วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

การเลือก "สีเสื้อ" ให้ Match กับ "สีผิว"‏

หากสังเกตให้ดีๆ คุณจะเห็นว่าเหล่า ดารา คนดัง ในวงการต่างๆ มักจะปรากฎกายต่อหน้าสาธารณะชนด้วยอาภรณ์โทนเดิมๆ หรือไม่หนีกันนัก
คำตอบก็อยู่ที่ “การเลือกสีเสื้อ ให้เหมาะกับสีผิว” เท่านี้ พวกเค้าก็โดดเด่นเตะตาเราๆ

และเพื่อให้คุณสามารถโดดเด่นเตะตาใครๆ มาดูทางนี้ หลักง่ายๆ ในการเลือกสีเสื้อให้เหมาะกับสีผิว

- สำหรับผู้ที่มีผิวขาวซีด หรือสาวๆ และหนุ่มๆ ที่มีสีผิวที่ขาวจนเกินไป ชนิดที่ใครๆ มักมองว่าคุณสุขภาพไม่แข็งแรง ควรเลือกสีโทนค่อนข้างเข็ม เช่น สีแดงเข้ม สีเหลืองอมน้ำตาล สีน้ำตาลไหม้ และ สีเขียวเข้ม เพราะสีของเสื้อผ้าเหล่านี้จะทำให้ผิวพรรณของคุณให้ดูเข้ม แม้นเล็กน้อย ก็ยังดี

- สำหรับผู้ที่มีผิวขาวอมชมพู ผู้ที่มีผิวเช่นนี้นับเป็นโชค เพราะไม่ว่าชุดสีใดก็สวยไปเสียหมด แต่สำหรับสีทำจะทำให้ผิวของคุณๆ ไม่ถูกบดบังความผุดผ่อง ควรเลือกเป็นโทนที่อ่อนๆ อย่าง สีฟ้าอมเขียว สีฟ้าอ่อน สีชมพูอ่อน สีส้ม เป็นต้น เพราะโทนสีเหล่านี้ช่วยทำให้สีผิวของคุณดูโดดเด่น

- สำหรับผู้ที่มีผิวสองสี หรือ ผิวสีน้ำผึ้ง ผู้ที่มีผิวเช่นนี้จะเป็นที่ชื่นชอบมากสำหรับชาวยุโรป เพราะมันเป็นโทนสาวที่ทำให้คุณดู SEXY และมีเสน่ห์เย้ายวน สำหรับสีเสื้อผ้าที่เหมาะกับคุณ คือโทนสีค่อนข้างอ่อน โดยเฉพาะสีผสมต่างๆ เช่น สีน้ำตาลอมแดง สีเขียวอมฟ้า สีชมพูอมส้ม สีชมพูหม่น โทนเหล่านี้ ที่ดูไม่ร้อนแรงหรือเย็นตาจนเกินไป

- สำหรับผู้ที่มีผิวคล้ำ ดำ หรือ แทน ควรเลือกใส่เสื้อผ้าสีโทนกลางๆ ไม่อ่อนและไม่สดจนเกินไป และควรเลือกโทนสีที่ค่อนข้างเข้ม เช่น สีกรมท่า สีน้ำตาลเข้ม สีฟ้า สีม่วง สีเทา สีเขียวเข้ม เพราะโทนสีเหล่านี้จะช่วยให้ผิวของคุณดูกลมกลืนไปกับเสื้อผ้า และช่วยพรางตาให้คุณดูขาวขึ้นด้วย

.... ลองดูแล้วกัน แล้วคุณจะเห็นความความต่าง

by wanwan
Voice TV Reporter
http://www.voicetv.co.th/content/8735/การเลือกสีเสื้อให้Matchกับสีผิว

มังกรบิน‏





3 คาถาของคนทำงาน โดนจริง ๆ

1 . คาถาคนทำงาน
ขั้นแรก...ท่อง นะโม 3 จบ ก่อน แล้วจึงค่อยท่องคาถานะ

อาจจะมี ... เซ็งไปบ้าง...ในบางครั้ง
อาจจะมี ...เบื่อกันบ้าง.... ในบางหน
อาจจะมี ...เหม็นขี้หน้า...กับบางคน <====== อันนี้ โดน
พยายามทน ทำงานไป เพราะได้ตังค์ <====== อันนี้โดนก่า

2. คาถาปล่อยวาง
กูว่าแล้วในโลกนี้มีปัญหา
เขาไม่ด่า ก็ชื่นชม หรือเฉยๆ
สาม ประเภทที่ว่านี้มิเปลี่ยนเลย
จงวางเฉยใครถือสาเป็นบ้าตาย

3. คำสอนของพระพุทธเจ้า
อย่าไปนึกว่า 'คนอื่น' เหนือ กว่าเรา เพราะทำให้เกิดปมด้อย
อย่าไปนึกว่า 'คนอื่น' ต่ำ กว่าเรา เพราะทำให้เกิดทิฐิ
อย่าไปนึกว่า 'คนอื่น' เสมอ เท่าเรา เพราะทำให้เกิดการแข่งขัน ชิงดีชิงเด่น
จงนึกเสมอว่า 'คนอื่นทุกคน' เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมด

Dunk show. ผาดโผน โจนทะยาน.............สะจายอ่ะ‏

วันมาฆบูชาสำคัญอย่างไร?‏

วันมาฆบูชา


มาฆบูชา เป็นวันสำคัญของพระพุทธศาสนาวันหนึ่ง ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า เป็นวันเกิดพระธรรม ถือว่าเป็นวันที่ พระพุทธเจ้า ได้ประกาศ หลักธรรม คำสั่งสอนของพระองค์ เพื่อให้พระอรหันต์ทั้งหลาย ที่มาประชุมกันในวันนั้น นำไปเผยแผ่
วั น "มาฆบูชา" เป็นวันบูชาพิเศษที่ต้องทำในวันเพ็ญเดือนมาฆะ หรือในวันที่พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ (ซึ่งโดยปกติทำกันในกลางเดือน ๓ แต่ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือ เดือนแปดสองหน ก็เลื่อนไปกลางเดือน ๔ )
ถือกันว่าเป็นวันสำคัญ เพราะวันนี้ เป็นวันคล้ายกับ วันประชุมกันเป็นพิเศษ แห่งพระอรหันตสาวก โดยมิได้มีการนัดหมาย ซึ่งเรียกว่า วันจาตุรงคสันนิบาต ซึ่งได้มีขึ้น ณ บริเวณเวฬุวันมหาวิหาร หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เป็นเวลานับได้ ๙ เดือน วันนี้เอง ที่พระพุทธองค์แสดง "โอวาทปาฎิโมกข์" ซึ่งถือกันว่า เป็นหลักคำสอนที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา


จาตุรงคสันนิบาต คือ การประชุมพร้อมด้วยองค์ ๔ คือ

๑. วันนั้น เป็นวันมาฆปูรณมี คือวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำกลางเดือนมาฆะ จึงเรียกว่า มาฆบูชา
๒. พระภิกษุ ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย (สาเหตุของการชุมนุม)
๓. พระภิกษุทั้งหมดล้วนเป็นพระอรหันต์ ประเภทฉฬภิญญา คือ ได้ อภิญญา ๖
๔. พระภิกษุ เหล่านั้น ทั้งหมด ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง (เอหิภิกฺขุอุปสมฺปทา)



โอวาทปาฏิโมกข์ เป็นหลักคำสอนที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้กล่าวถึง จุดหมาย หลักการ และวิธีการ ของพระพุทธศาสนาไว้อย่างครบถ้วน

๑. จุดหมายของพระพุทธศาสนา คือ พระนิพพาน (นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา)
๒. หลักการของพระพุทธศาสนา คือ ต้องมีความอดทน ในการฝึกตนเอง เพื่อบรรลุจุดหมาย (ขนฺติ ปรมํ ตโป ตีติกฺขา) ต้องประกอบด้วย
ก. ไม่ทำความชั่วโดยประการทั้งปวง ทั้งทางกาย วาจา และทางใจ (สพฺพปาปสฺส อรกณํ)

ข. ทำความดี หรือสะสมกุศล ให้ถึงพร้อม ทั้งทางกาย วาจา และใจ (กุสลสฺสูปสมฺปทา)

ค. การชำระจิตใจให้สะอาด ผ่องใส สงบสันติ เป็นอิสระ (สจิตฺตปริโยทปนํ)

๓. วิธีการที่จะบรรลุจุดหมาย คือ ต้องฝึกอบรมตนแบบต่อเนื่อง ให้เกิดมรรคสามัคคี คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ ** รวมพลังกัน เหมือนเชือก ๘ เกลียว หรือให้มี ศีล สมาธิ และปัญญา รวมพลังกัน เหมือนเชือก ๓ เกลียว พัฒนากาย วาจา ใจ ให้พูดดี ทำดี คิดดี ไม่ตกอยู่ในอำนาจแห่งกิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ หรือ ราคะ โมสะ โมหะ ไม่ตกอยู่ในอำนาจแห่งกิเลส ตัณหา หรือความใคร่ ความอยากมี อยากเป็น แบบมืดบอด ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ที่มันเป็นไปไม่ได้ เช่น ไม่อยากเป็นคนเสื่อมลาภ, ยศ, สรรเสริญ, สุข เป็นต้น โดยอาศัยวิธีการดังต่อไปนี้.

ก. ฝึกวาจา ระวังเสมอ มิให้กล่าวคำเท็จ คำหยาบ คำส่อเสียด คำเพ้อเจ้อ (อนูปวาโท)
ข. ฝึกกาย ระวังเสมอมิให้มีการฆ่า ทำลายชีวิต ตลอดจนถึงการเบียดเบียนทางกาย (อนูปฆาโต)
ค. ละเว้นข้อที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสห้ามไว้ และทำตามข้อที่พระพุทธองค์อนุญาต (ปาฎิโมกฺเข จ สํวโร)
ง. รู้จักประมาณในการบริโภค อาหาร ตลอดจน รู้จักประมาณในการใช้สอยปัจจัย ๔ (มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺสมึ)
จ. ฝึกตนอย่างจริงจัง ในที่ที่สงัดจากสิ่งรบกวน (ปนฺตนฺ จ สยนาสนํ)
ฉ. ภาวนาอยู่เสมอ คือ พัฒนาตนเองให้พ้นจากอำนาจของกิเลสตัณหา การภาวนา หมายถึง การใช้ทั้งสมาธิ และวิปัสสนา แก้ปัญหา หรือจัดการกับกิเลส (อธิจิตฺเต จ อาโยโค) เป็นการตรวจสอบตัวเองอยู่เสมอ มิให้จิตใจเศร้าหมอง ให้จิตใจผ่องใสอยู่เสมอ (สจิตฺตปริโยทปนํ)

จุดหมาย หลักการ และวิธีการ ที่พระพุทธเจ้าได้ประกาศไว้จะเป็นไปด้วยดี และบรรลุวัตถุประสงค์ที่พระพุทธเจ้าทรงมุ่งหมายไว้นั้น พระองค์ได้ย้ำเตือนไว้ว่า จะต้องปฏิบัติตนให้เป็นอย่างบรรพชิต และเป็นอย่างสมณะ คือ เว้นจากความชั่วทุกประการ และเป็นผู้ปฏิบัติตัวเป็นแบบอย่าง เพื่อระงับบาปอกุศล ได้แก่ ผู้ปฏิบัติธรรม เพื่อเป็นอริยบุคคล ทั้งไม่เบียดเบียนและไม่ก่อให้เกิดความเดือนร้อนแก่คนที่ประพฤติดี ปฏิบัติชอบทั้งหลาย (น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต)




วิธีการปฏิบัติเพื่อจะเข้าถึง แก่นของโอวาท ปาฏิโมกข์ ไม่ใช่แค่ปรัชญา หรือคำสอนลอยๆ

แต่เป็นตรรกะทางวิทยาศาสตร์ ที่พิสูจน์ได้ ด้วยการนำคำสอนไปปฏิบัติ (สร้างเหตุ)

แล้วจะเกิดผล คือ ความสงบสุขตามมามีดังนี้…



“เราจะต้องฝึกจิต ไว้เพื่อให้เกิดตัวสติ ไประลึกรู้ สภาวะการทำงานของร่างกาย-จิตใจ ที่อยู่เบื้องหลังสิ่งสมมุติ ต่างๆ

