม่ อย่าคิดไม่ดีกับพ่อกับแม่ ไม่อย่างนั้นจะก้าวหน้าได้อย่างไร ก้าวถอยหลังดำน้ำไม่โผล่ ฯ ท่านยกตัวอย่าง (เรื่องจริงนะจ๊ะ)
ตัวอย่าง ที่ 1
บ้านหนึ่งพ่อมีเมีย ๔ คน เมียหลวงบอกลูกว่าพ่อเจ้าไม่ดี ลูกก็ไปด่าพ่อว่าพ่อ
แล้วมาบวชวัดนี้ บวชแล้วเดี๋ยวเป็นโน่นเป็นนี่ จนจะกลายเป็นโรคประสาท
นี่แหละบวชก็ไม่ได้ผล หลวงพ่อก็ให้ไปถอนคำพูด และขอสมาลาโทษกับพ่อเขาก่อน แล้วกลับมานั่งกรรมฐานจึงได้ผล
(กรณีนี้ หลวงพ่อจะเตือนผู้เป็นลูกบ่อยๆไม่ให้ว่าพ่อ) แต่ให้เป็นเรื่องของแม่ที่จะแก้ปัญหานี้ ซึ่งหลวงพ่อสอนไว้แล้ว
ตัวอย่าง ที่ 2
เมื่อ เร็วๆนี้ลูกฆ่าพ่อ แม่สงสารพามาเจริญกรรมฐานพอเข้าวัดมันร้อนไปหมด ปวดหัวเข้าไม่ได้นี่เวรกรรมตามสนอง ปิตุฆาต มาตุฆาต ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน ทำกรรมฐานไม่ได้แน่นอน ต้องหันรถกลับ นี่เรื่องจริงในวัดนี้ ฯ

6. คนที่มีบุญวาสนา จะกตัญญูกับพ่อแม่ คนเถียงพ่อเถียงแม่เอาดีไม่ได้
คน ไม่พูดกับพ่อแม่ นั่งกรรมฐานร้อยปี ก็ไม่ได้อะไร? ถ้าไม่ขออโหสิกรรม ฯขออโหสิกรรม ที่คิดไม่ดีกับพ่อแม่ คิดไม่ดีกับครูบาอาจารย์ คิดไม่ดีกับพี่ๆน้องๆ
จะไม่เอาอีกแล้ว เอาน้ำไปขันหนึ่ง เอาดอกมะลิโรย กายกัมมัง วจีกัมมัง มโนกัมมัง โยโทโส
อัน ว่าโทษทัณฑ์ใด ความผิดอันใด ที่ข้าพเจ้าพลั้งเผลอสติไป ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ขอให้คุณพ่อคุณแม่ คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย
คุณพี่คุณน้อง อโหสิกรรมให้ด้วย แล้วเอาน้ำรดมือรดเท้า ฯ
นี่ แหละ ท่านทั้งหลายเอ๋ย เป็นหนี้บุญคุณพ่อแม่มากมาย ยังจะไปทวงนาทวงไร่ ทวงตึก มาเป็นของเราอีกหรือ ตัวเองก็พึ่งตัวเองไม่ได้ สอนตัวเองไม่ได้ เป็นคนอัปรีย์จัญไรในโลกมนุษย์ไปทวงหนี้พ่อแม่ พ่อแม่ให้แล้ว (ให้ชีวิต ให้…ให้… ให้….ฯลฯ ) เรียนสำเร็จแล้ว ยังช่วยตัวเองไม่ได้ มีหนี้ติดค้าง รับรองทำมาหากินไม่ขึ้น ฯ
หนี้บุญคุณอันยิ่งใหญ่ เหลือจะนับประมาณ นั่นคือหนี้บุญคุณของบิดา มารดา
ตัวอย่าง ที่ 3
"หนามแหลมใครเสี้ยม มะนาวกลมเกลี้ยงใครไปกลึง"
เด็กประถม ๔ พ่อเมาเหล้า เมากัญชาเล่นการพนัน แม่เล่นหวย ปัจจุบันเป็นดอกเตอร์อยู่อเมริกา หลวงพ่อสอนครั้งเดียวจำได้
บอกวันเกิด หนูซื้อขนม ๒ ห่อ เรียกพ่อแม่มานั่งคู่กัน แล้วกราบนะลูกนะ
แล้วก็บอกพ่อแม่ว่า ความผิดอันใดที่ลูกพลั้งเผลอ ด้วยกาย วาจา ใจ ที่คิดไม่ดีต่อคุณพ่อคุณแม่
ขอให้คุณพ่อคุณแม่อโหสิกรรมให้ แล้วล้างเท้าให้พ่อแม่ ลูกไม่มีสตางค์ ลูกซื้อขนมมา ๒ ห่อ
ให้ แม่ก่อน ๑ ห่อ เพราะอุ้มท้องมา แล้วจึงให้พ่ออีก ๑ ห่อ ลูกขอปฏิญาณตนว่า ลูกขอเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ แล้วจะเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ลูกจะไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง...
พ่อฟังแล้วน้ำตาร่วงสร่างเมา ส่วนแม่ก็ร้องไห้เลย พ่อแม่ก็ให้สัญญากับลูกเลิกอบายมุขทั้งหมด

