วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2553

Al di la - Jerry Vale

AL DI LA

มูลค่าพ่อราคา 3.5แสน .. อ่านแล้วน้ำตาคลอ

//// :::นึกถึงวันที่เอาเงิน 1 แสนบาท ไปคืน... ขอบคุณมากครับ คุณลุง..อย่าเสียใจไปเลยครับ ///


.....................ย้ายมาอยู่ที่นี่ได้หลายปี เพื่อนบ้านก็ดี มีน้ำใจ ข้างบ้านรั้วติด กัน มีคุณลุงคนหนึ่ง
เป็นข้าราชการบำนาญ เกษียณมาหลายปีแล้ว ภรรยาเสีย ตั้งแต่เรายังไม่ย้ายเข้ามา ลูกๆ ทั้ง 3 คน
ต่างก็แต่งงาน มีครอบครับ ไปอยู่ที่จังหวัดอื่นๆ กันหมด ..ลุงแกก็อยู่บ้านคนเดียว มาเกือบ 10 ปี

..........เราได้รู้จักลุง ก็ได้เห็นในน้ำใจไมตรี เป็นคนใจดี อบอุ่น น่ารัก ..มีโรคประจำตัวตาม ประสาคนแก่
คือเบาหวาน ความดัน และเจ็บป่วยเล็กๆ น้อยๆ ไปตามปกติ...

ด้วยความที่อยู่บ้านคนเดียว บางครั้งเจ็บป่วย ก็ลำบากหน่อย เพราะไม่มีลูกหลาน คอยช่วย เหลือ
ช่วงเวลาหลายปี ที่ผ่านมา เราก็ได้มีโอกาสได้ช่วยเหลือ พาไปหาหมอ พาไปทำธุรต่างๆ และถ้า
ป่วยหนัก ถึงขั้นต้องนอนโรงพยาบาล ก็จะช่วยโทรตามลูกๆ ของแกให้..
..............................ลูกๆ ก็จะมาเยี่ยมบ้าง ไม่มาบ้าง แล้วแต่โอกาส

แต่ !!! เรารู้ว่า คุณลุงเหงา !!!!.....

..........บ่อยครั้งที่คุณลุงจะบ่นถึงคุณป้า ซึ่งเราไม่เคยเจอตัวจริง ได้เห็นแต่ในรูป เพราะ ท่านเสียไป
หลายปีแล้ว ก่อนที่เราจะได้ย้ายมาอยู่ที่นี่...

..........ช่วงเทศกาล ปีใหม่ สงกรานต์ เมื่อบ้านอื่นๆ เขามีลูกๆ มาเยี่ยม เราเห็นคุณลุงนั่งเหงาเพียงลำพัง
เราก็ซื้อของขวัญ ของกิน ของใช้ บางครั้งก็เป็นพวก ผลไม้บ้าง เครื่องดื่มบ้าง ไปไหว้ ...ลุงก็ดีใจ
ให้ศิลให้พร กันยกใหญ่ ...

แล้ว!!!.................

ท่านก็ได้แต่ รำพึง รำพัน ถึงลูกๆ ......จนน้ำตาไหล ท่านได้แต่เฝ้ารอ นั่งมองแต่
ประตูหน้าบ้าน รอว่าเมื่อไร จะมีรถของลูกๆ กลับมาเยี่ยมบ้างในช่วงเทศกาล ...................................
หลายปีมานี้ คุณลุงก็ได้แต่รอ...เจอเพียงแต่ความว่างเปล่า ไร้แม้แต่เงาข้างกายของคนที่เรียกลุงว่าพ่อ

..........เราก็ได้แค่ ปลอบ ว่าลูกๆ เขาคงติดธุระ
วันไหนเขาว่าง ก็คงมาเยี่ยม ไม่ต้องคิดมาก เสียสุขภาพไปเปล่าๆ...

............ที่หลังบ้านคุณลุง มีต้นมะม่วงพันธุ์ดีอยู่หลายต้น มีต้นหนึ่งที่ลูกโต หวานอร่อย เป็นพิเศษ
เราไปช่วยลุงเก็บเป็นประจำ และ คุณลุงก็จะแบ่งมาให้ทุกครั้ง.......ลุงจะคัดลูกสวยๆ เก็บใส่กล่อง
ดูแลเป็นพิเศษ...เก็บไว้รอลูกๆ อยากให้ลูกได้กินของดีๆ .......หลายครั้งหลายหน เราเห็นคุณลุง
รอลูกๆ จนมะม่วงเน่าเสียไป ไม่รู้กี่หน ต่อกี่หน

หลายปี ????? มานี้ ก็ไม่เคยเห็นลูกๆ กลับมากินมะม่วงที่พ่อบ่มไว้ด้วยใจรัก แม้แต่ครั้งเดียว

........คุณลุงมีที่แปลงหนึ่ง ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ คุณลุงบอกว่าอยากขาย ให้เราช่วยดำเนินการให้หน่อย
เราก็เขียนป้ายไปติด แล้วลงประกาศให้ ...5 เดือน เศษๆ หลังจากประกาศขาย ในที่ สุดก็มีผู้สนใจ
และก็ขายได้ในที่สุด ในราคา 1 ล้านบาท ...

........เมื่อได้เงินมา สิ่งแรกที่คุณลุงพูดถึงคือ...คิดถึงลูกๆ ถ้ารู้ว่าพ่อขายที่ได้คงดีใจ ลุงบอกว่า
จะแบ่งเงินให้ลูกทั้ง 3 คน เท่าๆ กัน ...

..........วันรุ่งขึ้น ลุงก็มาหาเราแต่เช้า บอกว่าวันนี้ ขอแรงหน่อย ช่วยพาลุงไปธนาคารที จะไป โอนเงินให้ลูก
เราก็พาไป วันนั้นเป็นลูกค้ารายแรกของธนาคาร...คุณลุงโอนเงิน ให้ลูกคนละ 3 แสนบาท ...

..........เมื่อกลับมา...จอดรถส่งลุง หน้าบ้าน...ก่อนลงจากรถ คุณลุงหยิบเงิน ในกระเป๋า 1 แสนบาท
ยื่นส่งให้ บอกว่า..เอานี่ "ลุงให้" เรารีบปฏิเสธ บอกว่า ไม่เป็นไรหรอกครับลุง ไม่ต้องให้ผม
ลุงเก็บไว้ใช้เถอะ ให้ลูกๆ ไปเกือบหมดแล้ว

ลุงบอกว่า "เอาไปเถอะ" !!!!

...........ลุงได้รับบำนาญทุกเดือน ไม่ได้เดือดร้อนอะไรที่แปลงนี้ที่ขายได้ ก็เพราะเรา ต้องรับโทรศัพท์
และพาคนไปดูที่ หลายเดือนมานี้ ไม่รู้ขับ รถไป-กลับกี่รอบแล้ว และอีกอย่าง ตลอดเวลาที่ผ่านมา
ลุงก็ได้แต่รบกวน ไม่เคยได้ให้อะไร ตอบ แทนบ้างเลย
พ่อหนุ่ม ไม่ใช่ลูก ไม่ใช่หลาน แต่ก็ยังอุตส่าห์ เสียเวลา เป็นธุระจัดการเรื่องราวให้ สารพัด............
...........รับไว้เถอะ ลุงอยากให้จริงๆ ถ้าไม่รับลุงจะเสียใจนะ......เราก็ไหว้ ขอบคุณครับลุง

..........กลับมานอนคิด ไตร่ตรอง รู้สึกไม่สบายใจ ดึกๆ จึงหยิบเงินไปหาลุงอีกรอบ...แต่ลุงไม่รับคืน
และยืนยันว่า ตั้งใจจะให้เราจริงๆ....

...........อีก 2 วันถัดมา มีรถยนต์ มาจอดที่บ้านลุง ลูกสองคน คนเล็ก และคนกลางมาเยี่ยม
และทวงถามเราถึงเงิน 1 แสนบาท พูดจาประมาณว่า...เราไปหลอกเอาเงินคนแก่ เรา รีบเข้าไปในบ้าน
หยิบเงิน 1 แสน เดินไปที่บ้านลุง แล้วคืนเงินให้ลุง...

..........ลุงปฏิเสธ และพยายามอธิบายให้ลูกๆ ฟัง แต่ทั้งสองคนไม่ยอม เราจึงวางเงินไว้แล้วเดินออกมา
ก่อนตะวันตกดิน ได้ยินเสียงรถขับออกไป ...................สักพักลุงก็มาหา เล่าว่าสองคนนั้นแบ่งเงินกันคนละ 5
หมื่นแล้วก็ลากลับไปแล้ว

คุณลุงกล่าวคำขอโทษอย่างที่สุด ..ลุงน้ำตาไหล บอกว่าเสียใจ ไม่คิดว่าลูกๆ จะเป็นไปถึงขนาดนี้...
ลุงบอกว่าจะเอาเงินบำนาญที่ได้รับทุกเดือน มาทยอยคืนให้ จนกว่าจะครบ 1 แสนบาท...

..........เราบอก ว่าไม่เป็นไรหรอกครับลุง ไม่ต้องทำอย่างนั้น..

..........อีก 3 วัน เกือบๆ เที่ยงคืน ลุงมาที่บ้าน พร้อมกับลูกชายคนโตเมื่อ 3 วันที่แล้ว พ่อโทรฯไปเล่าเรื่องให้ฟัง
พี่ก็ไม่สบายใจ.. พอดีที่ทำงานส่งไปสัมมนา หลายวันออกมาไม่ได้ พอเสร็จธุระ ก็รีบขับรถมาเลย มาถึงซะดึก..

..........พี่ต้องขอโทษ แทนน้องๆ สองคนด้วย เสียมารยาทจริงๆ เดี๋ยวต้องคุยกันเป็นเรื่อง เป็นราวสักครั้ง
อายุก็มากแล้ว แต่ก็ไม่รู้จักโต แย่จริงๆ...เอาอย่างนี้ ขอเลขบัญชีธนาคารให้พี่ได้ไหมเดี๋ยวกลับไป
พี่จะรีบโอนเงินมาคืนให้.............. ไม่ต้องหรอกครับ ไม่เป็นไร

..........เราปฏิเสธไป..........

..........วันถัดมาเมื่อลูกชายคนโตกลับไป ลุงเล่าให้ฟังด้วยความดีใจ เจ้าใหญ่มันบอกว่า วาง แผนไว้แล้ว
อีก 5 ปี จะย้ายมาทำงานที่บ้าน จะพาลูกมาเมียมาอยู่ที่นี่...เราสังเกตุเห็นแววตาอันสดใสของคุณลุง
บ่งบอกถึงความ ปิติ ยินดี อย่างที่สุด.......ดีใจด้วยครับลุง ต่อไปลุงจะได้ไม่เหงาแล้ว...

..........ตั้งแต่วันนั้น จนถึงวันนี้ เกือบ 4 ปี แล้วซินะ ที่ลุงนับวันรอ ว่าจะมีลูกๆ กลับมาอยู่ด้วย
เราเห็นปฏิทิน ที่คุณลุงขีดฆ่า วันแล้ววันเล่า ...เดือนแล้วเดือนเล่า..ปีแล้วปีเล่า

และ

สุดท้าย........

..... ลุง ..... ลุง..... ลุง..... ลุง
น่าจะอดทนรออีกนิด ..อีกนิดเดียวเองครับลุง ความสุขที่ลุงเฝ้าฝันใฝ่หามาตลิดจากลูกชายที่ลุงรักสุดหัวใจ..

............ในห้อง ไอซียู เรากับพี่ใหญ่ นั่งอยู่คนละข้างเตียงคนไข้.......ช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต
คุณลุงขยับนิ้วมือ เรากับพี่ใหญ่เอื้อมมือไปจับมือลุง ...ดวงตาค่อยๆ ปิดลงช้าๆ
..................................................................................................................................

.....................ชายชราที่เกิดมาเพื่อรอคอย ความอบอุ่นจากบุตร จากไปแล้ว อย่างไม่มีวันหวนกลับมา.......................

*** หลังงานศพ เสร็จสิ้น..........................ค่ำคืนนั้น พี่ใหญ่มาหาเราที่บ้าน ยื่นถุงกระดาษส่งให้

บอกว่า -- พ่อฝากไว้ให้
พ่อกำชับไว้ตั้งแต่ก่อนตาย ว่าต้องให้เรารับไว้ ไม่งั้นพ่อจะนอนตายตาไม่หลับ...
เราแกะถุงเปิดดูข้างใน มีซองจดหมายทั้งหมด 10 ซอง................................................


จ่าหน้าว่า... คืนเงิน เดือนที่ 1-2-3...ไปจนถึง คืนเงินเดือนที่ 10 ในแต่ละซอง ข้างในมีธนบัตรใบละ 1,000 บาท สิบใบ



.....................ซอง สุดท้าย มีข้อความ...ว่า

-------------------------------------------------------------------------------------------

ถึง...
......หลานที่ไม่ใช่สายเลือด แต่ก็เป็นหลานที่ดีกับลุงเหลือเกิน ...ลุงคืนเงินให้ตามที่เคยสัญญา .....
...ขอบคุณที่ช่วยเหลือ เป็นธุระให้ ในทุกๆเรื่อง และเป็นเพื่อนคนแก่มาตลอด...
.................................................................
...................ป้ามารอลุงแล้ว...ลุงต้องไปก่อน.

-------------------------------------------------------------------------------------------


.............อีก 2 วันถัดมาที่บ้านคุณลุง มีคนเข้ามาทำความสะอาด...เราสังเกตุเห็นปฏิทิน ที่คุณลุงใช้ขีดฆ่า
เพื่อนับวันรอลูกๆ ...ถูกทิ้งอยู่ในถังขยะหน้าบ้าน ....

-------- เดินไปที่ถังขยะหน้าบ้านลุง มองไปที่ประตู มีป้ายประกาศติดไว้.....ขายบ้านด่วน !!!!! --------

.................เราไปเก็บปฏิทินมาทำความสะอาด ..นึกถึงภาพคนแก่ที่หยิบดินสอขีดฆ่าตัวเลข
บนปฏิทินด้วยอาการมือสั่นเทา ... แต่ใจแอบยิ้มเฝ้าฝันวันลูกชายที่รักกลับมาใกล้กาย.....

.................ลูกๆ คงไม่รู้หรอกว่า ภายใต้ปฏิทินเก่าๆ ไร้ค่าใบนี้มันซ่อนความห่วงหาอาลัย
ซ่อนความเงียบเหงา ว้าเหว่ ..ซ่อนความเจ็บปวด ร้าวลึก ของคนแก่คนหนึ่ง ที่ต้องใช้
ชีวิต อยู่อย่างโดดเดียว เพียงลำพัง มานานกว่า 10 ปี ...

.................ความรู้สึกทั้งหมด คงซึมซับอยู่ในปลายปากกาที่ขีดเขียน ลงไปในแต่ละครั้ง
ในบางครั้งเรารอคนที่เรารักเพียง 1 วัน 1 ชั่วโมง 1 นาที ยังทนแทบไม่ได้ อยากเจอ ใจจะขาด
ส่วนลุงที่รอมาจาก 365 วัน เป็น 730 วัน เป็น 1095 วัน เป็น 1460 วัน
จนวันสุดท้ายของลมหายใจ
สภาพจิตใจคงย่ำแย่ เกินกว่าใครคนใดจะรู้ได้ แต่ทำไมทุกครั้งที่เราเจอลุงยังยิ้มได้ตลอดเวลา



.................เราตั้งใจจะเก็บปฏิทินนี้ไว้ เพื่อเป็นที่ระลึก...ตลอดไป...

*** .............ขอให้บุญกุศล และคุณงามความดี ทั้งหลายทั้งปวง ที่คุณลุงได้สั่งสมมาตลอดชั่วชีวิต
จงนำพาดวงวิญญาณอันบริสุทธิ์ของคุณลุง ไปสู่สุคติ..ในดินแดน อันสงบ ร่มเย็น
.....................
.................................................................
....................................... ชั่วนิรันดร์.......