การมีสติระลึกรู้ อยู่ในกาย ในใจนั้น จะทำให้จิตใจของเรามั่นคงในศีลด้วยการพึงสำรวมระวัง

ในการรับผัสสะทางอายตนะทั้ง 6 อันได้แก ทาง หู, ตา, จมูก, ลิ้น, กาย และ ธรรมารมณ์ (ใจ)

ซึ่งไม่ใช่ศีลที่ต้องไปรับมา สมาทานมา แต่เป็นศีลที่เกิดขึ้นจากจิตที่ฝึกฝนดีแล้ว และเฝ้าระวังตัวเอง จากการกระทำผิดทางใจ,

ก่อนที่จะพูดออกมาเป็นวาจา และ แสดงออกมาเป็นการกระทำ

(ก. ไม่ทำความชั่วโดยประการทั้งปวง ทั้งทางกาย วาจา และทางใจ (สพฺพปาปสฺส อรกณํ)



เมื่อใจมีความเป็นปกติอยู่ด้วย อินทรียสังวรศีลนี้ และมั่นคงอยู่ด้วยความพากเพียรในการเจริญสติ

ความตั้งมั่น แน่วแน่ของจิต ที่มีสติรู้ตื่นอยู่กับ การคิด, พูด และทำ ในชีวิตประจำวันนั้น

ตัวจิตจะมีลักษณะ กล้าหาญ,มั่นคง, ตั้งมั่น และเป็นกลาง ต่ออารมณ์ที่มากระทบ

เราเรียกจิตที่ฝึกฝนมาดีแล้ว ถึงพร้อมแล้ว และพากเพียรมาถึงระดับนี้ว่า จิตมีสัมมาสมาธิ

(ข. ทำความดี หรือสะสมกุศล ให้ถึงพร้อม ทั้งทางกาย วาจา และใจ (กุสลสฺสูปสมฺปทา)





และเมื่อใด จิตประกอบไปด้วย สติ และ สัมมาสมาธิ จิตจึงจะถึงพร้อมด้วยการสร้างเหตุแห่งการเกิดปัญญา

อันได้แก่การปล่อยวางความคิด ปล่อยวางสิ่งปรุงแต่งลง ไม่เอามาแบก ไม่เอามาเป็นทุกข์

ด้วยการเข้าถึงความเป็นธรรมดาของกาย-ใจ ซึ่งก็คือ ตัวปัญญา

ตัวปัญญานี้ไม่ได้ฝึกให้เกิดขึ้นได้ ไม่ได้บังคับให้เกิดขึ้นได้ แต่ตัวปัญญาจะเกิดขึ้นเองได้ เมื่อมีเหตุอันสมควร

เหตุที่จะใกล้ให้เกิดปัญญา คือ มีสติระลึกรู้อยู่เสมอๆ ด้วยความพากเพียร และ มีสัมมาสมาธิ เพียงพอที่จะ

ระลึกรู้ทันสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และ เข้าใจความเป็นธรรมดาของรูป-ของนาม ตามความเป็นจริง

ว่ารูป-นาม นั้น เป็น ทุกข์, เปลี่ยนแปลงได้ และ ไม่มีตัวตน อยู่จริง (เรียกว่า มีปัญญาเห็นไตรลักษณ์)

(ค. การชำระจิตใจให้สะอาด ผ่องใส สงบสันติ เป็นอิสระ (สจิตฺตปริโยทปนํ)



เมื่อเดินมาถึงจุดนี้แล้ว ทั้งตัวสติ ทั้งตัวสัมมาสมาธิ ก็มีเสื่อมถอยได้

ผู้ปฏิบัติจึงพึงเดินทางสายกลางด้วยการ เจริญในมรรค ๘ อย่าประมาท

(การเจริญในอินทรียสังวรศีลด้วยสติ, การสร้างเหตุของปัญญาอันได้แก่สัมมาสมาธิ นี้แหละ คือ การเจริญในมรรค ๘)



ตัวปัญญาที่เคยเกิดขึ้นแล้วแด่จิต จะเป็นตัวสะสม บ่มพลัง ไว้ต่อสู้กับสิ่งปรุงแต่งที่ทำให้เกิดทุกข์ทั้งหลาย

ยิ่งจิตเกิดปัญญามาก สะสมความรู้เท่าทันในสังขารมาก (วิปัสสนาปัญญามีเป็นลำดับๆไป)

จิตจะยกระดับตัวเองให้พ้นจากทุกข์ได้มาก



จนในที่สุดจิตจะหลุดพ้นออกจากความทุกข์ได้โดยไม่กลับมาทุกข์อีก

ที่เรียกว่า จิตเกิด สมุทเฉทนิโรธ หรือ เกิดขบวนการอริยมรรค-อริยผล

จนเรียกว่าจิตได้ก้าวเข้าสู่ โลกุตละภูมิ หรือ ภูมิจิตของพระอริยะที่เหนือโลก เหนือการปรุงแต่งให้เกิดทุกข์นั้นเอง

(ขบวนการอริยมรรคก็มีเป็นลำดับๆไปจนกว่าจะเข้าสู่ที่สุดแห่งการรู้ทุกข์ คือ นิพพาน)

นี่แหละคือเนื้อความทั้งหมดของ พระพุทธศาสนา”

วันมาฆบูชาสำคัญอย่างไร?‏

วันมาฆบูชา


มาฆบูชา เป็นวันสำคัญของพระพุทธศาสนาวันหนึ่ง ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า เป็นวันเกิดพระธรรม ถือว่าเป็นวันที่ พระพุทธเจ้า ได้ประกาศ หลักธรรม คำสั่งสอนของพระองค์ เพื่อให้พระอรหันต์ทั้งหลาย ที่มาประชุมกันในวันนั้น นำไปเผยแผ่
วั น "มาฆบูชา" เป็นวันบูชาพิเศษที่ต้องทำในวันเพ็ญเดือนมาฆะ หรือในวันที่พระจันทร์เสวยมาฆฤกษ์ (ซึ่งโดยปกติทำกันในกลางเดือน ๓ แต่ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือ เดือนแปดสองหน ก็เลื่อนไปกลางเดือน ๔ )
ถือกันว่าเป็นวันสำคัญ เพราะวันนี้ เป็นวันคล้ายกับ วันประชุมกันเป็นพิเศษ แห่งพระอรหันตสาวก โดยมิได้มีการนัดหมาย ซึ่งเรียกว่า วันจาตุรงคสันนิบาต ซึ่งได้มีขึ้น ณ บริเวณเวฬุวันมหาวิหาร หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เป็นเวลานับได้ ๙ เดือน วันนี้เอง ที่พระพุทธองค์แสดง "โอวาทปาฎิโมกข์" ซึ่งถือกันว่า เป็นหลักคำสอนที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา


จาตุรงคสันนิบาต คือ การประชุมพร้อมด้วยองค์ ๔ คือ

๑. วันนั้น เป็นวันมาฆปูรณมี คือวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำกลางเดือนมาฆะ จึงเรียกว่า มาฆบูชา
๒. พระภิกษุ ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย (สาเหตุของการชุมนุม)
๓. พระภิกษุทั้งหมดล้วนเป็นพระอรหันต์ ประเภทฉฬภิญญา คือ ได้ อภิญญา ๖
๔. พระภิกษุ เหล่านั้น ทั้งหมด ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง (เอหิภิกฺขุอุปสมฺปทา)



โอวาทปาฏิโมกข์ เป็นหลักคำสอนที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้กล่าวถึง จุดหมาย หลักการ และวิธีการ ของพระพุทธศาสนาไว้อย่างครบถ้วน

๑. จุดหมายของพระพุทธศาสนา คือ พระนิพพาน (นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา)
๒. หลักการของพระพุทธศาสนา คือ ต้องมีความอดทน ในการฝึกตนเอง เพื่อบรรลุจุดหมาย (ขนฺติ ปรมํ ตโป ตีติกฺขา) ต้องประกอบด้วย
ก. ไม่ทำความชั่วโดยประการทั้งปวง ทั้งทางกาย วาจา และทางใจ (สพฺพปาปสฺส อรกณํ)

ข. ทำความดี หรือสะสมกุศล ให้ถึงพร้อม ทั้งทางกาย วาจา และใจ (กุสลสฺสูปสมฺปทา)

ค. การชำระจิตใจให้สะอาด ผ่องใส สงบสันติ เป็นอิสระ (สจิตฺตปริโยทปนํ)

๓. วิธีการที่จะบรรลุจุดหมาย คือ ต้องฝึกอบรมตนแบบต่อเนื่อง ให้เกิดมรรคสามัคคี คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ ** รวมพลังกัน เหมือนเชือก ๘ เกลียว หรือให้มี ศีล สมาธิ และปัญญา รวมพลังกัน เหมือนเชือก ๓ เกลียว พัฒนากาย วาจา ใจ ให้พูดดี ทำดี คิดดี ไม่ตกอยู่ในอำนาจแห่งกิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะ หรือ ราคะ โมสะ โมหะ ไม่ตกอยู่ในอำนาจแห่งกิเลส ตัณหา หรือความใคร่ ความอยากมี อยากเป็น แบบมืดบอด ความไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ที่มันเป็นไปไม่ได้ เช่น ไม่อยากเป็นคนเสื่อมลาภ, ยศ, สรรเสริญ, สุข เป็นต้น โดยอาศัยวิธีการดังต่อไปนี้.

ก. ฝึกวาจา ระวังเสมอ มิให้กล่าวคำเท็จ คำหยาบ คำส่อเสียด คำเพ้อเจ้อ (อนูปวาโท)
ข. ฝึกกาย ระวังเสมอมิให้มีการฆ่า ทำลายชีวิต ตลอดจนถึงการเบียดเบียนทางกาย (อนูปฆาโต)
ค. ละเว้นข้อที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสห้ามไว้ และทำตามข้อที่พระพุทธองค์อนุญาต (ปาฎิโมกฺเข จ สํวโร)
ง. รู้จักประมาณในการบริโภค อาหาร ตลอดจน รู้จักประมาณในการใช้สอยปัจจัย ๔ (มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺสมึ)
จ. ฝึกตนอย่างจริงจัง ในที่ที่สงัดจากสิ่งรบกวน (ปนฺตนฺ จ สยนาสนํ)
ฉ. ภาวนาอยู่เสมอ คือ พัฒนาตนเองให้พ้นจากอำนาจของกิเลสตัณหา การภาวนา หมายถึง การใช้ทั้งสมาธิ และวิปัสสนา แก้ปัญหา หรือจัดการกับกิเลส (อธิจิตฺเต จ อาโยโค) เป็นการตรวจสอบตัวเองอยู่เสมอ มิให้จิตใจเศร้าหมอง ให้จิตใจผ่องใสอยู่เสมอ (สจิตฺตปริโยทปนํ)

จุดหมาย หลักการ และวิธีการ ที่พระพุทธเจ้าได้ประกาศไว้จะเป็นไปด้วยดี และบรรลุวัตถุประสงค์ที่พระพุทธเจ้าทรงมุ่งหมายไว้นั้น พระองค์ได้ย้ำเตือนไว้ว่า จะต้องปฏิบัติตนให้เป็นอย่างบรรพชิต และเป็นอย่างสมณะ คือ เว้นจากความชั่วทุกประการ และเป็นผู้ปฏิบัติตัวเป็นแบบอย่าง เพื่อระงับบาปอกุศล ได้แก่ ผู้ปฏิบัติธรรม เพื่อเป็นอริยบุคคล ทั้งไม่เบียดเบียนและไม่ก่อให้เกิดความเดือนร้อนแก่คนที่ประพฤติดี ปฏิบัติชอบทั้งหลาย (น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต)




วิธีการปฏิบัติเพื่อจะเข้าถึง แก่นของโอวาท ปาฏิโมกข์ ไม่ใช่แค่ปรัชญา หรือคำสอนลอยๆ

แต่เป็นตรรกะทางวิทยาศาสตร์ ที่พิสูจน์ได้ ด้วยการนำคำสอนไปปฏิบัติ (สร้างเหตุ)

แล้วจะเกิดผล คือ ความสงบสุขตามมามีดังนี้…



“เราจะต้องฝึกจิต ไว้เพื่อให้เกิดตัวสติ ไประลึกรู้ สภาวะการทำงานของร่างกาย-จิตใจ ที่อยู่เบื้องหลังสิ่งสมมุติ ต่างๆ

