วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

Goose Named Maria.avi

ว.วชิรเมธี...เพราะฉันขัน ตะวันจึงขึ้น : อย่าทำงานจนป่วยตาย อย่าหลงใหลตัวเอง

ว.วชิรเมธี...เพราะฉันขัน ตะวันจึงขึ้น
...อย่าทำงานจนป่วยตาย อย่าหลงใหลตัวเอง
...โดย ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย

ที่วัดเซนแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น มีไก่อยู่ครอบครัวหนึ่ง
หัวหน้าครอบครัวเป็นผู้บริหารที่เก่งมาก กางปีก
ปกป้องภรรยาและลูกทุกตัว อยู่กันมาอย่างมีความสุข
ทุกๆ เช้าเวลาตีห้าไก่ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวจะบินขึ้นไปเกาะอยู่บนกิ่งไม้
และโก่งคอขันเสียงก้องไปทั้งพงไพร
ประมาณหกโมงเช้า พระอาทิตย์ก็จะ
อรุโณทัยฉายแสงขึ้นมาส่องแสงสว่างไปทั่วทั้งสากลโลก


ไก่สี่ตัวนี้จะมีความสุขมากที่ได้เห็นตะวันค่อยๆ ทอแสงสุขสว่างขึ้นมา
เขาจะยืนชื่นชมแสงตะวัน และก็ยืนภาคภูมิใจว่า
เพราะฉันขันตะวันจึงขึ้น มีความสุข นี่คือผลงานของฉัน
ทุกๆ เช้าไก่ตัวนี้ก็จะบินขึ้นมาเกาะกิ่งไม้
และเมื่อขันเสร็จแล้วก็รอดูตะวันขึ้นที่เหนือยอดเขา พอตะวันขึ้น
เสร็จแล้วก็บินกลับลงมาหาอยู่หากินกับลูกกับเมีย เขามีความสุขมาก


ต่อมาวันหนึ่ง เนื่องจากตรากตรำภาระหนักเหลือเกิน ร่างกายทนไม่ไหวก็ป่วย
เช้าตรู่วันนั้นไก่ตัวนั้นก็บินขึ้นไปเกาะกิ่งไม้ที่เดิม ขณะจะขันเพื่อเรียกตะวันขึ้น
ก็ร่วงตกลงมา รู้สึกไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง ลูกชายซึ่งเป็น
ไก่โต้งคนรุ่นใหม่ไฟแรงเดินเข้ามาประคองพ่อ
"พ่อ ผมว่าถ้าพ่อขันไม่ไหว วันนี้ผมขันแทนเอาไหม"
ไก่พ่อซึ่งเป็นซีอีโอ ก็ยืดอกขึ้นมาชี้หน้าลูก
"น้ำหน้าอย่างแก ถ้าขันตะวันมันจะขึ้นไหม หัดดูเงาหัวตัวเองซะบ้างสิ"
เจอผู้ใหญ่ดับฝันแบบนี้ลูกหัวหดเลย


เช้าตรู่วันนั้นทั้งๆ ที่ป่วย ไก่ซีอีโอตัวนี้ก็บินขึ้นไปเกาะบนกิ่งไม้
และก็ขันครั้งสุดท้าย ขันได้ครั้งเดียว ตกลงมาดิ้นพราดๆ
ก่อนจะขาดใจตาย เรียกประชุมผู้ถือหุ้นด่วน
ทั้งภรรยาและลูกมากันครบ สั่งเสียว่า
"เธอที่รัก ลูกพ่อ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปพี่คงไม่มีชีวิตอยู่ต่ออีกแล้ว
และจากนี้เป็นต้นไป พอพี่ไม่ขัน ตะวันก็จะไม่ขึ้น โลกก็จะเข้าสู่กลียุค
ฉะนั้นขอให้เธอและลูกดูแลบริษัทของเราให้ดีๆ
ถ้าไม่มีพี่แล้วจะอยู่กันด้วยความยากลำบาก มนุษยชาติก็จะถึงคราววิบัติ
ดูแลกันดีๆ นะที่รัก"

เสร็จแล้วก็ล่วงลับดับขันธ์ไป พร้อมกับความเข้าใจผิดว่า
เพราะฉันขันตะวันจึงขึ้น หารู้ไม่ว่าวันรุ่งขึ้น พอ
ไก่ตัวนี้ตายไปแล้ว ตะวันก็ยังขึ้นเหมือนเดิม
โลกดำเนินต่อไปไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไก่ตัวนั้นไม่ได้นำเอาตะวันไปด้วยสักนิด
พระอาทิตย์ยังคงอุทัย พระจันทร์ยังคงทอแสง สายน้ำยังคงไหลเอื่อย
ดอกไม้ยังคงผลิบาน โลกนี้ยังคงมีข้าวปลาอาหารอุดมสมบูรณ์
นกก็ยังมีข้าวปลาอาหาร คนต่างๆ ก็ยังคงทำงานต่อไปได้เหมือนเดิม


ฉะนั้นผู้บริหารทุกคน เมื่อเราบริหารงานไปได้ระดับหนึ่งแล้ว
อย่าหลงตัวเองว่าองค์กรนั้นถ้าขาดฉันแล้วไปต่อไม่ได้
ควรเตือนตัวเองเอาไว้บ่อยๆ ว่า ถ้าขาดฉันแล้วมันจะไปได้ดี
เพื่อจะได้ไม่หลงตัวเอง

ผู้บริหารจำนวนมาก ทันทีที่ประสบความสำเร็จก็ล้มเหลวในวันนั้น
เพราะทันทีที่ประสบผลสำเร็จก็เริ่มหลงตัวเอง และนี่แหละคือจุดจบของผู้บริหาร

ฉะนั้นจำนิทานเรื่องนี้ไว้
วันหนึ่งถ้าเราประสบความสำเร็จ
ก็อย่าไปหลงตัวเองว่าเราต้องเป็นหนึ่งในตองอูเท่านั้น
จนไม่ยอมบริหารจัดการอำนาจความรับผิดชอบให้กับผู้อื่นเลย

ผู้บริหารที่ดีจึงไม่ใช่ผู้ที่แบกหนักที่สุด
ผู้บริหารที่ดีคือผู้ที่แบกหนักพอสมควร และกระจายภาระให้คนอื่นแบก
และประการสำคัญที่สุด ผู้บริหารจะไม่ทำงานจนป่วยตาย

twin baby boys have a conversation - part 1 ORIGINAL VIDEO

twin baby boys have a conversation - part 2 ORIGINAL VIDEO

วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554

זוג כלבים אוכלים

นับวันยิ่ง 'ดุมากขึ้น' 'โรคไต' 'ภัยเงียบ' ที่ต้องกลัว

นับวันยิ่ง 'ดุมากขึ้น' 'โรคไต' 'ภัยเงียบ' ที่ต้องกลัว

"...มีคนไทยป่วยเป็นโรคไตเรื้อรังประมาณ 17 ล้านคน หรือ 16% ของประชากรที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปี จากข้อมูลในปี 2551 มีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายราว 31,496 ราย หรือประมาณ 500 ราย ต่อประชากร 1 ล้านคน ซึ่งการดูแลรักษาผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายมีค่าใช้จ่ายสูงมาก ต่อครั้งประมาณ 1,500-2,000 บาท ต้องรักษาสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เดือนหนึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 20,000 บาท ปีละประมาณ 200,000 กว่าบาทต่อคน ...นี่เป็นสถาน การณ์ “โรคไต” ในไทยในปัจจุ บัน ซึ่งมีนัยสำคัญที่มิอาจมองข้าม

การมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคไต...สำคัญ!!
โดยเฉพาะการป้องกัน...ยิ่งต้องให้ความสำคัญมาก

ทั้ง นี้ ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ประธานคณะอนุกรรมการป้องกันโรคไตเรื้อรัง สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย ระบุถึงเรื่องโรคไตว่า... โรคไตเรื้อรังนั้นถือว่าเป็น ’ภัยเงียบ“ อย่างหนึ่ง เพราะกว่าร่างกายจะมีอาการเตือนของโรคไตส่วนใหญ่ไตก็จะเสียไปประมาณ 70% แล้ว เป็นมากแล้วถึงจะเริ่มมีอาการ ในระยะเริ่มต้นที่ไตจาก 100% ลงมาเหลือ 30% บางคนไม่มีอาการ ’บางคนไตหายไปข้างหนึ่งแล้วยังไม่มีอาการเลย!!“

โรค ไตเรื้อรังเป็นภาวะที่เนื้อไตถูกทำลายถาวร ไตค่อย ๆ ฝ่อเล็กลง แม้อาการจะสงบ แต่ไตจะค่อย ๆ เสื่อม และเข้าสู่ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายในที่สุด กลุ่มคนที่เสี่ยงเป็นโรคไตสูงนั้น กลุ่มคนที่เป็นโรคเบาหวานถือเป็นอันดับต้น รองลงมาก็คนที่เป็นความดันโลหิตสูง เป็นโรคหัวใจ มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคไต และคนที่อายุมากกว่า 60 ปีขึ้นไป ซึ่งใน 5 กลุ่มเสี่ยงนี้ควรตรวจคัดกรองหาโรคไตประมาณปีละ 1 ครั้ง

“แต่คนที่ไม่ได้อยู่ใน 5 กลุ่มเสี่ยงก็มีโอกาสเป็นโรคไตได้ แล้วต้องทำ ยังไงให้ห่างไกลโรคไต ก็ต้องทำให้ร่างกายมีสุขภาพดี ไม่ทานเค็ม อย่าทานหวานมากเพราะถ้าทานหวานมากน้ำหนักจะเยอะ พอน้ำหนักเยอะก็อาจจะเป็นโรคได้ ต้องออกกำลังกายสม่ำเสมอ ดื่มน้ำมาก ๆ วันละ 6-8 แก้วเป็นอย่างต่ำ”

ผศ.นพ.สุรศักดิ์ให้ความรู้อีกว่า... สำหรับการสังเกตอาการเตือนว่าจะเป็นโรคไตหรือไม่นั้น มีวิธี สังเกตเบื้องต้น อาทิ มีอาการบวมโดยเฉพาะ บวมที่หน้า บวมที่ตา พอตอนสาย ๆ จะบวมที่ขา พอตื่นเช้าขาหายบวม มาบวมที่ตาก่อน นี่เป็นลักษณะการบวมจากโรคไต คนที่ ปัสสาวะมีฟองมากกว่าปกติ เช่น ปัสสาวะลงโถไป 1 นาที แล้วฟองยังไม่หาย อย่างนี้น่าสงสัยว่าจะเป็นโรคไต หรือบางคน ปัสสาวะสีเปลี่ยน เป็นสีชา สีแดง สีน้ำล้างเนื้อ หรือสีขุ่นผิดปกติ นี่ก็อาจจะมีโรคไตซ้อน อยู่ หรือบางคนก็มี ผมร่วง คันตามตัวโดยไม่ทราบสาเหตุ และอาการที่ไม่จำเพาะก็จะมีอาการ อ่อนเพลีย น้ำหนักลด อันนี้ก็อาจเป็นอาการของโรคไต

กับการรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคไตวายระยะสุดท้ายนั้น มีอยู่ 3 วิธี คือ 1. ฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม ที่เราเรียกว่าล้างไต 2. ล้างไตทางช่องท้อง ผู้ป่วยทำเองที่บ้านได้ ส่วนวิธีรักษาที่ดีที่สุดก็คือ 3. ผ่าตัดปลูกถ่ายไต

’การดูแลป้องกันในระยะเริ่มต้นนั้นสำคัญ เป็นการป้องกันโรคไตที่ดีที่สุด ถ้ารักษาหรือชะลอการเสื่อมระยะเบื้องต้นจะชะลอได้ 5-10 ปี แต่ถ้าไปชะลอในระยะท้าย ๆ จะไม่ค่อยได้ผล เพราะฉะนั้นประชาชนต้องตื่นตัว ต้องปฏิบัติตัวให้ดี ดูแลตัวเองให้สม่ำเสมอ ไม่ให้เกิดโรคไต“...ผศ.นพ.สุรศักดิ์ระบุ

ขณะที่ ศ.นพ.ดุสิต ล้ำเลิศกุล นายกสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย บอกว่า... สำหรับสมาคม โรคไต คือสมาคมวิชาการ เริ่มแรกเป็นการจัดตั้งขึ้นมาเพื่อส่งเสริม ความรู้ในหมู่สมาชิกแพทย์ อาจารย์แพทย์ แพทย์ต่างจังหวัด แพทย์ประจำบ้าน นักเรียนแพทย์ ให้มีความรู้เกี่ยวกับโรคไต แต่ปัจจุบันผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายมีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นหน้าที่ของสมาคมฯ จึงไม่เพียงทำแต่เรื่องวิชาการแล้ว แต่ยังได้ส่งเสริมการบริการทางการแพทย์ให้ทั่วถึงมากขึ้น ส่งเสริมให้ทุกคนเข้าถึงการรักษา คือทั้งให้ความรู้ด้านวิชาการ บริการ ป้องกัน

ด้าน พญ.ธนันดา ตระการวนิช อนุกรรมการป้องกันไตวายเรื้อรัง สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย เสริมว่า... ในส่วนของคณะอนุกรรมการฯ ก็เน้นที่การให้ความรู้การป้องกันโรคไต แนะนำเรื่องอาหาร การปฏิบัติตัว กิจวัตรประจำวัน และการกินยา ทั้งยาที่ควรกินและควรเลี่ยง โดยวิธีป้องกันและชะลอความเสื่อมของไตคือ ลดทานเค็มเพื่อไม่ให้ไตทำงานหนัก จำกัดอาหารโปรตีนในคนไข้ที่ไตเสื่อมเพื่อให้ไตเสื่อมช้าลง ยาที่ควรเลี่ยงไม่ทานประจำก็พวกยาแก้ปวด ยาสมุนไพรบางอย่าง ยาบำรุงไตก็ไม่ควรซื้อกินเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ นอกจากนี้ การออกกำลังกาย ปรับวิถีชีวิตเพื่อสุขภาพ ก็ชะลอการเสื่อมของไตได้ และควรตรวจคัดกรองโรคไตปีละ 1 ครั้ง

ทั้งนี้ กับเรื่องของ “โรคไต” นี้ ในวันที่ 6 มี.ค. 2554 หลาย ฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันจัดงานเนื่องในวันไตโลก บริเวณหอนาฬิกา สวนสาธารณะ สวนจตุจักร ซึ่งในงานก็จะมีกิจกรรมมากมาย อาทิ บริจาคไตถวายเป็นพระราชกุศล ให้ความรู้เกี่ยวกับโรคไต แนะนำวิธีป้องกันโรคไต ตรวจสุขภาพ ตรวจคัดกรองสุขภาพไตฟรี ฯลฯ นอกจากนี้ ยังมีการให้คำแนะนำคนที่ป่วยเป็นโรคไตเรื่องสิทธิการรักษา และขั้นตอนการขอสิทธิการรักษาด้วย

’โรคไต“ คืออีกหนึ่ง ’ภัยสุขภาพ“ ที่เป็น ’ภัยเงียบ“

ทางที่ดี ’ป้องกันไว้ก่อนดีกว่า“ อย่าประมาท!!!!!