...............รักคุณลุงครับ



เผื่อจะรักคนรอบตัวขึ้นมากกว่าเดิมค่ะ สำหรับคนที่คุณเรียกว่า "พ่อ" ขอให้ทุกคนที่อ่านจบ รักคนรอบข้างให้มากๆนะคะคนที่ใกล้ตัวเราที่สุดมักจะเป็นคนที่
เราอาจจะละเลยมากที่สุดแต่ใครคนนั้น...ไม่เคยละเลยต่อคุณเลย

เมื่อควบคุมอารมณ์ ไม่ได้ สุดท้ายเสียใจ

เมื่อควบคุมอารมณ์ ไม่ได้ สุดท้ายเสียใจ


ขณะที่ชายคนหนึ่งกำลังขัดล้างรถอย่างขะมักเขม้น
ลูกชายวัย 4 ขวบ ก้มลงเก็บก้อนหินขึ้นมา
แล้วบรรจงขูดขีดไปบนด้านข้างของตัวรถ

พักใหญ่ต่อมา...
เมื่อพ่อได้ยินเสียงครูดของหิน
ก็เกิดความฉุนเฉียว โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
เขากระชากมือลูกมา
ตีลงบนมือน้อย ๆ นับครั้งไม่ถ้วน
โดยไม่ทันนึกว่าตนได้ถือประแจอยู่ในมือ

ณ โรงพยาบาล..
นิ้วลูกชายถูกตัดออก4นิ้ว เพราะกระดูกแตก
จนหมอไม่สามารถเชื่อมต่อได้

ขณะที่พ่อเข้ามาดูลูกในห้อง
ลูกมองพ่อด้วยสายตาปวดร้าว
แล้วถามพ่อว่า
" เมื่อไร นิ้วหนูจึงจะงอกเหมือนเดิม ? "

คำถามนั้น...
เหมือนคมมีดกรีดลึกลงไปในหัวใจผู้เป็นพ่อ
เขารู้สึกละอายใจ รู้สึกผิด
และเสียใจในการกระทำตนอย่างไม่อาจให้อภัย

เขาจึงกลับไปที่รถ
เตะมันสุดแรงเกิดโดยไม่ยั้งจนเหนื่อยหอบ
แล้วทรุดตัวลงนั่งข้างรถอย่างเศร้าใจ
สายตาพลันเหลือบไปเห็นรอยขูดขีด






เขาเบิกตากว้าง !
จ้องมองคำว่า "รักพ่อ"
น้ำใส ๆ เริ่มเอ่อ แล้วไหลอาบแก้ม
เขาเอามือปิดหน้า
ร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับใจจะขาด

รุ่งขึ้น...
ชายคนนั้นได้ฆ่าตัวตาย

อารมณ์โกรธ มีโทษมหันต์

ปัญหาของโลกในทุกวันนี้

คือ
คนบางคน...
รักรถ หวงรถ หรือสิ่งของ อื่น
ยิ่งกว่ารักและห่วงใยลูก
หรือ เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

จำไว้เสมอว่า
สิ่งของมีไว้ให้ใช้

และ
คนมีไว้ให้รัก

ขำๆ วิธีเลือกคนให้ตรงกับงาน

อย่าคิดมาก

โห...เข้าใจคิดเนอะ

ชอบจัง อ่ะ....
วิธีเลือกคนให้ตรงกับงาน
อยากรู้ว่าพนักงานคุณเหมาะกับตำแหน่งใดกันแน่ ลองทดสอบดังนี้
1. วางอิฐ 400 ก้อนไว้ในห้อง
2. พาพนักงานเข้าไปในห้องๆ นั้น แล้วปิดประตูและหน้าต่าง
3. ปล่อยไว้อย่างนั้น 6 ชั่วโมง
4. ดูผลตามด้านล่าง:




ถ้านั่งนับอิฐยังไม่เสร็จ ให้เอาไปไว้ฝ่ายบัญชี
ถ้านับอิฐเสร็จและกำลังนับซ้ำ ให้เอาไปไว้ฝ่ายตรวจสอบ
ถ้าทำก่ออิฐรกเต็มไปหมด ให้เอาไปไว้ฝ่ายวิศวกรรม
ถ้าเรียงอิฐโดยวางแปลกๆ ดูไม่รู้เรื่อง ให้เอาไปไว้ฝ่ายวางแผน
ถ้ากำลังเอาอิฐเขวี้ยงกัน ให้เอาไปไว้ฝ่ายปฏิบัติการ
ถ้ากำลังหลับ ให้เอาไปไว้ฝ่ายรักษาความปลอดภัย
ถ้าทำอิฐพัง หรือแตก ให้เอาไปไว้ฝ่ายสารสนเทศ
ถ้านั่งขี้เกียจ ไม่ทำอะไร ให้เอาไปไว้ฝ่าย HR
ถ้าบอกว่ากำลังคิดถึงวิธีการเรียงใหม่ๆ และต้องการอิฐเพิ่ม แต่อิฐยังกองอยู่แบบเดิม
ให้เอาไปไว้ฝ่ายขาย
ถ้าคิดแต่จะออกไปนอกห้อง ให้เอาไปไว้ฝ่ายมาเกตติ้ง
ถ้าเอาแต่เหม่อลอยออกไปนอกห้อง ให้เอาไปไว้ฝ่ายวางแผนกลยุทธ
ถ้าเอาแต่คุยกัน แต่อิฐไม่ขยับเลยสักก้อน
ก็ให้แสดงความยินดีกับ(พวก)เขา เราค้นพบ(เหล่า)ผู้บริหารแล้ว


ไชโย! 555+

Stupid Game Show Answers Clipdown - Clips 10-2

MAtrix Ping Pong

Japanese Game Show

鄧麗君 - 望春風 (闽南/福建語)

Teresa Teng 鄧麗君 - 雨 夜 花

Segway Owner DIES Going Over CLIFF?!

กลุ่มบุคคลไม่พึงประสงค์ 12 แบบบน FACEBOOK โดย CNN.com

ทาง CNN.com ได้ทำการแบ่งประเภทของบุคคลที่ไม่พึงประสงค์บน facebook ไว้ 12 แบบ ลองอ่านกันดูนะครับว่า เพื่อนๆ ถูกจัดไว้ประเภทไหนกันบ้างรึเปล่า บางคนเป็นมากกว่าหนึ่งประเภทนะเนี่ย ฮ่าๆๆๆ
1. The Let-Me-Tell-You-Every-Detail-of-My-Day Bore

พวก ที่คิดว่าทุกอย่างที่ฉันทำอยู่ ทุกคนจะต้องรับรู้มัน เช่น “ตื่นนอนแล้วนะจ๊ะ” “กำลังกินข้าวเที่ยงอยู่” อะไรประมาณนั้น จะเห็นได้ว่าทุกจังหวะชีวิตของคนที่อยู่ในกลุ่มนี้ จะสามารถที่จะรู้ได้ โดยการเข้าไปอ่านจากสถานะของเธอบน facebook



2. The Self-Promoter

พวกที่คอยเอาแต่โฆษณาขายของแต่ของตัวเอง มันคงไม่แปลกถ้าเราจะโพสลิงค์ไปที่เว็บใดเว็บนึง แต่ถ้าทุกครั้งที่เราทำการส่งลิงค์ไปนั้น กลับเป็นแต่ลิงค์ของเว็บเราเอง เราก็คงจะไม่ชอบมากนักใช่มั๊ยครับ



3. The Friend-Padder

พวกรวยเพื่อน คนบน Facebook ส่วนใหญ่จะมีเพื่อนอยู่ประมาณหลักร้อยคน แต่ถ้าใครที่มีเพื่อนเป็นหลักพัน โอ้วแม่เจ้า! คุณคิดว่าคนเหล่านั้นเป็นเพื่อนเค้าจริงๆ หรือเปล่า? เออ< SPAN lang=en-us>… หรือไม่แน่เค้าคนนี้อาจจะเป็นดาราดังก็ได้นะ



4. The Town Crier

พวกนักข่าวประจำหมู่บ้าน พวกนี้นี้ถ้ามีข่าวอะไรเกิดขึ้น คุณจะได้ยินจากคนพวกนี้เป็นกลุ่มแรก!



5. The TMIer

พวก พูดจาน้ำท่วมทุ่ง (TMI: Too Much Information) คือประเด็นมันมีแค่นิดนึง แต่ก็จะพูดยาวๆ ซะจนยืดเยื้อน่ารำคาญ บางทีก็พูดในสิ่งที่ไม่ควรจะพูดมากนัก ไม่ว่าจะเป็น ชีวิตสมรสที่ล้มเหลว การไปมีเซ็กส์กับคนอื่นแบบไม่ตั้งใจ เป็นต้น



6. The Bad Grammarian

พวก ที่ชอบเขียนแบบผิดๆ โดยที่นึกว่าตัวเองเขียนแบบนี้ไปแล้ว คนอื่นจะมองว่าตัวเองเท่ห์ ตัวเองจริง แต่ว่าคนอื่นอาจจะมองได้ว่า ไอ้นี่มันเรียนจบป.6 แล้วหรือยัง?



7. The Sympathy-Baiter

พวก ที่ชอบขอความเห็นใจจากคนอื่น พวกนี้มักจะโพสต์สถานะของตัวเองไว้ว่า “วันนี้รู้สึกแย่จังเลย” “คืนนี้ฉันเหงาจัง” อะไรประมาณนี้ คนอะไรมันถึงจะเศร้าอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน



8. The Lurker

พวก เสือซุ่ม คือพวกนี้จะไม่ค่อยอัพเดทสถานะของตัวเองซักเท่าไหร่ บางทีอาจจะขี้เกียจ แต่ถ้าเมื่อไหร่ได้มีโอกาศคุยกับเค้าแล้วละก็ คุณอาจจะสงสัยได้ว่า ไอ้หมอนี้มันรู้ได้ยังไง ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยเห็นมันเข้ามามีกิจกรรมใน Facebook เท่าไหร่เลยนี่หว่า



9. The Crank

พวก กลุ่มคนขี้โมโห ต่อต้านสังคม เฮียคลั่ง พวกนี้มักจะใช้ถ้อยคำที่ค่อนข้างดิบ เถื่อน รุนแรง ดิบๆ แล้วก็ชวนให้ทะเลาะด้วย เวลาที่กลุ่มคนเหล่านี้ ได้ทำการโพสสถานะของพวกเค้าบน Facebook



10. The Paparazzo

พวก ปาปารัซซี่เรียกพี่ พวกนี้มักจะเอารูปของคนอื่นไปโพสไว้ โดยที่เจ้าของยังไม่รู้ตัวเลยว่า ไอ้รูปพวกนี้มันมาจากใคร ที่ไหน หรือว่าตอนไหนหว่า?



11. The Maddening Obscurist

พวก ที่ชอบพูดไรคลุมเคลือ หรือว่าจับความไรไม่ค่อยได้ บางทีก็เพ้อออกมาลอยๆ ซะงั๊น บางอย่างก็เป็นอะไรที่ขัดกันอยู่ในตัวมันเอง เช่น “ฉันคิดว่าไอ้นี่มันเรียนเก่งดีนะ แต่ฉันว่าเค้าก็ไม่ได้โง่หรอก” ???



12. The Chronic Inviter

พวกชื่นชอบชวนเชื้อเชิญ ไม่ว่าจะเป็นเกมส์เอย คำถามปัญญาอ่อนเอย (แต่ผมก็ชอบอ่านนะ ฮาดี) บางทีส่งมา Invite กันจัง ทุกวัน วันละ 3 เวลา บางทีก็ชวนไปเข้าแก๊งค์นี้มั่ง ไปลอบฆ่าคนๆ นั้นมั่ง ประมาณนี้



เป็นยังไงกันบ้างครับ กับ 12 กลุ่มคนไม่น่าพึงประสงค์บน Facebook ... แต่ไม่ว่ายังไงก็แล้วแต่ ก็อยากให้คิดกันนิดนึงนะครับว่า ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เราทำอยู่บนอินเตอร์เนตนั้น สิ่งที่เราทำอยู่ ก็เหมือนกับเรากำลังทำอยู่บนโลกจริงๆ ของเรา เพราะไม่ว่าจะโลกออนไลน์ หรือว่าออฟไลน์ สิ่งต่างๆ ที่เราทำลงไปนั้น ก็จะมีผลกระทบต่อผู้อื่นเหมือนๆ กันเลยนะครับผม



ที่มา : http://facebook.in.th

Martin Denny - China Nights

Dick Curless - China Nights

China Nights 支那の夜 - 李香蘭

Kyu Sakamoto - China Nights (Shina No Yoru) 1963 45rpm

China Nights ( Recorded by Kyu Sakamoto)

Cause of NO underwear! ...ผลของการไม่สวม กกน

รวบแก๊งขายใบกำกับภาษีทางอินเทอร์เน็ต

รวบแก๊งขายใบกำกับภาษีทางอินเทอร์เน็ต

รวบแก๊งขายใบกำกับภาษีทางอินเทอร์เน็ต มูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท

วันนี้ ( 29 ก.ย.) นายวินัย วิทวัสการเวช อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กรมสรรพากรร่วมกับ พล.ต.ท. ไถง ปราศจากศัตรู ผบช.ก. พล.ต.ต.ปัญญา มาเม่น รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.สุรพล หอมชื่นชม ผบก.ปอท. และพล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ ผบก.ปอศ. สืบสวนเกี่ยวกับขบวนการผู้ออกใบกำกับภาษีปลอม โดยจับกุม น.ส.สิริยากร โ สมทรัพย์ พร้อมหลักฐานการกระทำผิดของ น.ส.สิริยากร โดยมีพฤติการณ์เปิดบริษัทค้าวัสดุก่อสร้างของตนเอง ออกใบกำกับภาษีโดยไม่ได้ซื้อขายสินค้าจริง และไม่สามารถนำไปใช้แสดงต่อกรมฯ เพื่อเป็นเครดิตภาษีหรือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีได้แต่อย่างใด นอกจากนี้ ยังแอบอ้างชื่อบริษัทผู้อื่นออกใบกำกับภาษีอีกด้วย
โดยจับกุมได้ที่หมู่ 6 ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี พร้อมทั้งสามารถยึดเอกสารใบกำกับภาษีปลอมได้เป็นจำนวนมาก และยึดเครื่องคอมพิวเตอร์ 6 เครื่อง ในเบื้องต้นคิดมูลค่าสินค้าที่ซื้อขายตามใบกำกับภาษีปลอมได้กว่า 1,000 ล้านบาท ส่งให้พนักงานสอบสวน บก.ปอท. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายและจะสืบสวนสอบสวนเพื่อติดตามจับกุมขบวนการดังกล่าวที่เหลือต่อไป.


ที่มา : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553

MV สาวเกาหลี - พี สะเดิด

Full House Music

samurai lucifer shinee dance ver จัดทำโดย Combodia kid

วิธีทำผมสไตล์เกาหลี ทรง Fara Fara

สาวเกาหลีเล่นปากกา

เกาหลีแด๊นซ์

[TonightShow] การทำตาสองชั้นแบบเกาหลี

ตัวอย่าง 32 ธันวา Ver. 2 (OFFICIAL)

หนังใหม่น่าดูประจำปี 2010 - Tron Legacy [SFBKK.com]

รัฐบาลที่ รวยที่สุดในโลก

Subject: รัฐบาลที่ รวยที่สุดในโลก





ดัชนี้หุ้นตอนนี้เกือบพันจุดแล้ว
นี่ถ้าไม่มีเผาบ้านเผาเมืองป่านนี้ พี่มาร์คกะพี่กรณ์ ของเรา พาประเทศไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้
เออ...พอดีมีเพื่อนผมเปรียบเทียบ ทักษิณ กะ ฮิตเลอร์ เลยเอามาให้อ่านเล่นๆดังข้างล่าง

ในเมืองไทยนี่ มีคนที่เจริญรอยตามฮิตเลอร์ แต่ดันเป็นที่รักและบูชาของคนเกลียดฮิตเลอร์...แปลกดีว่ะ



หลังสงครามโลกครั้งที่1 เยอรมันกำลังอยู่ในสภาพยากจนผู้คนหดหู่สิ้นหวัง

หลังฟองสบู่แตก พศ๒๕๔๐ คนไทยหดหู่สิ้นหวัง

ฮิตเลอร์อาศัยจังหวะที่คนต้องการ"ท่านผู้นำ"ที่รับปากว่าจะทำให้บ้านเมืองกลับสู่สภาพปกติแถมจะรุ่งโรจน์อย่างไม่เคยมีมาก่อน

ไทยแลนด์...เซมๆ เดี๋ยวพ้มจะกอบกู้เศรษฐกิจ จะพาให้รวยกันทั้งประเทศ

ฮิตเลอร์สมัยหนุ่มๆเคยทำงานรับผิดชอบด้านโฆษณาให้พรรค เป็นคนเชื่อในอิทธิพลของการโฆษณาชวนเชื่อ

ไทยแลนด์...เซมๆ เชื่อในการโฆษณา ใช้โฆษณาชวนเชื่อปลุกระดมสร้างความหวัง

ปี 1932 พรรคของฮิตเลอร์เป็นพรรคที่ใหญ่ที่สุดในเยอรมัน 1933 ฮิตเลอร์เรืองอำนาจ

ปี ๒๕๔๔ ทุยรักไทย ไทยรักทุย ทุยรักทุย เรืองอำนาจ

พอได้อำนาจ...ฮิตเลอร์สลายพรรคการเมืองอื่นๆ สัญญากับประชาชนว่าจะฟื้นฟูเกียรติภูมิเยอรมัน ฉีกสัญญาแวร์ซาย

ไทยแลนด์...เซมๆ สลายพรรคการเมืองอื่น รวบนักการเมืองสวะจากพรรคควายหวังหม่ำเข้าทุยรักทุย สัญญาจะนู้นจะนี่ บลาๆๆๆๆๆๆๆๆ

1938 บุกออสเตรีย ปีต่อมาบุกโปแลนด์ 1941 ฆ่าคนไปเป็นล้านๆ พาเยอรมันเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2

๒๕๔๖ ประกาศนโยบายฆ่าตัดตอน 3เดือนตายไปสองพันกว่า

๒๕๔๗ ดูถูกและเริ่มปราบ "โจรกระจอก" พาสามสี่จังหวัดภาคใต้กลายเป็นนรก ถึงทุกวันนี้...ตัวเองหนีไปเสพสุข ชาวบ้านตายไปแล้ว กว่า 4พัน

1944 โดนเมกันไล่บี้ใกล้จนตรอก ฮิตเลอร์สั่งให้ทำลายทุกสิ่งที่เยอรมันมี ประกาศ "ถ้าแพ้สงคราม ประชาชนก็ต้องแพ้ด้วย"

๒๕๔๙ โดนถีบออกจากอำนาจ หันมาทำลายประเทศไทย ปลุกระดมทำเรื่องเพื่อความอยู่รอดและสมบัติตัวเองให้เป็นสงครามประชาชน



ฮิตเลอร์ถนัดใช้วิสามัญฆาตกรรม แก้ปัญหา ยึดครองสื่อและถือว่าตนถูกต้องเสมอไม่ฟังเสียงใคร

ไทยแลนด์...เซมๆ ปานกลับชาติมาเกิด แต่ฮิตเลอร์ดีกว่า ตรงที่ไม่มีผลประโยชน์ทางธุรกิจ







--------------------------------------------------------------------------------



รัฐบาลที่ รวยที่สุดในโลก (ไทยติดอันดับที่ 13) และประเทศที่กู้เงินมากที่สุดในโลก..