การมีสติระลึกรู้ อยู่ในกาย ในใจนั้น จะทำให้จิตใจของเรามั่นคงในศีลด้วยการพึงสำรวมระวัง

ในการรับผัสสะทางอายตนะทั้ง 6 อันได้แก ทาง หู, ตา, จมูก, ลิ้น, กาย และ ธรรมารมณ์ (ใจ)

ซึ่งไม่ใช่ศีลที่ต้องไปรับมา สมาทานมา แต่เป็นศีลที่เกิดขึ้นจากจิตที่ฝึกฝนดีแล้ว และเฝ้าระวังตัวเอง จากการกระทำผิดทางใจ,

ก่อนที่จะพูดออกมาเป็นวาจา และ แสดงออกมาเป็นการกระทำ

(ก. ไม่ทำความชั่วโดยประการทั้งปวง ทั้งทางกาย วาจา และทางใจ (สพฺพปาปสฺส อรกณํ)



เมื่อใจมีความเป็นปกติอยู่ด้วย อินทรียสังวรศีลนี้ และมั่นคงอยู่ด้วยความพากเพียรในการเจริญสติ

ความตั้งมั่น แน่วแน่ของจิต ที่มีสติรู้ตื่นอยู่กับ การคิด, พูด และทำ ในชีวิตประจำวันนั้น

ตัวจิตจะมีลักษณะ กล้าหาญ,มั่นคง, ตั้งมั่น และเป็นกลาง ต่ออารมณ์ที่มากระทบ

เราเรียกจิตที่ฝึกฝนมาดีแล้ว ถึงพร้อมแล้ว และพากเพียรมาถึงระดับนี้ว่า จิตมีสัมมาสมาธิ

(ข. ทำความดี หรือสะสมกุศล ให้ถึงพร้อม ทั้งทางกาย วาจา และใจ (กุสลสฺสูปสมฺปทา)





และเมื่อใด จิตประกอบไปด้วย สติ และ สัมมาสมาธิ จิตจึงจะถึงพร้อมด้วยการสร้างเหตุแห่งการเกิดปัญญา

อันได้แก่การปล่อยวางความคิด ปล่อยวางสิ่งปรุงแต่งลง ไม่เอามาแบก ไม่เอามาเป็นทุกข์

ด้วยการเข้าถึงความเป็นธรรมดาของกาย-ใจ ซึ่งก็คือ ตัวปัญญา

ตัวปัญญานี้ไม่ได้ฝึกให้เกิดขึ้นได้ ไม่ได้บังคับให้เกิดขึ้นได้ แต่ตัวปัญญาจะเกิดขึ้นเองได้ เมื่อมีเหตุอันสมควร

เหตุที่จะใกล้ให้เกิดปัญญา คือ มีสติระลึกรู้อยู่เสมอๆ ด้วยความพากเพียร และ มีสัมมาสมาธิ เพียงพอที่จะ

ระลึกรู้ทันสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และ เข้าใจความเป็นธรรมดาของรูป-ของนาม ตามความเป็นจริง

ว่ารูป-นาม นั้น เป็น ทุกข์, เปลี่ยนแปลงได้ และ ไม่มีตัวตน อยู่จริง (เรียกว่า มีปัญญาเห็นไตรลักษณ์)

(ค. การชำระจิตใจให้สะอาด ผ่องใส สงบสันติ เป็นอิสระ (สจิตฺตปริโยทปนํ)



เมื่อเดินมาถึงจุดนี้แล้ว ทั้งตัวสติ ทั้งตัวสัมมาสมาธิ ก็มีเสื่อมถอยได้

ผู้ปฏิบัติจึงพึงเดินทางสายกลางด้วยการ เจริญในมรรค ๘ อย่าประมาท

(การเจริญในอินทรียสังวรศีลด้วยสติ, การสร้างเหตุของปัญญาอันได้แก่สัมมาสมาธิ นี้แหละ คือ การเจริญในมรรค ๘)



ตัวปัญญาที่เคยเกิดขึ้นแล้วแด่จิต จะเป็นตัวสะสม บ่มพลัง ไว้ต่อสู้กับสิ่งปรุงแต่งที่ทำให้เกิดทุกข์ทั้งหลาย

ยิ่งจิตเกิดปัญญามาก สะสมความรู้เท่าทันในสังขารมาก (วิปัสสนาปัญญามีเป็นลำดับๆไป)

จิตจะยกระดับตัวเองให้พ้นจากทุกข์ได้มาก



จนในที่สุดจิตจะหลุดพ้นออกจากความทุกข์ได้โดยไม่กลับมาทุกข์อีก

ที่เรียกว่า จิตเกิด สมุทเฉทนิโรธ หรือ เกิดขบวนการอริยมรรค-อริยผล

จนเรียกว่าจิตได้ก้าวเข้าสู่ โลกุตละภูมิ หรือ ภูมิจิตของพระอริยะที่เหนือโลก เหนือการปรุงแต่งให้เกิดทุกข์นั้นเอง

(ขบวนการอริยมรรคก็มีเป็นลำดับๆไปจนกว่าจะเข้าสู่ที่สุดแห่งการรู้ทุกข์ คือ นิพพาน)

นี่แหละคือเนื้อความทั้งหมดของ พระพุทธศาสนา”

ตะลึงพบ--พระสุสานพระเจ้าตากสินในเมืองจีน‏





ตะลึง...พบพระสุสานประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
เมืองเถ่งไฮ่ ประเทศ
จีน

ผู้ทรงคุณอันประเสริฐต่อแผ่นดินไทย
พระมหากษัตริยาธิราชเจ้าผู้ทรงมีพระราชประวัติหายไปกับหน้าประวัติศาสตร์ชาติไทย

สิ่งที่ท่านจะได้เห็นต่อไปนี้...

คือพระสุสานพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ในต่างแดน

คำถาม...ที่ว่า...?

จะเป็นแค่สุสานเก็บฉลองพระองค์ หรือ พระบรมสรีระของพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่

ความลับที่เก็บซ่อนมาเกือบ 230 ปียังคงต้องรอการพิสูจน์ต่อไป
(Embedded image moved to file: pic08723.jpg)



ภาพ: แผ่นป้ายหินจารึกไว้ว่า
"สุสานของ 'แต้อ๊วง' (สมเด็จพระเจ้าตากสินฮ่องทางตอนใต้
ในแผ่นดินพระเจ้าเฉียนหลงฮ่องเต้)
ทำการบูรณะซ่อมแซมใหม่
ในปี ค.ศ. ๑๙๘๕ ฤดูใบไม้ผลิ"

ซุ้มประตูทางเข้าพระสุสานในพระบาทสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
เมืองเถ่งไฮ่ สาธารณรัฐ
ประชาชนจีน

เถ่งไฮ่เป็นอำเภอเล็กๆ แห่งหนึ่งในเมืองแต้จิ๋ว มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน
มีประชากรประมาณ
๗๑๐,๐๐๐ คน ปัจจุบันเถ่งไฮ่เป็นเขตอุตสาหกรรมสำคัญแห่งหนึ่ง ตุ๊กตาต่างๆ
จากบริษัทผลิตของเล่น
ชื่อดังของโลกไม่ว่าจะเป็นตุ๊กตาบาร์บี้หรือตุ๊กตาของวอลต์ดีสนีย์ที่ส่งไปขายทั่วโลก
ผลิตมาจากโรงงาน
ในอำเภอเถ่งไฮ่แทบทั้งสิ้น

คนไทยส่วนใหญ่อาจไม่รู้จักอำเภอเล็กๆ อย่างเถ่งไฮ่
แต่สำหรับลูกหลานชาวจีนที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่น
ฐานในเมืองไทย น่าจะคุ้นหูกับชื่อนี้ดี

คนจีนที่อพยพข้ามน้ำข้ามทะเลเข้ามาทำมาหากินบนแผ่นดินไทยในอดีต
ส่วนใหญ่มาจากเมืองแต้จิ๋ว โดย
เฉพาะจากอำเภอเถ่งไฮ่ซึ่งตั้งอยู่ริมทะเล
การเดินทางข้ามมาเมืองไทยสะดวกกว่า ด้วยเหตุนี้คนจีน
ในเมืองไทยส่วนใหญ่จึงพูดภาษาแต้จิ๋ว บุคคลที่มีชื่อเสียงหลายคน
นับตั้งแต่ ปรีดี พนมยงค์ ป๋วย
อึ๊งภากรณ์ รวมถึงคนในตระกูลรัตตกุล ตระกูลหวั่งหลี ตระกูลเจียรวนนท์
ก็ล้วนมีบรรพบุรุษที่อพยพมา
จากอำเภอเถ่งไฮ่

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือที่เรามักเรียกกันว่า พระเจ้าตาก
ก็ทรงมีเชื้อสายแต้จิ๋ว พระบิดา
ของพระองค์เป็นชาวแต้จิ๋ว เกิดในตระกูลแต้ ชื่อนายแต้เจียว
อพยพจากอำเภอเถ่งไฮ่เข้ามาค้าขาย
ในเมืองไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ส่วนพระมารดาเป็นคนไทย
ชื่อนางนกเอี้ยง มีอาชีพค้าขาย พระ
เจ้าตากทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๒๗๗
(หนังสือบางเล่มกล่าวว่าทรงพระราชสมภพเมื่อวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๒๗๗)
มีเรื่องเล่าว่าเมื่อครั้งยัง
ทรงพระเยาว์ พระเจ้าตากทรงได้กลับไปศึกษาที่ประเทศจีนระยะหนึ่งด้วย

พระสุสานด้านในมีแผ่นหินจารึกพระนามแปลเป็นไทยว่า
"สุสานในพระเจ้าตากสินแห่งราชตระกูลแต้จิ๋ว
สร้างในพระเจ้าแผ่นดินจีนเฉียนหลงฮ่องเต้
พ.ศ.2339"

นายนิ้ม แซ่ตั้ง วัย ๗๙ ปี
ชาวจีนซึ่งเกิดในอำเภอเถ่งไฮ่และอพยพมาตั้งรกรากในเมืองไทยเมื่อ ๖๐
ปีก่อน เล่าให้ฟังว่า

สมัยที่ผมอยู่เมืองจีน คนเถ่งไฮ่รู้จักเมืองไทยดี
เพราะเป็นเวลาหลายร้อยปีแล้วที่คนเถ่งไฮ่เดินทางมา
ค้าขายที่เมืองไทย ที่มาตั้งรกรากอยู่เมืองไทยเลยก็มีมาก
ความสัมพันธ์ไทย-จีนนั้นแน่นแฟ้นมาก ถึงกับ
มีคำไทยที่กลายเป็นภาษาแต้จิ๋ว คือคำว่า ตลาด
ชาวแต้จิ๋วเอาไปใช้โดยออกเสียงว่า ตั๊กลัก เรื่อง
ราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเมืองไทย คนจีนที่นั่นก็รับรู้กันโดยตลอด

คนเถ่งไฮ่รู้จักและรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้าตากดี เขาเรียกกันว่า
?แต้อ๊วง? แปลว่า พระเจ้าแผ่น
ดินตระกูลแต้ บ้านเกิดของผมก็อยู่ไม่ไกลจากบ้านของท่าน จำได้ว่าตอนเด็กๆ
เคยไปเที่ยวบ้านหลัง
หนึ่งที่เก่าทรุดโทรมมาก เชื่อกันว่าเป็นบ้านเกิดของพระเจ้าตาก
ผมยังเคยได้ยินเรื่องเล่าว่าเมื่อ
?แต้อ๊วง? เกิด พ่อของท่านก็พาท่านกลับมาเรียนภาษาที่เมืองจีน จนอายุได้
๑๐ ขวบจึงส่งมาอยู่เมือง
ไทย

นายนิ้มกล่าวว่าคนจีนที่อพยพมาอยู่ต่างบ้านต่างเมืองนิยมส่งลูกหลานกลับมาเรียนหนังสือที่บ้านเกิด
เพราะต้องการให้ลูกหลานได้เรียนรู้ภาษาและวัฒนธรรมจีน และที่สำคัญคือ
เมื่อกลับมาเมืองจีนยังมี
ครอบครัวและญาติพี่น้องที่ใกล้ชิดคอยดูแล
ซึ่งต่างจากเมืองไทยที่อาจต้องใช้ชีวิตตามลำพัง จากการ
ศึกษาประวัติพระบิดาของพระเจ้าตาก ก็พบว่าไม่มีญาติพี่น้องอยู่เมืองไทยมากนัก