ทำไมฝนตกหนักในภาคใต้เดือนมีนา ฝนมาจากไหน

เหตุของปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่า ทำไมภาคใต้น้ำถึงท่วมเดือนมีนา
เหตุคือทำไมฝนตกหนักเดือนมีนา ฝนมาจากไหน

ฝนมาจากความกดอากาศสูงของจีนทางเหนือ ชนกับความกดอากาศต่ำจากตะวันตกและใต้

ปัญหาคือ ความกดอากาศสูง 1032-1040 มิลลิบาร์กลางเดือนมีนาคม หลังช่วง Equinox มาจากไหน

เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องปกติ หลัง 21-23 มีนาคม ซีกโลกเหนือจะเริ่มเอียงเข้าหาดวงอาทิตย์
โดยถือเอาวัน Equinox เป็นวันแรกที่เส้นศูนย์สูตรตั้งฉากกับดวงอาทิตย์

การที่ยังปรากฏพายุหิมะและอากาศหนาวเย็น การก่อตัวของความกดอากาศสูง
(อากาศเย็นจะตกลงล่าง ทำให้ความกดอากาศสูงขึ้น) ไม่ต่างจากเดือน ธันวา-มกรา นั้น
สาเหตุมาจากอะไรแน่

โลกใบนี้มีน้ำมากกว่า 3/4 และ "น้ำ" คือตัวเฉลี่ยและควบคุมอุณหูมิโลกที่สำคัญพอๆกับสภาพเรือนกระจกและมุมเอียงของโลกต่อดวงอาทิตย์

อุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้นต่อเนื่องมาหลายปี การละลายของน้ำแข็งขั้วโลก ทำให้ระดับความเค็มของทะเเลเปลี่ยนแปลง

กระแสน้ำพยุงอุณหภูมิของโลกต้องอาศัยอุณหภูมิและความเค็มของน้ำทะเลเป็นแรงขับเคลื่อน

โดยน้ำเค็มจะหนักและจมต่ำในขั้วโลกเหนือ จากนั้นจะมีการลำเลียงความเย็นจากขั้วโลกเหนือมาหล่อเลี้ยงเส้นศูนย์สูตร
ในขณะเดียวกัน ก็จะนำความอุ่นจากเส้นศูนย์สูตรกลับไปเฉลี่ยให้ประเทศทางเหนือในละติจูดสูงๆ

เมื่อโลกร้อนจากฝีมือใครก็แล้วแต่ น้ำแข็งที่ขั้วโลกละลาย ทำให้ความเค็มของน้ำทะเลลดลง
เส้นทางการหมุนวนของสายลำเลียงอุณหูมิโลกก็เริ่มพิการ อุณหภูมิเฉลี่ยของซีกโลกเหนือจะต่ำลง
ทำให้หน้าหนาวในซีกโลกเหนือ อยู่เลยมานานกว่ากลางเดือนมีนา ขณะที่ขั้วใต้ยังมีความร้อนสูง
เนื่องจากการลำเลียงความเย็นมาไม่ถึง

การผิดฤดูก็เกิดขึ้น การชนกันของความกดอากาศสูงที่ไหลลงมาชนกับความกดอากาศต่ำในเส้นศูนย์สูตรจึงเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้

ส่วนใดในเมืองไทยที่ไม่มีความกดอากาศต่ำอยู่ก่อน ก็จะหนาวเย็นผิดปกติ
ส่วนใดที่่มีความกดอากาศต่ำอยู่ หรือไหลมาทีหลังก็จะเกิดการชนกันกับความกดอากาศสูง
ซึ่งเป็นผลให้เกิดพายุลูกเห็บและปริมาณฝนมากมายมหาศาลผิดฤดูไปด้วย

ภาคใต้เราจึงเป็นแบบนี้ในช่วงหลังวัน Equinox

http://www.paisalvision.com/faq/6254-2011-03-25-10-31-16.html

Thailand's Got Talent : Boy or Girl? (English Subtitle)

วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2554

13 รอยเลื่อนที่มีพลังพาดผ่าน 22 จังหวัดในประเทศไทย

13 รอยเลื่อนที่มีพลังพาดผ่าน 22 จังหวัดในประเทศไทย

- รอยเลื่อน ซึ่งอยู่ใต้พื้นดิน เมื่อไรที่เลื่อน ก็จะเกิดแผ่นดินไหว

- “แผ่นดินไหว” เป็นภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของพื้นดิน

อันเนื่องมาจากการปลดปล่อยพลังงานความเครียดจากใต้พื้นพิภพอย่างฉับพลัน เพื่อปรับ

สมดุลของเปลือกโลก โดยมี 2 สาเหตุสำคัญ คือ

1. เกิดจากการกระทำของมนุษย์ เช่น การทดลองระเบิดปรมาณู และแรง

ระเบิดจากการทำเหมือง เป็นต้น

2. เกิดจากธรรมชาติ มี 2 ทฤษฎี คือ

2.1 ทฤษฎีที่ว่าด้วยการขยายตัวของแผ่นเปลือกโลก เชื่อว่า

แผ่นดินไหวเกิดจากการที่เปลือกโลกคดโค้งโก่งงออย่างฉับพลัน และเมื่อวัตถุขาดออกจากกัน

จึงปลดปล่อยพลังงานออกมาในรูปคลื่นแผ่นดินไหว

2.2 ทฤษฎีที่ว่าด้วยการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก เชื่อว่า

แผ่นดินไหวเกิดจากการสั่นสะเทือนอันเป็นเหตุผลมาจากการเคลื่อนตัวของรอยเลื่อนนั่นเอง

- “รอยเลื่อน” เป็นผลพวงจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลก (มีทั้งหมด 12

แผ่น) ซึ่งมีการเคลื่อนที่ตลอดเวลา บางแผ่นเคลื่อนตัวเข้าหากันและมุดซ้อนเกยกัน และ

บางแผ่นแยกออกจากกัน ขณะที่บางแผ่นเคลื่อนเฉียดกัน ทำให้เกิดแรงเครียดสะสมไว้

ภายในเปลือกโลก เมื่อรอยเลื่อนขยับตัวก็จะมีการปลดปล่อยพลังงานออกมาในรูปของการ

สั่นไหว ทำให้เกิดแผ่นดินไหวนั่นเอง ผู้เชี่ยวชาญด้านแผ่นดินไหวจากสถาบันเทคโนโลยีแห่ง

เอเซีย หรือเอไอที บอกไว้ว่า การเกิดแผ่นดินไหวที่จะสร้างความเสียหายและผลกระทบให้

ประเทศไทยมากที่สุด คือ การเกิดแผนดินไหวใกล้ๆ กรุงเทพฯ ซึ่งมีเพียงปัจจัยจาก

รอยเลื่อน 2 แหล่ง คือ รอยเลื่อนสะแกงในประเทศพม่ากับรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์

และรอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ในประเทศไทย



13 รอยเลื่อนที่มีพลังพาดผ่าน 22 จังหวัดในประเทศไทย

รอยเลื่อนสะแกง อยู่ห่างจาก กรุงเทพฯ ประมาณ 400 กม. ส่วนรอย

เลื่อนศรีสวัสดิ์ และรอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ อยู่ห่างจาก กรุงเทพฯ ประมาณ 200

กม. แถมยังมีเขื่อนขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนรอยเลื่อน นั่นคือ เขื่อนศรีนครินทร์ เป็นแรงหนุนให้

เกิดความเสียหายอันประเมินค่ามิได้ ถ้าเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงจากรอยเลื่อนดังกล่าว

กรมทรัพยากรธรณี ได้ทำการศึกษาและรวบรวมข้อมูลการสำรวจรอยเลื่อนที่มีพลัง

ในการเคลื่อนตัวในประเทศไทย พบว่าประเทศไทยมีรอยเลื่อนใหญ่ๆ อยู่หลายแนว

โดยสามารถจัดกลุ่มรอยเลื่อนที่สำคัญได้ 13 กลุ่ม โดยกลุ่มรอยเลื่อนทั้งหมดวางแนว

พาดผ่านพื้นที่ 22 จังหวัด คือ ภาคเหนือ 11 จังหวัด ภาคใต้ 6 จังหวัด

ภาคตะวันตก 3 จังหวัด และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 จังหวัด มีดังนี้.-

1. กลุ่มรอยเลื่อนแม่จันและแม่อิง พาดผ่านเชียงรายและเชียงใหม่

2. กลุ่มรอยเลื่อนแม่ฮ่องสอน พาดผ่านแม่ฮ่องสอนและตาก

3. กลุ่มรอยเลื่อนเมย พาดผ่านตากและกำแพงเพชร

4. กลุ่มรอยเลื่อนแม่ทา พาดผ่านเชียงใหม่ ลำพูน และเชียงราย

5. กลุ่มรอยเลื่อนเถิน พาดผ่านลำปางและแพร่

6. กลุ่มรอยเลื่อนพะเยา พาดผ่านลำปาง เชียงราย และพะเยา

7. กลุ่มรอยเลื่อนบัว พาดผ่านน่าน

8. กลุ่มรอยเลื่อนอุตรดิตถ์ พาดผ่านอุตรดิตถ์

9. กลุ่มรอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ พาดผ่านกาญจนบุรีและราชบุรี

10. กลุ่มรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ พาดผ่านกาญจนบุรีและอุทัยธานี

11. กลุ่มรอยเลื่อนท่าแขก พาดผ่านหนองคายและนครพนม

12. กลุ่มรอยเลื่อนระนอง พาดผ่านประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง และพังงา

13. กลุ่มรอยเลื่อนคลองมะรุ่ย พาดผ่านสุราษฎร์ธานี กระบี่ และพังงา

จากการสำรวจกลุ่มรอยเลื่อนใน จ.กาญจนบุรี ของกรมทรัพยากรธรณี ทำให้

ทราบว่าสาเหตุการเกิดแผ่นดินไหวจากกลุ่มรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ ซึ่งมีความรุนแรง 5.3 และ

5.9 ริคเตอร์ หลังจากนั้นเกิดอาฟเตอร์ช็อกตามมาอีกหลายครั้งทางตอนเหนือของ อ.ศรีสวัสดิ์

เกิดจากการเคลื่อนตัวของรอยเลื่อนบ่องาม และรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์นั่นเอง



ส่วนกลุ่มรอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ เคยเกิดแผ่นดินไหวบริเวณ ต.กลอนโด อ.เมือง

จ.กาญจนบุรี เป็นผลให้พื้นดินแยกเป็นระยะทางยาว 300 เมตร และกว้าง 1 – 2 เมตร

ลึก 150 เมตร การเกิดแผ่นดินไหวครั้งนั้นไม่มีรายงานผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สิน

เนื่องจากอยู่ห่างไกลจากชุมชนมาก

เช่นเดียวกับการศึกษาวิจัยเรื่อง “แผ่นดินไหวในประเทศไทยและผืนแผ่นดิน

ตะวันออกเฉียงใต้” ของคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พบว่า รอยเลื่อนที่น่า

จับตาที่สุด 2 แหล่ง คือ รอยเลื่อนแม่จัน และรอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ เพราะรอยเลื่อน

ดังกล่าวค้นพบหลักฐานทางธรณีวิทยาว่า เคยเกิดแผ่นดินไหวขนาดรุนแรงมาแล้วหลายครั้ง

“การศึกษารอยเลื่อนเพื่อให้ทราบว่าพื้นที่ตรงไหนมีรอยเลื่อน มีพลังพาด

ผ่านบ้าง จะได้ประกาศเตือนชาวบ้านไม่ให้ไปตั้งบ้านเรือนอยู่ และใช้ในแผนการ

ก่อสร้างอาคารอย่างที่ไต้หวันไปสร้างสวนอุตสาหกรรมบนรอยเลื่อน พอเกิดแผ่นดินไหว

ปรากฏว่าตึกรามบ้านช่องถล่มทลายลงมาหมด บ้านเราจำเป็นต้องศึกษารอยเลื่อนต่างๆ ไว้

เป็นเครื่องเตือนใจ แต่ก็มีคนที่ทำงานสำรวจรอยเลื่อนไม่เกิน 10 คนเท่านั้น

จากการศึกษารอยเลื่อนพบว่า ถนนจาก อ.ฝาง ไป อ.เชียงแสน ตลอด

ทั้งเส้นสร้างอยู่บนรอยเลื่อนแม่จัน จึงทำให้ถนนเส้นนี้เกิดปัญหาดินถล่มบ่อยครั้ง ส่วน

รอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ก็มีชาวกะเหรี่ยงอาศัยอยู่มาก ถ้าเกิดแผ่นดินไวที่มีความรุนแรง

เกิดขึ้นอาจทำให้มีปัญหากับเขื่อนอาจทำให้เขื่อนเสียหายได้

นอกจากรอยเลื่อนในประเทศไทยแล้ว รอยเลื่อนที่เกิดขึ้นในประเทศพม่า ยังเป็นสิ่ง

ที่นักวิชาการแผ่นดินไหวส่วนใหญ่กังวลใจมากที่สุดนั่นคือรอยเลื่อนสะแกง และรอยเลื่อน

เจดีย์สามองค์อาจเป็นแขนงของรอยเลื่อนสะแกง โดยที่รอยเลื่อนสะแกงนั้นเชื่อมต่อกับ

รอยต่อของแผ่นเปลือกโลกนั่นเอง

Multiculturalisme et islam en France reportage de CBN

Bangkok's 'Dancing Lady' Salad: Complete with Live Shrimp!