รัฐบาลประเทศไหน มีเงินมากที่สุด ในสกุล ดอลลาร์สหรัฐ ($)

หากคุณคาดหวังอเมริกาเหนือและยุโรปประเทศคุณอาจจะผิดหวัง
สหรัฐ อาจมีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุด แต่รัฐบาลอเมริกันไม่ได้รวย ในความเป็นจริง วันนี้รัฐบาลสหรัฐได้กู้ยืมเงินถึง 14,000,000,000,000 $
ขณะที่ประเทศ สหราชอาณาจักรมีหนี้ที่รัฐบาล 9,000,000,000,000 $


ชื่อประเทศ: มีเงินทุนสำรองแห่งชาติ (หน่วย ‘000,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ)
1 ประเทศจีน $ 2.454.300
2 ประเทศญี่ปุ่น $ 1.019.000
3 Russia $ 458,020
4 ประเทศซาอุดีอาระเบีย $ 395,467
5 ไต้หวัน $ 362,380
6 ประเทศอินเดีย $ 279,422
7 เกาหลีใต้ $ 274,220
8 ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ $ 262,000
9 ฮ่องกงจีน $ 256,000
10 ประเทศบราซิล $ 255,000
11 สิงคโปร์ / $ 203,436
12 Germany / $ 189,100

13 ไทย / $ 150,000

14 แอลจีเรีย / $ 149,000
15 ฝรั่งเศส / $ 140,848
16 อิตาลี / $ 133,104
17 สหรัฐอเมริกา / $ 124,176
18 Mexico / $ 100,096
19 อิหร่าน / $ 96,560
20 มาเลเซีย / $ 96,100
21 โปแลนด์ / $ 85,232
22 ลิเบีย / $ 79,000
23 Denmark / $ 76,315
24 ตุรกี / $ 71,859
25 อินโดนีเซีย / $ 69,730
26 สหราชอาณาจักร / $ 69,091
27 อิสราเอล / $ 62,490
28 Canada / $ 57,392
29 นอร์เวย์ / $ 49,223
30 อิรัก / $ 48,779
31 อาร์เจนตินา / $ 48,778
32 ฟิลิปปินส์ / $ 47,650
33 สวีเดน / $ 46,631
34 สหรัฐอาหรับEmirates / $ 45,000
35 ฮังการี / $ 44,591
36 โรมาเนีย / $ 44,056
37 ไนจีเรีย / $ 40,480
38สาธารณรัฐเช็ก / $ 40,151
39 ออสเตรเลีย / $ 39,454
40 เลบานอน / $ 38,600
41 เนเธอร์แลนด์ / $ 38,372
42 แอฟริกาใต้ / $ 38,283
43 เปรู / $ 37,108
44 อียิปต์ / $ 35,223
45 เวเนซุเอลา / $ 31,925
46 ยูเครน / $ 28,837
47 สเปน / $ 28,195
48 โคลอมเบีย / $ 25,141
49 ชิลี / $ 24,921
50 เบลเยี่ยม / $ 24,130



ประเทศที่กู้เงินมากที่สุดในโลก


โดยทั่วไปประเทศสามารถกู้ยืมได้ถึง 100% ของ GDP


ในประเทศอุตสาหกรรมที่เข้มแข็งมาก ประเทศมีเสถียรภาพทางการเงินสามารถกู้ได้ถึง 200% ของ GDP


แต่ประเทศที่กู้ยืมเงิน กว่า 250% ของ GDP ก็จะล้มละลายทางการเงิน

ซิมบับเว กู้ยืมเงินอยู่ 282.60 %ของ GDP เป็นประเทศที่ล้มละลายแล้ว


กรีซ กู้ยืมเงินอยู่ 113.40% ของ GDP อยู่ในภาวะที่เป็นอันตรายเนื่องจากไม่ได้เป็นประเทศอุตสาหกรรมหรือการเงินที่แข็งแกร่ง


ไอซ์แลนด์ กู้ยืมเงินอยู่ 107.60% ของ GDP อยู่ในภาวะที่เป็นอันตรายเนื่องจากไม่ได้เป็นประเทศอุตสาหกรรมหรือการเงินที่แข็งแกร่ง


สิงคโปร์ กู้ยืมเงินอยู่ 113.10% ของ GDP ไม่เดือดร้อน เพราะ Hub ของสถาบันการเงินโลกและยังแข็งแกร่งทางการเงิน จะเป็นอันตรายสำหรับสิงคโปร์เมื่อถึงกู้ยืมเงิน 200% ของ GDP


ญี่ปุ่น กู้ยืมเงินอยู่ 189.30% ของ GDP ยังไม่เป็นที่ต้องจับตามอง เพราะญี่ปุ่นเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่มีประสิทธิภาพ จะเป็นอันตรายเมื่อถึงกู้ยืมเงิน 200% ของ GDP


สหรัฐฯ มีหนี้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกแต่เป็นเเพียง 62% ของ GDP แต่มันจะไม่ล้มละลายในทันที

มาเลเซีย กู้ยืมเงินอยู่ 53.70% ของ GDP


ฮ่องกงและไต้หวันกู้ยืมเงินอยู่ 32-37% ของ GDP ซึ่งถือว่าดีมาก


เกาหลีใต้ กู้ยืมเงินอยู่ 23.5% ของ GDP


จีน มีเสถียรภาพมาก ด้วยกู้ยืมเงินอยู่ที่ 16.90% ของ GDP


รัสเซีย หรักแน่นเหมือนภูเขาใหญ่ มีกู้ยืมเงินอยู่ที่ 6.30% ของ GDP


มีเพียง 5 ประเทศที่ไม่มีหนี้(IE 0%) คือ
บรูไน, Liechtenstein, Palau, Nieu, และมาเก๊าของจีน
สศค.เผยหนี้สาธารณะไทย 42%ของ GDP

บรรยายพิเศษ เรื่อง นิ้วล็อก โดย นพ.วิชัย วิจิตรพรกุล

"ตา" ถ้าคุณยังมี...อย่าลังเลที่จะดูแล

"ตา" ถ้าคุณยังมี...อย่าลังเลที่จะดูแล



1. ปรับช่องแอร์ในรถให้ต่ำลง* อย่าให้ลมเย็นพ่นเข่าตาโดยตรง
เพราะลมเย็นพวกนี้จะเป็นสาเหตุให้ตาแห้ง ถ้าปล่อยไว้นานๆ
กระจกตาก็อาจจะถลอกจนกลายเป็นปัญหาเรื้อรังได้*

2. บลูเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่ดีต่อสายตามากๆ* และหาซื้อได้ไม่ยากเลย
แค่ซื้อแยมบลูเบอร์รี่มาทาขนมปังทาน คุณก็จะได้รับสารอาหาร
แอนโธไซยาโนไซด์ ซึ่งช่วยบำรุงสายตาแล้ว*

3. อย่ามองข้ามมันเทศ* ของดีราคาย่อมเยาที่พ่อค้าเขาเดินขาย
วิตามินในมันเทศจะช่วยปรับสายตาของคุณให้เห็นได้ชัดในที่มืด*

4. เวลาทำกับข้าวอย่าลืมใส่หัวหอมแดงลงไปด้วย*
เพื่อให้สารต้านอนุมูลอิสระเคอร์ซิทินในหอมแดงจะช่วย
ป้องกันต้อหินให้คุณ
*

5. อย่าขี้เกียจเดิน* เพราะผลการวิจัยบอกว่าเดินอย่างน้อย
สัปดาห์ละ 4 ครั้งจะช่วยลดความดันในกระบอกตา
ทำให้สายตาเป็นปกติ*

6. กินปลาสัปดาห์ละ 2 ครั้ง* เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดโอเมก้า-3
ที่จำเป็นสำหรับบำรุงสายตา*

7. ลดขนมหวานๆ และอาหารมันจัด* อาหารพวกนี้เกิดมา
เพื่อเป็นศัตรูกับสุขภาพ รวมทั้งสายตาของคุณด้วย*

8. ก่อนออกจากบ้านอย่าลืมใส่แว่นกันแดดเสมอ*
เพื่อป้องกันทั้งลม แดด ฝุ่นละออง และเชื้อโรค
ที่จะแท็คทีมกันมาทำร้ายสายตาที่รักของเรา*

9. ตรวจวัดความดันโลติตเป็นประจำทุกเดือน*
ความดันที่ผิดปกติมีผลโดยตรงต่อสายตามาก จึงไม่ควร
มองข้ามการวัดความดัน
ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลจะได้รักษาได้ทันท่วงที*

10. สวมหมวกปีกกว้าง*แว่นกันแดดอย่างเดียวอาจจะ
สู้กับแดดแรงมหาร้อนอย่างบ้านเราไม่ไหว หมวกปีกกว้างจึงเป็น
อุปกรณ์เสริมอีกอย่างที่ขาดไม่ได้ เพื่อป้องกันรังสียูวี
ที่อาจจะเล็ดลอดเข้ามาทางด้านบนของแว่นกันแดด*

11. อย่าละเลยการทำความสะอาดดวงตาด้วยน้ำยาล้าง
เครื่องสำอางค์ทุกคืน* เพื่อป้องกันไม่ให้มาสคาร่าที่อาจจะ
เหลือตกค้างอยู่เข้าไปหมักหมมอยู่ในดวงตาจนเกิดการติดเชื้อ
*

12. กินผักใบเขียวเป็นประจำทุกวัน*ผักใบเขียวเป็นแหล่งรวม
ของสารลูเทอินและซีอาแซนธิน ที่ช่วยลดความเสี่ยง
โรคต้อกระจก และยังซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในกระบอกตาได้ด้วย
(คนที่เกลียดผักคงต้องพยายามหน่อยน่ะ)*

13. ผักบีตสดๆเป็นของขวัญชั้นดีที่จะมอบให้ดวงตาของตัวเองได้*
ผักชนิดนี้มีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่จะช่วยปกป้องหลอดเลือด
ในกระบอกตา ทำให้ตาคุณมีเลือดไปเลี้ยงอย่างสมบูรณ์
ทำให้ตาคุณสวยและใส*

14. เลิกทานอาหารที่เค็มจัด* เพราะคนที่ติดรสเค็มจะมี
โอกาสเป็นโรคต้อกระจกมากกว่าคนที่ชอบอาหารรสจืด
*

15. หมั่นซักผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัวบ่อยๆ* เพื่อให้ผ้าส่วนตัวของคุณ
สะอาด ปราศจากเชื้อโรค ทีสำคัญไม่ควรใช้ผ้าเช็ดหน้าร่วมกับใคร
เพราะในผ้าพวกนั้นอาจจะมีเชื้อโรคตาแดงซ่อนอยู่*

16. น้ำหอมกลิ่นมะลิ วนิลา หรือเปปเปอร์มินต์
มีสรรพคุณช่วยกระตุ้นระบบลิมบิกในสมอง*ซึ่งจะไปกระตุ้นเซลล์
รูปแท่งในจอตาอีกต่อหนึ่ง ทำให้คุณมองเห็นในที่มืดได้ชัดขึ้น
แค่หยดน้ำหอมกลิ่นใดกลิ่นหนึ่งไว้ที่แขนเสื้อ ก็จะมีสายตาดี
ขึ้นได้แล้ว ว้าว!! ง่ายจัง*

17. อย่าเพ่งมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานเกินไป* แม้การอ่านหนังสือ
ก็ควรถอนสายตามองออกไปที่ไกลๆทุกๆ 30 นาที
เพื่อพักสายตาไม่ให้เพลียหรือล้าถาวร*

18.กินผักโขมสัปดาห์ละ 2 ครั้ง* ผักชนิดนี้มีสารลูเทอิน
ซึ่งจะช่วยป้องกันต้อกระจกและภาวะศูนย์กลางประสาท*

19. เปลี่ยนมาสคาร่าขวดใหม่ทุกๆ 3 เดือน* ทุกครั้งที่
มาสคาร่าสัมผัสตาคุณ จะต้องมีความสกปรกเล็กๆน้อยๆ
ติดมาด้วย เมื่อมาหมักหมมปนกันนานเกิน 3 เดือนขึ้นไป
มาสคาร่าขวดโปรดของคุณก็จะกลายเป็นแหล่งรวมเชื้อโรค
ไปโดยปริยาย

วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

รุ้ไหม Gen-B, Gen-X, Gen-Y, Gen-Z คืออะไร? และเสี่ยงเป็นโรคอะไร?

GOOD TO READ...






Gen-B, Gen-X, Gen-Y, Gen-Z คืออะไร ? เสี่ยงโรคอะไร ?
ชื่อเหล่านี้คือ ยุคสมัยที่จัดแบ่งกลุ่มคนตามช่วงอายุทางวิชาประชากรศาสตร์ที่อเมริกันชนเขาใช้ และได้เผยแพร่ไปทั่วโลก

'Gen-B' (Generation B) หรือ Baby Boomers เป็นกลุ่มคนที่เกิดในช่วง พ.ศ. 2490-2508 ที่ปัจจุบันจะมีอายุอยู่ในระหว่าง 45-63 ปี
′Gen-X′ (Generation X) คนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2508-2522 อายุ 30-44 ปี เป็นลูกของ Gen-B
'Gen-Y′ (Generation Y) คนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2523-2543 อายุ 9-29 ปี เป็นลูกเป็นหลานของสองกลุ่มข้างต้น
′Gen-Z′ (Generation Z) กลุ่มอายุน้อยที่สุดในปัจจุบัน เป็นผู้ที่เกิดในช่วง พ.ศ. 2537-ปัจจุบัน หรืออายุ 1-16 ปี

ยุคทั้ง 4 ไม่เพียงแต่จะมีความต่างทางด้านสังคม ความคิดแล้ว เรื่องของการดำรงชีวิตและอาหารการกินยังแตกต่างออกไป จึงทำให้ในแต่ละเจเนอเรชั่นจึงมี ′โรค′ เฉพาะตัว โรงพยาบาลกรุงเทพมีข้อมูลความเสี่ยงใน ′โรคฮิต′ ของแต่ละเจเนอเรชั่นมาบอกกล่าว


Gen-B กลุ่มคนที่เกิดในช่วง พ.ศ. 2490-2508 ที่ปัจจุบันจะมีอายุอยู่ในระหว่าง 45-63 ปี
มักเจอ 4 โรคยอดฮิต ความดันโลหิตสูง มะเร็ง หลอดเลือดสมอง
′ความดันโลหิตสูง′ คนส่วนใหญ่มักไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคนี้ แต่ถ้าสังเกตดี ๆ อาจมีอาการเหล่านี้ เสียงดังหวิว ๆ ในหู ได้ยินเสียงชีพจรเต้นในหัวตัวเอง เลือดกำเดาไหลบ่อย เวียนหัวเป็นประจำจนผิดสังเกต ใจสั่น หัวใจเต้นแรงผิดปกติ ขาบวม หงุดหงิดง่าย อ่อนเพลีย
′มะเร็ง′ ที่พบได้บ่อยมากในคนไทย มีทั้งมะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม และมะเร็งปากมดลูก สามารถรักษาได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับบริเวณ มีทั้งให้ยา เคมีบำบัด ฉายแสง และผ่าตัด
′โรคหลอดเลือดสมอง′ หรือ ′stroke′ เกิดจากสมองขาดเลือดเพราะเกิดการอุดตันของเส้นเลือดที่นำอาหารและออกซิเจนไปเลี้ยงสมอง ส่วนใหญ่จะเกิดแบบเฉียบพลัน มักมีอาการตาพร่ามัว ปวดหัว วูบ แขนขาอ่อนแรงด้านใดด้านหนึ่ง พูด กลืนลำบาก ทรงตัวไม่ดี หากถึงมือแพทย์ช้าอาจเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตได้
′โรคหลอดเลือดหัวใจตีบตัน′ หรือ ′หัวใจขาดเลือด′ เกิดจากไขมันสะสมในเส้นเลือดแดงจนไม่สามารถนำเลือดไปเลี้ยงหัวใจได้ มีการเจ็บหน้าอก จุกแน่นลึก ๆ บริเวณใต้กระดูกหน้าอก หรือหน้าอกด้านซ้าย มักมีการเจ็บร้าวไปที่หัวไหล่ซ้ายลงไปตามแขนซ้ายด้านใน หน้ามืด ต้นเหตุของโรคร้ายนี้เกิดจากความเครียด อาหารที่รับประทานเข้าไป ชา กาแฟ สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ พักผ่อนไม่เพียงพอ และไม่ออกกำลังกาย
การดูแลป้องกัน คนเจเนอเรชั่นนี้ควรอย่าเครียด หมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ดูแลการทานอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ หลีกเลี่ยงการทานอาหารหมักดอง หรือไหม้เกรียม งดกินเค็ม เลี่ยงรสจัด ชา กาแฟ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กินอาหารไขมันต่ำ ทานผัก ผลไม้ ควบคุมความดันโลหิต พักผ่อนให้เพียงพอ และอย่าลืมตรวจสุขภาพกายและหัวใจเป็นประจำ




Gen-X กลุ่มคนที่เกิดระหว่าง 2508-2522 ตอนนี้จะมีอายุอยู่ที่ 30-44 ปี
′Gen-X′ เป็นลูกหลานของ Gen B คนกลุ่มนี้เรียกได้อีกอย่างว่า Yuppie (Young Urban Professionals) เพราะเกิดมาพร้อมกับความมั่งคั่งของโลก จึงมีความคิดกว้าง มีพฤติกรรมง่าย ๆ สบายดี ให้ความสำคัญในเรื่องงานและครอบครัวอย่างเท่าเทียมกัน
Gen-X เป็นวัยฉกรรจ์ที่กำลังอยู่ในช่วงการทำงานมักเสี่ยงกับการเป็นเบาหวาน ปวดหลัง และโรคกระเพาะ
′เบาหวาน′ เกิดจากการที่ร่างกายผลิตอินซูลินไม่เพียงพอ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น ซึ่งถ้าปล่อยไว้นานเข้า หลอดเลือดจะถูกทำลายและทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนที่รุนแรงได้
′ปวดหลัง′ พบมากในคนที่ทำงาน แม้จะไม่อันตรายร้ายแรงถึงชีวิต แต่อาจเกิดอาการเรื้อรัง
′โรคกระเพาะ′ มักเกิดกับคนที่ต้องทำงานแข่งกับเวลา เคร่งเครียดจนลืมที่จะรับประทานอาหาร หรือเกิดจากการดื่มสุรา สูบบุหรี่อย่างหนัก มักจะมีอาการปวดท้องกะทันหัน หรือปวดก่อน-หลังรับประทานอาหารก็ได้ อาจมีอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย
การดูแลป้องกัน ควรรับประทานอาหารให้เป็นเวลา ย่อยง่าย หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด อาหารหมักดอง และแอลกอฮอล์ทุกชนิด หมั่นบริหารกล้ามเนื้อหลังให้แข็งแรง ฝึกการนั่งให้ถูกท่า เลี่ยงการใส่รองเท้าส้นสูง ควบคุมน้ำหนักและน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ


Gen-Y คนที่เกิดระหว่างปี พ.ศ. 2523-2543 อายุ 9-29 ปี
′Gen-Y′ เป็นลูกเป็นหลานของสองกลุ่มข้างต้น

กลุ่มนี้มีค่านิยมที่เปลี่ยนไปด้วยเติบโตมาท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง ทั้งจากค่านิยมที่แตกต่างจากรุ่นปู่ย่าตายายกับรุ่นพ่อแม่ ขณะเดียวกันก็ก้าวไปพร้อม ๆ กับเทคโนโลยีที่เจริญรุดหน้าทั้งคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต และไอที
มีคนกล่าวว่า ด้วยความสับสนและซับซ้อนที่คนกลุ่มนี้ต้องรับ จึงตั้งคำถามอย่างงง ๆ ถึงตัวเองว่า Why me ? คนกลุ่มนี้จะเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่ชอบมีเงื่อนไข และไม่อยู่ในกรอบ ชอบการสื่อสารแบบไม่เผชิญหน้า ขณะเดียวกันก็ชอบความชัดเจนในเป้าหมาย

Gen-Y อยู่ในวัยสดใสที่ก้าวเข้าสู่ชีวิตการทำงาน มักมีไมเกรน กรดไหลย้อน และกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เป็นโรคยอดฮิต
′ไมเกรน′ เกิดจากความผิดปกติในการขยายและหดตัวของหลอดเลือด มักจะปวดศีรษะข้างเดียว ปวดตุ้บ ๆ จนทำงานไม่ได้ อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เกิดได้จากความเครียด การเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน มีหรือหมดประจำเดือน ตั้งครรภ์ อ้วน และพันธุกรรม โดยจะมีสิ่งที่กระตุ้นทำให้ปวดศีรษะได้แก่ แสงจ้า เย็นหรือร้อนจัด เสียงดัง
′กรดไหลย้อน′ ภาวะที่กรดในกระเพาะไหลย้อนมาในหลอดอาหารทำให้เกิดการอักเสบของหลอดอาหาร มีอาการเจ็บหน้าอก มักเกิดกับผู้ที่กินอาหารไม่เป็นเวลา กินรสจัด เครียด และไม่ออกกำลังกาย
′กระเพาะปัสสาวะอักเสบ′ โรคยอดฮิตของสาว ๆ เกิดจากการกลั้นปัสสาวะ หรือดื่มน้ำไม่พอ มักมีอาการปัสสาวะบ่อยแต่น้อย ไม่สุด หรือกลั้นไม่อยู่ แสบ ขัด เจ็บตอนท้าย ๆ เมื่อปัสสาวะ บางรายอาจมีเลือดหรือขุ่น มีกลิ่น บางคนอาจมีไข้ เบื่ออาหาร และอาเจียน
การดูแลป้องกัน ควรงดเครียด ดูแลน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ กินอาหารให้เป็นเวลา ไม่ทานอาหารรสจัด ดื่มน้ำมาก ๆ อย่ากลั้นปัสสาวะ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ


Gen-Z กลุ่มอายุน้อยที่สุดในปัจจุบัน เป็นผู้ที่เกิดในช่วง พ.ศ. 2537-ปัจจุบัน หรืออายุ 1-16 ปี
ในเจเนอเรชั่นนี้จะเป็นช่วงที่คนเกิดใหม่น้อยลง ขณะเดียวกันก็จะเติบโตขึ้นท่ามกลางการเลี้ยงดูที่มีคุณภาพมากขึ้น และมีค่าใช้จ่ายสูงมากยิ่งขึ้นเช่นกัน
เจเนอเรชั่นรุ่นล่าสุด ที่มักมีสมาธิสั้น ภูมิแพ้ที่ผิวหนัง และหวัด มารุกราน

รศ.นพ.ชัยชน โลว์เจริญกุล ผู้มีธรรมะดังลมหายใจ

Fw: รศ.นพ.ชัยชน โลว์เจริญกุล ผู้มีธรรมะดังลมหายใจ







รศ.นพ.ชัยชน โลว์เจริญกุล ผู้มีธรรมะดังลมหายใจ เรื่องโดย อุษาวดี

ใครหลายคนคงเคยนึกสงสัยว่า ชายหนุ่มผิวขาวร่างสูงโปร่ง ที่มักจะตามเสด็จอยู่เบื้องหลังสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์อัครราชกุมารี นั้นเป็นใคร แต่สำหรับผู้ป่วยโรคลมชัก คงแทบไม่ต้องกล่าวอะไรมาก เกือบทุกคนรู้ดีว่าท่านผู้นี้คือ รองศาสตราจารย์ นายแพทย์ชัยชน โลว์เจริญกูล อาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านประสาทวิทยาและโรคลมชัก ปัจจุบันท่านดำรงตำแหน่งหัวหน้าโครงการรักษาผู้ป่วยโรคลกชักครบวงจร ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลั กษณ์อัครราชกุมารี
แม้จะเรียนจบ แพทย์ แต่คุณหมอชัยชนก็มีความสนใจทางด้านศิลปะ ทั้งการถ่ายภาพและการประพันธ์ ผลงานของท่านได้รับการตี พิม พ์รวมเล่มหลายครั้ง ภายใต้นามปากกา ชัยชนม์ นอกจากนี้ท่านยังมีความสนใจทางด้านพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก และได้นำความเชื่อตามหลักศาสนามาใช้ในการรักษาคนไข้ร่วมกับความรู้ทางการ แพทย์ได้อย่างน่าสนใจ ควรที่จะนำมา “แบ่งปัน” และ “บอกต่อ” เป็นอย่างยิ่ง

อยากให้เล่าถึงชีวิตของคุณหมอให้ฟังสักนิดได้ไหมคะ
ผม เป็นคนกรุงเทพฯ เป็นครอบครัวคนชั้นกลาง คุณพ่อทำงานบริษัท คุณแม่เป็นแม่บ้าน คุณตามาจากเมืองจีน มาทำงานที่เมืองไทยหลายปี และเคยเป็นครูสอนภาษาไทยด้วย คุณตาและคุณพ่อท่านชอบทางด้านศิลปะและชอบธรรมชาติด้วย
ผม เรียนชั ้นอนุบาลและประถมที่โรงเรียนดวงถวิล ชั้นมัธยมที่โรงเรียนรุจิเสรีวิทยา จนถึง มศ. ๓ ก็สอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมฯ จากนั้นจึงสอบเข้าคณะแพทย์ จุฬาฯ เรียนจบเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๒ และได้ทำงานเป็นอาจารย์แพทย์ที่โรงพยาบาลจุฬาฯเรื่อยมา
ผม เป็นทั้งแพทย์ด้านอายุรศาสตร์ทั่วไป และอาจารย์สอนหนังสือ ตอนหลังเรียนเพิ่มเติมทางด้านประสาทวิทยา จบวุฒิบัตรเป็นแพทย์เฉพาะทางประสาทวิทยา (โรคทางสมองและระบบประสาท) เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๙ และไปเรียนต่อสหรัฐอเมริกาด้านโรคลมชัก กลับมาเป็นแพทย์ด้านนี้ จนกระทั่งได้ตั้งโครงการรักษาผู้ป่วยโรคลมชักครบวงจรฯ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๔ ถึงวันนี้ก็ ๑๘ ปีแล้ว เป็นโครงการที่บุกเบิกการผ่าตัดโรคลมชักให้หายขาด ซึ่งยังไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย โครงการนี้เป็นที่พึ่งให้กับคนไข้กว่าสามพันราย มีทีมงานผ่าตัดให้คนไข้หายจากโรคลมชักปีละประมาณ ๑๐๐ ราย รวมแล้วกว่า ๕๐๐ ราย ขณะนี้ผมเป็นผู้อำนวยการศูนย์โรคลมชักที่จุฬาฯ และปัจจุบันขยายงานมาที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์


ทำไมคุณหมอถึงสนใจโรคนี้คะ
คงเพราะเป็นหนึ่งในสาขาที่เรียนมา ผมได้รับการถ่ายทอดความรู้จากอดีตหัวหน้าสาขาวิชาประสาทวิทยา คือ อาจารย์อาวุโส แพทย์หญิง อังคณา อินทรโกเศศ ท่านเมตตารับผมไว้เป็นอาจารย์ หลังจากเรียนจบท่านเคยรักษาคนไข้โรคลมชักและตรวจคลื่นสมองมาก่อน พอท่านอายุมากขึ้น เรื่องนี้ยังไมมีใครดูแลต่อ พอดีผมมีโอกาสไปเรียนรู้วิทยาการใหม่ๆ ซึ่งเป็นความก้าวหน้าสำหรับประเทศไทยกลับมา จึงเริ่มบุกเบิกรักษาโรคลมชักตั้งแต่ครั้งนั้น

อาชีพหมอเป็นความฝันในวัยเด็กหรือเปล่าคะ
สมัย ก่อนคนที่เป็นเด็กเรียน เวลาเอ็นทรานซ์มักจะเลือกเรียนหมอ ไม่ก็วิศวะ ผมจึงเลือกแพทย์จุฬาเป็นอันดับหนึ่ง และพอมาเป็นจริงๆ ก็รู้ว่าเป็นอาชีพที่ตรงกับความรู้สึกของตัวเอง เพราะชอบศึกษาธรรมชาติของสิ่งต่างๆ รวมถึงโรคภัยไข้เจ็บ โรคลมชักนี้ พอได้เรียนและช่วยคนไข้ให้เขาหายได้ ก็รู้สึกดีใจ เกิดเป็นความเห็นอกเห็นใจผู้ป่วย หลังๆ ไม่ได้รักษาโรคอย่างเดียว แต่รักษารวมไปถึงจิตใจด้วยในการรักษา ผมพบว่าคนไข้จำนวนหนึ่ง แม้เราจะพยายามรักษาทุกวิธีแล้วแต่ก็ไม่หาย พยายามหาวิทยากรใหม่ๆ มาช่วยเขาแค่ไหนก็ไม่สำเร็จ จึงต้องใช้เรื่องจิตใจและธรรมะช่วย โรคลักษณะเดียวกันบางคนหาย แต่บางคนกลับไม่หาย เป็นเรื่องแปลก ก็เลยสังเกตว่าอาจจะเป็นกฎแห่งกรรมที่บังคับทุกชีวิตอยู่ แม้จะเป็นแพทย์ก็ต้องมีพุทธศาสตร์ร่วม เรื่องแบบนี้ ถ้าใช้มุมมองของวิทยาศาสตร์อาจอธิบายไม่ได้ แต่ทางพุทธศาสนามีคำอธิบาย คงเป็นกรรมเก่าที่เขาทำมา เลยทำให้เราเข้าใจ และได้เรียนพุทธศาสนาจากแพทยศาสตร์ด้วย

ความเชื่อแบบนี้จะแย้งกับทางการแพทย์ไหมคะ
ไม่ หรอกครับ จริงๆเรื่องกรรมเป็นเหตุเป็นผล เป็นวิทยาศาสตร์ เพียงแต่ข้ามภพข้ามชาติ และมองไม่เห็น แต่วิทยาศาสตร์จะต้องพิสูจน์ด้วยสิ่งที่จับต้องได้ วัดได้ แต่สิ่งที่ยังจับต้องไม่ได้วัดไม่ได้เหล่านี้ พระพุทธองค์ตรัสรู้ความจริงมานานแล้ว และไปไกลเกินกว่านักวิทยาศาสตร์จะรู้ได้
ที่บอกว่าโรค นี้อาจจะเป็นผลสืบเนื่องจากกฎแห่งกรรม ก็เพราะเป็นโรคที่เกิดแล้วควบคุมตัวเองไม่ได้ ร่างกายเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง มีการชัก มีกระตุก มีเกร็ง ดิ้น เหมือนปลาถูกทุบ มีคนไข้คนหนึ่งรักษาทุกวิธีแล้ว เขาควรจะหาย แต่เขาไม่หาย ผมก็ถามเขาตรงๆว่า เคยไปทำอะไรมาบ้างไหม ถ้าทำชาติดนี้อาจจะพอนึกได้ เขาบอกว่าพอหมอถามอยางนี้ฉันนึกออกเลย ครั้งหนึ่งมีคนมาถามว่าอยากทำปลาช่อนตากแห้งไหม ที่จริงฉันไม่อยากทำหรอก แต่เขาขอให้ช่วยและบอกจะสอนให้ เลยต้องทุบหัวปลาช่อนเป็ นจำนวนมาก ถ้าคุณหมอพูดอย่างนี้ ฉันคิดว่าใช่แล้ว เพราะหลังจากทำไปแล้วก็รู้สึกไม่สบายซึ่งตรงกับผลแห่งกรรม คือ ปาณาติบาต เป็นศีลข้อหนึ่ง ทำให้เจ็บป่วย ผมก็เลยแนะนำให้เขาทำบุญเกี่ยวกับเรื่องปลาให้มาก การจองเวรเป็น เรื่องน่ากลัว ไม่ชอบใคร โกรธใคร เกลียดใคร อย่างเผลอไปแช่ง ไปก่อกรรมกับเขา เพราะจะผูกพันกันข้ามภพข้ามชาติ บางทีเราไม่ตั้งใจ คิดอกุศลนิดเดียวก็กลายเป็นบ่วงผูกพัน กฎแห่งกรรมนี้บางทีผูกกันเป็นร้อยๆ ปีก็มี กว่าจะอโหสิให้กันได้

การเชื่อเรื่องกรรมช่วยได้อย่างไรคะ
ทำ ให้เราเข้าใจคำว่า “อุเบกขา” ถ้าเราไม่เข้าใจกฎแห่งกรรม เราก็ยังวางอุเบกขาไม่ได้ ทำไมคนไข้คนนั้นไม่หาย เขาเองก็อยากหาย เราก็อยากให้เขาหาย พยายามให ้เขาไปตรวจนั่นทำนี่ สารพัดที่คิดว่าน่าจะหายเหมือนคนอื่น มาถึงวันหนึ่งจึงคิดว่า เราได้รักษาเขาเต็มที่แล้ว ทำให้เราวางอุเบกขาได้ เขาก็ต้องยอมรับ เราก็ต้องยอมรับ สักวันหนึ่งกรรมของเขาเบาบางแล้ว เราจึงจะช่วยเขาได้สำเร็จ แต่หมายความว่า เราต้องรักษาเขาอย่างสุดฝีมือก่อน ถ้าเรายังไม่พยายามเต็มที่ เรายังวางอุเบกขาไม่ได้ ต้องเมตตากรุณาให้เต็มที่ก่อน

บางคนอาจจะโกรธนะคะ ที่บอกว่ารักษาไม่หายเพราะเป็นกรรมของคุณ
ใช่ ครับ เราก็ต้องดูว่าใครรับได้แค่ไหน หรือเชื่อพุทธศาสนาหรือไม่ ถ้าเราขาดธรรมะหรือขาดความเข้าใจตรงนี้ ก็จะทุกข์เพราะการไม่ยอมรับความจริง เราไม่ใช่ผู้วิเศษที่จะช่วยคนได้ทั้งหมด เรื่องกรรมเป็นเรื่องละเอียดและซับซ้อน ถ้าคนปฏิบัติก็จะพอเข้าใจ แต่ถ้าเขาไม่เชื่อหรือไม่มีพื้นฐานเรื่องกรรม ก็ต้องหาทางอธิบายเหตุผลที่รั กษาไม่หายไปตามข้อมูลการแพทย์ ญาติคนไข้บางคนที่ยังไม่หายเพราะโรคของเขาเป็นหนัก บางทีกลับมาโกรธเคืองหมอ ทั้งที่พยายามช่วย นั่นยิ่งเป็นกรรมซ้อนกรรม