บริเวณแหล่งดูดทรายแห่งหนึ่งในอำเภอเถ่งไฮ่ มีฮวงซุ้ยหรือสุสานเล็กๆ
แห่งหนึ่ง ทางเข้าทำเป็นซุ้ม
ขนาดใหญ่ สุสานแห่งนี้เป็นสุสานเก่าแก่
สร้างมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าเฉียนหลงฮ่องเต้ (พ.ศ.
๒๒๗๘-๒๓๓๙) มีป้ายหินจารึกไว้ว่า "สุสานของ แต้อ๊วง
ทำการบูรณะซ่อมแซมใหม่ในปี ค.ศ. ๑๙๘๕
ฤดูใบไม้ผลิ"

คนเถ่งไฮ่เชื่อกันว่า หลังจากที่พระเจ้าตากสิ้นพระชนม์ได้ไม่นาน
บรรดาญาติพี่น้องได้นำฉลองพระองค์
กลับมายังบ้านเกิด และฝังไว้ที่สุสานแห่งนี้เพื่อเป็นการแสดงความเคารพ

คนเถ่งไฮ่ภูมิใจใน แต้อ๊วง มาก
ว่าเป็นคนบ้านเราที่มีวาสนาเป็นถึงพระเจ้าแผ่นดินของประเทศไทย
และมีความกล้าหาญยิ่ง เสี่ยงชีวิตไปรบกับพม่าเพื่อกอบกู้ชาติไทย นายนิ้มกล่าว

บริเวณสุสานยังมีป้ายหินอีกแผ่นจารึกไว้ว่า
สุสานแห่งนี้เป็นที่ฝังฉลองพระองค์ของ แต้อ๊วง ที่นำมาจาก
เมืองไทย ห้ามผู้ใดทำลายเด็ดขาด ลงชื่อโดยรัฐบาลท้องถิ่นแห่งอำเภอเถ่งไฮ่

ปัจจุบัน สุสานแห่งนี้ยังมีผู้นำดอกไม้ธูปเทียนมาแสดงความคารวะอยู่เป็นประจำ
โดยเฉพาะจากบรรดา
ลูกหลานคนจีนจากเมืองไทยที่มีโอกาสไปเยี่ยมญาติในประเทศจีน

น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้

ระวังโจรในคราบฝรั่ง‏

Subject: Fw: ระวังโจรในคราบฝรั่ง


นำบุญมาฝากกับเพื่อนทุกๆคนจาก 4 สังเวชนียสถาน
จากประเทศอินเดียและเนปาล

ของผลบุญและกุศลที่ท่านพระครูอนุกูลวิริยะกิจ,ครอบครัวของเราและเพื่อนๆที่ไปด้วยทุกท่านที่ได้สวดมนต์และฟังธรรมบนรถทุกวัน ทั้งทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น และสวดมสต์บนรถตลอดทั้ง 8วันทั้งที่สถาณที่ประสูติ (ที่ลุมพินี ประเทศเนปาล), สถาณที่ตรัสรู้ ที่ใต่ตันโพธ์ที่พุทธคยา(พุทธคยา รัฐพิหาร อินเดีย) ที่ปฐมเทศนา(ที่สารนาถ อินเดีย) และที่ดับขัณธ์ปริตนิพพาน (ที่กุสินารา อินเดีย) ขอบุญกุศลที่ได้มาจากทุกๆคนได้เผื่อแผ่ให้กับกัลยานมิตรและเพื่อนทุกๆคนขอให้พบแต่ความสุขสวัสดีในชีวิตที่ปราศจากโรคร้ายภัยเวร สุขภาพดีทั้งกายใจ มีชีวิตที่อบอุ่นในครวบครัวและในวงเพื่อนฝูง และมีทรัพทร์สินเงินทองเหลือกินเหลือใช้ โดยมีร่างกาย จิตใจ และสมองที่ดีจนกว่าจะจากโลกไปโดยปราศจากความทุกธ์ทรมานใดๆทั้งสิ้นเทอญ

อ่านส่วนนี้แล้ว ขอให้เปล่งวาจาว่า สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ นะขอรับ

สวัสดีเพื่อนๆที่รักมีเหตุการตื่นเต้นจะเตือนเพื่อนๆที่ชอบไปเที่ยว

ขอเตือนผู้เดินทางกลับจากต่างประเทศจากภัยโจรฝรั่ง

ที่ได้เจอเมื่อคีนนี้ด้วยตนเอง โดยปกติเวลากลับจากการเดินทางหลายๆคน จะมีรถเข็นกระเป๋าหลายๆคัน เมื่อรถมารับทุกคนจะกระวีกระวาดขนกระเป๋าโดยไม่ได้สังเกตุมิจฉาชีพ

วิธีการก็คือมาทำเป็นมาเปิดประตูรถของเรา แต่เราบอกว่าไม่ใช่รถของเขา ในขณะนั้น จะมีรถของเขาจอดขนานรถของเราพร้อมคนขับ เมื่อบอกว่าไม่ใช่รถของเขาๆก็หันไปหยิบกระเป๋าCarry on ของเราที่หยิบง่ายที่สุดเพื่อขโมยอบ่างเร็วเพื่อไปที่รถของเขาที่จอดรอพร้อมคนขับที่ติดเครื่องรออยู่ เราต้องตระครุบมือเขาและบอกว่าเป็นกระเป๋าของเรา เขาก็ปล่อยกระเป๋าแล้วรีบเดินไปที่รถของเขาโดยมิได้เดินหากระเป๋าของตนเอง (ซึ่งคงไม่มี) เพราะจุดประสงค์คือต้องการขโมยกระเป๋าถือที่เบาประเภทพวกกระเป๋า Carry on ที่ไว้บนตระกร้าซึ่งมักจะเป็นของมีค่าและง่ายต่อการยกแล้ววิ่งหนี

โชคดีที่มีลูกชายมารับและทั้งลูกสาวที่กลับมาด้วยช่วยกันขนกระเป๋าเพราะเขาว่าเราแก่แล้ว เราก็เลยได้มีเวลาทันสังเกตุพฤติกรรมของฝรั่งตัวแสบตั้งแต่แกล้งทำเป็นเปิดประตูรถเราซึ่งเป็นรถตู้ และจะขโมยเกระเป๋าพราะมีคนทั้งหมด 6 คน(รวมลูกชายที่มารับและมีเพื่อนอีก 2 คน) มีรถเข็นกระเป๋า 4 คัน

เพื่อป้องกันศูนย์เสียของที่มีค่ากว่ากระเป๋าเดินทางใบใหญ่ซึ่งมาเสื้อผ้าส่วนมาก กระเป๋าที่นำขึ้นเครื่องมักจะมีของมีค่าเช่นพาสปอตท์ กระเป๋าสตางค์ กล้องถ่ายรูป VDO ก่อนขนกระเป๋าหนัก โยน Carry on ไว้ในรถก่อนเพราะมักจะอยู่บนตระกร้าของรถที่หยิบง่ายที่สุด อีกประการหนึ่งต้องช่วยกันเข็นรถขนทุกคน เมื่อคืนได้ลืมรถที่ฝรั่งจะขโมยกระเป๋าใบดังกล่าวไว้ที่ตรวจศุลกากร เพราะมีการตรวจ x'ray กล่องที่ซื้อของมาฝากพระ เมื่อตรวจเสร็จก็ออกไปทั้งกลุ่มโดยลืมรถเข็นคันดังกล่าวทั้งคัน ต้องวิ่งกลับไป และเห็นรถคันดังกล่าวกับผู้เดินทางที่ชุลมุนกันอยู่ ก็เลยเข็นออกไปโดยไม่ต้องบอกใคร

เกือบจะเสียกระเป๋าไปทั้งคันรถ นี่คงจะเป็นเพราะเราไปทำบุญกลับมา ก็เลยมีพระพุทธเจ้าคุ้มครองมิให้ต้องศูนย์เสียทรัพย์จากการลืมและจากมิจฉาชีพในคราบฝรั่ง

เหตุการจริงที่พบในคืนวันที่ 23 มกราคม 2553

วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

We love our Boss‏

รถเสียบนทางด่วนจงอย่าอยู่ในรถ!!‏

เบียร์Guinness coolจริงๆ‏

สาส์น จากวงการตำรวจ เด้าว่ามา‏

1193 โปรดจำ...ย้ำ



โปรดส่งต่อเยอะ...และกรุณาจำเบอร์โทรแจ้งด้วย
ใครเจออย่างนี้...ลองโทรแจ้งดูครับ
ได้ผลอย่างไร Mail บอกต่อกันด้วย
พร่ำเพรื่อ...ตามรายทางเยอะมาก
ข่าวสาร จากวงการตำรวจ ที่ควรอ่าน


เวลาเจอด่าน( เถื่อน ) !! คือ มีแค่รถฉลาม1 คัน จอดตามทางแยก หรือจุดเทริน มีตำรวจทางหลวง2 -3 คน
โดย 1คน ยืนกลางถนนคอยโบกรถหรือฉายไฟให้รถเราแอบซ้าย ตำรวจที่เหลือเป็น
คนตรวจค้นถ้าเจออย่างนี้อย่าตกใจหรือชะลอความเร็วหรือหักพวงมาลัยไปตามที่มันโบก
ให้ตีไฟสูงไล่ แล้ววิ่งต่อไป มันไม่มีตาม

เพราะมันทำผิดกฎหมายการตั้งด่านจุดสกัด
จากนั้นโทรไปที่1193 แจ้งว่ามีกลุ่มคนคล้ายตำรวจทางหลวงมีพฤติกรรมดังกล่าว
ให้ตรวจสอบด้วยว่า เป็นเจ้าหน้าที่จริงหรือเปล่าที่ไปกีดขวางการจราจร หรือเป็นโจรที่
ปลอมตัวไปดักปล้น


>> ทีนี้มาดูว่าด่านที่ถูกต้องเป็นเช่นไร....

ด่านที่ถูกต้อง คือ ต้องมีเครื่องหมายบอกล่วงหน้าเป็นระยะว่า ข้างหน้ามีด่านและมีสิ่งกีดขวาง เช่นกรวยสีส้ม กรวยสีส้มตั้งเป็นระยะ เพื่อบีบบังคับทิศทางการจราจรให้เหลือช่องเดียวนำไปยังจุดตรวจค้น
ในจุดตรวจต้องมี นายตำรวจสัญญาบัตรประจำอย่างน้อย 1 คน ลึกไปกว่านั้น คือ
ทางต้นสังกัด(ในพื้นที่นั้นๆ) จะต้องมีหนังสือสั่งการให้ตำรวจกลุ่มนี้ปฏิบัติหน้าที่ก่อนปฏิบัติหน้าที่ ตรวจ ตำรวจสัญญาบัตรที่ควบคุมชุดตรวจ จะต้องแจ้งทางวิทยุสื่อสาร ไปยังศูนย์ควบคุมข่ายนั้นๆ ว่าจะเริ่มปฏิบัติการตั้งจุดตรวจสกัด และตรวจสกัดสิ่งใด ตำแหน่งไหน วันเวลาเท่าไรถึงเท่าไร ใครเป็นผู้ควบคุม ด้วยกำลังพลทั้งหมดเท่าไร
หลังจากเลิกปฏิบัติหน้าที่ ตำรวจท่านนี้จะต้องสรุปผลการจับกุม-ตรวจค้นว่า... พบสิ่งใดบ้างทางวิทยุสื่อสาร ต่อเจ้าหน้าที่ศูนย์ควบคุมข่าย จากนั้นจะต้องบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร เสนอต้นสังกัด...เป็นอันจบ.