7. ลูกหลานโปรดจำไว้
เมื่อแยกครอบครัวไปมีสามีภรรยาแล้ว อย่าลืมไปหาพ่อแม่ ถึงวันว่างเมื่อไรต้องไปหาพ่อแม่
ถึงวันเกิดของลูกหลาน อย่าลืมเอาของไปให้พ่อแม่รับประทาน อย่ากินเหล้า เข้าโฮเต็ล

8. ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้เป็นมงคลนาม
ไม่ จำเป็นต้องเปลี่ยน เพราะชื่อเป็นเพียงนามสมมุติแทนตัวเรา อย่างหลวงพ่อชื่อจรัญ ปู่ตั้งให้ หมอดูบอกเป็นกาลกิณี แต่ทำไมเจริญรุ่งเรือง ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้าทำดีได้ดี

9. ของดี ของ ปู่ ย่า ตา ยาย อย่าไปทำลายเลย
ของ พ่อแม่อย่าไปทำลายนะ หนีได้แน่นอน โยมมีกรรมฐาน มีทรัพย์ มีชื่อเสียง ความรัก บูชาทรัพย์ บูชาชื่อเสียง ความรักของพ่อแม่ได้ เงินจะไหลนองทองจะไหลมา.........
พ่อแม่ให้อะไรเอาไว้ก่อน อย่าไปทำลายเสีย ถึงจะเป็นถ้วยพ่อแม่ให้มา ก็ไว้เป็นที่ระลึกก็ยังดีอย่าเอาไปทิ้งขว้าง ฯ
10. ถ้าต้องการเจริญก้าวหน้าขอฝากไว้ด้วย
คนเรามี ๒ ก้าว จะก้าวขึ้นหรือก้าวลงดำน้ำไม่โผล่ ก้าวลงมันง่ายดี ก้าวขึ้นมันต้องยาก ของชั่วมันง่าย หลั่งไหลไปตามที่ต่ำ
นี่บอกสอนลูกหลาน ต้องการจะบรรจุงานไม่ต้องไปวิ่งเต้น ดูลูกเสียก่อน กุศลเพียงพอหรือเปล่า ต้องเพิ่มกุศล
ตัวอย่าง เรียนจบครู สวดมนตร์เข้าเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นครู ทำงานธนาคารก็ได้ บริษัทก็ได้เดี๋ยวมีคนรับ บางรายทั้งสอบทั้งสมัครหลายแห่งไม่เคยเรียกเลย อาตมาให้นั่งกรรมฐาน พอ ๗ วันผ่านไปพวกมาตามให้เข้าไปทำงานแล้ว



ถ้าส่งต่อก็จะเป็นบุญแก่ตัวเองนะ

ไม่ได้บังคับ

ค้นหา