AN/AAQ-37 EO DAS for the F-35

สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเอง กับสูตรสุขภาพมีอย่างนี้

สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเอง กับสูตรสุขภาพมีอย่างนี้

๑. อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัว เองกับคนอื่น คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้นเขา มีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณอย่างไรบ้าง
๒. อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับ เรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้ แทนที่จะมองโลก ในแง่ร้าย, ก็ทุ่มเทกำลังและพลังงานให้กับความคิด ทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย
๓. อย่าทำอะไร เกินกว่าที่ตัวเองทำได้...รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน
๔.. อย่าเอา จริงเอาจังกับตัวเองนัก เพราะคนอื่นเขา ไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก
๕. อย่า เสียเวลาและพลังงานอันมีค่าของคุณกับ เรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ....นอกเสียจากว่ามันจะทำให้คุณ ผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง
๖. จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอน หลับ
๗. ความ รู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ๆ ปลี้ ๆ...คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องมีแล้ว
๘. ลืมเรื่อง ขัดแย้งในอดีตเสีย และอย่าได้เตือนสามี หรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของอีกฝ่ายหนึ่งเลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ
๙. ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร...จงอย่าเกลียดคนอื่น
๑๐.ประกาศ สงบศึกกับอดีตให้สิ้น, จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ
๑๑.ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง
๑๒.จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน คุณมาเพื่อเรียน รู้ และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตรซึ่งมาแล้วก็หาย ไป...เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต...แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอด ชีวิต
๑๓. จง ยิ้มและหัวเราะมากขึ้น
๑๔. คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถก เถียงกับคนอื่นหรอก...บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่างกัน ได้...เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร


แล้วเราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชนและคนรอบข้าง เราล่ะ?

๑. อย่าลืมโทรฯหาครอบครัวบ่อย ๆ
๒. จงหาอะไรดี ๆ ให้คนอื่นทุกวัน
๓. จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง
๔. จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6ขวบ
๕. พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน
๖. คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณไม่ใช่ เรื่องของคุณสัก หน่อย
๗. งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก แต่ครอบครัวและเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณในยามคุณมีปัญหา สุขภาพ ดังนั้น, อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็น อันขาด


และถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้มีความหมายได้, ก็ควรจะทำ ดังต่อไปนี้
๑. ทำสิ่งที่ควรทำ
๒. อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์, ไม่สวย, ไม่น่ารื่นรมย์,จงทิ้ง ไปเสีย...เก็บไว้ทำไม?
๓. เวลาและพระเจ้าย่อมรักษาแผล ทุกอย่างได้
๔. ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด, เดี๋ยว มันก็เปลี่ยน
๕. ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน, จงลุก จากเตียง, แต่ง ตัวและปรากฎตัวต่อหน้าคนที่เราร่วมงาน ด้วย...get up, dress up and show up.
๖. สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง
๗. ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้, อย่าลืมขอบคุณพระเจ้า หรือสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย
๘. เชื่อเถอะว่าส่วนลึก ๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุข เสมอ...ดังนั้น, ส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไปทำไมเล่า
และสุดท้ายที่สำคัญที่สุด

" ส่งบทความที่ต่อไปให้คน ที่คุณรักและห่วงหาอาทรด้วย... "

วันศุกร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2554

อาหารที่ไม่ควรทานร่วมกัน

อาหารที่ไม่ควรทานร่วมกัน

1. เหล้าขาวกับลูกพลับ กินด้วยกันไม่ได้จะทำให้เป็นพิษ
2. หัวไชเท้ากับเห็ดหูหนู ทั้งดำและขาว กินด้วยกันไม่ได้จะเป็นโรคผิวหนัง
3. เต้าหู้กับน้ำผึ้ง กินด้วยกันไม่ได้จะทำให้หูหนวก
4. มันฝรั่งกับกล้วยทุกชนิด กินรวมกันไม่ได้จะทำให้หน้าเป็นฝ้า
5. กล้วยกับเผือก กินด้วยกันไม่ได้จะทำให้ท้องอืด
6. ถั่วลิสงกับฟักทอง กินรวมกันไม่ได้จะทำให้ทำร้ายร่างกายและลำไส้อักเสบ
7. มันเทศกับลูกพลับ กินรวมกันแล้วจะทำให้เกิดนิ่วในกระเพาะอาหาร
8. มันฝรั่งกับลูกพลับ กินรวมกันแล้วจะทำให้เป็นนิ่วในท่อปัสสาวะ
9. หัวไชเท้ากับผลไม้ทุกชนิด กินรวมกันแล้วจะทำให้เกิดคอพอก
10. น้ำเต้าหู้ นมสด ห้ามใส่ไข่ เพราะจะทำให้ท้องผูกและเส้นเลือดตีบ
11. ผักป๋วยเล้ง ห้ามกินกับเต้าหู้ จะทำให้เป็นนิ่วที่ไขสันหลัง
12. กล้วย มะละกอ แตงโม ห้ามกินด้วยกัน จะทำให้เป็นโรคไตกับโรคเบาหวาน
13. ส้มกับมะนาว ห้ามกินด้วยกันจะทำให้กระเพาะทะลุ
14. เหล้าขาวกับเบียร์ ห้ามกินด้วยกันจะทำให้เส้นเลือดในสมองแตก
15. ปลาทุกชนิดห้ามต้มกับผักกาดดอง จะทำให้เป็นโรคมะเร็ง
16. ขิงดอง ห้ามเข้าตู้เย็น กินแล้วจะเป็นโรคมะเร็ง
17. น้ำเต้าหู้ ห้ามใส่น้ำตาลแดง จะทำให้เสียวิตามิน
18. น้ำข้าวห้ามใส่กับนม จะทำให้เสียวิตามิน
19. น้ำผึ้งห้ามชงด้วยน้ำที่ร้อนจะทำให้เสียวิตามิน
20. เหล้า เบียร์ กับ ทุเรียน ห้ามกินด้วยกัน เพราะจะทำให้เลือดสูบฉีดแรง ความดันสูง อันตรายถึงชีวิต
21. บวบ ซือกวย ไชเท้า ห้ามกินวันเดียวกัน ทำให้เชื้ออสุจิอ่อนไม่แข็งแรง

วันเสาร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2554

เรื่องหวาดเสียวในเส้นก๋วยเตี๋ยว

อาหาร ของชาวจีนที่เข้ามาในเมืองไทยตั้งแต่สมัยพระนารายณ์ แล้วถูกปรับจนเป็นอาหารพื้นฐานของคนไทยชนิดนี้ มีอันตรายแฝงอยู่แบบที่คุณนึกไม่ถึง เพราะเส้นก๋วยเตี๋ยวสีขาวที่เรากินกันนั้นทำมาจากแป้งข้าวเจ้า ซึ่งมีความชื้นสูง ขึ้นราได้ง่าย หากเก็บไว้หลายวันเส้นก็จะใช้อีกไม่ได้ ดังนั้นผู้ประกอบการจึงต้องใส่สารกันบูดลงไปเพื่อยืดอายุของมันออกไป

แต่มันแย่หน่อยที่สารกันบูดที่ใส่ลงไปนั้นคือ “ กรดเบนโซอิก ” และ “ กรดซอร์บิก ” ซึ่งจะทำให้ตับและไตของเราทำงานแย่ลงหากได้รับในปริมาณสูง และแย่กว่านั้นตรงที่งานวิจัย “ ความปลอดภัยในเส้นก๋วยเตี๋ยว ในเขตภาคอีสาน ” ของศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์อุบลราชธานี รายงานว่า 4 จังหวัดภาคอีสานมีปริมาณสารกันบูดมากกว่ามาตรฐานตั้งแต่ 4 เท่าตัวขึ้นไป

1,000 ม . ก ./ ก . ก . คือปริมาณกรดเบนโซอิกที่คณะกรรมการกำหนดมาตรฐานอาหารสากลเห็นว่ายังปลอดภัย แต่ในการวิจัยนั้นพบว่าในเส้นใหญ่มีกรดเบนโซอิกมากถึง 4,230 ม . ก ./ ก . ก . และ ตัวเลขที่ชวนช็อคที่สุดตกเป็นของเส้นเล็กค่ะ นั่นคือมีกรดเบนโซอิกมากถึง 17,250 ม . ก ./ ก . ก . แปลว่าสูงกว่ามาตรฐานความปลอดภัยถึง 17 เท่าทีเดียว ... โอ้

ข้อมูล ที่จะมาตอกย้ำให้คุณตื่นตระหนกและหมดหวังก็คือ สารกันบูดที่ใส่ลงไปไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า สภาพของเส้นใส่สารกับเส้นสะอาดก็ไม่ต่างกันเลย และถ้าคิดว่าการลวกด้วยน้ำร้อนจะเจือจางสารได้ก็เสียใจด้วย เพราะมันผสมเป็นเนื้อเดียวกับเส้นไปแล้ว เราจึงได้แต่ฝากชีวิตไว้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น อย . หาวิธีแก้ปัญหาที่ผู้ผลิต

หรือ ไม่งั้นก็ต้องพึ่งตัวเองด้วยการกินบะหมี่เหลือง วุ้นเส้น เพราะพวกนี้ทำจากแป้งสาลี จึงไม่มีการใช้สารกันบูดเลย แต่ถ้าอยากกินเส้นขาวก็ยังมีวิธีตรวจสอบมาฝากบ้าง นั่นคือ ...

3 วิธีเช็กอันตรายเส้นก๋วยเตี๋ยว

1. เส้นก๋วยเตี๋ยวที่ใส่สารจะเหนียวผิดปกติ กัดไม่ค่อยขาด

2. เมื่อนำไปลวกในหม้อ สังเกตได้ว่าน้ำที่ลวกจะขุ่น

3. เส้นก๋วยเตี๋ยวปกตินั้นทิ้งไว้คืนเดียวก็ขึ้นราและบูดแล้ว แต่ถ้าเป็นเส้นที่ใส่สารแม้ทิ้งไว้ 2-3 วันสภาพก็ยังเหมือนเดิม แต่ถ้าลองดมดูจะได้กลิ่นเหม็นเปรี้ยวทันที

วันศุกร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2554

20 เพลงฉ่อย เรื่อง ท่องเที่ยว จาก รายการคุณพระช่วย ช่วงจำอวดหน้าม่าน 8 ...

25 เพลงฉ่อย เรื่อง ชีวิตคิดขำๆ จาก รายการคุณพระช่วย ช่วงจำอวดหน้าม่าน 16...