ศึกษาไว้เป็นความรู้ครับ อย่าให้ใครมาหากินกับเรา

ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ มีหน้าที่ปัดทุกข์ บำรุงสุขให้กับประชาชน



._,___

การบรรยายของอาจารย์ไกร มาศพิมล (นักโภชนาการบำบัด)‏

สรุปการบรรยายของอาจารย์ไกร มาศพิมล (นักโภชนาการบำบัด)
ในหัวข้อ “ผู้เฒ่า...ลืมเล่าขาน”

หลัก 3 อ.
1. อารมณ์ต้องดี
2. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
3. อาหาร

การออกกำลังกาย
ควรออกกำลังกายทุกวัน ออกกำลังกายอย่างง่าย ๆ เช่น
1. การขยับนิ้วมือ เป็นการช่วยเรื่องน้ำในข้อ ผลที่ได้กระดูกจะไม่ผุ
2. งอนิ้วมือ ช่วยในเรื่องของอาการนิ้วล็อค
3. กำมือและแบมือสลับข้างกันไปมา ช่วยในเรื่องของโรคหัวใจ และลด Cholesterol
4. นั่งบนเก้าอี้ กำมือ และขยับเท้ายกขึ้นทำท่าวิ่งบนอากาศ
5. นั่งบนเก้าอี้ กำมือ ทุบขาด้านนอก และด้านใน ทุบแขน สลับกันไป
6. การนั่งตรง ๆ นั่งแค่ครึ่งเก้าอี้ ประมาณ 10 นาที ช่วยป้องกันในเรื่องของริดสีดวงทวาร
7. กำมือขวาหมุนเป็นวงกลมออกนอกตัว และกำมือซ้ายหมุนเป็นวงกลมเข้าหาตัว เป็นการบริหารสมองทั้ง 2 ซีก
8. มือประสานกันสองของ ยืดตรงไปข้างหน้า เท้าห่างกันประมาณช่วงไหล มองตรง แล้วหมุนเอวไปรอบ ๆ ทั้งด้านซ้าย และขวา ครั้งละ 5 รอบ ทำตอนเช้า จะช่วยลดส่วนเกินตรงหน้าท้อง

อาหาร
ควรหลีกเลี่ยงอาหารทุกอย่างที่มีส่วนผสมของสารเคมี
การสระผม
ไม่ควรใช้แชมพู เนื่องจากมีส่วนผสมของโซดาไฟ ควรสระผมด้วยสบู่เด็ก ควรสระผมช่วงเช้า ไม่ควรสระผมตอนเย็น เพราะผมจะไม่สามารถแห้งได้ทัน เวลานอนจะเกิดเชื้อรากลางคืน เป็นเหตุของอาการคันศีรษะ
น้ำมันพืช
ควรหยุดกินน้ำมันพืช เนื่องจากมีส่วนผสมของสารเคมีที่ช่วยป้องกันการบูด กันหืน แต่งสี เพราะเมื่อน้ำมันพืชเมื่ออยู่ในอุณหภูมิ 60 องศา จะเปลี่ยนสภาพเป็นไขมันทรานส์ ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ดังนั้น ควรบริโภคมะพร้าว น้ำมันหมู น้ำมันไก่
ตับจะทำหน้าที่ผลิต Cholesterol โดยที่ Cholesterol LDL จะช่วยป้องกันผิวหนัง และผลิต Cholesterol HDL เพื่อดักจับ LDL ไปทิ้ง
การทำน้ำมันหมู
นำน้ำมันหมูเปลว 1 ก.ก. กับเกลือ 1 ช้อนโต๊ะ เจียวบนกระทะ จะทำให้ไม่ติดกระทะ ไม่กระเด็น ได้น้ำมันเกือบ 2 ลิตร กากหมูจะกรอบมาก เนื่องจากเกลือจะเป็นตัวช่วยดึงน้ำมันออกมาจนหมด
น้ำมันมะพร้าว นำกะทิใส่ถุงแช่ตู้เย็น 3 ช.ม. เพื่อให้เนื้อกับน้ำแยกตัวกัน นำเนื้อมะพร้าวส่วนบนไปเคี่ยวจนเป็นน้ำมัน เก็บไว้ใช้ได้ไม่เกิน 3 เดือน
เกลือ
การบริโภคเกลือ ไม่ได้ทำให้ไตวาย แต่เนื่องจากในอุตสาหกรรมการผลิตเกลือที่ขาวละเอียดมีการเติมโพลิเมอร์ โดยหยดลงบนเกลือ ทำให้โครงสร้างจากเดิมโซเดียมคลอไรด์เปลี่ยนเป็นโซเดียมซัลเฟต ซึ่งมีผลต่อไต เพราะไม่สามารถขับออกได้ ซึ่งเกลือชนิดนี้จะโรยบนอาหารแล้วยังคงทำให้อาหารกรอบ แต่ถ้าเป็นเกลือที่เป็นโซเดียมคลอไรด์นั้น จะมีคุณสมบัติดูดความชื้นทำให้อาหารไม่คงความกรอบ
กะทิ
กะทิไม่มี Cholesterol เนื่องจาก Cholesterol จะเกิดจากการผลิตขึ้นเองโดยร่างกายมนุษย์ ซึ่งตับจะเป็นอวัยวะที่ทำหน้าที่ดังกล่าว สามารถใช้กะทิแทนน้ำมันมะพร้าวได้ กะทิให้แคลเซียมดีกว่านม ลดความอ้วน ป้องกันเบาหวาน โดยให้ดื่มทุกเช้าวันละ 1 กล่อง (สามารถช่วยแก้เจ็บคอได้ด้วย)
ทั้งกะทิชาวเกาะ และอร่อยดี ไม่มีการเติมสารเคมี เนื่องจากส่วนใหญ่ส่งออกต่างประเทศ
น้ำมันมะพร้าว
ช่วยลดความอ้วน โดยกินก่อนอาหาร 4 ช้อนกาแฟ
ใช้เป็น Hair Serum
ใช้ล้างเครื่องสำอาง
ใช้เป็นเดย์ครีม ไนท์ครีมได้
มี SPF 90 (Sun block)
Oil Pulling
ใช้น้ำมันงา น้ำมันมะพร้าว น้ำมันทานตะวัน ที่ผ่านกรรมวิธีแบบหีบเย็น ปริมาณ 2 ช้อน อมไว้ประมาณ 15 นาที แล้วบ้วนทิ้ง จะช่วยนำเชื้อโรคออกจากช่องปาก เนื่องจากเชื้อแบคทีเรีย ไวรัสที่อยู่ในช่องปากจะมีไขมันเกาะอยู่ ช่วยลดอาการทางช่องปากได้
น้ำเปล่า อุณหภูมิห้อง
ควรดื่มครั้งละไม่เกิน 150 ซีซี เนื่องจากกระเพาะจุได้ 400 ซีซี เวลาดื่มน้ำให้ค่อย ๆ จิบ อย่าดื่มรวดเดียว และให้ดื่มให้ได้วันละ 14 ครั้งเป็นอย่างน้อย การดื่มน้ำเย็นครั้งละมาก ๆ จะมีผลให้น้ำซึมเข้าสู่สมอง ซึ่งเป็นเหตุของการเกิดภาวะสมองบวมน้ำ
น้ำตาลปื๊บ
น้ำตาลปี๊บกับน้ำตาลปึกเป็นชนิดเดียวกัน ถ้านำไปเคี่ยวจะกลายเป็นน้ำผึ้ง (น้ำผึ้งเทียม) น้ำตาลปี๊บแท้ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำตาล เมื่อดมกลิ่น จะได้กลิ่นเหม็นเปรี้ยว
น้ำตาลทราย/น้ำตาลกรวด
เมื่อทานแล้วจะไม่เปลี่ยนเป็นพลังงาน แต่จะสะสมที่ตับเป็นไขมัน ก่อให้เกิดไตรกลีเซอร์ไรด์ สำหรับน้ำตาลที่ฟอกขาวจะใช้สารคลอลีน ซึ่งมีสารก่อมะเร็ง ดังนั้น ท็อฟฟี่ จึงมีน้ำตาลสูง ไม่ควรบริโภค
กาแฟ
การดื่มกาแฟ จะมีผลไปยับยั้งไม่ให้แคลเซียมไปเกาะกระดูก จึงมีโอกาสเป็นโรคกระดูกผุ มะเร็ง แต่กลิ่นของกาแฟจะสามารถช่วยบำบัดโรคได้ ดังนั้นจึงควรสูดกลิ่นกาแฟ แต่ไม่ควรดื่มกาแฟ เพราะคาเฟอีน เป็นตัวกระตุ้นเซลมะเร็ง หากชงกาแฟควรใช้น้ำตาลปี๊บ
ไมโครเวฟ
การใช้ไมโครเวฟ ระวังมะเร็ง เนื่องจากมีการกระจายคลื่นเข้าสู่เซลมีผลทำให้ตายได้
ขนมหวานจากกะทิ
ส่วนผสม กะทิ 4 กล่อง โดยกะทิ 1 กล่องจะใช้เกลือป่น 1 ช้อนกาแฟ (ต้องโยนลงในกะทิที่ตั้งไฟ เพราะช่วยลดการเกิดฟอง) และใช้น้ำตาลปี๊บ 1 ช้อนโต๊ะต่อกะทิ 1 กล่อง เคี่ยวกะทิให้เดือด แล้วใส่
-กล้วย ต้องเป็นกล้วยสุก (ใช้ได้ทั้งกล้วยหอม กล้วยน้ำว้า กล้วยไข่) แล้วยกขึ้นทันที เนื่องจากถ้าต้มต่อไปจะทำให้กล้วยมีรสเปรี้ยว
-มันเทศ เผือก ฟักทอง ให้แช่น้ำปูนใส 2 นาที แล้วนำไปต้ม 5 นาที จากนั้นค่อยนำไปใส่กะทิเดือดอยู่คนให้ทั่วแล้วยกลง
กล้วยไข่
กล้วยไข่ 1 ผล มีสารป้องกันมะเร็งมากกว่า Apple
กล้วยน้ำว้า
ถ้าห่าม ๆ แก้ท้องเสีย กินลดอาการของแผลสด
ผลสุก 2 ลูก และน้ำอุ่น 1 แก้วก่อนนอน ช่วยลดอาการท้องผูก (ใช้เป็นยาระบาย)
ที่สำคัญ เด็กอายุเกิน 6 เดือนถึงจะกินกล้วยน้ำว้าได้
กล้วยน้ำว้าทั้งหวี หากต้องการเก็บไว้ได้นาน 3 เดือน ให้จุ่มลงในน้ำเดือด 10 วินาที แล้วนำมาผึ่ง
น้ำมะพร้าวอ่อน
ดื่มน้ำมะพร้าวอ่อนวันละ 1 ลูก ช่วยฟอกเลือด และบำรุงไต ส่วนเนื้อมะพร้าวช่วยบำรุงตับ
กล้วยหอม
มีโปแทสเซียม ป้องกันโรคพากินสัน และอัลไซเมอร์ สำหรับผู้สูงอายุให้ทานสัปดาห์ละ 3 ผล เพื่อปรับสมดุลของฮอร์โมน
สับปะรด
มีสารบอบิเรน ป้องกันมะเร็ง มีมากที่แกนสับปะรด โดยให้ดูดแต่น้ำ แล้วคายกากทิ้ง
ตะไคร้แกง
นำมาหั่นแล้วต้มเป็นน้ำตะไคร้ ดื่มเพื่อช่วยลดเบาหวาน
การทำบุหงารำไป
พริกไทดำ 1 ส่วน กานพลู 1 ส่วน โป้ยกั๊ก 1 ส่วน (แก้หวัด 2009) ดอกจันทร์ กลีบใหญ่เอามาเด็ดกลีบ 1 ส่วน นำมาคลุกรวมกัน
แต่ถ้านำมาเติมพิมเสน 1 ส่วน การบูร 1 ส่วน (ครึ่งกระป๋อง) เมนทอล 1 ส่วน คลุกรวมกัน ทิ้งไว้ 1 วัน เทใส่ตะแกง นำเอาส่วนที่แห้ง ๆ มาใส่ขวดเล็ก ๆ ไว้ดมกลิ่น ถ้าไม่หอมให้นำไปตากแดด เก็บไว้ใช้ได้นาน 4 ปี แต่ถ้านำน้ำที่แยกออกมาและเติมสมุนไพรอีก 12 ชนิด หมักไว้ 1 เดือน ก็จะคล้าย ๆ น้ำมันที่มีกลิ่นเหมือนพิมเสนเอาไว้ดม และทา
ไข่
ไข่ต้ม ไข่เค็ม ไข่พะโล้ โดยเฉพาะไข่แดง หากกินวันละ 2 ฟอง จะช่วยลดน้ำตาลในเลือด (ลดเบาหวาน) เนื่องจากไข่แดงมีซิลิเนียม งานวิจัยของฮาวาดร์ พบว่าหากบริโภคไข่วันละ 3 ฟอง (อายุต่ำกว่า 45 ปี) บริโภควันละ 2 ฟอง (อายุ 45 ปี – 50 ปี) และบริโภควันละ 1 ฟอง (อายุเกิน 50 ปี) จะไม่เป็นเบาหวาน
ไข่ต้ม 1 ฟอง มีสรรพคุณสูงกว่านม 5 กล่อง
ไม่ควรดื่มนมข้ามสายพันธุ์ ดังนั้น ไม่ควรดื่มนมวัว นมแพะ
ทุเรียน
กินแล้วไม่อ้วน แต่ช่วยลดความอ้วน และ Cholesterol
ข้าวเหนียว
กินแล้วไม่อ้วน ถ้าไม่มีน้ำตาลทราย
กาวเครือขาว
สำหรับสุภาพสตรี ช่วยป้องกันมะเร็งเต้านม บริโภคทุกวันวันละ 1 เม็ด จะไม่เป็นวัยทอง