คุณหมอสนใจพุทธศาสนาตั้งแต่เมื่อไรคะ
ผม สนใจตั้งแต่เด็ก ผมอยู่ในครอบครัวที่ปฏิบัติตามแนวทางของพุทธศาสนา ตอนเล็กๆ เห็นคุณตาไหว้พระ สวดมนต์ นั่งสมาธิ ส่วนคุณแม่ก็ชอบสวดมนต์ แต่ช่วงที่สนใจพุทธศาสนาอย่างจริงจัง ก็คือตอนที่เริ่มเข้าสู่วัยรุ่น ตอนนั้นความทุกข์เริ่มเกิด ความทุกข์เกิดจากการไม่สมหวัง การพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจ หรือว่าไม่ได้ดังใจปรารถนา ทุกข์เล็กทุกข์น้อยมันสะสม และกระตุ้นเตือนให้เราต้องแสวงหาวิธีพ้นทุกข์
ตอน ช่วงปิดเทอมปี ๓ ผมก็เลยไปบวชอยู่ ๒๐ วัน ได้ความสงบบ้าง ตอนนั้นการปฏิบัติยังน้อย ได้ แต่อ่านหนังสือเป็นส่วนใหญ่ พอสึกมาแล้วก็ยังใช้วิธีอ่านหนังสือหรือฟังผู้อื่น ปัญญาของตนเองยังไม่ค่อยมี แก้ปัญหาได้ชั่วคราว เรื่องใหญ่แก้ไม่ตก หรือแก้ได้เดี๋ยวเดียวก็ทุกข์อีก คือใจเรายังหาที่พึ่งไม่ได้ ยังไม่มีหลักยึด
จนกระทั่งเมื่อเป็นอาจารย์แพทย์แล้ว ปี พ.ศ. ๒๕๓๒ เพื่อนแนะนำให้ไปกราบ พระครูวิโรจน์ ญาณวิสุทธิ์ ที่วัดถ้ำพุทธาจารโร จังหวัดปราจีนบุรี ท่านเป็นศิษย์หลวงปู่ฝั้นและหลวงปู่สิม สิ่งที่ท่านสอนเป็นสิ่งแรก คือ ความสงบ ที่ผ่านมาเราศึกษาแบบปริยัติ รู้ทฤษฎี แต่จิตไม่รู้เท่าทันสังขารความคิด พอได้นั่งสมาธิภาวนา รู้สึกว่าเป็นทางที่ถูก จากจิตที่ไม่สงบ รู้ไม่เท่าทัน สติก็ค่อยๆ พัฒนา จนถึงวันนี้ยี่สิบปีแล้ว รู้สึกว่ามีสติ และเริ่มถ่ายถอนการยึดมั่นในขันธ์ห้าได้ระดับหนึ่ง ทำให้ความทุกข์ระงับไปเป็นคราวๆ

สิ่งที่ได้หลังจากปฏิบัติธรรม
คือ ความสงบสุข ความสบายใจที่มีมากขึ้น เมื่อก่อนทุกข์มากความรู้สึกในใจเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง เช้าทุกข์ บ่ายสุข เคยลองพล็อตกราฟในใจ รู้สึกว่าทำไมกราฟมันขึ้นมันลงขนาดนี้ ปัจจุบันค่อยมีสติควบคุม รู้ว่าอะไรเกิด อะไรดับ สุดท้ายมีปัญญาจากความสงบมาพิจารณาแก้ปัญหาที่เกิด สมถะคือความสงบ ต้องใช้คู่กันกับวิปัสสนาคือปัญญา จึงทำให้ความทุกข์น้อยลงไปได้ ผมนั่งสมาธิหลายปี เพิ่งจะสงบนิ่งได้ตอนหลัง ที่เป็นอย่างนี้ เพราะพื้นฐานของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ผมเป็นคนชอบใช้ความคิด จึงฟุ้งซ่านง่าย ตรงกับวิสัยพุทธิจริต ที่เป็นคนชอบใช้ปัญญา แต่ถ้าใช้ปัญญาโดยไม่มีฐานความสงบก็จะเลอะเลือน พอมีสมาธิ จิตรวมได้ดีขึ้น เราก็ใช้ปัญญาได้คมขึ้น สมมุติว่ามีอะไรเกิดขึ้น เราก็จะนิ่ง สงบ แล้วหยิบเอาปัญหามาพิจารณา ว่าเรื่องน ี้ควรแก้อย่างนี้ เรื่องนั้นต้องปลงใจอย่างนั้น แก้เป็นเปลาะๆ ไปนั่นคือต้องปฏิบัติด้วยใจ ไม่ใช่ด้วยสมอง

คนภายนอกอาจมองว่าคุณหมอไม่นาจะมีความทุกข์มากมาย
คง เป็นอะไรในใจที่กระตุ้นเตือน คงจะเป็นบุญที่เกิดมาได้พบพระพุทธศาสนา และอยู่ในครอบครัวที่มีสัมมาทิฐิ พอมาปฏิบัติที่วัดป่าก็มาพบพระที่ท่านเมตตามาก ท่านรู้ใจเราหมด รู้ว่าเราคิดอะไร จะแก้อย่างไร เป็นครูบาอาจารย์ที่สอนตรงทางและตรงใจมาก และยังพบครูบาอาจารย์ที่สูง เช่นได้ไปกราบหลวงตามหาบัว จึงเหมือนกับว่าบุญช่วยนำให้เรามาทางนี้ และเราก็อธิษฐานใจด้วยว่าขออย่าให้หลงทาง
นิสัยตัวผม เองไม่ชอบสังคมที่คนมากๆ ชอบอยู่เงียบๆ ในธรรมชาติ เพราะธรรมชาติสอนธรรมะเราทุกอย่าง ใบไม้ร่วงก็สอน ใบไม้เหลืองก็สอน ใบไม้สดก็สอน อย่างมองไปเห็นบอนถูกน้ำฝน แล้วมันผุดงามขึ้นมาจากดิน แต่ที่จริงฝนมาชั่วคราว ยังไม่ใช่ฤดูฝน ไม่นานหมด ฝนใบบอนก็เหี่ยวคาดิน เหมือนคนหลงของดีๆ ที่มาแป๊บเดียวก็ฟูใจรับเสียเต็มที่ พอเวลาพลัดพรากเลยทุกข์เสียจนบอบช้ำ เป็นเพราะหลงสุขโดยไม่เข้าใจเรื่องความไม่เที่ยง นี่ละ ใบบอนใบเดียวยังสอนเรา

ปัจจุบันนี้คุณหมอใช้ชีวิตอย่างไร ยังสอนหนังสืออยู่หรือเปล่าคะ
ตอน นี้เป็นอาจารย์ประจำที่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ไปสอนทุกวัน แต่จะไปแบบคนไม่ค่อยเห็น เพราะพอคนเห็นแล้วจะมีปฏิกิริยาหรือเจอบางคนที่ชอบคุย ถ้าสุงสิงมากไป สติก็จะขาดง่าย เพราะอารมณ์ของเราจะไปตามเรื่องที่คุย ส่วนใหญ่คนเราเวลาคุยกัน ชอบคุยเรื่องนอกตัว และมักพูดถึงบุคคลที่สามซึ่งไม่เกี่ยวกับตัวเรา ผมรู้สึกว่าการพูดในลักษณะนี้ไม่เป็นการสร้างสรรค์

ไม่ทราบว่าคุณหมอได้มาเป็นแพทย์ประจำพระองค์ทูลกระหม่อนเล็กได้อย่างไรคะ
อาจ เรียกได้ว่าเป็นบุญจากแม่ เพราะจะรักษาท่านตอนประมาณปี ๒๕๓๘ แม่ผมป่วย เป็นแผล ต้องไปเย็บที่โรงพยาบาลจุฬาฯ หลังจากนั้นผมก็คิดว่าจะต้องหาคลินิกใกล้บ้าน เพื่อให้แม่ไปทำความสะอาดแผล เพราะถ้าต้องพาแม่ไปกลับโรงพยาบาลไกลๆ ทุกวันคงจะลำบากเลยไปหาว่ามีคลินิกใกล้บ้านที่ไหน ปรากฏว่าไปพบคลินิกศูนย์แพทย์พัฒนา อยู่ข้างบ้านแถวซอยนวศรี ก็เลยพาแม่ไปรักษาทุกสัปดาห์ เผอิญผมไปดูรายชื่อแพทย์ที่นั่น ก็แปลกใจทำไมมีแต่ชื่อครูบาอาจารย์เราทั้งนั้นเลย ถามไปถามมา จึงทราบว่าเป็นคลินิกที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเปิดให้แพทย์ตามเสด็จ ของท่าน
หลังจากนั้นผมก็อยากจะไปช่วยออกตรวจ เพราะเรามีความรู้ทางด้านประสาทวิทยา ซึ่งทางศูนย์ขาดแพทย์สาขานี้ ท่านอาจารย์พลโท นายแพทย์เชิดชัย เจียมไชยศรี ท่านก็กรุณารับไว้ ผมเลยได้ไปทำงานที่นั่นอยู่สักปีสองปี
วัน หนึ่ง ในปี พ.ศ. ๒๕๓๙ ที่มีการเฉลิมฉลองการครองราชย์ ๕๐ ปี อาจารย์เชิดชัยนำเข็มพระราชทาน ภปร. มามอบให้ผู้ปฏิบัติงานทุกคนที่นั่น ผมนึกในใจว่า ผมยังไม่ได้ทำความดีอะไรถวายพระองค์ท่านเลย จะรับเข็มนี้ได้อย่างไร คนอื่นเขาเป็นแพทย์ตามเสด็จกันทั้งนั้น ผมจึงขอสมัครเป็นแพทย์ตามเสด็จบ้าง
ผมได้ตามเสด็จสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ อยู่หนึ่งปี ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ เกิดเหตุการณ์เฮลิคอปเตอร์ตก ท่านผู้หญิงทวี มณีนุตร พระพี่เลี้ยงทูลกระหม่อนเล็กอยู่ในเฮลิคอปเตอร์ลำที่ตกด้วย เหตุการณ์นี่ทำให้ทรงเสียพระทัยและประชวรมาก ข้าราชบริพารเห็นท่านล้มบ่อย ๆ เลยมาบอกผม ให้ช่วยไปตรวจดูว่าท่านเป็นอะไร เขาอยากให้ผมไปประเมินดูว่าอาการประชวรเกี่ยวโยงกับสมองหรือไม่ ผมได้เชิญเสด็จท่านไปที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ผู้อำนวยการได้ตั้งคณะกรรมการเพื่อถวายการตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด หลังจากนั้นพระอาการก็ดีขึ้นเรื่อยๆ การที่พระอาการดีขึ้น ไม่ใช่ทางการแพทย์อย่างเดียว แต่เพราะพระองค์ท่านทรงปฏิบัติธรรมด้วย
โรคภัยไข้เจ็บเป็นเรื่องซับซ้อน ที่ฝรั่งเขาค้นคว้าก็ถูกของเขาอย่างหนึ่ง คือทางกาย แต่จิตและกรรม เขายังไปไม่ถึง

คุณหมอคิดว่าควรจะบรรจุการสอนพุทธศาสนาไว้ในหลักสูตรของคณะแพทย์ไหมคะ
ควร ครับ เพราะถ้าเรามีแพทย์ที่มีแต่ความรู้ แต่ไม่ม ีคุณธรรม สังคมก็ไปไม่รอด แต่การสอนที่ดีที่สุด คือการปฏิบัติให้ดู ศาสนาพุทธเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เป็นเรื่องเฉพาะตัวมาก เราจะสอนคนด้วยวิธีเดียวกันไม่ได้ พระพุทธเจ้าเองจะไปโปรดใคร ก็ต้องใช้พระญาณพิจารณาว่าธรรมะข้อไหนจึงจะเหมาะกับคนคนนั้น แต่เราไม่มีพระพุทธเจ้ามาเล็งญาณแล้ว การที่เราสอนจะได้ผลสักแค่ไหน จะเอาคนร้อยคนมาฟังเราพูดเหมือนๆกัน เขาจะรับได้เท่ากันไหม ดังนั้นตัวเขาเองต้องปฏิบัติด้วย
อย่างไรก็ตาม การสอนศาสนาแก่เยาวชน นิสิตนักศึกษา ย่อมเป็นสิ่งดี เป็นสิ่งที่ควรทำ ส่วนผลจะได้แค่ไหนก็แล้วแต่ผู้รับนั้นๆ เราแค่รู้ตัวเราว่าคือผู้ปฏิบัติคนหนึ่ง ยังไม่อาจไปสอนใคร ก็เป็นทำเนียบผู้ปฏิบัติธรรมที่มารวมตัวกัน เป็นทำเนียบของกัลยาณมิตรร่วมสมัย ต่างคนก็ต่างปฏิบัติ ทำให้ทุกคนรู้สึกว่ามีกำลังใจ ที่จะเดินหน้าบนทางสายนี้ได้ อย่างไม่ว้าเหว่
โดยทั่วไปคนมักจะคิดว่าพุทธศาสนาเป็น เรื่องไกลตัวและปฏิบัติยาก คนที่ปฏิบัติก็มักถูกมองว่าครึ เชย แต่คร ั้นพอมีทุกข์ขึ้นมา ก็วิ่งหาพระพุทธศาสนา อันที่จริงธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นสุดยอดแล้วในการดับทุกข์ แต่ ถ้า ศึกษาตัวหนังสือก็จะได้แค่ปริยัติ ปริยัติต้องมีปฏิบัติและมีปฏิเวธคือผลการปฏิบัติ ปฏิเวธธรรมคือสิ่งที่พระอริยสงฆ์ท่านถ่ายทอดออกมา จึงจะตรงทาง เพราะท่านได้นำเอาธรรมะที่ท่านรู้แล้วเกิดผลแล้วมาสอนเรา ศาสนาจะขาดสามสิ่งนี้ไม่ได้ แต่เวลานี้สิ่งที่สอนๆกันส่วนใหญ่เป็นปริยัติ ไม่มีปฏิบัติและปฏิเวธ เลยยากจะเกิดผลขั้นพ้นทุกข์จริงได้

คุณหมอสนใจขนาดนี้ เคยคิดจะบวชไหมคะ
เคย คิด แต่พระอาจารย์ที่สอนผมท่านบอกว่ายังไม่ถึงเวลา คือ ท่านคงจะมีญาณรู้อนาคต ว่าเราจะต้องรับผิดชอบงานใหญ่อะไรบางอย่าง หรือยังมีภารกิจอะไรบางอย่า งที่ต้องทำให้เรียบร้อย ถ้าบวชไป ใจอาจจะไม่สงบ
ทุกวันนี้เวลาทำงานเหนื่อย ๆ ผมจะไปอยู่กับธรรมชาติที่วัดป่า พอได้อยู่อย่างนั้น จิตจะว่าง เรื่องงานเรื่องการหายไปหมด เป็นการพักผ่อนที่ดียิ่ง การเข้าสู่สมาธิโดยอาศัยธรรมชาติแม้จะไม่ลึกอะไรนัก แต่ก็ทำให้เราหมดความฟุ้งซ่าน หรือหยุดความคิดวนเวียนอยู่กับเรื่องที่เราคิดไม่ตก เป็นการพักใจที่ดีอย่างยิ่ง พอปฏิบัติภาวนาด้วย ก็เกิดผลง่าย

เดี๋ยวนี้มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมที่นั่นอีกไหมคะ
โชค ดีที่หลังทำงานโรคลมชักมากกว่า ๑๒ ปี ภาระงานต่างๆ เข้ารูปเข้ารอย ภารกิจที่ได้รับมอบหมายเบาบาง จึงมีเวลาที่จะปฏิบัติธรรมแต่ตอนนี้ไม่ได้ปฏิบัติคนเดียว มีสหายธรรม คือพระองค์ท่านก็ทรงปฏิบัติอย่างยิ่งด้วย เป็นแนวเดียวกัน ส่งเสริมกัน พระ องค์ท่านสนพระทัยปฏิบัติถึงขั้นภาวนา มีพระปัญญาสูง มีวาสนาทางธรรม การที่ได้ไปกราบหลวงตามหาบัวก็ทำให้ได้ธรรมะดีๆ กลับมาปฏิบัติ

ปัจจุบันคุณหมอปฏิบัติธรรมเข้มข้นแค่ไหน
ทุก วันนี้ถือศีล ๕ ส่วนศีล ๘ คงยังไม่ถึงเวลาของเรา เพราะศีล ๘ ต้องไม่รับประทานอาหารมื้อเย็น แต่อาชีพอย่างผมทำงานเหนื่อยมาก ถ้าไม่รับประทาน ร่างกายคงอยู่ไม่ไหว หรือเรื่องฟ้อนรำ ดนตรี บางทีก็ต้องไปดู ที่ขาดไม่ได้คือพยายามนั่งสมาธิภาวนาให้ได้ทุกวัน ตอนนี้ทำมายี่สิบปีแล้ว แต่ก็ยังต้องศึกษาต่อไป
คุณหมอหวังจะบรรลุธรรมในชาตินี้หรือเปล่า
คง ได้แต่อธิษฐานไว้ ถ้ามุ่งตรง ต่อกระแสพระนิพพานได้ก็พอใจแล้ว เพราะรู้สึกเบื่อภพชาติมาก ถ้าเป็นชาติสุดท้ายได้ ก็คงจะดีมาก (ยิ้ม)

ทุกวันนี้คุณหมอถวายการดูแลทูลกระหม่อมอย่างไรคะ
เหมือน เป็นกัลยาณมิตรกัน ผมถวายการรักษาทางแพทย์ด้วยยาและก็ใช้ธรรมโอสถด้วย ทั้งทาน ศีล และภาวนา สวดมนต์ไหว้พระ บำเพ็ญบุญ ทั้งหมดนี้ผมไม่ได้ถวายคำแนะนำคนเดียว มีครูบาอาจารย์ด้วย ซึ่งขณะนี้พระองค์ท่าน ก็มีพระพลานามัยและพระทัยแข็งแรง

คุณหมอรู้สึกอย่างไรกับการที่ได้มาอยู่ตรงนี้ และแน่นอนว่าคงมีทั้งคำสรรเสริญและคำนินทา ไม่ทราบคุณหมอมีวิธีวางตัววางใจอย่างไร
ความซื่อตรงและความจงรักภักดีมาเป็นอันดับแรกตลอดมาการวางตัวของผมคือเสมอต้น เสมอปลายและ low profile ซึ่งหมายถึงเก็บตัว เจียมตน มักน้อย ถือสันโดษ พอใจ ไม่อวดอ้าง ส่วน การวางใจ คือ ไม่มีตัวตน ซึ่งหมายความว่า มีสติ ไม่ฟู เมื่อได้รับสิ่งที่เป็นบวก อภัยและปล่อยวางเมื่อได้รับสิ่งที่เป็นลบ รวมทั้งพิจารณาว่าสิ่งที่ไม่ดีที่เราประสบอาจเป็นกรรมเก่า แล้วอโหสิไป หากยังข้องกับโลก การสรรเสริญ นินทา มีค่า เท่ากัน หากไม่ข้องกับโลก การสรรเสริญ นินทา ไม่มีค่า เท่ากัน เพราะทุกอย่างไม่มีอะไรให้ยึด มีแต่จิตเท่านั้นที่จะต้องคอยรักษาให้บริสุทธิ์

คุณหมอใช้ธรมะในชีวิตประจำวันอย่างไรคะ
ส ่วนใหญ่ธรรมะจะอยู่ให้การพิจารณาเรื่องบางเรื่อง หาก มีสิ่งมากระทบที่ทำให้ทุกข์ ก็พิจารณาว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร เช่นเรื่องการดูแลลูกน้องใต้บังคับบัญชา เพราะคนมีหลายประเภท ถ้าแก้แบบโลกไม่ตก ก็ต้องพิจารณาให้เห็นความจริงตามธรรม เช่นหลักอนิจจังอนัตตา ให้รู้ แล้วละวางไป ทำให้ทุกข์ดับเป็นเรื่อยๆไป หรือ มองข้อผิดพลาดของตนเองเช่น การขาดสติ เกิดสังขารปรุงแต่ง เกิดความเผลออยากไปบังคับโน่นบังคับนี่ ก็จะหาข้อธรรมะมาแก้ เช่นการเจริญเมตตาให้คนที่คิดผิด ทำผิดต่อเรา พออภัยแล้วใจว่างโล่งเลย
กล่าว ได้ว่าธรรมะแฝงอยู่ในชีวิต เป็นพื้นฐานของความสงบสุข ผมคิดว่าทุกคนทุกครอบครัว ควรต้องมีธรรมะอยู่ในใจ ถ้าบ้านไหนไม่มี ก็จะหาความสุขยาก ถ้าครอบครัวมีธรรมะ ไม่ต้องถึงกับนุ่งขาวห่มขาวหรือศีล ๘ ก็ได้ แค่มีศีล ๕ และปฏิบัติสมาธิภาวนาให้เกิดผล ก็จะมีชีวิตที่เป็นสุขขึ้น

สุดท้าย ถ้าจะให้สรุปสั้นๆ สำหรับตัวคุณหมอเอง ธรรมะเปรียบได้กับอะไรคะ

สำหรับผม ธรรมะเป็นลมหายใจ ถ้าขาดลมหายใจ เราอยู่ไม่ได้ฉันใด ขาดธรรมะชีวิตก็ดำรงอยู่ไม่ได้ฉันนั้น

Hang on !!