น้องแพรวา ไทยแลนด์ก๊อตทาเลนท์

สมศักดิ์แขนเดียว thailand's got talent

One hand guitarist : Thailand's Got Talent 2010.mov

Thailand's Got Talent Host & Judge

Spin fire : Sparkly poi (Thailand got talent 2010)

Thailand's Got Talent TVC30s

หลักฐานที่แสดงว่าคุณเป็นคนไทยแท้ 100%

หลักฐานที่แสดงว่าคุณเป็นคนไทยแท้ 100%


ไม่ต้องควักบัตรประชาชน ไม่ต้องร้องเพลงชาติพิสูจน์ ถ้ามีคุณสมบัติต่อไปนี้ แสดงว่าคุณคือคนไทยแน่ๆ


1. คุณรู้จักอาหารไทยชนิดอื่นที่ไม่ใช่ต้มยำกุ้ง ผัดไทย ต้มข่า

2. คุณจะโกรธมากถ้าใครเอาเท้าชี้ของให้คุณดู

3. เวลามีฝรั่งมาถามทางคุณจะมีอาการหน้าซีด เหงื่อตก และรีบมองหาตัวช่วย

4. เวลาเห็นคนแซงคิว คุณจะนึกด่าอยู่ในใจ แต่ถ้ามีโอกาส คุณก็แซงคิวเหมือนกัน

5. ในชีวิตคุณ ต้องเคยดูละครอมตะ บ้านทรายทอง คู่กรรม และดาวพระศุกร์มาแล้ว อย่างน้อย 1 ครั้ง

6. คุณรู้ชื่อจริงๆของเมืองหลวงไทยคือกรุงเทพฯ ไม่ใช่แบ็งคอก(Bangkok)

7. ไม่มีอะไรแก้เมื่อยให้คุณได้ดีกว่าการนวดแผนโบราณ

8. พนักงานสายการบินที่ใหญ่ที่สุดในประเทศนี้ให้บริการคุณแบบขอไปที

9. คุณแยกออกว่าหน้าตาของคนไทย จีน ญี่ปุ่น ลาว ต่างกันอย่างไร

10. คุณรักในหลวง

11. คุณใส่เสื้อสีเหลืองทุกวันจันทร์ และกำลังหาเสื้อสีชมพูมาใส่อีกตัว

12. คุณรู้ว่าสงกรานต์หมายถึงวันหยุดยาวประจำปี

13. เวลาจะแต่งงาน คุณยังขออนุญาตพ่อแม่อยู่เลย

14. ถ้ามีคนเอาคุณไปเปรียบกับสัตว์ เช่น ควาย สุนัข ตัวเงินตัวทอง คุณจะโกรธมาก

15. เวลาสั่งกับข้าว ถ้าคิดอะไรไม่ออก คุณจะสั่งผัดกะเพราะกับไข่ดาวโดยอัตโนมัติ

16. คุณรู้ว่าหมาข้างถนนคือเจ้าพ่อประจำซอย และถ้าถูกมันไล่ คุณก็ไม่คิดจะยืนรอด่าเจ้าของมัน

17. ชื่อของคุณยาวมาก จนชาวต่างชาติเรียกไม่ถูก

18. คุณซื้อน้ำที่ใส่ถุงพลาสติกกินได้ โดยไม่กลัวเชื้อโรค

19. เวลาตัวอิจฉาในละครกรี๊ดกร๊าดเสียงดัง ทำตาถลน หรือตบกันทั้งเรื่อง เป็นอะไรที่อินมากสำหรับคุณ

20. ต่อให้ของชิ้นนั้นราคาถูกแสนถูก แต่ยังไงคุณก็ต้องขอต่อหน่อยล่ะ

21. เวลาเด็กเอาก๋วยเตี๋ยวมาเสริฟ คุณจะมองหาเครื่องปรุงทันที

22. คุณกินส้มตำที่ใส่พริกมากกว่า 1 เม็ด

23. และโซ้ยปลาร้าได้อย่างแซ่บอีหลี

24. คุณไปทำงานสายประจำ.... แต่ไม่เป็นไร เพราะเจ้านายคุณก็สายเหมือนกัน

25. หนังเรื่อง 'ตำนานสมเด็จพระนเรศวร' มีผลต่อจิตใจคุณ มันทำให้คุณเห็นถึงความแตกแยก

26. คุณหัวเราะให้กับมุกตลกคาเฟ่ทั้งหลาย

27. เวลาทานแฮมเบอร์เกอร์ ถึงจะอิ่ม แต่คุณจะไม่สบายท้องเหมือนกินข้าว

28. ถ้าพูดถึงการทำลายสถิติโลก คุณจะคิดถึงข้าวหลามที่ยาวที่สุดในโลก หอยทอดกระทะใหญ่ที่สุดในโลก
ธูปที่ยาวที่สุดในโลก อะไรพวกนี้แหละ

29. คุณไม่เคยคิดอยากลองขี่ควายเลย

30. คุณจะรู้สึกเอ็นดูทันที ถ้าฝรั่งคนหนึ่งบังเอิญไหว้แบบไทยได้สวยอ่อนช้อย

31. เวลาดูหนัง พอภาพในหลวงปรากฎขึ้นบนจอ คุณจะลุกขึ้นยืนโดยอัติโนมัติ

32. สาวสวยไสตล์ที่ราบสูงซึ่งฝรั่งปลื้มกันนักหนา ไม่ใช่คนสวยในสายตาคุณ

33. ถ้าได้ไปอยู่เมืองนอกตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป ลิ้นคุณจะแข็ง จนพูดไทยไม่ชัดแล้ว

34. แต่ภาษาอังกฤษของคุณก็ไม่ชัดเหมือนกัน

12 เทคนิค .. กันสมองเหี่ยว

12 เทคนิค .. กันสมองเหี่ยว


เรื่องของการปลุกระดมสมองให้สดชื่นแจ่มใสเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ต้องการ เพราะเมื่อสมองแจ่มใส ปลอดโปร่ง อะไรก็ดีตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็น การฟัง พูด อ่าน เขียน จดจำ หรือความคิด
กลับกัน หากสมองเหี่ยว ฝ่อ ไม่สดใส อาจจะเกิดจากความเครียด หรือการหมกมุ่นกันเรื่องใดเรื่อง หนึ่ง นานๆ หรือ ขาดการพักผ่อน ทักษะดังกล่าวก็จะลดน้อยถอยไป กรรมวิธีที่จะทำให้สมองแข็งแรงไป อย่างยืนยาวนั้น สถาบันดีสปายน์ไคโรแพรคติก เทคนิคมาแนะนำ


> 1. ดื่มน้ำให้พอ เพราะสมองของคนเราประกอบด้วยน้ำถึง 85% ดังนั้นเมื่อร่างกายขาดน้ำ สมอง ก็ จะทำงานช้าลง ทำให้กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดอะไรไม่ค่อยออก

แต่การดื่มน้ำนั้นแต่ละคนจะมีความต้องการน้ำไม่เท่ากันขึ้นอยู่กันน้ำหนัก และพฤติกรรมต่างๆ ทั้งการ เคลื่อนไหว และการบริโภค แต่โดยเฉลี่ยแล้ว ผู้ใหญ่ควรดื่มน้ำวันละ 3-5 ลิตร ส่วนเด็ก 2-3 ลิตร

> 2. หายใจ ลึกๆ ช่วยส่งพลังงานไปถึงสมอง ถ้านั่งหายใจ หลังก็ควรจะตั้งตรง จะช่วยให้ออกซิเจน เข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น และถ้านั่งนานเนไปควรเปลี่ยนอิริยาบถ ยืดเส้น ยืดสาย เพื่อให้ปอดขยาย


> 3. เลือก รับประทานอาหาร ที่มีไขมันดีทดแทนไขมันในสมองที่สึกหรอ อาทิ น้ำมันปลา สารสกัดจากใบ แปะก๊วย ปลาแซลมอน อีฟนิ่งพริมโรส วิตามินซี


> 4. ตั้งโปรแกรมให้สมอง โดยใช้ความตั้งมั่นตั้งใจอย่างจริงจัง สมองจะค่อยๆ ปรับพฤติกรรมให้ไปสู่ เป้าหมายได้


> 5. หัวเราะและยิ้มบ่อยๆ ช่วยให้ร่างกายหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ไปกระตุ้นพลังออร่าให้สว่างสดใสจะ
> ช่วยดึงดูดสิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต

> 6. ฝึกสมาธิพัฒนาอารมณ์ ให้สมองผ่อนคลาย จะช่วยทำให้มีจินตนาการมีความคิดสร้างสรรค์ สามารถทำได้ทั้งตื่นเช้าหรือก่อนนอนทุกวัน

> 7. ออกกำลังกาย กระตุ้นการทำงานของสมองพร้อมกับดื่มน้ำบ่อยๆ

> 8. หา อะไรใหม่ๆ ให้ชีวิต เช่น รู้จักคนใหม่ๆ อ่านหนังสือเล่มใหม่ ขับรถเส้นทางใหม่ หรือแลก เปลี่ยนทัศนคติใหม่ๆ กับเพื่อน สมองจะหลั่งสารแห่งความสุข (เอ็นดอร์ฟิน) และสารแห่งการเรียนรู้ โดปามีน ทำให้เกิดการอยากเรียนรู้อย่างมีความสุข

> 9. รู้จักให้อภัยและลดความโกรธ จะทำให้สูญเสียพลังงานน้อยลง และยังเป็นการช่วยลดภาระให้กับ สมอง

> 10. พูดเรื่องดีๆ กับตัวเองซ้ำๆ ให้เกินวันละ 100 ครั้ง

> 11. บันทึกสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันลงในสมุดบันทึก ช่วยทำให้สมองคิดในเชิงบวก ทำให้หลับฝันดี มี สมาธิ

> 12. พักผ่อนให้เพียงพอ โดยช่วงเวลา 21.00 น. จะเป็นช่วงเวลานอนที่ดีที่สุด

เรื่องนี้ไม่ใช่เหมาะสำหรับเด็ก แต่เป็นเรื่องที่ทุกเพศ ทุกวัยสามารถปฏิบัติได้เป็นการยืดอายุสมอง ให้ อยู่กับเราไปได้นานเท่านาน!!

9-year-old Tongthong ธงทอง : Thailand's got Talent

จำอวดหน้าม่าน สด

34 เพลงฉ่อย เรื่อง คลินิก จาก รายการคุณพระช่วย ช่วงจำอวดหน้าม่าน 27 กุมภ...

อะดรีนาลีน พุ่งปี้ดกับ เหล่าเทพ กีฬาต่างๆ


อะดรีนาลีน พุ่งปี้ดกับ เหล่าเทพ กีฬาต่างๆ - ดูคลิปทั้งหมด คลิกที่นี่

Gempatsukun arc

การแข่งขัน ปลดตะขอเสื้อใน นางแบบสาว ที่ประเทศจีน


การแข่งขัน ปลดตะขอเสื้อใน นางแบบสาว ที่ประเทศจีน - ดูคลิปทั้งหมด คลิกที่นี่

ช่วยคืนชีพชีวิต น้องหมา


ช่วยคืนชีพชีวิต น้องหมา - ดูคลิปทั้งหมด คลิกที่นี่

Sea Passion, Cancun - TEQUILLA!

Westjet pre flight safety talk

แนวทางเพื่อลดความเครียด

1/ ไม่ทำงานเกิน 10 ชั่วโมง ต่อวัน
2/ มีเวลาอิสระ จากงานประจำอย่างน้อย 1วันครึ่ง ต่อสัปดาห์
3/ ทานอาหารมื้อละ ครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อย เคี้ยวละเอียด และ ช้า ๆ
4/ สร้างนิสัยการฟังเพลง เพื่อการผ่อนคลาย
5/ นวด ฝึกโยคะ ทำสมาธิ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ๆละ15 นาทีขึ้นไป
6/ ยิ้มอย่างสดชื่น ต่อทุกคนที่พบเห็น
7/ วางแผนพักผ่อน อย่างน้อย 1 ครั้งต่อปี
8/ ออกกำลังกายทุกวันหรือ สัปดาห์ละ 3 ครั้ง ๆละ15 - 20 นาที
กลางแจ้งจะดี ได้สูดอากาสสดชื่น
9/ ตรวจสอบอาหาร ให้มีความสมดุล
10/ ถ้ามีปัญหาด้านอารมณ์ และหรือปัญหาทางเพศ ให้ปรืกษาผู้รู้
11/ ถ้าทำงานไม่มีความสุข ให้สำรวจและ
- เก็บงานไว้ก่อน
- เปลี่ยนไปทำงานในสายงานอื่น
- หาคนมาช่วยทำ
12/ สร้างงานอดิเรก ลักษณะสร้างสรร มากกว่าแข่งขัน เช่น ทำสวน วาดภาพ เล่นดนตรี
13/ ใส่ใจกับปัจจุบัน ไม่หมกมุ่นกับอดีต หรือกังวลกับอนาคต
14/ ทำงาน อย่างหนึ่งให้เสร็จ แล้วค่อยเริ่ม งานที่ 2
15/ แสดงอารมณ์อย่างเปิดเผย โดยไม่ได้แสดงอาการต่อต้าน หรือเป็นศัตรู
16/ อย่ายอมรับงาน หรือกำหนดตัวคุณเอง กับเส้นตายที่ไม่เป็นจริง
อะไรที่ทำไม่เสร็จในวันเดียว ให้ทำต่อพรุ่งนี้
17/ ไม่พึ่งยา ไม่ตำหนิคนอื่นเพื่อแก้ปัญหา ให้ยอมรับความแตกต่างของแต่ละบุคคล
18/ หลีกเลี่ยงบุคคล หรือ สถานการณ์ ที่ทำให้เครียดมากขึ้น
19/ กำหนดขอบเขตในการให้ การตัดสิน และเลือกวิธีปฏิบัติเท่าที่จำเป็น
20/ เมื่อสิ้นสุดในแต่ละวัน ควรให้รางวัลตัวคุณเอง
21/ การสื่อสารที่ดี ช่วยลดความเครียดได้อย่างมาก
22/ หัดปฏิเสธ ... อย่างนุ่มนวล อ่อนโยน

Thomson In Flight Safety Film 'Alice The Chief Steward'

สำหรับทุกคนที่มีสถานะเป็นลูก และพ่อแม่

สำหรับทุกคนที่มีสถานะเป็นลูก และพ่อแม่


คุณค่าแห่งการรู้คุณค่า

หนุ่มน้อยเพิ่งจบการศึกษาด้วยผลการเรียนดีเยี่ยมไปสมัครงานในตำแหน่งผู้จัดการ
ในบริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง หลังจากผ่านการสอบสัมภาษณ์ครั้งแรกไปแล้ว ผู้อำนวยการ
ได้เรียกเขาไปสัมภาษณ์เป็นครั้งสุดท้ายก่อนตัดสินใจ ผู้อำนวยการเห็นข้อมูลในประวัติ
ของเด็กหนุ่มคนนี้ว่ามีผลการเรียนเป็นเลิศในทุกวิชาตลอดมา นับตั้งแต่อุดมศึกษาจน
จบมหาวิทยาลัย ไม่ปรากฏว่าเขาทำคะแนนตกเลย