ปลาทู 2 ตัว"กับผัก ชะลอ " ความแก่"ปลอดโรครุมเร้า‏

ปลาทู 2 ตัว"กับผัก ชะลอ " ความแก่"ปลอดโรครุมเร้า




แพทย์เชี่ยวชาญอายุรวัฒน์นานาชาติแนะ 3 วิธีง่ายๆ ช่วยคนไทยลดสังขารเสื่อมก่อนวัย อย่านอนดึก เลี่ยงแป้งน้ำตาลคุมน้ำหนัก กินผักใบเขียววันละ 5 กำมือ ปลาทู 2 ตัว มีสารช่วยต้านอนุมูลอิสระ ซิตอัพวันละ 30 ครั้ง ฝึกหายใจลึกช่วยสติดีขึ้นชะลอแก่เร็ว

กรณีนายสำอาง สืบสมาน หัวหน้าโครงการวิจัยสุขภาพ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) เปิดเผยผลงานวิจัยคนไทยประสบปัญหาภาวะเสื่อมสังขารก่อนวัยอันควร สาเหตุจากโรคอ้วน ความดันโลหิตสูง เบาหวาน การถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจเพิ่มขึ้น รวมทั้งพฤติกรรมในการบริโภคที่เสี่ยง ขณะที่ชายไทยฮิตเป็นโรคความดันโลหิตและโรคตับ ส่วนหญิงเป็นโรคคอพอกและหืดหอบนั้น

ล่าสุดเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ ( International Anti-Aging Institute: IAAI) กล่าวว่า การเข้าสู่ภาวะเสื่อมสังขารก่อนวัยอันควรกลายเป็นปัญหาเร่งด่วนที่ไม่ควรมองข้าม เพราะจะนำไปสู่สังคมผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น มีโรคภัยไข้เจ็บรุมเร้า ส่งผลต่อระบบสาธารณสุขของประเทศ

" สาเหตุของภาวะเสื่อมสังขาร แบ่งออกเป็น 2 ปัจจัย คือ 1. ปัจจัยภายในที่เกิดจากการสะสมของความเครียด ยิ่งขณะนี้ปัญหาการเมืองรุมเร้าทั้งภายในและภายนอกประเทศ ยิ่งทำให้คนไทยมีภาวะเครียดสูงขึ้น การก้าวสู่ภาวะแก่ก่อนวัยจึงไม่ใช่เรื่องแปลก นอกจากนี้ ปัญหาความเครียดจะพบมากในคนเมืองหลวง โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร (กทม.) เพราะเป็นเมืองที่มีแต่การแข่งขัน มลภาวะสูง และ 2. ปัจจัยภายนอก สภาพแวดล้อม มลภาวะเป็นพิษต่างๆ รวมทั้งพฤติกรรมการบริโภค ที่ส่วนใหญ่นิยมบริโภคอาหารฟาสต์ฟู้ด โดยเฉพาะอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล กาแฟ จะมีสารที่ทำให้แก่สูงหรือที่เรียกว่า สารอนุมูลอิสระ

" พฤติกรรมการนอนหลับยังทำให้คนไทยแก่เร็วด้วย เนื่องจากคนส่วนใหญ่นิยมนอนช่วงเวลาเที่ยงคืนเป็นต้นไป ทั้งๆ ที่เวลาที่ควรนอนหลับพักผ่อนมากที่สุด คือ ช่วง 4 ทุ่ม และตื่นนอนตอน 6 โมงเช้า เพราะเป็นช่วงที่ธาตุหนุ่มสาวหรือ โกรท ฮอร์โมน ( growth hormone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนเกี่ยวกับการเจริญเติบโตจะหลั่งออกมามากที่สุดในช่วงเวลาดังกล่าว แต่หากเรานอนหลับหลังจากนั้นก็จะลดการหลั่งของธาตุหนุ่มสาว สังเกตได้ว่าคนกรุงจะแก่เร็วมากขึ้น เพราะส่วนใหญ่จะนอนดึกๆ กัน แต่หากลองมาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอนเสียใหม่ แค่เพียง 1 สัปดาห์ ก็จะทำให้รู้สึกสดชื่นทันที"

นพ.กฤษดากล่าวว่า สำหรับวิธีชะลอความเสื่อมของสังขารนั้นไม่ยาก ขึ้นอยู่กับการดูแลสุขภาพของตัวเอง โดยใช้วิธีง่ายๆ ที่เรียกว่า 3 H ประกอบด้วย 1.Healthy Weight รู้จักควบคุมน้ำหนัก ไม่ให้อ้วน โดยการเลี่ยงแป้งและน้ำตาล โดยเฉพาะในอาหารจำพวกขนมปัง เค้ก เบเกอรี่ ส่วนน้ำตาล หลายคนหันมาบริโภคสารให้ความหวานแทน ซึ่งสารเหล่านี้ข้อควรระวังคือ ไม่ควรนำมาประกอบอาหาร หรือถูกความร้อนสูงๆ เพราะมีงานวิจัยหลายชิ้นทั้งในและต่างประเทศระบุว่า เมื่อสารให้ความหวาน ประเภทน้ำตาลเทียมได้รับความร้อนสูงๆ อาจมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งได้ ดังนั้น การจะบริโภคน้ำตาลเทียมควรเลือกสารให้ความหวานที่ผลิตจากธรรมชาติ อาทิ ชะเอมเทศ หรือหญ้าหวาน เป็นต้น

"2.Healthy diet and Lifestyle บริโภคผักใบเขียวโดยควรบริโภคประมาณวันละ 5 กำมือ และปลาทูอีก 2 ตัว อาหารเหล่านี้จะมีสารอาหารที่ช่วยต้านพวกสารแอนตี้ออกซิแดนซ์ หรืออนุมูลอิสระได้ และควรทำควบคู่ไปกับการออกกำลังกาย และ 3.Healthy Mind คือต้องมีกำลังใจที่ดี มีจิตและสมาธิอยู่กับปัจจุบัน โดยให้ฝึกหายใจเข้าลึกๆ ให้ท้องป่อง และกลั้นหายใจสัก 4 วินาที จากนั้นค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกจะช่วยให้มีสติดีขึ้น"

นพ.กฤษดากล่าวว่า ที่สำคัญควรรู้จักฝึกการใช้สมอง 2 ซีกอย่างสม่ำเสมอ เพราะการที่ใช้สมองเพียงซีกเดียวจะทำให้เกิดความเสื่อมตามมา หากเราถนัดมือขวาก็แสดงว่า สมองซีกซ้ายเราเด่น เราต้องทำให้สมองซีกขวาเด่นด้วย โดยการฝึกใช้มือซ้าย หรือให้ฝึกการใช้สัมผัสอื่นๆ ที่เราไม่ถนัด นอกจากนี้การที่เรารู้สึกหิวนิดๆ ก็จะทำให้โกรทฮอร์โมนหลั่งออกมามากด้วย เพราะเมื่อร่างกายเริ่มหิวจะสั่งไปที่สมองให้หลั่งสารให้สมองรู้สึกโล่ง จะทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น การที่รู้สึกดีก็จะทำให้จิตใจดีช่วยชะลอความแก่ไปในตัว

" ที่สำคัญการออกกำลังกายจะช่วยได้มากในเรื่องนี้ ยิ่งการซิตอัพจะทำให้ร่างกายหลั่งโกรทฮอร์โมนขึ้น เพราะจะทำให้ร่างกายกระชุ่มกระชวย ดังนั้น ในแต่ละวันควรซิตอัพอย่างน้อย 30 ครั้ง" นพ.กฤษดา กล่าว และว่า ปัจจุบันคนทำงานนิยมดื่มกาแฟกันมาก ทั้งๆ ที่กาแฟเป็นตัวทำลายความอ่อนเยาว์ แต่จะให้เลิกกาแฟคงยาก ดังนั้น ไม่ควรทานกาแฟเกินวันละ 1 แก้ว หรือควรทานกาแฟเพียงวันละ 2 ช้อนชาก็เพียงพอ ที่สำคัญอย่าลืมว่า กาแฟยิ่งร้อนเท่าไหร่ก็จะยิ่งเพิ่มความเข้มข้นให้กับคาเฟอีนซึ่งเป็นตัวอนุมูลอิสระที่สำคัญ

Coke Zero‏

How to teach swiming in India‏

เผยความลับ.....คนเกิด (ตรงดีเหมือนกันนะ)‏

ความลับ.....คนเกิด....


มกรา-เซ็กซ์จัด...เป็น คนค่อนข้างรอบคอบ ระมัดระวังวิตกจริต คิดมากตลอดเวลา ในบางคนก็ชอบเก็บสะสมของเก่า ของโบราณ รู้จักเก็บ มัธยัสถ์ งก ขี้เหนียว เสียดายของ ประหยัด ชอบที่จะแชร์ค่าใช้จ่าย มองกำไรขาดทุนไว้ก่อนเสมอ ดูเหมือนเห็นแก่ตัว แต่จริง ๆ แล้วฉลาดจึงสามารถเป็นนักธุรกิจที่ดีได้ ทะเยอทะยาน ชอบเอาชนะ บางทีก็คิดเล็กคิดน้อยอะไรไม่รู้ เชื่อมั่นในตัว เองสูงมาก ทรหดอดทนเป็นยอดเลยล่ะ โดยเฉพาะในเรื่องงานแล้วล่ะก็บ้างานมาก บ้าจนทำให้บางทีความรักที่มีอยู่จืดไปเลย จะแต่งงานช้าก็เพราะมัวแต่เลือกมากคิดมากอยู่ นั่นแหละ ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับความรักสักเท่าไหร่ถ้างานที่ต้องรับผิดชอบนั้นยังไม่ เสร็จสิ้น เพราะเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง เป็นนักปฏิบัติ แต่ ในด้านความรัก ก็ใช่ย่อยมีเสน่ห์ล้ำลึกนัก
.............มีความต้องการทางเพศค่อนข้างสูงอยู่เหมือนกัน บางครั้งก็ขี้หงุดหงิดเอาแต่ใจตัวเอง แต่ทำเป็นขรึมเย็นชาซะอย่างนั้น แหล่ะ .....555
.............บางทีก็ชอบเก็บตัวชอบสร้างกำแพง ทำเป็นหยิ่งแต่จริง ๆ กลับเป็นคนง่าย ๆ ไม่มีอะไรหรอก ไม่มีพิษไม่มีภัยกับใคร สงบนิ่ง เจ้าระเบียบซะอีกแน่ะ รักเกียรติยศชื่อเสียงเป็นอย่างยิ่ ทำอะไรไม่ค่อยพึ่งใครชอบทำเอง แต่ก็เป็นคนมีบุญ มักได้คู่ดี