A climb up the tallest tower @ Yahoo! Video

3G มันคืออะไร มีความหมายยังไง

Subject: 3G มันคืออะไร มีความหมายยังไง





3G มันคืออะไร มีความหมายยังไง



อย่างแรก 3G มันไม่ใช่ชื่อเทคโนโลยีนะครับ มันเป็นการแบ่งช่วง แบ่งยุคของโทรศัพท์เคลื่อนที่
เรียงลำดับกันมาแบบนี้ก่อน

- 1G
เริ่มมีกันครั้งแรกบนโลกตั้งแต่ปี 1980 เป็นการสื่อสารแบบ Analog
ก็ยุคที่มือถือนึงมีหูหิ้วอย่างกับกระเป๋า หรือว่าหน้าตาเหมือนกระดูกหมา
เครื่องใหญ่ๆ คาดเอวเอาไว้คุยกันอย่างเดียว อย่างในรูปก็ motorola dynatac 800x

- 2G
ถ้าใครที่อายุเลข 2 กลางๆ ขึ้นไปน่าจจะทันได้ยิน หรือได้เห็นโฆษณา

หรือ worldphone 800 ที่กลายมาเป็น worldphone 1800 และกลายเป็น dtac

ก็ืถือว่าเป็นการเปลี่ยนเทคโนโลยีของโทรศัพท์ในระลอกที่ 2
จากที่เคยใช้แค่โทรออก รับสาย
ก็เริ่มเรื่องมีบริการพวก non-voice เข้ามาละ
เช่น ดาวน์โหลดริงโทน วอลเปเปอร์ โดยผ่าน GPRS/Edge
เริ่มมีการท่องเว็บบนมือถือบ้าง อย่างสปีดอินเตอร์เน็ตจากไม่กี่ 10 K ก็วิ่งกันได้ 100 กว่าๆ
พูดง่ายๆ ก็คือยุคของเครือข่ายโทรศัพท์ที่เราใช้ๆ กันอยู่ทุกวันนี้ล่ะครับ
- 3G
คราวนี้ถึงยุคที่เครือข่ายโทรศัพท์จะไม่ใช่แค่โทรออกรับสาย
มันก็กลายเป็นสื่อในการนำส่งข้อมูลต่างๆมากมาย ทั้งภาพ ทั้งเสียง
อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงและอื่นๆ จากที่เคยวิ่งกันได้ 100 ก็ว่า k ก็เริ่มกันที่หลักเม็ก
พูดง่ายๆ 3G ในอีกมุม ก็เหมือนอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงแบบที่ใช้ในบ้าน
แต่ไม่ต้องใช้สายโทรศัพท์ เราพกพามันออกนอกบ้านไปไหนมาไหนกับเราได้
ในพื้นที่ห่างไกล ถ้ามีการวางโครงข่ายโทรศัพท์แบบ 3G
คนในพื้นที่นั้นๆ ก็สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ความเร็วสูงได้ โดยผ่านอุปกรณ์ที่รองรับ
ก็เพราะมันเป็นมีความเป็น mobile internet
เราก็เลยจะเห็นพวก usb modem
หรือว่า เห็น 3G Router ที่เสียบซิมโทรศัพท์สำหรับต่อคอมตั้งโต๊ะวางขาย
ตามศูนย์มือถือใหญ่ๆ สนนราคาแค่หลักพัน
ขณะที่พื้นที่ห่างไกล เมื่อก่อนใช้อินเตอร์เน็ตดาวเทียม
ลงทุนครั้งแรกหลักหมื่น ค่าใช้จ่ายหลักพัน
ตอนนี้ผู้ให้บริการเครือข่ายหลักๆ อย่าง AIS DTAC TrueMove
ก็มีให้ทดลองในบางพื้นที่บริการ เช่น ตามหัวเมืองใหญ่ หรือบางจุดใน กทม.
- ถ้ามีการเปิดเครือข่าย 3 G แล้ว พวก 2G จะโทรหากับเครื่องที่ใช้ 3G ไม่ได้หรือปล่าว
เอิ่ม..อันนี้เ็ป็นข้ออ้างของบางคน
ในหน่วยงานร้องเมี้ยวที่เสียผลประโยชน์จริงๆนะ
เอาเป็นว่าไม่ต้องกังวลใจว่ามันจะโทรหากันไม่ได้ครับ
การใช้เวลาติดตั้งโครงข่าย 3G แบบครอบคลุม
ทั่วประเทศ คงใ้ช้เวลาประมาณ 5 ปี
ยังมีเวลาเปลี่ยนเครื่องใหม่ ซิมใหม่อีกเยอะครับ
โอเปอเรเตอร์คาดหวังว่า
จะมีผู้ใช้บริการ 2G เปลี่ยนเข้ามาใช้ 3G ซัก 15% ในช่วงแรก
แล้วอีกอย่าง เครื่องที่ขายทุกวันนี้ ก็ใช่ว่าจะรองรับ 3G ไปซะทั้งหมด

- ถ้าซื้อโทรศัพท์ตอนนี้จำเป็นต้องซื้อแบบรองรับ 3G มั้ย
ถ้ามีเครื่องไว้โทรออกรับสายแค่นั้น
ในความเห็นผม ก็ไม่จำเป็นครับ อย่างน้อยก็ ณ ตอนนี้นะ

- จะซื้อโทรศัพท์ที่รองรับ 3G จะดูยังไง
ไม่ว่าเหตุผลของการซื้อจะเอาไปใช้แทน Modem ไว้ใช้งานอินเตอร์เน็ตบนโทรศัพท์มือถือ
หรือซื้อเพราะเผื่ออนาคตก็เถอะ
ถ้าจะมองหาโทรศํพท์ที่รองรับ 3G
เวลาดูตารางคุณสมบัติโทรศํพท์เคลื่อนที่
ให้ดูตรงที่การรองรับเครือข่ายครับ
ดูตารางไหน ที่เขียนว่า GSM 800/900/1800
ก็ดูต่อไป ถ้ามันมีเลข 2100 นั่นล่ะครับ รุ่นนี้รองรับ3 G
ขออ้างถึงเฉพาะระบบ GSM นะครับ
เพราะยังไงบ้านเราใช้ระบบนี้เยอะกว่า CDMA
- ค่าบริการโทรศัพท์มือถือจะแพงกว่าที่จ่ายอยู่ตอนนี้มั้ย เห็นเค้าลือๆกัน
และอยากทดลองใช้ 3G มีใครให้บริการบ้าง
ก็ไม่รู้ว่าทำไม พอเห็นว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่
ชอบโวยวายดักคอกันไปก่อนว่า มันต้องแพง ราคามันต้องแรง
ลองเปิดใจรับข้อมูลกันนิดนึงก่อนกว่า้เนอะ
ตอนนี้มีผู้ให้บริการ 3G ในกรุงเทพฯ เชิงพาณิชย์จริงๆ ก็มีของค่าย TOT
และผู้ให้บริการรายอื่นๆ ที่ไม่ไ่ด้โครงข่ายตัวเอง ที่เขาเรียกว่า MVNO
MVNO คืออะไร
อืม..นึกภาพพ่อค้าที่ไปรับสินค้าจากโรงงานมาขายก็แล้วกัน
ถ้าสนใจก็จิ้มรายชื่อตามข้างล่างนี้ไปครับ
ในเว็บเหล่านี้เขามีรายละเอียดเรื่องราคา และโปรโมชั่นอื่นๆ
ถ้ากวาดสายตาไป มันก็ไม่ได้แพงไปกว่า
ที่เราต้องจ่ายกันในตอนนี้ซักกี่มากน้อยหรอกครับ
- www.tot3g.net
- www.ifoxonline.com
- www.mojo3g.com
- www.i-kool.net
- www.i-mobile3gx.com
- www.365.co.th
ทิ้งท้ายกันดื้อๆว่า
ผมคิดว่าคนไทยมีโทรศัพท์เคลื่อนที่ใช้กันมาก็หลายปี
ในแต่ละขวบปี เทคโนโลยีข้างๆตัว
มันก็มีการเปลี่ยนแปลงตามยุคทั้งนั้นครับ
ทุกวันนี้ก็ไม่มีใครใครใช้โทรศัพยุคกระเป๋าหิ้ว หรือกระติกน้ำ จริงมั้ย
เมื่อถึงเวลาที่มันต้องเปลี่ยน
ปรกติเราเปลี่ยนเครื่อ เปลี่ยนซิมไปตามอายุขัยกันอยู่แล้ว
ไม่ต้องไปตื่นตกใจล่วงหน้าแบบหาเหตุผลไม่เจอครับ

ink bottle

http://www.jacquielawson.com/viewcard.asp?code=ZS43976949

เรื่องเล่าหนุ่มนักเที่ยว

เรื่องเล่าหนุ่มนักเที่ยว







อ่านนะ ฮามาก ดูภาพประกอบด้วยหล่ะ

หนุ่ม ๆ ก็ระวังหน่อยนะ เผื่อเจอแบบนี้

ผู้ชาย ผิดสัญญา‏

วันหนึ่ง สมชายเกิดปวดท้องขนาดหนัก
จึงรีบวิ่งตรงเข้า ห้องน้ำสาธารณะ แต่..
โชคไม่เข้าข้าง เพราะทุกห้องเต็มเหยียด
แถมไม่มีทีท่าว่าใครจะออกมา

หลังจากที่เขาเดินกระวนกระวายอยู่หลายนาที
เผอิญมีหญิงสาวคนหนึ่งสังเกตเห็นเข้า
และเดาได้ว่าสมชายกำลังกลัดกลุ้มทุกข์หนัก เช่นใด
หญิงสาวจึงตรงเข้ามาหาและพูดด้วยความเห็นใจว่า

“คุณ คะ ๆ ห้องน้ำหญิงว่างอยู่ค่ะ”
“แต่ว่า…อ่า…” สมชายยังมีอาการ ลังเล
“เถอะค่ะ.. ฉันเห็นใจ ฉันยินดีจะเฝ้าหน้าห้องน้ำให้
ถ้าคุณยอมสัญญากับฉัน 3 ข้อ”

หญิงสาวยื่นเงื่อนไข
“ครับ ๆ ๆ ๆ…ผมตกลง สัญญาอะไร บ้างครับ”

สมชายรับปากด้วยความเต็มใจยิ่ง
เนื่องจากอะไรต่อมิอะไรในลำไส้
ใกล้ระเบิดออกมาให้ขายขี้หน้าอยู่รอมร่อ

“ข้อแรก คุณต้องรีบใช้ห้องน้ำให้เร็วที่สุด
เพราะฉันอยู่เฝ้าได้ไม่นาน
เดี๋ยวอาจจะมีสุภาพสตรีที่ต้องการใช้ห้องน้ำมาที่นี่
แล้วเธออาจจะตกใจได้ถ้าเจอคุณอยู่ในนั้น”
หญิงสาวเอ่ยขอคำสัญญาข้อแรก

“อูยยย…เร็ว ๆ ครับ รีบบอกข้อ 2 ข้อ 3 มาด่วนเลย”

“ข้อ 2 คุณต้องรักษาความสะอาด ห้ามทำให้เลอะเทอะสกปรก
เด็ดขาด พวกผู้ชายน่ะ ชอบทำห้องน้ำสกปรก”

“ข้อ 3 ต่อเลยครับ เร็ว ๆ ๆ ๆ”

“ข้อสุดท้ายสำคัญที่สุด.. คุณต้องสัญญาว่า
ห้ามกดปุ่มใด ๆ ทั้งสิ้นในห้องน้ำหญิง นอกเหนือจากปุ่มชักโครก”
คำสัญญาข้อสุดท้าย.. แม้จะทำสมชายค่อนข้างงง
ไม่เข้าใจว่าจะมีปุ่มอะไรในห้องน้ำหญิงนักหนา

แต่เขาก็รับคำเนื่องจากปวดท้องจนทนไม่ไหว
ว่าแล้วสมชายก็วิ่งพรวดเข้าไปในห้องน้ำ
หลังปลดทุกข์ อันหนักหน่วง เฮ้อ สบายตัวแล้ว

เขาจึงมีโอกาสได้พิจารณาห้องเล็ก ๆ โดยรอบ
ซึ่งพบว่าไม่มีอะไรต่างจากห้องน้ำชายสักเท่าไร
เว้นแต่.. ปุ่มแปลกประหลาดจำนวน 3 ปุ่ม
สีเขียว สีฟ้า และ สีแดงอยู่ที่ผนังห้องน้ำ!

แถมปรากฏอักษรย่อ
“น.อ.” ที่ปุ่มสีเขียว
“พ.ล.” ที่ปุ่มสีฟ้า และ
“ด.ผ.อ.น.ม.” ที่ปุ่มสีแดง

สมชายเริ่มเกิดความอยากรู้ อยากเห็น
เพราะห้องน้ำชายไม่ยักมีปุ่มพวกนี้

เขาจึงอดไม่ได้ที่จะละเมิดคำสัญญา
ลองกดปุ่มแรกที่เขียน ว่า “น.อ.”
ทันใด.. สิ่งน่าประ หลาดใจก็เกิดขึ้น เมื่อปรากฏมี
สายน้ำอุ่นพุ่งขึ้นฉีดล้างทำความสะอาดบั้นท้ายของเขา
อย่างนุ่มนวล แผ่วเบา และอุ่นสบาย
สมชายจึงรู้ว่า ที่แท้ “น.อ.” ย่อมา จากน้ำอุ่น!

ขณะนึกอิจฉาอุปกรณ์อำนวยความสะดวกในห้องน้ำหญิง
เขาก็อดใจไม่ไหว ต้องลองกดปุ่มที่สองที่เขียนว่า
“พ.ล.” ทันใดนั้น..ก็มีสายลมพัดพุ่งตรงใส่บั้นท้ายเขา
เป่าให้แห้งอย่างนุ่มนวล แผ่วเบาและอุ่นสบายเช่นเคย
ทีนี้ สมชายจึงเข้าใจกระจ่างว่า “พ.ล.” แปลว่าพัดลม!

เมื่อสมชายเห็นความอัศจรรย์สุดยอดของบริการทันสมัย
ไปสองปุ่มแล้วเขาอดไม่ได้ที่ จะลองกดปุ่มสุดท้ายที่กำกับ
ด้วยอักษรย่อยาวที่สุดว่า “ด.ผ.อ.น..ม.”
พลางนึกว่าปุ่มนี้น่าจะเป็นทีเด็ดสุดยอด
เหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ

กว่าสมชายจะรู้ตัวอีกที ก็ตอนได้สติที่โรงพยาบาล
ทันทีที่ลืมตาขึ้น เขารีบถามพยาบาลที่อยู่ตรงหน้าทันทีว่า…
“นี่มันที่ไหนกัน ผมอยู่ที่ไหนเนี่ย เกิดอะไรขึ้น
ผมจำได้ว่าผมใช้บริการห้องน้ำหญิง แล้วผมมาอยู่นี่ได้ไง”

“ตอนนี้คุณอยู่ที่โรงพยาบาลค่ะ
ที่คุณต้องมาอยู่นี่ก็เพราะคุณไปกดปุ่มสีแดงเข้าน่ะนะคะ”

เมื่อเห็นสมชายทำหน้างง พยาบาลสาวนางนั้นจึงเฉลยว่า
“ปุ่มสีแดงที่มีอักษรย่อว่า ‘ด..ผ.อ.น.ม.’
หมายถึง ‘ดึงผ้า อนามัย’ ไงคะ…

ฉันต้องแสดงความเสียใจด้วย
เพราะคุณหมอต่อให้คุณไม่สำเร็จค่ะ เครื่องมันดึงของคุณ
แล้วยัดลงท่อชักโครกไปแล้วล่ะ ทำใจนะคะ

Extraordinary Pantene Commercial

Extraordinary Pantene Commercial

หมา ขี้เรื้อน ..แนวคิด ตรึงใจ‏

Subject: FW: หมา ขี้เรื้อน ..แนวคิด ตรึงใจ





ดีมากๆ อานุโมทนา สาธู ....