ผู้อำนวยการเริ่มคำถามว่า “เธอเคยได้รับทุนการศึกษาอะไรหรือเปล่า”
เด็กหนุ่มตอบว่า “ไม่เคยครับ”
ผู้อำนวยการถามต่อว่า “คุณพ่อของเธอเป็นคนจ่ายค่าเล่าเรียนให้ใช่ไหม”
เด็กหนุ่มตอบว่า “คุณพ่อของผมเสียไปตั้งแต่ผมอายุได้ขวบเดียวครับ เป็นคุณแม่ที่จ่ายค่าเล่าเรียนให้ผม”
ผู้อำนวยการถามต่อว่า “คุณแม่ของเธอทำงานที่ไหน”
เด็กหนุ่มตอบว่า “คุณแม่ทำงานซักรีด”
ผู้อำนวยการขอดูมือของเขา
เด็กหนุ่มยื่นมือที่เรียบลื่นไม่มีที่ติให้ผู้อำนวยการดู
ผู้อำนวยการถามต่อว่า “เธอเคยช่วยคุณแม่ของเธอทำงานบ้างหรือเปล่า”
เขาตอบว่า “ไม่เคยครับ คุณแม่ต้องการให้ผมเรียนแล้วก็อ่านหนังสือเยอะๆ คุณแม่ซักผ้าได้เร็วกว่าผมด้วยครับ”
ผู้อำนวยการบอกว่า “ฉันมีเรื่องให้เธอช่วยทำอย่างหนึ่งนะ วันนี้เธอกลับไปที่บ้านช่วยล้างมือของคุณแม่ของเธอแล้วกลับมาพบฉันอีกทีพรุ่งนี้เช้า”



ด้วยความมั่นใจว่าโอกาสที่จะได้งานทำมีอยู่สูงมาก เมื่อเขากลับไปถึงบ้านเขาจึงรู้สึกเต็มใจที่จะล้างมือให้แม่ของเขา
ฝ่ายแม่รู้สึกประหลาดใจระคนหวั่นใจ เธอส่งมือให้ลูก
หนุ่มน้อยค่อยๆ ล้างมือให้แม่ แล้วน้ำตาไหลก็ออกมา
เขาเพิ่งรู้สึกว่ามือของแม่นั้นช่างเหี่ยวย่นแ ละเต็มไปด้วยริ้วรอยขูดข่วน
ซึ่งบางแผลพอโดนล้างน้ำก็ทำให้แม่เจ็บจนตัวสั่นระริก
นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มตระหนักรู้ว่า มือคู่นี้เองที่ซักผ้าทุกวันเพื่อหารายได้มา
ส่งเสียให้เขาได้เล่าเรียน
รอยแผลเหล่านี้คือราคาที่แม่ต้องจ่ายไปเพื่อความสำเร็จในการศึกษาของเขา
เพื่อผลการเรียนที่ยอดเยี่ยมของเขา
และอาจจะเพื่ออนาคตของเขาด้วย
คืนนั้นสองแม่ลูกได้คุยกันอยู่นาน

เช้าวันต่อมา เด็กหนุ่มก็เดินทางไปที่ออฟฟิศของผู้อำนวยการ
ผู้อำนวยการสังเกตเห็นน้ำตาในดวงตาของเขา จึงถามขึ้นว่า
“ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่าเมื่อคืนที่บ้าน เธอทำอะไรบ้าง แล้วได้บทเรียนอะไร”
เด็กหนุ่มตอบว่า “ผมล้างมือให้แม่ครับ แล้วก็เลยช่วยแม่ซักผ้าที่เหลือจนเสร็จ”
ผู้อำนวยการบอกว่า “ช่วยเล่าให้ฉันฟังหน่อยว่า เธอรู้สึกยังไง”



เด็กหนุ่มตอบ
“ข้อที่หนึ่ง ผมได้รู้ซึ้งถึงคำว่า สำนึกในบุญคุณ ถ้าไม่มีแม่ก็คงไม่มีความสำเร็จของผมด้วย
ข้อที่สอง จากการช่วยแม่ทำงานว่า ผมได้รู้ว่ามันลำบากยากเย็นยังไงกว่าจะทำอะไรออกมาสักอย่างหนึ่ง
ข้อที่สาม ผมได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของความผูกพันในครอบครัว”
ผู้อำนวยการจึงบอกว่า
“ นี่คือสิ่งที่ฉันต้องการ ฉันอยากได้คนที่รู้ค่าของการได้รับความช่วยเหลือ
อยากได้คนที่เข้าใจถึงความลำบากของใครสักคนในการจะทำอะไรได้มาสักอย่าง
และอยากได้คนที่ไม่ได้ตั้งเงินเป็นเป้าหมายในชีวิตแต่เพียงอย่างเดียวมาเป็นผู้จัดการให้ฉัน
เป็นอันตกลงว่าฉันรับเธอไว้ทำงาน ”

ในเวลาต่อมา เด็กหนุ่มคนนี้ก็ได้ทำงานอย่างหนักและได้รับความนับถือจากผู้ใต้บังคับบัญชา
ลูกจ้างทุกคนทำงานเป็นทีมอย่างขยันขันแข็ง กิจการของบริษัทก็เจริญก้าวหน้าเป็นอย่างดี


เด็กที่ถูกตามใจจนเป็นนิสัยได้ รับทุกอย่างที่ต้องการ จะสร้างนิสัยเอาแต่ใจตัวเองและเห็นแก่ตัวเองเป็นอันดับแรก
เขาจะไม่สนใจความเหนื่อยยากของพ่อแม่
เมื่อถึงวัยทำงานเขาก็จะคาดหวังว่า ใครๆ จะต้องเชื่อฟังเขา
เมื่อเขาเป็นผู้จัดการ เขาจึงไม่มีวันรู้ว่าบรรดาลูกจ้างนั้นลำบากอย่างไร
และมักจะโทษคนอื่น เอาผลงานคนอื่นเป็นของตัวเอง
คนลักษณะนี้เขาอาจจะทำงานได้ อาจจะประสบความสำเร็จช่วงหนึ่ง
แต่ในที่สุดแล้ว เขาจะไม่สำเหนียกคุณค่าของความสำเร็จ
หากยังคงคร่ำครวญ เคียดขึ้ง และไม่มีวันรู้สึกเพียงพอ



ถ้าเราเป็นพ่อแม่ประเภทที่ปกป้องลูกแบบนี้
จงถามตัวเราว่า
เรากำลังให้ความรักกับลูก
หรือ
กำลังทำลายเขากันแน่ ?
เราให้ลูกๆ มีบ้านใหญ่ๆ อยู่
กินอาหารดีๆ
เรียนเปียโน
ดูทีวีจอใหญ่
แต่เวลาที่เราตัดหญ้า ลองให้ลูกได้ทำด้วย
หลังอาหาร ให้เขาล้าง ถ้วยชามของตัวเองพร้อมๆ กับพี่ๆ น้องๆ
ไม่ใช่ว่าเราไม่มีปัญญาจ้างคนรับใช้
แต่เพราะเราอยากจะให้ความรักกับพวกเขาอย่างถูกวิธี
เราอยากให้เขาเข้าใจว่า
ไม่ว่าพ่อแม่จะจนหรือจะรวย วันหนึ่งก็จะต้องผมขาวแก่เฒ่าลงไป เหมือนกับแม่ของเด็กหนุ่มคนนี้
สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ลูกของเราจะได้เรียนรู้ คือ
รู้คุณค่าของความพยายาม
ได้รู้จักว่า ความยากลำบากมันเป็นยังไง
และได้เรียนรู้ที่จะทำงานร่วมกับผู้อื่นให้เป็น




บาป ๑๔ ประการของมารดาบิดา
ว.วชิรเมธี
๒๙ มกราคม ๒๕๕๒
กาฐมัณฑุ, เนปาล

พ่อแม่บางคน (๑)
ทำร้ายลูกด้วยการรักเขามากเกินไป ผลก็คือเกิดภาวะรักจนหลง ลูกของตนถูกทุกอย่าง ลูกของตนดีกว่าคนอื่นเสมอ อันส่งผลให้ลูกกลายเป็นคนมีอัตตาสูง เชื่อมั่นตนเองในทางที่ผิด ชอบดูถูกคน เป็นตัวปัญหา แต่ไม่ยอมรับว่าตนเป็นคนสร้างปัญหา

พ่อแม่บางคน (๒)
ทำร้ายลูกด้วยการตามใจเขามากเกินไป ผลก็คือพ่อแม่กลายเป็นข้าช่วงใช้ของลูก ส่วนลูกกลายเป็น “ลูกบังเกิดเกล้า” ที่พ่อแม่ต้องยอมให้เขาทุกอย่าง ที่หนักกว่านั้นก็คือ ถ้าพ่อแม่ไม่ยอมตามที่ลูกต้องการลูกบางคนก็ถึงขั้นทุบตีทำร้ายพ่อแม่

พ่อแม่บางคน (๓)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่กล้าห้ามปรามสั่งสอนเมื่อลูกทำผิด ทำเลว ทำบาป ผลก็คือ ลูกสูญเสียสามัญสำนึก แยกแยะถูกผิดดีชั่วไม่เป็น มองไม่เห็นเส้นแบ่งทางจริยธรรมว่า ดีเป็นอย่างไร ชั่วเป็นอย่างไร จึงกลายเป็นนักเลงอันธพาล ระรานคนเขาไปทั่ว

พ่อแม่บางคน (๔)
ทำร้ายลูกด้วยการให้เงินลูกเพียงอย่างเดียว ผลก็คือ ลูกไม่รู้จักคุณค่าของเงิน ไม่เห็นคุณค่าของผู้ที่หา/และให้เงิน ยิ่งได้เงินมาก ยิ่งผลาญเงินเก่ง มีเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้ และทั้งๆที่ใช้จ่ายเงินสูง แต่กลับมีคุณภาพชีวิตต่ำ

พ่อแม่บางคน (๕)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่ยอมให้ลูกเรียนรู้ที่จะพึ่งตนเอง เกรงว่าหากให้ลูกทำอะไรด้วยตนเองแล้วเขาจะลำบาก ผลก็คือเมื่อโตขึ้นลูกกลายเป็นลูกแหง่ที่พึ่งตนเองไม่ได้ ทำอะไรด้วยตนเองไม่เป็น ยิ่งเติบโตยิ่งเป็นตัวปัญหาของสถาบันครอบครัว

พ่อแม่บางคน (๖)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่ยอมส่งเสริมให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดี มัวแต่สนใจลงทุนในการทำธุรกิจเป็นร้อยเป็นพันล้าน แต่ไม่รู้จักลงทุนในการสร้างลูกให้เป็นปัญญาชน ผลก็คือลูกเติบโตแต่ตัว แต่ทว่ามีสติปัญญาที่ต่ำต้อย ขาดทักษะการคิด การใช้เหตุผล การทำงาน การเข้าสังคม เขาไม่เพียงแต่ไม่สามารถร่วมเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมเท่านั้นแต่ยังสร้างปัญหาให้สังคมอีกต่างหาก

พ่อแม่บางคน (๗)
ทำร้ายลูกด้วยการทำแต่งานสังคมสงเคราะห์นอกบ้าน โดยลืมไปว่าคนที่ตนต้องสงเคราะห์ก่อนดูแลก่อนต้องให้ความรักก่อนก็คือลูก ผลก็คือแม้จะกลายเป็นนักสังคมสงเคราะห์ที่ประสบความสำเร็จนอกบ้าน สังคมสรรเสริญ แต่กลับเป็นพ่อแม่ที่ล้มเหลวในบ้าน และลูกกลายเป็นเด็กที่ขาดความรัก ความอบอุ่น ไม่พร้อมจะแบ่งปันความรักและความอบอุ่นให้ใคร

พ่อแม่บางคน (๘)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่รู้จักยกย่องชมเชยลูกเมื่อเขาประสบความสำเร็จในการเรียน ในการทำงาน หรือในการทำกิจกรรมใดๆก็ตาม ผลก็คือลูกกลายเป็นคนใจคอคับแคบ ยกย่องชมเชยใครไม่เป็น เมื่อเห็นคนอื่นได้ดีมีความสำเร็จ เขาจึงเป็นนักอิจฉาริษยาตัวฉกาจ ที่จ้องแต่จะหาทางทำลายคุณงามความดีของคนอื่น

พ่อแม่บางคน (๙)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่รู้จักสอนเขาให้รู้จักบาปบุญคุณโทษ ผลก็คือ เมื่อโตขึ้น เขาจึงพร้อมผละหนีพ่อแม่ไปอย่างไม่รู้สึกผิด ไม่เห็นความจำเป็นว่า การเป็นลูกที่ดีนั้น จะต้องกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่ของตนอย่างไร

พ่อแม่บางคน (๑๐)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่สอนลูกให้รู้จักการบำเพ็ญตนเป็นผู้ให้ ผลก็คือเมื่อโตขึ้นเขาจึงกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ คิดแต่จะกอบโกย คิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตัวจนมองไม่เห็นหัวคนอื่น แทนที่จะถือหลัก “ยิ่งรวยยิ่งให้ ยิ่งได้ยิ่งแบ่ง”กลับถือหลัก “ยิ่งรวยยิ่งคอร์รัปชั่น ยิ่งแบ่งปันยิ่งสูญเสียเปล่า”

พ่อแม่บางคน (๑๑)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่ยอมให้ลูกรู้จักตัดสินใจด้วยตนเอง ผลก็คือ ลูกกลายเป็นคนขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ไม่กล้าคิด ไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำอะไร ส่งผลให้ไร้ภาวะผู้นำ ต้องเดินตามคนอื่นโดยดุษฎี

พ่อแม่บางคน (๑๒)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่สอนให้ลูกรู้จักสมบัติของผู้ดี ผลก็คือเขากลายเป็นคนหยาบกระด้างทั้งทางกาย ทางใจ ใจคอโหดหินทมิฬชาติ ขาดความสุภาพอ่อนน้อม ขาดสัมมาคาราวะ ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่รู้จักประมาณตน ครองตน ครองงานไม่เป็น ไม่เห็นคุณค่าของระเบียบประเพณี กฎหมาย จรรยาจารีตของสังคม ไม่เคารพในศักดิ์ศรีแห่งความเป็นคนดีของเพื่อนมนุษย์