กุมพา-ช่างเลือก...มัก เป็นคนที่มีอุปนิสัยร่าเริง เพื่อนฝูงมากมาย เพราะเป็นคนที่ต้องการมิตรที่แท้จริง แต่ก็มักไม่ค่อยมีเพื่อน และที่ สำคัญมีเพื่อนแท้น้อยมาก ชอบอยู่ในแวดวงสังคมที่ดี เพราะเป็นคนที่สามารถยิ้มแย้มแจ่มใสได้กับทุกสถานการณ์ ถึงแม้ว่าตนเองจะทุกข์อยู่ก็ตาม ชอบที่จะทำให้คนอื่นมีความสุข เป็นคนที่ช่างพูดช่างคุย ตีหน้าได้เก่ง มีนิสัยช่างคิดช่างจำแถมยังมีแผนการมากอีกด้วย เชื่อมั่นและมีความเห็นเป็นของตัวเอง ซื่อตรงดี ชอบอิสระไม่ชอบขึ้นกับใคร หรือให้ใครบังคับขู่เข็ญให้ทำ หรืออยู่ใต้การควบคุมของใคร อยากทำอะไรทำเองไม่ต้องมาสั่ง ชอบชีวิตที่เรียบง่ายมากกว่าถึงแม้ว่าตัวจะต้องอยู่ในสังคมก็ตาม เป็นคนที่มีหัวคิดริเริ่มมีไอเดียอะไรดี ๆ และแปลกใหม่อยู่เสมอ เพราะเป็นคนที่ใส่ใจเรียนรู้และสร้างสรรค์ ตามยุคตามสมัยทันเหตุการณ์ของโลกอยู่เสมอ ชอบเปลี่ยนแปลงจนคนรอบข้างตามไม่ทันหรือคิดไม่ถึงก็มี จริงใจเปิดเผยตรงไป ตรงมา นิสัยไม่ดีคือมักเอาแต่ใจและดื้อรั้นมาก ในบางครั้งก็ดูก้าวร้าวขวานผ่าซากและขี้งอน ขี้น้อยอกน้อยใจ เป็นคนที่ชอบสนุกสนาน ชอบช่วยเหลือเพื่อน ทั้งที่ทำคุณกับใครไม่ค่อยขึ้นหรอก คบกับใครก็ได้ ช่างเลือกด้วย แถมไม่ชอบผูกมัดหรือมีพันธะติดกับใคร จึงหาคู่ที่ ถูกใจยากออกสักหน่อย

มีนา--ใจพระเป็น คนที่ชอบเห็นอกเห็นใจชาวบ้าน ชอบช่วยเหลือคนอื่นแล้วก็ไปรับแบกภาระซะอย่างนั้นแหล่ะ เข้ากับคนง่าย ปรับตัวได้ดีมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี มีจิตใจที่เมตตาโอบอ้อมอารี มีคุณธรรมสูง ชอบสร้างบุญสร้างกุศล แต่มักเป็นคนที่ขี้เหงา ว้าเหว่ หรือไม่ชอบอยู่ในที่แคบ ๆ มักชอบที่จะอยู่ในที่โล่งแจ้งมากกว่า แต่อารมณ์มักอ่อนไหวง่ายมาก ๆ ในบางครั้งก็ขี้หงุดหงิด จิตใจไม่แน่นอน อารมณ์เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเหมือนน้ำ ที่วันนี้ไม่รู้จะอยู่ในโอ่งหรือว่าขวดกันแน่ บางครั้งก็ดูแข็ง บางทีก็อ่อนไหวง่ายเหลือเกิน ด้วยความใจอ่อนนี่แหล่ะมักทำให้สูญเสียโอกาสดี ๆ ไปเสมอ ดูอ่อนโยนสุภาพแต่ก็มีอารมณ์ที่ก้าวร้าว และปากร้ายได้เหมือนกัน เพราะเป็นคนที่เย็นก็ได้ ร้อนก็ได้ เสียใจง่าย ดีใจง่าย คล้อยตามคนอื่นได้ ไม่ค่อยแข่งขันอะไรกับใคร มักพอใจในสิ่งที่ตนมี เป็นคนที่เชื่อเรื่องโชคลางสิ่งลี้ลับ และชอบที่จะจดจำเรื่องเก่า ๆ หลงรักใครได้ง่าย ๆ และมักจะจมอยู่กับรักเก่า ๆ นั้น แบบพวกมีรักฝังใจไม่ยอมลืม แต่กับบางเรื่องกลายเป็นคนที่ขี้ลืมบ่อย ๆ เหมือนคนแก่ และก็เป็นคนที่ไม่ค่อยใส่ใจใฝ่หาอะไรที่มันใหม่ ๆ ซะด้วยซิ ยกเว้นชอบที่จะซื้อรองเท้าใหม่ ๆ อยู่เรื่อยเลย ว่ากันว่าใครที่เกิดในเดือนนี้เท้าสวยแล้วจิตใจจะดีแถมเป็นคนชอบชิมชอบกิน เสียด้วยซิ

เมษา--ไฮเปอร์....เป็น คนที่มีนิสัยเหมือนเด็ก ๆ อยากรู้ อยากเห็น อยากได้อยากเป็นไปเสียหมด พอรู้พอเห็นแล้วก็เบื่อ ไม่เอาแล้ว อยากได้ของใหม่อีกแล้ว คือ เป็นคนขี้เบื่อเหมือนเด็ก ๆ ไม่ค่อยยอมฟังใครง่าย ๆ กล้าได้กล้าเสียไม่ค่อยกลัวอะไร ลุยลูกเดียว แล้วก็เจ็บ แถมเจ็บไม่รู้จักจำอีกด้วย ชอบกลับไปทำซ้ำใหม่แล้วก็เจ็บอีก บางทีก็ชอบทำเรื่องง่าย ๆ ให้เป็นเรื่องยากได้ จู้จิ้จุกจิกกับเรื่องไม่เป็นเรื่องก็ได้ แต่เป็นคนที่น่าคบนะ เพราะเป็นคนที่จริงใจตรงไปตรงมา ไม่ชอบเอาใจใครหรือเยินยอ ใคร ชอบไม่ชอบบอกกันตรง ๆ เลย แบบว่าถือของให้ใครก็ไม่เป็น ไม่ชอบผูกมัด ชอบอิสระ ชอบที่จะให้คนมาเอาใจมากกว่า และมักจะหึงและหวงคนรักนะ เพราะถ้ามีรักเมื่อไร จะเป็นคนที่รักเดียวใจเดียว รักแบบบริสุทธิ์ใจซะด้วยซิ และมักเป็นคนที่มีความต้องการทางเพศสูงอยู่เหมือนกันนะจ๊ะ ทะเยอทะยาน ใจร้อน ทำอะไรก็รวดเร็วทันใจ เดินยังดูรีบ ๆ เลย มีอารมณ์รุนแรงขี้โมโหหงุดหงิดง่าย แต่ก็หายเร็ว ทำอะไรหุนหันพลันแล่น อยู่นิ่ง ๆ ไม่เป็นจะอึดอัดหงุดหงิด เครียด ต้องเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา เช่น ชอบออกกำลังกาย หรือทำอะไรที่มันดูเป็นภาคสนามสักหน่อย จะสบายใจกว่าให้นั่งเฉย ๆ ใครอยากเป็นแฟนต้องเข้าใจและเอาใจ อย่าปล่อยให้เหงาเชียวแหล่ะ

พ.ค.--เศรษฐี..เรา จะเห็นว่าเดือนนี้มีสัญลักษณ์เป็นรูปวัวเพราะฉะนั้นต้องเข้าใจก่อนเลยว่า คนที่เกิดในเดือนนี้มักต้องทำเพื่อคนอื่นและต้องอดทนอย่างมาก เหมือนวัวนั่นแหล่ะ ดื้อรั้นเงียบแบบสงบเสียด้วยซิ มักเป็นคนที่ดูจะนิ่ง ๆ ไม่ค่อยแสดงออกสักเท่าไหร่ เป็นคนที่โกรธใครยาก แต่ถ้าโกรธนานเชียว แล้วถ้ามีใครมาแหย่ ให้โกรธเข้าล่ะก็ คุณแกจะกลายเป็นวัวกระทิงทันทีเลยล่ะ เป็นคนที่รักสวยรักงาม สะอาด รักความเป็นระเบียบเรียบร้อย ทำอะไรถูกกาลเทศะ ความคิด ความอ่านมักค่อนข้างหัวโบราณสักหน่อย เป็นบุคคลที่เปลี่ยนแปลงอะไรยากมาก ๆ เช่น การกิน หรือความเชื่อ ใครบอกก็ไม่เปลี่ยน นอกจากตัวเองจะเปลี่ยนแปลงความคิดหรือการกระทำเอง ไม่ค่อยยืดหยุ่นกับชีวิต ชอบคิดว่าฉันเป็นฉันเอง เป็นคนที่ชอบอยู่นิ่ง ๆ สงบ ๆ อยู่คนเดียวก็ได้ อยู่กับเพื่อน ๆ ก็ได้ โคตร อดทนและบึกบึนมาก งานทำได้ทุกอย่างหนักเอาเบาสู้ได้หมด แถมเป็นคนมัธยัสถ์ ประหยัด ชอบเก็บสะสมทรัพย์สินอีกด้วย เรียกว่าเศรษฐีได้เลย แต่ก็ไม่ค่อยได้ใช้เองหรอกชอบให้คนอื่น ยิ่งถ้าเป็นคนที่ตัวเองรักแล้วล่ะก็...เต็มที่ไปเลย เป็นคนที่อ่อนไหวต่อความรักมาก รักแล้วทุ่มเทเกินเหตุ มักถือดีเรื่องความรักเสมอ หรือจะชื่นชม ให้กำลังใจหน่อยก็จะดี คนเดือนนี้ชอบให้ชมบ่อย ๆ พวก บ้ายอไง

มิ.ย.-อัฉริยะ..เป็น คนที่ฉลาดมาก มักคิดอะไรได้รวดเร็วกว่าชาวบ้าน คือ มีความถนัดในการใช้สมองมากกว่ากำลัง ชอบคิดชอบพูด ชอบเขียน อยากรู้ อยากเห็น อยากลอง ต้องการเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ เพื่อความอยู่รอด จึงมักเป็นคนที่ดูทันสมัยอยู่ตลอดเวลา และในชีวิตมักมีอะไรเข้ามาทีละสองอย่างเสมอ ทำให้ต้องลำบากใจที่จะต้องเลือก ไม่ว่าจะเป็นความรัก หรือ การงาน ความคิดก็มักลังเล รักพี่เสียดายน้องอยู่นั่นแหล่ะ เป็นคนที่มีความสามารถหลายอย่าง สามารถทำอะไรหรือคิดอะไรได้ หลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกัน บางทีกลายเป็นคนสองบุคลิก หรือ คนสองหน้าได้เหมือนกัน สามารถแก้ปัญหาให้ใครต่อใครได้ในพริบตาเชียวล่ะ เป็นที่ปรึกษาและให้กำลังใจที่ดีเลยคนเดือนนี้น่ะ ชอบท่องเที่ยวไม่ชอบอยู่กับที่นาน ๆ
ชอบเปลี่ยนแปลงอะไรต่อมิอะไรอยู่ ตลอดเวลา ทำให้ดูเหมือนเป็นคนที่ขาดความอดทน เป็ นคนที่ค่อนข้างตรงและเอาแต่ใจตนเอง ไม่ค่อยเก็บความสงสัยเอาไว้ จะถามให้รู้เรื่องไปเลย จะทำอะไรก็เหมือนกันจะต้องทำให้มันสำเร็จ ชนิดไม่เสร็จไม่เลิก มีความว่องไวใจร้อนมากโดยเฉพาะเรื่องงาน ไม่ชอบให้ใครมาจู้จี้ขี้บ่น หรือซักถามยิ่งเวลาไปไหนมาไหน ไม่ต้องถาม ถ้าอยากบอกจะบอกจะเล่าเอง ด้วยความทันสมัยและชอบเที่ยวจึงเป็นผู้ที่ใช้เงินเปลืองมาก