อยากให้อ่านแนวคิดดีๆๆๆๆๆ........กินใจมากเลย....

> หมา ขี้เรื้อน


ลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคน หนึ่ง

เพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมาจากเมืองนอก

ยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสีย

ก่อน** **

เพื่อเห็นแก่แม่..บัณฑิตใหม่หมาดๆจากเมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ ได้** **



เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯแห่งหนึ่งเสร็จแล้ว** **

ผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับพระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่ง

ที่วัดป่าแถวภาคอีสาน** **

พระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดีมีแต่ความสุขสบาย** **

เมื่อมาอยู่วัดป่ากว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือน



แต่ก็นั่นแหละกว่าจะนิ่งก็ทำเอาพระร่วมวัดหลาย

รูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆกัน** **

ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอาก็เพราะพระใหม่มี

นิสัยชอบจับผิด* * **

และชอบอวดรู้ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ** **

วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่าไม่ได้

รับการศึกษาสูงเหมือนอย่างตน

ออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง * *

**



เห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้าก็วิพากษ์วิจารณ์เสีย

เป็นการใหญ่หาว่าล้าสมัย** **

ไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี่ ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่า** **



ท่านรองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกินกว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่ง จนขาเป็นเหน็บชา



ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้างก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไป

ทีล้างไปบ่นไป** **



ประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมืองนอกต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้**

**

โอ้ชีวิต! ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้ถือดี !** **

ว่าตัวเองมีชาติตระกูลสูง มีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้น** **

ผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมด** **

มองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่างรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่า ทุกประตู** **

นึกแล้วก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจ

กลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบาทบนปฏิทิน

นับถอยหลังรอวันสึกด้วยใจจดจ่อ** **



อยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่าท่านเจ้า

อาวาสวัดป่าแห่งนี้ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา ซ้ำนานๆครั้งจะออกมาให้

โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง** **



วันๆไม่เห็นท่านทำอะไรเอาต่กวาดใบไม้เก็บขยะ** **

ซักผ้าเอง** (**เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน** **

การบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคน** **

จัดการไปเสียทุกอย่าง เห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชา** **

เสอให้ปรับโน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่าล้าสมัย** **

รวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วยอีกข้อหนึ่ง

เพราะตนเห็นว่ายุคสมัยก้าวไกลมามากแล้ว

ไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูก** **



อีกหนึ่งในข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้นพระใหม่เสนอ ให้** **

หลวงพ่อเจ้าอาวาสมีปฏิสัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้**

! **สอนให้มากขึ้นเทศน์ให้มากขึ้น**

และแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงานอย่างการซักจีวรเอง

เป็นต้นด้วยตนเอง* * **

ควรจะกระจายอำนาจมอบ งานให้คนอื่นทำดีกว่า



เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำ** **

หลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติกลางลานทรายด้วย** **

ท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่านให้พระหนุ่ม สามเณรน้อย** **

ทั้งหลายฟังแต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียน** **

อ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตาพลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมา** **

แล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง** **

ที่นอนอยู่ใต้ม้าหินอ่อนตัวหนึ่ง จากใต้ต้นอโศกที่อยู่ใกล้ๆ **





เธอ ทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่

เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อน* * **

คันไป ทั้งตัว ฉันเห็นมันวิ่งวุ่นไปมาทั้งวัน** **

เดี๋ยว ก็วิ่งไปนอนตรงนั้นเดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้** **

อยู่ ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคัน แต่พวกเธอรู้ไหม** **

เจ้า หมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหนมันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจ** **

หาว่า แต่ละที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน** **


สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี **



คิด อย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน** **

แต่ หาเท่าไหร่มันก็หาไม่พบสักที** **

เลย ต้องวิ่ งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้งวัน

เจ้าหมาโง่ตัวนั้นมันหารู้สักนดไม่ว่า** **

เจ้า สาเหตุแห่งอาการคันนั้นหาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่** **

แต่ สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองนั่นต่างหาก** **

พูดจบแล้วหลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลงเป็นสัญญาณให้รู้ว่า** **

ได้เวลาภาวนาหลังการทำวัตรสวดมนต์เย็นแล้ว



ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้น** **

ในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกติ นอกสงบ แต่ในวุ่นวาย** **

นึกอย่างไร** **ก็ มองเห็นตัวเองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อน**

**ที่หลวงพ่อชี้ให้ดู **

ยิ่ง นั่งสมาธินานๆ ยิ่งคันคะ เยอในหัวใจ ทั้งอายทั้งสมเพชตัวอง**



นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไปเป็นคน ละคน** **

จากคนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อย จากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน** **

จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเอง

เมื่อออกพรรษาแล้วโยมแม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจ

จากครอบครัวท่านก็ยังไม่ยอมสึก **



" **อาตมา เป็นหมาขี้เรื้อน** **

ขออยู่รักษาโรคจนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีกสักหนึ่ง พรรษา"** **

โยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชาย** **

แล้วก็เดินออกจากวัดไปขึ้นรถพลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่าคำว่า** **

หมาขี้เรื้อน ของพระลูกชายหมายความว่าอย่างไรกันแน่หนอ **



ถ้า เรายังเป็นโรคอยู่ในใจ ไม่พอใจอะไรซักอย่าง เงินเดือนน้อย

หน้าที่การงานไม่พัฒนา ตำแหน่งไม่ไปไหน** **

ไม่ ว่าเราย้ายงานไปที่ไหน เราก็ไม่พอใจ สถานที่เหล่านั้นไม่ดี

คนไม่ได้เรื่อง ทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยได้ดูตัวเองเลยว่า** **

เรา พัฒนาการทำงานของเรามั้ย ขวนขวายหาความรู้หรือเปล่า

ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรกับหมาขี้เรื้อนตัวนั้นเลย **

! ** **

************ ********* ********* ********* ********* ********* ** **

ขอบุญจากธรรมทานนี้จงถึงแก่นายเวรและผู้ปกปักรักษาดูแลช่วยเหลือ

ข้าพเจ้าและครอบครัว** **

ที่มาถึงตัวทุกภพภูมิ** **

ขอบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้ข้าพเจ้าถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบัน** **

หากไม่ถึงเพียงใดให้ขอให้คำว่าไม่มี ไม่รู้ในสิ่งที่ดี** **

จงอย่าได้ปรากฏแก่ข้าพเจ้า** **

ขอให้เกิด! ในภพภูมิ เขต ประเทศที่มีพระพุทธศาสนาประดิษฐานอย่างมั่นคง** **

และได้ศึกษาพระธรรมได้อย่างเข้าใจถ่องแท้ ลึกซึ้ง

ตลอดจนกว่าจะเข้าพระนิพพานด้วยเทอญ.** **

โดนเจาะยาง‏

โดนเจาะยาง (เหตุการณ์ที่ไม่เคยคิดว่าจะเจอกับตนเอง)
วันที่ : 19 ส.ค. 2553 เวลาประมาณ : ;21:30 น. รถยนต์ : ISUZU M7 สถานที่ : ลานจอด(ไต้ถุน) ของ HomePro แจ้งวัฒนะ

หลังจากซื้อเครื่องไฟฟ้าที่ห้างดังกล่าวเสร็จ ก็เดินออกจากประตูกระจกของห้าง เพื่อลงมาที่ลานจอดรถ มองตรงไปที่บริเวณจอดรถ

เห็นมีชายประมาณ 2-4 คน ยืนคุยกัน (ที่รถของเขาเอง โดยรถของพวกเขาห่างจากรถเราประมาณ 2 ช่วงเสา) พร้อมกับมองแบบผ่านๆมาที่ผม และภรรยา

ผมไม่ได้สนใจอะไร (แต่ในใจคิดว่า เอ..เขายืนรอใครเหรอ ป่านนี้แล้ว)

ผมกับภรรยา ก็เดินผ่านหน้าคนพวกนั้น แล้วเลี้ยวซ้ายตามถนนของลานจอดรถ ตรงไปที่รถ MU 7 ที่จอดไว้เป็นคันซ้ายสุดของลานจอด และไม่มีรถบัง

โดยบริเวณนั้นมีไฟแสงสว่างพอสมควร และไม่มี รปภ.เฝ้า (ใช้ CCTV เฝ้าแทน)

สิ่งแรกที่มองเห็นคือยางหลังซ้ายแฟ่บมาก (เหลืออีก 1 นิ้วถึงพื้น) (ภาพถ่ายในวันรุ่งขึ้น ที่แสดงเป็นยางอะไหล่ที่เปลี่ยนเสร็จแล้ว)




อ้าวซวยละซิทำไง (ตอนนั้นใกล้ 4 ทุ่มแล้ว) ไม่เป็นไรหาปั๊มน้ำมันใกล้ๆดีกว่า ว่าแล้วค่อยๆขับหาปั๊มแถวแจ้งวัฒนะ ถามว่าถอดเปลี่ยนล้ออะไหล่ได้ไหม

“ช่างกลับหมดแล้วครับ” เลยให้เด็กปั๊มช่วยเติมลมให้หน่อย พอเติมลมเสร็จ เอามือคลำบริเวณรอยรั่ว เฮ้ยลมรั่วแรงมาก รวม 3 รู ถ้าวิ่งไปไม่เกิน5 กม.ก็แบนอีกแน่ๆ

ตัดสินใจขับไปตาม ถนนติวานนท์ผ่านหน้าวัดชลประทานฯ ถนนมืดตื๋อเลย ขับไปคิดไป ทำไงหว่า ปั๊มแถวนั้นก็ไม่มีเลย พอมาถึงปากซอยสามัคคี (ติดไฟแดงคันแรก)

มองไปมองมา เห็นปั๊มแก็ส (ปิดไฟมืด) อยู่ตรงข้ามปากซอยนั่นเอง เผอิญจังหวะรถว่าง เลยขับตัดถนนพุ่งเข้าทางออกของปั๊ม ตรงไปที่ร้านยาง (เจ้าของเก็บยางเตรียมนอนแล้ว)

บอกให้ช่วยเปลี่ยนยางอะไหล่ + ปะยางเก่าให้ด้วย เด็กในร้านบอก (ตอนแรกมันเรียกลุง) พี่โดนเหล็กตะไบแทงแล้ว 3 รู บอกเดี๋ยวนี้นิยม (อินเทรนด์) แน่ะ

รู่งขึ้นปรึกษา บ.อาคเนย์ บอกพี่โชคดีมากเลย ที่พี่เห็นยางแบนก่อน ปรกติคนขับจะไม่รู้เลยว่ารถยางแบน ขึ้นรถได้ก็ขับรถออกไปเลย พอวิ่งไปหน่อยก็จะจอดข้างถนน ลงมาดูยาง

โดยมันมีทีมขับตามมาเราติดๆประมาณ 2 คัน และทำทีเป็นพลเมืองดี อาสาช่วยเหลือ โดยการเปลี่ยนยางอะไหล่ให้ ได้จังหวะก็จี้ชิงทรัพย์ ถ้าซวยๆ (สวยๆหน่อย) ก็โดนให้ขึ้นรถไปด้วย เหตุการณ์ต่อไปไม่อยากคิด

จึงขอบอกเล่า เพื่อให้ทราบว่า เดี๋ยวนี้มิจฉาชีพมันพัฒนาขึ้นมาก ทุกท่านควรทราบไว้ก่อน เพื่อทำใจและหาทางแก้ไขล่วงหน้า โดยเฉพาะท่านหญิง ถ้าเจอแบบนี้ต้องขับบดยางไปเลย

แล้วหาทางจอดที่ปั๊ม โรงงพยาบาล หรือ สถานที่ใดๆก็ได้ที่สว่างๆ และต้องมีคนอยู่เยอะด้วย แล้วจึงค่อยโทรบอก เพื่อน ญาติ คนรู้จัก เพื่อขอรับความช่วยเหลือต่อไป

เทอดศักดิ์ ยุทธเสรี

สำนักงานโครงการขยายและบูรณะโรงงาน สำนักวิศวกรรม

บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)

โทรศัพท์ : 0-2784-321 ต่อ 3511

โทรสาร : 0-2784-335

วันจันทร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2553

"ตา" ถ้าคุณยังมี...อย่าลังเลที่จะดูแล

"ตา" ถ้าคุณยังมี...อย่าลังเลที่จะดูแล



1. ปรับช่องแอร์ในรถให้ต่ำลง* อย่าให้ลมเย็นพ่นเข่าตาโดยตรง
เพราะลมเย็นพวกนี้จะเป็นสาเหตุให้ตาแห้ง ถ้าปล่อยไว้นานๆ
กระจกตาก็อาจจะถลอกจนกลายเป็นปัญหาเรื้อรังได้*

2. บลูเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่ดีต่อสายตามากๆ* และหาซื้อได้ไม่ยากเลย
แค่ซื้อแยมบลูเบอร์รี่มาทาขนมปังทาน คุณก็จะได้รับสารอาหาร
แอนโธไซยาโนไซด์ ซึ่งช่วยบำรุงสายตาแล้ว*

3. อย่ามองข้ามมันเทศ* ของดีราคาย่อมเยาที่พ่อค้าเขาเดินขาย
วิตามินในมันเทศจะช่วยปรับสายตาของคุณให้เห็นได้ชัดในที่มืด*

4. เวลาทำกับข้าวอย่าลืมใส่หัวหอมแดงลงไปด้วย*
เพื่อให้สารต้านอนุมูลอิสระเคอร์ซิทินในหอมแดงจะช่วย
ป้องกันต้อหินให้คุณ
*

5. อย่าขี้เกียจเดิน* เพราะผลการวิจัยบอกว่าเดินอย่างน้อย
สัปดาห์ละ 4 ครั้งจะช่วยลดความดันในกระบอกตา
ทำให้สายตาเป็นปกติ*

6. กินปลาสัปดาห์ละ 2 ครั้ง* เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดโอเมก้า-3
ที่จำเป็นสำหรับบำรุงสายตา*

7. ลดขนมหวานๆ และอาหารมันจัด* อาหารพวกนี้เกิดมา
เพื่อเป็นศัตรูกับสุขภาพ รวมทั้งสายตาของคุณด้วย*

8. ก่อนออกจากบ้านอย่าลืมใส่แว่นกันแดดเสมอ*
เพื่อป้องกันทั้งลม แดด ฝุ่นละออง และเชื้อโรค
ที่จะแท็คทีมกันมาทำร้ายสายตาที่รักของเรา*

9. ตรวจวัดความดันโลติตเป็นประจำทุกเดือน*
ความดันที่ผิดปกติมีผลโดยตรงต่อสายตามาก จึงไม่ควร
มองข้ามการวัดความดัน
ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลจะได้รักษาได้ทันท่วงที*

10. สวมหมวกปีกกว้าง*แว่นกันแดดอย่างเดียวอาจจะ
สู้กับแดดแรงมหาร้อนอย่างบ้านเราไม่ไหว หมวกปีกกว้างจึงเป็น
อุปกรณ์เสริมอีกอย่างที่ขาดไม่ได้ เพื่อป้องกันรังสียูวี
ที่อาจจะเล็ดลอดเข้ามาทางด้านบนของแว่นกันแดด*

11. อย่าละเลยการทำความสะอาดดวงตาด้วยน้ำยาล้าง
เครื่องสำอางค์ทุกคืน* เพื่อป้องกันไม่ให้มาสคาร่าที่อาจจะ
เหลือตกค้างอยู่เข้าไปหมักหมมอยู่ในดวงตาจนเกิดการติดเชื้อ
*

12. กินผักใบเขียวเป็นประจำทุกวัน*ผักใบเขียวเป็นแหล่งรวม
ของสารลูเทอินและซีอาแซนธิน ที่ช่วยลดความเสี่ยง
โรคต้อกระจก และยังซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในกระบอกตาได้ด้วย
(คนที่เกลียดผักคงต้องพยายามหน่อยน่ะ)*

13. ผักบีตสดๆเป็นของขวัญชั้นดีที่จะมอบให้ดวงตาของตัวเองได้*
ผักชนิดนี้มีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่จะช่วยปกป้องหลอดเลือด
ในกระบอกตา ทำให้ตาคุณมีเลือดไปเลี้ยงอย่างสมบูรณ์
ทำให้ตาคุณสวยและใส*

14. เลิกทานอาหารที่เค็มจัด* เพราะคนที่ติดรสเค็มจะมี
โอกาสเป็นโรคต้อกระจกมากกว่าคนที่ชอบอาหารรสจืด
*

15. หมั่นซักผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัวบ่อยๆ* เพื่อให้ผ้าส่วนตัวของคุณ
สะอาด ปราศจากเชื้อโรค ทีสำคัญไม่ควรใช้ผ้าเช็ดหน้าร่วมกับใคร
เพราะในผ้าพวกนั้นอาจจะมีเชื้อโรคตาแดงซ่อนอยู่*

16. น้ำหอมกลิ่นมะลิ วนิลา หรือเปปเปอร์มินต์
มีสรรพคุณช่วยกระตุ้นระบบลิมบิกในสมอง*ซึ่งจะไปกระตุ้นเซลล์
รูปแท่งในจอตาอีกต่อหนึ่ง ทำให้คุณมองเห็นในที่มืดได้ชัดขึ้น
แค่หยดน้ำหอมกลิ่นใดกลิ่นหนึ่งไว้ที่แขนเสื้อ ก็จะมีสายตาดี
ขึ้นได้แล้ว ว้าว!! ง่ายจัง*