พ่อแม่บางคน (๑๓)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่แนะนำให้ลูกรู้จักคบเพื่อนที่เป็นกัลยาณมิตร (เพื่อนแท้) ผลก็คือรอบกายของเขาจึงมีแต่บาปมิตร (เพื่อนเทียม) คอยประจบสอพลอ คอยหลอกล่อให้ทำความเลวทรามต่ำช้า ติดสุรา ยาเสพติด นำพาชีวิตไปในทางเสียหาย ตกอยู่ใต้วังวนของอบายมุข สนุกสนาน ไม่สนใจหาแก่นสารให้กับชีวิต

พ่อแม่บางคน (๑๔)
ทำร้ายลูกด้วยการไม่รู้จักสร้างสภาพแวดล้อมให้ลูกเป็นคนรักการอ่าน รักการเขียน รักการเรียนรู้ รักการเดินทาง ปล่อยให้เขาศึกษาหาความรู้ด้วยตัวเองไปตามยถากรรม ผลก็คือเขากลายเป็นคนหูตาคับแคบ ขาดความรู้พื้นฐาน ขาดความรู้รอบตัว ขาดความกระตือรือร้น ไม่มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ การคิด พูด ทำ ไม่เฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง ขาดความแหลมคม ตามไม่ทันโลก ตกข่าว เป็นคนว่างเปล่าทางความรู้ (รอบตัว) ความคิด จิตใจ และไม่มีรสนิยมอย่างอารยชน

ข้อห้ามของคนอยากผอม‏

สำหรับผู้ที่อยากลดความ อ้วนและกำลังลดน้ำหนักทั้งหลาย จะต้องจำข้อเหล่านี้ให้ขึ้นใจ และปฏิบัติตามให้ได้นะคะ จะได้ผอมอย่างถาวรตลอดไปไงคะ

1. ห้ามอด อย่า ไปเชื่อว่า การอดมื้อ กินมื้อแบบยาจกนั้น จะทำให้คุณผอมเพรียวลงได้ การที่คุณอดอาหารไปบางมื้อ จะทำให้ระบบการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย ทำงานได้ช้าลง ยิ่งทำให้อัตราการเผาผลาญไขมัน ทำได้น้อยลงตามไปด้วยอย่างนี้ อดแทบตาย ก็มีแต่จะเป็นลมล้มพับ แต่ไม่ยักกะผอมเสียที

2. ห้ามผัดวันประกันพรุ่ง อย่า พยายามหาเหตุผลมาผัดวันประกันพรุ่ง ถ้าอยากหุ่นดี ก็ควรเริ่มลงมือทันทีแต่ก็ไม่ต้องถึงกับยอมหักดิบ ค่อยเป็นค่อยไป และไม่ควรใจอ่อนกับตัวเอง สักวันหนึ่งคุณก็จะผอมได้ชัวร์

3. ห้ามใจร้อน การ ที่จะลดน้ำหนักส่วนเกินลง ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ในชั่วข้ามคืน แม้นว่าคุณจะไม่สามารถที่จะทำให้น้ำหนักตัวลดลง 5 กิโล ภายใน 2 สัปดาห์ก็อย่าเพิ่งท้อแท้ ลองให้เวลามากขึ้นอีกหน่อย อาจจะ 2 เดือน หรือ3 เดือน หากคุณไม่ถอดใจไปเสียก่อน คุณก็มีสิทธิ์เป็นสาวหุ่นดีได้แน่

4.ห้ามขี้เกียจ ถ้า อยากผอมจริงๆ ก็ต้องขยันขยับตัว ทำกิจกรรมต่างๆ ที่ต้องออกแรง เรียกเหงื่อหลายๆ หยดหน่อย เพราะการออกกำลังกาย เป็นหนทางเดียวที่ช่วยกำจัดไขมันส่วนเกินของคุณได้อย่างปลอดภัย และหวังผลได้ชัวร์ๆ ด้วยสิ

5. ห้ามแตะน้ำอัดลม เครื่อง ดื่ม รสซ่า เต็มฟอง เย็นเจี๊ยบสักกระป๋อง อาจทำให้คุณรู้สึกเต็มที่กับชีวิต แต่เครื่องดื่มชนิดนี้ ก็หนักแคลอรี่อย่าบอกใครเชียว หันมาดื่มน้ำเปล่าแทนจะดีกว่า ช่วยดับกระหายคลายร้อนได้ดีไม่แพ้กัน แถมยังถูกสตางค์ และไม่มีแคลอรี่ไห้หนักตัว

6. ห้ามคลายเครียดด้วยการกิน จะ เหงาใจ กลัดกลุ้ม หรือรู้สึกย่ำแย่แค่ไหน ควรหาทางออกด้วยการฟังเพลง เดินเล่น พูดคุยกับใครสักคนที่รักเรา (จริงๆ) ดีกว่าการหันหน้าพึ่งพาขนมขบเคี้ยว ขนมหวาน หรือไอศกรีม ซึ่งอาจช่วยบำบัดอารมณ์ได้เพียงชั่ววูบ แต่ก็ทำให้คุณอ้วนแบบไม่รู้ตัว

7. ห้ามตามใจปาก ถ้าอยากคุมน้ำหนักตัวให้อยู่หมัดจริงๆ อย่าได้เผลอตามใจปากบ่อยนัก ควรคิดก่อนกินเสมอ

ที่มา : เลดี้ทิปดอทคอม

Tinhte.vn - Trên tay máy tính bảng Asus EP121.mov

วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2554

ซึ้งมากมาก แทบน้ำตาไหล‏

มีคุณยายแก่ชราคนหนึ่ง มีอาชีพขายขนมไทย
แต่ขายได้ไม่ดีนัก เพราะขนมไทย ไม่เป็นที่นิยมมากเท่าใด
ทุกเช้า จะมีชายหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง มาซื้อขนมกับแก
โดยชายหนุ่มจะยื่นเงินให้ยายคนนั้น 20 บาท และหยิบขนมห่อเล็กๆไป ๑ ห่อ
แล้วเดินหันหลังกลับไปโดยไม่สนใจเงินทอนแม้แต่น้อย
ปล่อยให้หญิงชราจ้องมองตามจนสุดสายตาทุกครั้งไป
ชายหนุ่มคนนั้นทำเช่นนี้มาตลอดทุกวันไม่มีขาด

อยู่มาวันหนึ่ง ชายหนุ่มก็ทำเช่นเดิม ยื่นเงินให้ยาย 20 บาท แล้วจะเดินจากไป
แต่คราวนี้ ยายจับแขนชายหนุ่มไว้ แล้วเอ่ยปากว่า
" พ่อหนุ่ม "

ชายหนุ่มรีบตอบกลับว่า " ยายครับ ยายไม่ต้องสงสัยหรือเอ่ยถามหรอกครับ
ผมทำแบบนี้ทุกวัน เพราะผมอยากช่วยยายครับ
" ชายหนุ่มตอบพลางยิ้มอย่างอ่อนโยน "


ยายตอบกลับว่า

" เปล่า... ยายจะบอกว่า ขนมยายราคา 25 บาท "

สรุป

อย่าคิดและตัดสินใจแทนผู้อื่น

วันอังคารที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2554

鑽石夜總會-南台灣魔術娛樂總匯 魔術師ROCK 巴蜀三變。變臉變裝變雨傘

เสียงเห่าของสุนัข...บอกอะไรเราได้บ้าง?

เสียงเห่าของสุนัข...บอกอะไรเราได้บ้าง?


สำหรับสุนัข การเห่า คือการสื่อสาร สังเกตได้ว่าในการเห่าแต่ละครั้งจะมีโทนเสียงที่ต่างกัน
มีสั้นยาวไม่เท่ากัน รวมถึงความถี่และจำนวนครั้งที่แตกต่างกัน และนั่นก็เป็นคำพูดที่เขาต้องการ
ใช้สื่อสารให้คุณรับรู้อีกด้วย

ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านพฤติกรรมของสุนัข ได้ทำการแยกประเภทและความหมายของ
เสียงเห่าแต่ละชนิดไว้ ดังนี้

การเห่าสั้น ๆ 2-3 ครั้ง
เป็นการทักทายกันยามปกติ...เช่นเมื่อคุณกลับเข้าบ้าน หรือเมื่อเจอกันตอนเช้าหลังตื่นนอน
เป็นต้น แปลความหมายได้ว่า.. "สวัสดีเจ้านาย"

การเห่าเป็นชุด ๆ ละ 3-4 ครั้ง แล้วหยุดเป็นระยะ
เป็นการชักชวนให้คุณมาดูอะไรบางอย่าง....
แปลความหมายได้ว่า..."มาดูอะไรนี่สิ"

การเห่าเร็ว ๆ ติด ๆ
เป็นการเตือนภัยว่าจะมีอะไรเข้ามาใกล้ หรือในเวลาที่หมาน้อยมองเห็น ได้กลิ่นของคนแปลกหน้า
มีความหมายว่า "ระวังนะ!!! กำลังมีอันตรายเข้ามาใกล้เราแล้ว..."

แต่ถ้าโทนเสียงต่ำ ๆ ติด ๆ ละก็
มีความหมายว่า "อันตรายมาถึงแล้วนะ" หรือเป็นการขู่คนร้ายว่า
"อย่าเข้ามานะ เดี๋ยวกัดเลย"

เห่าแล้วหยุด...เห่าแล้วหยุด ติดต่อกันเป็นเวลานาน
เป็นการบอกว่า "เหงาจัง" มาเล่นเป็นเพื่อนหน่อยซิ

การเห่าครั้งเดียวสั้น ๆ
หากคุณหรือใครอื่นกำลังยุ่งวุ่นวายกะเค้าอยู่แล้วมีการเห่าสั้น ๆ ขึ้นนั้น มีความหมายว่า
"รำคาญนะ อย่ามายุ่ง อยากอยู่คนเดียว"

แต่ถ้าไม่มีใครวุ่นวายกะเค้าอยู่ละก้อ...มีความหมายว่า "อยากเข้าห้องน้ำ หรือหรือถึงเวลา
ให้อาหารแล้ว"

การเห่าติดต่อกันนาน ๆ
ถ้าเป็นลูกสุนัขไม่มีอะไรมากหรอก..เขาแค่ต้องการให้คุณอยู่ใกล้ๆ และสนใจตลอดเวลา
ประมาณว่าออดอ้อนอะไรทำนองนั้น

การเห่ารัว ๆ และดังขึ้นเรื่อย ๆ
เป็นการบ่งบอกว่าเค้าตื่นเต้น และกำลังสนุกจริง ๆ

ทีนี้คงเข้าใจเจ้าตูบของคุณกันมากขึ้นแล้วนะคะ...ค่อย ๆ เรียนรู้และทำความเข้าใจกันต่อไป
สักวันคุณก็จะเข้าใจเจ้าตูบมากขึ้นแน่ ๆ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : โลกสัตว์เลี้ยง

========================================

แต่สำหรับ สัตว์ที่ไม่ได้เลี้ยงพวกนี้
พูดจาประสาคนไม่รู้เรื่อง มันจึงพยายามสื่อด้วยการเห่า...
เพราะว่า ขี้ไม่ออก ขี้ไม่สุด ขี้ติดก้น เกรอะกรัง

ออกมาเห่า...ก็แค่หวงขี้ตัวเอง เท่า้นััน!

Girls Judge Boys in Desert Sex Factor - Human Planet: Deserts, Life in t...

Human Planet - Web exclusive series trailer - BBC One

วันจันทร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2554

ใช้ จู๋ ตกปลา 18+

สิ่งดีๆๆๆจาก ฟักทอง

หนึ่งในพืชสีเหลืองที่เรามักจะเห็นคนนำมาประกอบอาหารอยู่บ่อย ๆ ก็คือ "ฟักทอง" นั่นเอง เพราะ "ฟักทอง" สามารถประกอบอาหารคาว-หวานได้สารพัดเมนู จึงไม่แปลกที่ "ฟักทอง" จะเป็นอาหารจานโปรดของใครหลายคน

แล้วรู้ไหมคะว่า "ฟักทอง" นอกจากอิ่มอร่อยแล้ว ยังมีสรรพคุณทางยาอีกต่างหาก เอ้า...ถ้ายังไม่ทราบวันนี้เราขอเอาใจคนรัก "ฟักทอง" ด้วยการนำเรื่องราวประโยชน์ของ "ฟักทอง" มาเสิรฟ์ถึงมือคุณเลยค่ะ

ฟักทอง เป็นพืชตระกูลมะระ ชนิดไม้เถาขนาดใหญ่ ผิวมีลักษณะขรุขระ เนื้อในสีเหลืองนิ่ม มีเมล็ดสีขาวแบน ๆ ติดอยู่ ซึ่งแต่ละส่วนของ "ฟักทอง" มีสรรพคุณทางมากมาย คือ

เนื้อฟักทอง มีวิตามินเอสูง รวมทั้งฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี แป้ง และที่จะลืมไปไม่ได้เลยก็คือ "เบต้าแคโรทีน" ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ในเนื้อสีเหลืองของฟักทอง สามารถช่วยลดการเกิดมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคหัวใจได้ แถมเบต้าแคโรทีน ยังช่วยต้านความชรา ป้องกันโรคผิวหนัง บรรเทาอาการปวดเมื่อยของข้อเข่า และบั้นเอวได้เป็นอย่างดี

เปลือกฟักทอง มี ฤทธิ์ทางยามากมาย หากทานฟักทองทั้งเปลือก จะสามารถกระตุ้นการหลั่งอินซูลินในร่างกาย ซึ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการเกิดเบาหวาน ความดันโลหิต บำรุงตับ บำรุงไต บำรุงดวงตา และสร้างเซลล์ใหม่ทดแทนเซลล์ที่ตายไป ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ใบอ่อน มีวิตามินเอสูงเท่ากับเนื้อฟักทอง แต่มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในเนื้อ

ดอก มีวิตามินเอ ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส มีวิตามินซีเล็กน้อย

เมล็ด ประกอบด้วยแป้ง ฟอสฟอรัส โปรตีนและวิตามิน รวมทั้งสารที่ชื่อว่า "คิวเคอร์บิติน" (cucurbitine) ซึ่ง มีฤทธิ์ในการฆ่าพยาธิตัวตืดได้ดี และยังช่วยขับปัสสาวะ ป้องกันการเกิดนิ่ว มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ น้ำมันจากเมล็ดฟักทองยังช่วยบำรุงประสาทได้ดี และยังมีกรดอะมิโนบางชนิดที่ช่วยป้องกันไม่ให้ต่อมลูกหมากของผู้ชายขยายใหญ่ ขึ้น และช่วยปรับระดับฮอร์โมนเพศชายที่ได้จากลูกอัณฑะให้อยู่ในระดับปกติ

ราก น้ำมาต้มน้ำใช้ดื่มแก้อาการไอได้ และยังช่วยบำรุงร่างกาย ถอนพิษของฝิ่นได้

เยื่อกลางผล สามารถนำมาพอกแผล แก้อาการฟกช้ำ อาการปวด อักเสบได้






ฟักทอง อาหารเพื่อคุณผู้หญิง

และสำหรับคุณผู้หญิงที่ต้องการลดน้ำหนัก "ฟักทอง" นี่แหละค่ะคือ "ตัวช่วย" ที่ดีตัวหนึ่งเลยทีเดียว เพราะฟักทองเป็นพืชที่มีกากใยมาก และมีแคลอรีไม่สูง ไขมันน้อย จึงไม่ทำให้อ้วน นอกจากนี้ในฟักทองมีวิตามินหลายชนิดในปริมาณสูง จะช่วยเสริมสร้างคอลลาเจนใต้ผิวหนัง ทำให้ผิวพรรณของคุณสาว ๆ มีน้ำมีนวล แถมสายตายังดูปิ๊งอีกต่างหาก

นอกจากนี้ สำหรับสตรีหลังคลอดบุตร "ฟักทอง" ซึ่งมีฤทธิ์อุ่น จะช่วยย่อยอาหาร ทำให้กระเพาะอุ่น บำรุงกำลัง ลดอาการอักเสบ แก้ปวดได้อีกด้วย

ข้อควรระวังในการทาน "ฟักทอง"

เนื่องจาก "ฟักทอง" มีฤทธิ์อุ่น ดังนั้นคนที่ "กระเพาะร้อน" คือมีอาการเช่นกระหายน้ำ ปากเหม็น หิวง่าย ปัสสาวะเหลือง ท้องผูก เป็นแผลในช่องปาก เหงือกบวม ไม่ควรทานฟักทองมากเกินไป เพราะอาจกระตุ้นให้ร่างกายร้อนขึ้นได้นั่นเอง หรือแม้แต่ในคนปกติ การทานฟักทองมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ไม่สบายท้องได้เช่นกัน

ได้เห็นประโยชน์ดี ๆ ของ "ฟักทอง" แล้วอย่าลืมหามาทานกันนะคะ

Solar Cooking "Grilling becomes thrilling" -ecoideasnet

อันตราย...จากข้าวมันไก่

อันตราย...จากข้าวมันไก่

จานข้าวมันไก่ที่วางรอขายนานเกิน 4
ชั่วโมงเตือนผู้ซื้อควรร้องขอให้ผู้ขายลวกเนื้อไก่ซ้ำก่อนซื้อหรือกินเพื่อป้องกันและควบคุมอันตรายจากโรคทางเดินอาหาร



จากการสุ่มตรวจข้าวมันไก่ซึ่งนิยมบริโภคกันอย่างแพร่หลายและมีขายอยู่มากตามริมบาทวิถีทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดโดยนางสาวปรารถนา
เกิดบัวบัณฑิตวิทยาลัยวิทยาศาสตร์การอาหาร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
พบ ว่าข้าวมันไก่เป็นอาหารอีกชนิดหนึ่งที่มีการปนเปื้อนจากเชื้อจุลินทรีย์สูง แม้ว่าจะผ่านการปรุงสุกแล้วก็ตามโดยไก่ต้มตัวสุดท้ายถูกแขวนไว้รอขายนาน
8-9 ชั่วโมงจนกว่าจะปิดร้านขณะที่ FAD Food Code

แนะนำเวลาในการรอเสิร์ฟไม่ควรเกิน 4
ชั่วโมงนับตั้งแต่การปรุงสุกสำหรับแบคทีเรียที่ตรวจพบในข้าวมันไก่ คือ
S.aureus, C.perfringens, Salmonella
โดยเฉพาะเนื้อไก่ที่ปรุงทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้องนานเกิน 5
ชั่วโมงเชื้อจะเจริญเติบโตเพิ่มจำนวนขึ้นมากและ พบเชื้อ
E.coliในแตงกวาปอกเปลือกทุกชิ้นที่เป็นเครื่องเคียงกินกับข้าวมันไก่คาดว่าติดมากับใบมีด
เขีย!
งและมือที่ไม่สะอาดโดยจุลินทรีย์ที่พบสามารถก่อให้เกิดอาการคลื่นไส้
อาเจียนท้องเดิน ปวดท้องมีไข้หนาวสั่นและอ่อนเพลีย


แต่ความรุนแรงของอาการที่เกิดขึ้น

จะแตกต่างไปตามปริมาณและชนิดของเชื้อที่บริโภคผู้วิจัยเสนอแนะว่ามาตรการควบคุมจำนวนจุลินทรีย์ทั้งหมดให้อยู่ในเกณฑ์คุณภาพคือ
ควรจำกัดเวลาขายไม่เกิน 4
ชั่วโมง โดยนับเวลาตั้งแต่ต้มไก่สุกจนกระทั่งขายหากเกินเวลาควรมีการอุ่นอาหารก่อน รับประทานซึ่งจะเป็นทางเลือกทำให้เกิดความปลอดภัยต่อการบริโภคมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ผู้ขายควร
ระมัดระวังการสัมผัสอาหารที่ปรุงสุกแล้วด้วยมือหรืออุปกรณ์
และภาชนะที่ไม่สะอาดเพื่อไม่ให้เกิดการปนเปื้อนจากจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรค

สำหรับจุลินทรีย์ในน้ำจิ้มข้าวมันไก่

มีค่าสูงเกินเกณฑ์คุณภาพทางจุลชีววิทยาของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์อาจเกิดจากการปนเปื้อนมาจากวัตถุดิบไม่สะอาดแต่เนื่องจากระดับ
pH ของน้ำจิ้มข้าวมันไก่วัดได้ 4.22
ขณะที่เชื้อแบคทีเรียจะเจริญได้ดีในอาหารที่มี pH
5.5-7.0ดังนั้นสภาวะในน้ำจิ้มจึงไม่เหมาะ
ต่อการเจริญของแบคทีเรียอย่างไรก็ตามร้านค้าควรเปลี่ยนน้ำจิ้มใหม่ทุกวัน
ขอขอบคุณเนื้อหาดีดี โดย:อักษรดอทคอม

อาหารชนิดใด ใช้เวลาย่อยนานที่สุด?

แต่ละมื้อที่เรากินไปบางคนอาจจะไม่รู้ว่ากว่าอาหารจะย่อยเนี่ยต้องใช้เวลากี่นาที
หรือเป็นชั่วโมง วันนี้เรามาดูกันว่า
ของโปรดเราที่กินกันทุกวันเนี่ยเป็นอาหารที่ย่อยยากรึเปล่า

30 นาที น้ำ กาแฟ และแกงจืด

1 ชั่วโมง ขนมปังขาว โยเกิร์ต นม ผลิตภัณฑ์นม
และผลไม้ที่ให้สุกด้วยการหุงต้ม

2 ชั่วโมง ผลไม้ ผัก มันผรั่งบด ปลาไขมันต่ำ

3 ชั่วโมง ครัวซองต์ ขนมปังโฮสวีต

4-7 ชั่วโมง เนื้อหมู ของทอด เห็ด ผลไม้เปลือกแข็ง

8-9 ชั่วโมง ขาหมู ผักกะหล่ำ




ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:"ข่าวเข้ม ฉับไว เป็นกลาง"

10 วิธีทำให้คนอื่น ชื่นชอบคุณ

10 วิธีทำให้คนอื่น ชื่นชอบคุณ



10 วิธีทำให้คนอื่น



ชื่นชอบคุณ


1. จำชื่อเขาให้ได้
ถ้ายังจำชื่อใครต่อใครไม่ได้ หรือจำผิดจำถูก แสดงว่า
คุณไม่ใคร่สนใจไยดีหรือให้ความสำคัญในตัวเขานัก
คุณรู้ไหมว่า ชื่อคนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความรู้สึกของคน
อย่างมากมาย รีบจำชื่อเขาให้ได้ และเรียกให้ถูกนะคะ
2. รู้จักทักทาย
การทักทายใครต่อใครก่อน เป็นความน่ารักอย่างหนึ่ง
สะท้อนให้เห็นความมีมิตรจิตมิตรใจ ทำให้ผู้ถูกทักทาย
รู้สึกดีว่าได้รับความใส่ใจ มีคนให้ความสำคัญ เราจะจำ
ชื่อคนให้ได้ไปทำไมกันคะ ถ้าจำได้แล้วไม่รู้จักทักทายกัน?
3. วางตัวสบายๆ ได้หรือเปล่า
จงเป็นคนที่วางตัวสบายๆ เสมอ เพื่อผู้อื่นจะได้ไม่รู้สึกเครียด
เมื่ออยู่ใกล้ๆ คุณโปรดเป็นกันเอง อย่าถือเนื้อถือตัว อย่าเจ้ายศเจ้าอย่าง
เพราะมันจะน่ารำคาญ น่าเกลียดน่ากลัว มากกว่าน่าเข้าใกล้
4. มีนิสัยง่ายๆ
นิสัยง่ายๆ เป็นคนละเรื่องกับมักง่าย หากคุณเป็นคนง่ายๆ
มีความยืดหยุ่นสูง และรู้จักผ่อนปรนอารมณ์ของคุณก็มักจะคงที่
ไว้ใจได้ ทำนายได้ ไม่แปรปรวนจนยากแก่การควบคุมหรือไว้ใจ
คนง่ายๆ มักยอมรับและเข้าใจได้ แม้กับคนที่น่ารำคาญที่สุด
ใครๆ ก็อยากอยู่ใกล้กับคนที่อารมณ์คงที่ ยืดหยุ่น และถือสา
ใครต่อใครน้อยมาก เพราะอะไรคะ เพราะว่าบางครั้ง เราก็ไม่รู้หรอกว่า
ตัวเราเองมีอะไรที่น่ารำคาญบ้าง ง่ายๆ วางใจ ไม่ถือสากันนี่ละ ดีที่สุด
5. อย่าอวดตัวเอง
จงระวัง อย่าแสดงว่าคุณรู้อะไรๆ ไปหมดเสียทุกเรื่อง ไม่มีใคร
อยากจะชอบพอกับคนที่ฉลาดไปเสียทุกเรื่องหรอก บางเรื่อง
เขาก็อยากฉลาดบ้างเหมือนกัน ดังนั้นโปรดวางตัวตามธรรมชาติ
(คือมีทั้งเรื่องที่รู้และไม่รู้) ถ่อมตน และสุภาพตามกาลเทศะจะดีกว่า
6. จงมีนิสัยร่าเริง
เพื่อคนทั้งหลายจะได้ชอบอยู่ใกล้ และ "ติด"
ในความร่าเริงที่คุณมี แล้วคุณจะได้รับความรู้สึกดีๆ
ได้เรียนรู้ในสิ่งดีๆ จากคนเหล่านี้ เมื่อคบค้าสมาคมด้วย
7. จงพยายามแก้ไขความเข้าใจผิด
คุณอาจเคยมองใครในแง่ร้ายๆ ไปบ้าง คุณอาจเคยถือสา
การกระทำครั้งโน้นครั้งนี้ของเขา หากคุณมีเวลา
จงพยายามแก้ไขความเข้าใจผิดหรือความถือสาที่เคยมี
รวมทั้งที่กำลังมีอยู่ให้หมดไป มิตรภาพไม่อาจก่อเกิด
หรืองอกงามได้ ท่ามกลางความระแวงแคลงใจ
จงขจัดความขุ่นข้องหมองใจ ความไม่ชอบใจ และความเจ็บใจ
ให้หมด แล้วคุณจะเป็นคนน่ารักที่ไม่มีใครผูกใจเจ็บ
8. ทิ้งมันไป นิสัยเสียๆ
บางทีเราก็ไม่รู้หรอกว่า เรามีนิสัยอะไรที่เป็นข้อบกพร่อง
อยู่ในตัวบ้าง การเงี่ยหูฟังจากคนรอบข้าง จะช่วยให้เรารู้
เมื่อเรารู้แล้ว เรามีหน้าที่ต้องกำจัดนิสัยที่ทำให้คนอื่น
ตั้งเป็นข้อรังเกียจออกไป แม้ว่านิสัยบางอย่างนั้น
อาจมีอยู่หรือทำไปโดยที่เราไม่ได้รู้ตัวมาตลอดก็ตาม