17. อย่าเพ่งมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานเกินไป* แม้การอ่านหนังสือ
ก็ควรถอนสายตามองออกไปที่ไกลๆทุกๆ 30 นาที
เพื่อพักสายตาไม่ให้เพลียหรือล้าถาวร*

18.กินผักโขมสัปดาห์ละ 2 ครั้ง* ผักชนิดนี้มีสารลูเทอิน
ซึ่งจะช่วยป้องกันต้อกระจกและภาวะศูนย์กลางประสาท*

19. เปลี่ยนมาสคาร่าขวดใหม่ทุกๆ 3 เดือน* ทุกครั้งที่
มาสคาร่าสัมผัสตาคุณ จะต้องมีความสกปรกเล็กๆน้อยๆ
ติดมาด้วย เมื่อมาหมักหมมปนกันนานเกิน 3 เดือนขึ้นไป
มาสคาร่าขวดโปรดของคุณก็จะกลายเป็นแหล่งรวมเชื้อโรค
ไปโดยปริยาย

มารยาทการใช้ 'ตะเกียบ'

มารยาทการใช้ 'ตะเกียบ'







มารยาทการใช้ 'ตะเกียบ'
เห็นอาหารญี่ปุ่นกำลังเป็นที่นิยม วันนี้เราเลยนำเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆเรื่อง ข้อห้ามการใช้ 'ตะเกียบ' มาฝากกัน
แม้วัฒนธรรมการกินของไทยเราจะใช้ช้อนส้อมในการตักอาหาร แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการใช้ 'ตะเกียบ' ซึ่งเป็นวัฒนธรรมการกินของชาติเอเชียหลายๆชาติ ไม่ว่าจะเป็น จีน ญี่ปุ่น เกาหลีและเวียดนามนั้นมีบทบาทต่อคนไทยอยู่ไม่น้อย

ตะเกียบเข้ามาในเมืองไทยเป็นระยะเวลานานกว่าช้อนส้อมซึ่งเป็นวัฒนธรรมการกินของชาวยุโรปที่ได้รับความนิยมในไทยมากกว่า อย่างไรก็ตาม ตะเกียบมีความสำคัญเช่นกันเพราะอาหารจีนได้เข้ามาแทรกอยู่ในวิถีชีวิตคนไทย ที่เห็นได้ชัด คือ การใช้ตะเกียบกินก๋วยเตี๋ยว บะหมี่ ส่วนในปัจจุบันคนไทยก็ใช้ตะเกียบค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเมื่ออาหารญี่ปุ่นกำลังได้รับความนิยม วันนี้เราจึงนำข้อห้ามการใช้ตะเกียบมาฝากกัน ซึ่งจริงๆแล้วมีอยู่หลายข้อ แต่ข้อห้ามที่สำคัญมีดังนี้

1.ห้ามปักตะเกียบแบบเสียบให้ตั้งบนถ้วยข้าว เพราะการทำแบบนี้จะถือเป็นข้าวสำหรับคนที่เสียชีวิตแล้ว

2.ห้ามถือตะเกียบส่ายไปมาบนอาหารหลายชนิด โดยไม่ตัดสินใจเสียที ว่าจะเลือกอาหารชนิดใด

3.ห้ามนำตะเกียบแทงของกินหรือใช้ตะเกียบชี้คน

4.ห้ามใช้ตะเกียบคุ้ยหาอาหารชิ้นที่ต้องการในถ้วยอาหาร

5.ห้ามใช้ตะเกียบเพื่อดึงหรือขนย้ายภาชนะอาหาร

6.ห้ามใช้ปากดูดตะเกียบ

นอกจากนี้ยังถือว่า สิ่งที่หยิบและส่งต่อรับด้วยตะเกียบได้ ก็คือ กระดูกของศพที่เผาแล้วในพิธีงานศพเท่านั้น ดังนั้นจึงห้ามทำเช่นนี้บนโต๊ะอาหาร

ทั้งนี้ เทคนิคในการใช้ตะเกียบถือเป็นสิ่งที่ชาวต่างชาติให้ความสนใจมาก โดยในประเทศตะวันตกมีศูนย์ฝึกอบรมการใช้ตะเกียบโดยเฉพาะ และในประเทศเยอรมนีมีพิพิธภัณฑ์ตะเกียบแห่งแรกของโลกที่จัดแสดงตะเกียบจาก ทองคำ เงิน หยก และกระดูกสัตว์รวมกว่าหมื่นคู่ โดยตะเกียบเหล่านี้นำมาจากประเทศและเขตแคว้นต่างๆทั่วโลก

3G โครงข่ายล้้าชีวิต 3G หรือ Third Generation

3G โครงข่ายล้้าชีวิต 3G หรือ Third Generation เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารในยุคที่ 3 อุปกรณ์การสื่อสารยุคที่ 3 นั้นจะเป็นอุปกรณ์ที่ผสมผสาน การนาเสนอข้อมูล และ เทคโนโลยีในปัจจุบันเข้าด้วยกัน เช่น PDA โทรศัพท์มือถือ Walkman, กล้องถ่ายรูป และ อินเทอร์เน็ต 3G เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาต่อเนื่องจากยุคที่ 2 และ 2.5 ซึ่งเป็นยุคที่มีการให้บริการระบบเสียง และ การส่งข้อมูลในขั้นต้น ทั้งยังมีข้อจากัดอยู่มาก การพัฒนาของ 3G ทาให้เกิดการใช้บริการมัลติมีเดีย และ ส่งผ่านข้อมูลในระบบไร้สายด้วยอัตราความเร็วที่สูงขึ้น ลักษณะการทางานของ 3G เมื่อเปรียบเทียบเทคโนโลยี 2G กับ 3G แล้ว 3G มีช่องสัญญาณความถี่ และ ความจุในการรับส่งข้อมูลที่มากกว่า ทาให้ประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลแอพพลิเคชั่น รวมทั้งบริการระบบเสียงดีขึ้น พร้อมทั้งสามารถใช้ บริการมัลติมีเดียได้เต็มที่ และ สมบูรณ์แบบขึ้น

เช่น บริการส่งแฟกซ์, โทรศัพท์ต่างประเทศ ,รับ-ส่งข้อความที่มีขนาดใหญ่ ,ประชุมทางไกลผ่านหน้าจออุปกรณ์สื่อสาร, ดาวน์โหลดเพลง, ชมภาพยนตร์แบบสั้นๆ เทคโนโลยี 3G น่าสนใจอย่างไร จากการที่ 3G สามารถรับส่งข้อมูลในความเร็วสูง ทาให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปได้ อย่างรวดเร็ว และ มีรูปแบบใหม่ๆ มากขึ้น ประกอบกับอุปกรณ์สื่อสารไร้สายในระบบ 3G สามารถให้บริการระบบเสียง และ แอพพลิเคชั่นรูปแบบใหม่ เช่น จอแสดงภาพสี, เครื่องเล่น mp3, เครื่องเล่นวีดีโอ การดาวน์โหลดเกม, แสดงกราฟฟิก และ การแสดงแผนที่ตั้งต่างๆ ทาให้การสื่อสารเป็นแบบอินเตอร์แอคทีฟ ที่สร้างความสนุกสนาน และ สมจริงมากขึ้น
3G ช่วยให้ชีวิตประจาวันสะดวกสบายและคล่องตัวขึ้น โดย โทรศัพท์เคลื่อนที่เปรียบเสมือน คอมพิวเตอร์แบบพกพา, วิทยุส่วนตัว และแม้แต่กล้องถ่ายรูป ผู้ใช้สามารถเช็คข้อมูลใน account ส่วนตัว เพื่อใช้บริการต่างๆ ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ เช่น self-care (ตรวจสอบค่าใช้บริการ), แก้ไขข้อมูลส่วนตัว และ ใช้บริการข้อมูลต่างๆ เช่น ข่าวเกาะติดสถานการณ์, ข่าวบันเทิง, ข้อมูลด้านการเงิน, ข้อมูลการท่องเที่ยว และ ตารางนัดหมายส่วนตัว “Always On” คุณสมบัติหลักของ 3G คือ มีการเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายของ 3G ตลอดเวลาที่เราเปิดเครื่องโทรศัพท์ (always on) นั่นคือไม่จาเป็นต้องต่อโทรศัพท์เข้าเครือข่าย และ log-in ทุกครั้งเพื่อใช้บริการรับส่งข้อมูล

ซึ่งการเสียค่าบริการแบบนี้ จะเกิดขึ้นเมื่อมีการเรียกใช้ข้อมูลผ่านเครือข่ายเท่านั้น โดยจะต่างจากระบบทั่วไป ที่จะเสียค่าบริการตั้งแต่เราล็อกอินเข้าในระบบเครือข่าย อุปกรณ์สื่อสารไร้สายระบบ 3G สาหรับ 3G อุปกรณ์สื่อสารไม่ได้จากัดอยู่เพียงแค่โทรศัพท์เท่านั้น แต่ยังปรากฏในรูปแบบของอุปกรณ์ สื่อสารอื่น เช่น Palmtop, Personal Digital Assistant (PDA), Laptop และ PC

ท้าไมเป็น 3.9G แต่ไม่เป็น 3G หรือ 4G แล้วเทคโนโลยี 3G กับ 3.9G มันต่างกันอย่างไร 3.9 จี เป็นการปรับปรุงจาก 3 จีที่จะวิ่งที่ความเร็ว 7.2 เมกะบิต ให้มีความเร็วเพิ่มสูงขึ้นเป็น 42 เมกะบิตต่อวินาที ซึ่งสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ อุตสาหกรรมสื่อสารและโทรคมนาคมจะครึกครื้น มีแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย สรุปแล้ว 3.9 จี เร็วกว่า 3 จีหลายเท่าตัว แถมยังแซงหน้าอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง หรือเอดีเอสแอลที่หลายบ้านเชื่อมต่อผ่านโมเด็มด้วย 3 จีเป็นสิ่งจาเป็นสาหรับเมืองไทย เพราะคนยังเข้าถึงอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ไม่ทั่วถึง จากปัจจุบันที่มีเพียง 3.2 ล้านเลขหมาย หากขยับมาเป็นบรอดแบรนด์ไร้สายยุค 3 จี และ ครอบคลุมทั่วประเทศจะเป็นช่องทางที่คนเข้าถึงอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงได้มาก ขึ้นตามเป้าที่คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ตั้งเป้าไว้ที่ 80% ของประชากร สาหรับคนที่กังวลด้านราคา คงไม่ต้องห่วงว่า 3 จี หรือ 3.9 จี จะราคาแพง เพราะผู้บริโภคจะเป็นคนตัดสินใจ และผู้ให้บริการต้องแข่งขันกันเพื่อให้บริการที่คุ้มค่าที่สุดสาหรับผู้บริโภค ความเร็วที่มากขึ้นของ 3.9 จี จะเป็นโอกาสดีสาหรับผู้บริโภคที่จะเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้มากขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา ที่จะช่วยให้เยาวชนค้นหาข้อมูลมาเสริมการเรียน หรือระบบอี-เลิร์นนิ่ง ขณะเดียวกันก็จะมีแอพพลิเคชั่นต่างๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้เข้ากับความต้องการและการใช้ชีวิตของคนที่หลากหลาย ถ้าดูจริง ๆ 3.9 จี ก็ไวกว่า 3 จี อย่างน้อยประมาณ 20 เท่า ซึ่งสาเหตุที่ไม่กระโดดไป 4G นั้นเป็นเพราะ 3.9G นั้นอัพเกรดได้ง่ายกว่าและมีความพร้อมในเชิงพาณิชย์มากกว่า

A Policeman's Prank - JustForLaughs.TV

Head in the toilet prank - Just For Laughs

歡樂夏夏叫 - 印度阿三

สะใจ!!...เรื่องจริงที่อยากให้ส่งต่อมากๆๆๆ...เรื่องของน้องสาวพี่รินเองนะ

สะใจ!!...เรื่องจริงที่อยากให้ส่งต่อมากๆๆๆ...เรื่องของน้องสาวพี่รินเองนะ


ก่อนอื่นต้องบอกว่า ด้วยความที่ชอบอ่านอีเมล์เตือนภัยต่างๆ ทำให้มีสติที่

จะตัดสินใจช่วยเหลือตัวเองได้



เหตุการณ์มีอยู่ว่า วันที่เกิดเหตุเป็นเวลาประมาณตอนเที่ยงได้ออกไปซื้ออะหลั่ยรถ

ที่แถวๆลาดกระบัง และได้ขับรถผ่านถนนพัฒนาการ วันนั้นรถยนต์ที่ใช้ เป็

รถเปอร์โย 505 เกียร์ธรรมดา มีเซ็นทรัลล็อค กระจกมือหมุน ไม่ได้ติดฟิล์ม

กรองแสงหนามาก ประมาณว่ามองเข้ามาก็รู้ว่าเป็นผู้หญิงขับ

แล้วบังเอิญวันนั้นขับไปคนเดียวซะด้วย แน่นอนอยู่แล้วที่ต้องล๊อครถทันทีเวลาขึ้นรถ



เมื่อขับมาถึงสามแยกไฟแดงสถานีตำรวจคลองตัน ตอนนั้นจอดติดไฟแดง ก็มอง

อยู่ว่าบนหน้าปัดไฟแดงมันมีเวลาบอกเหลืออีกประมาณ 120 กว่าวินาที

อยู่ๆ ก็มีมอเตอร์วินขับมาจอดข้าง ๆไม่ได้สังเกตุป้ายทะเบียน(คนขับสวมหมวกปิดหน้า

เปิดหมวดออกมา ก็สวมที่คลุมหน้าทั้งหัวอีก สรุปไม่เห็นหน้าอยู่ดี) แล้วพูดดังๆ

ด้วยคำหยาบให้เรารู้สึกอายว่า อีเหี้ย มึงขับรถเฉี่ยวกูแล้ว มึงยังขับหนีอีก

แล้วก้ออีกเยอะแยะที่ทำให้เรารู้สึกอาย แต่ขอโทษค่ะ ด้วยความที่ เราขับรถด้วย

ความมีสติ แล้วถนนเส้นนั้น รถก้อโคตรจะวิ่งได้เร็ว เร็ว มาก.......ก 40 กิโลเมตร

ต่อชั่วโมง จะไม่ทำให้เรารู้เชียวหรือว่า เราได้เหยียบตาปลาของใครมั่ง เราก็คิดว่า

แม่ง ทำไงดีวะ ป้อมตำรวจก้ออยู่ใกล้แค่นี้เอง แต่ไม่มีหัวปิงปองอยู่ซักกะคน



ก้อเลย หมุนกระจกลงนิดนึง ย้ำ นิดนึงเท่าที่มือข้างนอกจะแหย่เข้ามาได้

จากนั้นก้อมองขึ้นไปบนป้ายเวลา เหลืออีกประมาณ 40 วินาที ก้อเลยบอกมันว่า

เนี่ยมีตังค์อยู่ใบ 500 กับ ใบ 1000 มาเอาไปซะ แล้วให้มันยื่นมือเข้ามาเอา

พอมันยื่นมือเข้ามาจนถึงข้อมือเท่านั้นแหละ เราก้อรีบหมุนกระจกขึ้นให้เร็วสุด

แล้วก้อแรงสุดให้ข้อมือมันติดอยู่ข้างใน จากนั้น ก้อจัดการมัน ด้วยการแหกนิ้วมันด้วย



ตอนแรกกะว่าจะกัด แต่ว่ากลัวเชื้อโรค ก้อเลยบิดมือมันสุดแรงเกิด จนมันดิ้นปัด ๆ

แล้วเราก้อทำให้รถติด จนคันหลังต้องลงมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น พอคนมาถึงเยอะๆ

แล้วเราถึงตะโกนบอกให้คนช่วยเรา ทีนี้แหละ ทีใครทีมัน มีพี่แมชเซ็นเจอร์ใจดี 2 คน

ช่วยจับตัวมันไว้ แล้วก้อถอดถุงคลุมหน้ามันออก เราก้อดึงหูมัน แล้วก้อกรี๊ดเต็มกำลัง

ใส่ 2 หูมันเต็มที่ ลืมบอกไป ตอนนั้นมือมันก้อยังติดอยู่ที่ประตูรถอยู่เลย



พอได้แก้แค้นเล็กๆน้อยๆ แล้ว ก้อเลยให้พี่ๆ เค้าถามมันว่า มันทำอย่างนี้ทำไม

มันบอกว่า เห็นเป็นผู้หญิงคนเดียวขับรถ ก้อเลยคิดว่าง่ายที่จะทำให้อาย แล้วได้เงิน

ใช้ฟรี เราได้ยินก้อ แม่ง เดี๋ยวกรูจัดให้ เลยบอกพี่เค้าไปว่าเราไม่เอาเรื่อง ปล่อยมัน

ไปเถอะ รถติดมากแล้ว จากนั้นเรา ก้อขึ้นรถ ล๊อครถ แล้วก้อเอากระจกให้มันเอามือออก

แค่นั้นแหละมันจับมอร์ไซค์ได้ มันขับไปลิ่วเลย



ยังไม่จบครับพี่น้อง เราขับตามมันไป จนจะถึงมหาลัยเกษมบัณฑิตถึงตอนนี้ให้

แน่ใจว่ารถคุณมีประกัน จะชั้นไหนก้อได้ ตัดสินใจชนมันเลย คราวนี้ เอามันจะๆ

ล้มจริง เจ็บจริง ทีนี้ก้อรอประกันเฉย ๆ เราไม่ต้องจ่ายซักกะบาท คนพวกนี้

บางครั้งถ้าเราปล่อยมันเฉยๆ มันก้อจะไปทำคนอื่นอีก บางทีนึกแล้วก้อสงสาร

แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้มันก้อไม่เข็ด



ก้อเมล์มาให้อ่านว่า นี่เป็นอีกภัยเล็กๆน้อยๆ ที่เจอตามถนน ขอให้ทุกคนโชคดีค่ะ

ค้นหา