9. จงหัดชอบคนอื่นบ้าง
น่าประหลาด คนบางคนเกลียดใครต่อใครได้ไวมาก
ลองหัดชอบคนอื่นจนกลายเป็นนิสัยดีไหมคะ
ชอบที่เขาเป็นอย่างนั้น ชอบที่เขาคิดอย่างนี้ ชอบในสิ่งที่เขาพูดจา
ฯลฯ พึงท่องคาถาประจำใจเอาไว้ให้ตลอดเภิดว่า
“ข้าพเจ้าไม่เคยพบกับบุคคลที่ข้าพเจ้าไม่รู้สึกชอบเลย”
10. ชมเชยให้เป็น
อย่าละทิ้งโอกาสที่จะกล่าวคำชมเชย เมื่อใครคนใดคนหนึ่ง
ใกล้ๆ ตัวคุณ ได้กระทำในสิ่งที่ดี เป็นแบบอยางต่อผู้อื่น
หรือทำอะไรได้สำเร็จสักอย่างหนึ่ง ในเวลาเดียวกัน
ก็ต้องรู้จักแสดงความเข้าใจ ความเห็นอกเห็นใจ
ในความทุกข์ร้อนและความผิดหวังของพวกเขาด้วย
พูดง่ายๆ ได้ว่า หัดเป็นคนมีหัวใจซะบ้าง

*************************************************
ยังไงก็ลองเอาไปใช้กันดูนะ

วิถีพระป่า หลวงตามหาบัว 5Mar11 2/3

วิถีพระป่า หลวงตามหาบัว 5Mar11 1/3

หลักความสุข ๙ ประการที่คุณทำได้ไม่ยาก

หลักความสุข ๙ ประการที่คุณทำได้ไม่ยาก


๑. จงมีชีวิตอยู่ด้วยจิตแห่งความรัก
รักโดยไม่หวังผล แล้วคุณจะไม่ต้องพบกับ
คำว่า ความผิดหวัง ความแค้น ความเสียใจ
อย่างที่ผ่านมา

๒. จงมีชีวิตอยู่ด้วยการให้อภัย
แล้วคุณจะพบว่าคุณมีจิตใจที่แจ่มใสตลอดเวลา
ไม่ปวดร้าวกับอดีตใดๆ

๓. จงมีชีวิตอยู่ด้วยการรู้จักตนเองมากกว่ารู้จักผู้อื่น
แล้วคุณจะพบว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนแต่แก้ไขด้วยตัวเราทั้งสิ้น

๔. จงมีชีวิตอยู่ด้วยการอยู่อย่างพอเพียง
แล้วคุณจะพบว่าคุณไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเกินความจำเป็น
ด้วยความอยาก และความโลภ

๕. จงมีชีวิตอยู่กับความจริง
แล้วคุณจะพบว่าจิตของคุณได้รับการปล่อยวาง
อย่างแท้จริง โดยไม่คาดหวังกับสิ่งใดจนเกินไป

๖. จงมีชีวิตอยู่อย่างผู้ให้มากกว่าการเป็นผู้รับ
แล้วคุณจะพบกับความสุขลึกๆ
ที่เป็นยาอายุวัฒนะจากการให้นั่นเอง

๗. จงมีชีวิตอยู่อย่างมีศีล สมาธิ ปัญญา
แล้วคุณจะพบกับคุณค่าของชีวิต
ที่จะมีแต่คำว่า สะอาด สว่าง สงบ

๘. จงมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน
อดีตคือประสบการณ์ อนาคตยังมาไม่ถึง
ฉะนั้นทำวันนี้ให้ดีที่สุด แล้วคุณจะพบว่า
ชีวิตจะดีขึ้นและมีความสุขมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา
อย่างเห็นได้ชัด

๙. จงมีชีวิตอยู่ด้วยการสะสมความดีและบุญกุศล
ให้มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แล้วคุณจะพบว่า
ชีวิตของคุณมีตัวช่วยอยู่ตลอดเวลา
คุณจะแคล้วคลาดจากภัยพิบัติทั้งปวง
เพราะผลบุญจะลงมาหล่อเลี้ยงและรักษาบุคคลนั้น
ให้มีความสุขความเจริญสืบต่อไป

=====จากบทสวดมนต์ที่บ้าน======

วิธีแก้โรคหูติดคอ

วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2554

ระวัง!!....ใครจะไปไหว้พระบรมรูปทรงม้า

ระวัง!!....ใครจะไปไหว้พระบรมรูปทรงม้า


เพื่อทราบค่ะเผื่อใครอยากไปกราบ ท่าน





ได้ข่าวมาว่า

ระวังพวกมิจฉาชีพที่ขายดอกไม้ ไหว้พระ

ขั้นแรก เค้าจะเดินมาถามคุณว่าไหว้เรื่ องอะไร จะขอเรื่องอะไร

ขั้นสอง เค้าจะบอกว่าต้องไหว้ทั้งหมด 9 ชุด [ไม่ว่าคุณจะบอกเรื่องอะไรเค้ าก็จะให้คุณ 9 ชุด]

ขั้นสาม เค้าจะยื่นดอกไม้ 9 ชุดให้คุณแล้วจะบอกว่า 120 บาทแต่ยังไม่เก็บตังให้คุ ณไปไหว้ก่อน

ขั้นสุดท้าย พอคุณไหว้เสร็จไอ 120 บาทที่เค้าบอกคือชุดละ 120 [120*9=1080 บาท] ซึ่งในทีแรกคุณจะเข้าใจว่า 9

ชุด 120 บาท


ถ้าคุณมีท่าทีไม่พอใจหรือจะไม่ จ่ายมันจะเรียกพวกมันมายืนล้อมคุณ

ตำรวจเผยว่ารายได้ของพวกนี้ต่ อวัน 30,000 บาท ขึ้นไป

เคยมีคนถามว่าแล้วทำไมตำรวจไม่ จัดการ เค้าบอกว่าพวกนี้โดนจับก็ปรับ 500 ซึ่งมันยอมอยู่แล้ว

ปล. โปรดเตรียมดอกไม้ไปเอง

ไลฟ์สไตล์มรณะ" ทั้ง 14 ประการ ข้อมูลดี ๆ จาก นพ.กฤษดา ศิรามพุช , พบ.(จุฬาฯ)

Subject:FW: ไลฟ์สไตล์มรณะ" ทั้ง 14 ประการ ข้อมูลดี ๆ จาก นพ.กฤษดา ศิรามพุช , พบ.(จุฬาฯ)

เซลล์ มะเร็ง เป็นคล้ายสัตว์กินเนื้อที่ดำรงชีพอยู่ได้ด้วยการแตกรากออกไปดูดกินสารอาหาร จากในร่างกายจนทำให้ผ่ายผอมและกลายเป็นรังมะเร็งในที่สุด
แต่ถ้าท่านยังไม่อยากสร้างสิ่งมหัศจรรย์ในกายประเภทสวนลอย แห่งมะเร็งไว้แข่งกับ บาบิโลน ก็ขอให้เลี่ยงวิถีที่จะเปลี่ยนกายให้เป็นแม่เหล็กดูดมะเร็งชั้นดี
ขอให้เลี่ยงพฤติกรรมที่มะเร็งโปรดทั้งหลายต่อไปนี้ ครับ

1) นอนดึก ทำให้ไม่มีฮอร์โมนต้านมะเร็งหลั่งออกมา นอกจากนั้นยังจะทำให้เกิด โรคร้ายอื่นได้ เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง และโรคอ้วน ด้วยว่าเมื่อนอนดึกแล้วมักจะหิวและต้องหาของขบเคี้ยว มากินแก้ปากว่างกัน

2) สูบบุหรี่และขี้เหล้า ทั้งสองสิ่งนี้ทำให้ปอดและตับทำงานหนัก แม้จะสูบซิการ์ซึ่งมีนิโคตินต่ำกว่าบุหรี่ก็ตามที หรือดื่มเหล้าแบบกลั่นอย่างดีของฝรั่ง แต่ตัวมันเองก็สร้าง
" สนิมมะเร็ง " ออกมาไม่น้อย ทำให้คนที่เสพทั้งแก่เร็วและตายไวได้จากโรคมะเร็งครับ

3 ) เอาแต่ไขมันเข้าปากและอยากแต่เนื้อแดง ไขมันอิ่มตัวและโปรตีนจากเนื้อนั้นเป็นแหล่งอาหารชั้นหนึ่งของมะเร็งที่จะ ใช้เจริญเติบโตได้ไม่แพ้ทารกเกิดใหม่ มันจะสร้างหลอดเลือดยื่นไปดูดกินเลือดเนื้อของเราจนแทบไม่เหลือเลือดอัน สมบูรณ์ไปเลี้ยงอวัยวะอื่น ตัวเราจึงผอมเอาๆ ตรงข้ามกับมะเร็งกาฝากที่โตไวไม่มีลิมิตชีวิตหดหู่แน่

4) แฝงด้วยเครียดจัด จนมีสารทุกข์หลั่งออกมาหล่อเลี้ยงมะเร็งให้โตขึ้นเร็วราวกับน้ำมันราดบนกองไฟให้คุโชนขึ้น

5) ไวรัสตับอักเสบบีและมีภูมิแพ้ที่รักษาไม่หาย ดัง ที่กล่าวไปว่า ถ้าภูมิดีก็มีพลังต้านมะเร็งได้ตั้งแต่ในเซลล์แรกที่อุตริเกิดขึ้นมา ด้วยตามปกติในกายเราก็มีเซลล์แบบมะเร็งนี้เกิดขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ ทุกวัน

6) ปล่อยกายให้อ้วน สร้างให้เกิดธาตุแก่ออกมาแช่อิ่มอวัยวะภายในร่างกาย และไขมันตามตัวยังสร้างให้เกิดฮอร์โมนกระตุ้นให้มะเร็งแบ่งตัวดีขึ้นด้วย
7) ล้วนขาดวิตามิน ด้วยวิตามินทำหน้าที่ต้านเชื้อมะเร็งให้ดับเป็นจุณไป ก่อนที่จะเผยอหน้าขึ้นมาแบ่งตัวปนเปไปในร่างกายเรา

8) กินของร้อนจัดไป ช่น ซดชาร้อนหรือกาแฟร้อนจัดประเภทควันฉุย จะไปลวกให้เซลล์หลอดอาหารอักเสบอยู่ทุกบ่อย เมื่ออักเสบเป็นอาจิณก็จะมีโอกาสเปลี่ยนไปเป็นเซลล์มะเร็งง่ายขึ้น

9) ทำให้คอเลสเตอรอลลดต่ำ พบว่าถ้าต่ำเกินไปก็ไม่ดีครับ มีผลกับภูมิคุ้มกันที่แย่ลง เมื่อภูมิต่ำแล้วก็จะหมดปัญญาต้านเซลล์มะเร็งที่จะเข้ามาหา

10) กลั้นปัสสาวะ น้ำปัสสาวะเป็นของเสีย ยิ่งอยู่นิ่งเป็นเวลานานจากการอั้นมันก็ไม่ ต่างอะไรกับน้ำนิ่งในคลองแสนแสบ ซึ่งทิ้งไว้ไม่นานจะกลายเป็นน้ำเน่า แต่ถ้าเน่าในกระเพาะฉี่เรา ก็มีผลให้เกิดเซลล์มะเร็งงอกขึ้นมาได้

11) ป ะทะเค็มจัด พบว่าสิ่งมีชีวิตที่ทานอาหารเค็มมีอัตราการเกิดมะเร็งสูงกว่า โดยเฉพาะในอาหารจำพวกเนื้อเค็ม เนื้อแห้ง หมูแดง ที่นอกจากเค็มแล้วยังมีสีแดงดีจากดินประสิวอีกด้วย

12) ประวัติมะเร็งในครอบครัว มะเร็งร้ายในครอบครัวบางอย่างสามารถถ่ายทอดมาทางพันธุกรรมได้ แม้จะไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์แต่ต้องรับไว้ด้วยความไม่เต็มใจ เช่น มะเร็งเต้านม
, มะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่ถ้าป้องกันไว้ดีๆ แล้วบางทีก็ไม่เกิดขึ้นมาครับ
13) ตัวตากแดดบ่อย แสงแดดเป็นรังสีที่กระตุ้นอณูเซลล์ของคุณให้สะดุ้งตกใจ จนเครื่องในรวนหมดครับ เมื่อเครื่องในรวนแล้วก็ไม่สามารถที่จะคุมการแบ่งตัวได้ ทำให้แบ่งต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง กลายเป็นก้อนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

14) ไม่ค่อยช่วยใคร ถ้าพูดให้ง่ายเข้า คือเห็นแก่ตัว และไม่ค่อยได้ทำนั่นสิ่งดีเพื่อคนอื่น เพราะเมื่อใดก็ตามที่ได้หมั่นช่วยเหลือผู้อื่นจนชินแล้ว เรามักไม่ค่อยได้นึกถึงตัวเองนัก และเมื่อไม่หมกมุ่นกับตัวเองแล้วก็ไม่ค่อยเกิดความ
" อยาก " อันนำไปสู่ความเครียดร้อนอกร้อนใจ หรือถ้าไม่มีเวลาก็แค่อนุโมทนากับบุญที่เราได้พานพบก็ทำให้มี "สารสุข " หลั่งออกมาเสริมภูมิรู้สู้มะเร็งแล้วครับ

ด้วยวิถีแห่งการมี
" ไลฟสไตล์มรณะ " ทั้ง 14 ประการ ดังที่ได้กล่าวไปก็จะทำให้ได้มะเร็งมาเป็นเจ้าของอย่างง่ายดาย



ขอบคุณ ข้อมูลดี ๆ จาก....


นพ.กฤษดา ศิรามพุช , พบ.(จุฬาฯ)


ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์อายุรวัฒน์

( American Board of Anti-agin g medicine)

คุณเป็นโรคนี้หรือไม่

THE FUTURE TECHNOLOGY!

A Day Made of Glass... Made possible by Corning.

ค้นหา