ก.ค.--ขี้หึง..นับ ได้ว่าเป็นคนอ่อนไหวไวต่อความรู้สึก ระมัดระวังตัวหวาดระแวงตกใจง่ายไม่ค่อยไว้ใจใครง่าย ๆ รู้รักษาผลประโยชน์รู้จักเก็บออมเงินเก่ง (ปูมักจะลากทุกอย่างเข้ารู) ถ้าเจอปัญหาเศร้าทุกข์อะไร จะขอหลบไปก่อน ไม่รับโทรศัพท์ ไม่รับแขก ไม่ยอมเจอใคร แต่พอตั้งสติได้จะค่อย ๆ กลับมาแก้ไขและกลับมาเป็นคนเดิมเอง เป็นคนรักบ้าน รักครอบครัวมาก ชอบอยู่กับบ้านและทำกิจกรรมที่บ้านมากกว่าให้ออกนอกบ้าน เพราะมันเป็นสิ่งที่ทำให้ชาวกรกฎรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่น มีความสุขที่สุด ดูจากภายนอกออกจะแข็งกร้าว ปากแข็งแต่จริง ๆ ภายในอ่อนปวกเปียกมาก ลองดูจากสัญลักษณ์ที่คนโบราณเปรียบเทียบไว้เป็นปูไง มีกระดอง แต่ข้างในนิ่มเชียว มีความอดทนต่อความยากลำบาก ชอบใส่ใจความรู้สึกคนอื่น ไม่ว่าเป็นหญิงหรือชายมักมีความเป็นแม่อยู่ในตัว มีสัญชาตญาณในการให้ ห่วงใยเอื้ออาทร ชอบช่วยเหลือชาวบ้าน เอาอกเอาใจ (เฉพาะ) คนที่ตัวรัก เก็บรายละเอียดได้ดีไม่ว่าจะเรื่องอะไร โดยเฉพาะเรื่องเก่า ๆ หรือพวกรักฝังใจ ไม่ยอมลืม แต่ เจ้าอารมณ์ชะมัดเลยล่ะ จู้จี้จขี้บ่น เจ้าระเบียบ ต้องปล่อยให้บ่นไป เดี๋ยวเหนื่อยก็หยุดไปเองแหละ ต้องระวังเรื่องเครียด เพราะเป็นคนวิตกจริตคิดมาก รักใครแล้วไม่ค่อยปล่อยง่าย ๆ แถมขี้หึงถึงตายเลยล่ะ (ปูหนีบ)

สิงหา--อีโก้สูงคน ที่เกิดในเดือนนี้เหมือนจ้าวป่าจึงมักจะเริ่ดเชิดหยิ่งไว้ก่อนเดินยังเอา หน้าไปก่อนเลย ไม่ค่อยยอมก้มหัวให้ใครง่าย ๆ ไม่ง้อใครถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ชอบที่จะเป็นหัวหน้า เป็นผู้นำมากกว่าคล้อยตาม ชอบความเป็นอิสระทั้งด้านงานและการใช้ชีวิต ไม่ชอบขึ้นอยู่กับใคร เชื่อมั่นในตัวเองมาก ใจใหญ่ถึงไหนถึงกัน เล็ก ๆ ไม่ ใหญ่ ๆ ทำ รักเกียรติยศชื่อเสียง เสียอะไรไม่ว่า เสียหน้าข้าไม่ยอม ใจร้อนหงุดหงิด ขี้โมโห จริงจังกับชีวิตมากจนกลายเป็นพวกบ้าอำนาจ หรือจอมเผด็จการ ฉลาดหลักแหลม เจ้าปัญญา เจ้าความคิด คิดโน่นนี่ได้ตลอดเวลา แต่บางทีก็ไม่ยอมทำเอง ชอบใช้คนอื่นทำแทน จึงควรเป็นที่ปรึกษานั่นแหล่ะดี เพราะเป็นคนที่ไม่เคยเชื่อใจหรือไว้ใจใครเลย และไม่ค่อยชอบพึ่งใครด้วย รักเฉพาะพวกพ้องพี่น้องและครอบครัวของตัวเอง สามารถเสียสละให้ได้ทุกอย่าง เป็นคนที่อยากให้ทุกคนมารัก อยากให้ทุกคนยอมหรือยกย่องตัวเอง อย่าไปขัดใจหรือโต้แย้ง ปกติใครอยู่ด้วยจะน่ารักมาก เพราะจริง ๆ เป็นคนที่ขี้สงสารและชอบให้อภัย หรือให้โดยไม่ค่อยหวังผลตอบแทน เพียงแต่ไม่ชอบที่จะแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็นเท่านั้นเอง เป็นคนที่หาเงินเก่งและก็ใช้จ่ายเก่งด้วย ถ้าพอใจอยากได้อะไรต้องได้จะจ่ายไม่อั้น ยังไงก็ต้องรักษาหน้าไว้ก่อน จะหาคู่ครองต้องเป็นคนใจเย็นเป็นผู้ใหญ่กว่า มีปัญญาที่เหนือกว่าจึงจะอยู่กันได้ หรือไม่ก็อยู่ใต้เท้าคุณสิงหาคมแกไปเลยหมดเรื่อง

กันยา--ผีเข้า/ผีออก...นับ ว่าเป็นคนที่เฉลียวฉลาด คล่องแคล่วว่องไว มีเสน่ห์ ไม่ว่าเป็นชาย หรือ หญิงมักมีแต่เรื่องหยุมหยิม มีข้อสงสัย หรือ วิเคราะห์ ทุกอย่างจนเกินเหตุ เป็นคนที่เข้าใจยากอยู่สักหน่อย เพราะชอบเอาแต่ใจทำอะไรตามอารมณ์เหมือนผีเข้า ผีออก ไม่แน่นอน คนอื่นอาจจะงง ๆ เหมือนจะประสาทหลอน แต่จริง ๆ แล้วเพราะเป็นคนที่ละเอียดลออ เอามาก ๆ ชอบสังเกต พิถีพิถันออกแนวหัวโบราณ วิตกจริตคิดมากเท่านั้นเอง ช่างคิดช่างฝันช่างจินตนาการ มินิสัยชอบเปลี่ยนแปลงหรือพยายามทำสิ่งต่าง ๆ ที่คนอื่นเขาทำทิ้งไว้ ค้างไว้ ให้เสร็จสมบูรณ์ตามแบบฉบับของตัวเอง พูดง่าย ๆ ก็คือชอบ จู้จี้จุกจิก เจ้าระเบียบ ชอบจับผิดคนเก่งมาก แต่ก็เป็นคนที่มองโลกในแง่ดีนะ ถึงจะชอบจับผิดก็เถอะ แล้วชอบที่จะช่วยเหลือชาวบ้าน หรือดันไปแบกรับภาระคนอื่นมา จะดูเหมือนเรื่องมาก และเลือกมากไปเสียทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัวต้องดูดีก่อนออกจากบ้าน หรืออาหารการกินต้องสะอาด โดยเฉพาะเรื่องความรักมักจะใช้เวลาเลือกค่อนข้างนาน แต่ถ้าได้รักแล้วมักจะรักนานเลยเช่นกัน เป็นคนที่ขยันทำมาหากินมาก บางครั้งประหยัดจนดูเหมือนขี้เหนียว ช่างพูดช่างเจรจา พูดเก่งและแก้ตัวเก่งอย่างมีเหตุผลเสียด้วยซิ ผิดกับการบอกรักกลับเป็นคนที่ไม่กล้าแสดงออก ขี้อาย ปากแข็งมาก ถ้าคิดจะเอ่ยปากบอกรักใครสักคน เวลารักใครชอบรักจนหมดหัวใจ จึงมักโดนคนที่ตนรักหลอกหรือเอาเปรียบอยู่เสมอ

ตุลา-รักง่าย/หย่ายเร็ว..คน เดือนนี้เป็นคนสุภาพอ่อนโยน นุ่มนวล สะอาดน่ารัก เป็นนักการทูต มีพรสวรรค์ในการเจรจา (กะล่อน) แต่ประนีประนอม หรือ โน้มน้าวจิตใจคนได้ดี เป็นคนค่อนข้างตรงและเอาจริงเอาจัง คิดยังไงก็พูดออกมาอย่างนั้น สามารที่จะโอนอ่อนผ่อนตาม คล้อยตามมากกว่าขัดใจ ใครว่าอะไรก็ว่าด้วย เป็นคนที่มีเสน่ห์ อยู่ในตัวเอง ถ้าไม่หน้าตาดี บุคลิกก็ต้องดูดีมีราศี สามารถดึงดูดคนให้เข้ามาหาได้อย่างง่ายดาย ในบางคนก็รักสวย รักงานศิลปะ ชอบเข้าสังคมทำอะไรเพื่อสังคม ชอบความสนุกสนานร่าเริง ฟุ้งเฟ้อ ชอบความหรูหรา เป็นคนที่ถ้ารู้จักใคร ถูกชะตาจะรักมาก รักเร็วและทุ่มเทซะเกินเหตุ แต่ถ้านึกอยากจะเลิกก็เลิกเลยแบบไม่มีเหตุผลเช่นกัน เรียกได้ว่ารักง่าย หน่ายเร็ว เป็นคนที่รักพวกพ้องเพื่อนฝูงเอามาก ๆ ใครไม่เป็นพวกข้า ไม่ดีด้วย จนในบางครั้งดูเหมือนดื้อและก้าวร้าวมาก อารมณ์บางครั้งก็ขึ้น ๆ ลง ๆ จะตัดสินใจทำอะไรได้แต่ละอย่างคิดอยู่นั้นแหล่ะ (ลังเล) ไม่ค่อยเชื่อมั่นในตัวเอง มักต้องรอจังหวะ เหมือนตาชั่ง (สัญลักษณ์) กว่าตาชั่งที่เอียงไปเอียงมาจะตรงหรือสมดุลกันได้ก็เล่นเอานานเหมือนกัน ขยันทำงานฉลาดในการทำธุรกิจ มีความสุขุมรอบคอบและเยือกเย็นได้ แต่สิ่งที่ควรระวังก็คือมักเชื่อคนง่าย จึงมักมีสิทธิ์โดนหลอกใช้ได้เหมือนกัน

พ.ย.--ลึกลับ...คน เดือนนี้เป็นคนที่ดูแล้วค่อนข้างจะลึกลับ ถ้าไม่สนิทกันจริงไม่ค่อยเล่าเรื่องของตัวเองให้ใครฟัง ค่อนข้างไม่ค่อยไว้ใจใครง่าย ๆ มีความระแวดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา เป็นคนที่เก็บความรู้สึกเก่ง เก็บความลับเก่ง ชอบทำตัวลึกลับ มีความในใจซ่อนเร้น มีความสงสัยอยู่ตลอดเวลา มีความทิฐิมานะ วางท่า ไว้ตัว ทำตัวเหมือนหยิ่ง อดทน อดกลั้น แต่ถ้ามีอารมณ์โกรธฉุนเฉียวขึ้นมาล่ะก็ กล้าเผชิญกับทุกสิ่ง จะหน้าไหนหรือใหญ่แค่ไหนก็ไม่ค่อยกลัว
ช่างประชด ประชัน เหน็บแนมเก่งมาก คำพูดคำจาบางทีชอบพูดแรง ๆ ตรงเกินกว่าที่คนรอบข้างจะรับได้ แต่ก็พูดออกมาจากใจจริงของตัวเองนะ เป็นคนขี้งอนใจน้อย อารมณ์แปรปรวน เอาแต่ใจเจ้าอารมณ์ ไม่ค่อยสนใจใส่ใจใคร ดูเหมือนดุร้าย ไม่น่าเข้าใกล้ จนบางครั้งคนรอบข้างจะคิดว่าเป็นบ้า แต่แท้ที่จริงแล้ว ทำไปเพื่อจะป้องกันหรือปิดบังอะไรบางอย่าง ที่เป็นปมด้อยในตัวเองที่ไม่อยากให้ใครรู้ เป็นคนฉลาดเจ้าความคิดจะตายไป ชอบพลิกแพลงเอาชนะด้วยมันสมอง ไม่ค่อยชอบใช้กำลังสักเท่าไร มักมีเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิงในการทำธุรกิจ
ด้านความรักก็มักแต่งงานช้า หรือหาคนถูกใจยากสักหน่อย เพราะมัวแต่ขี้ระแวงอยู่นั่นแหล่ะ และไม่ค่อยชอบให้ใครมาจู้จี้มากนัก มีโลกส่วนตัวสูง แต่ก็เข้าได้กับทุกคนนะ เพียงแต่คนอื่นอ่านไม่ค่อยออก ก็เท่านั้นเอง

ธันวา--นักผจญภัยด้วย ความชอบผจญภัยให้อยากอยู่บ้านแทบตาย ยังไงก็ต้องมีเหตุอันให้ต้องออกจากบ้านจนได้ ในชีวิตมักต้องไปได้ดีเอาไกลบ้าน ไกลเมือง ไกลถิ่นฐานที่เกิด หรือได้คนรักในแดนไกลแล้วชีวิตจะดีกว่า เป็นคนที่มักโชคดีเรื่องการเงิน เป็นคนอารมณ์ดี ขี้เล่นชอบพูด ชอบเล่าอะไรสนุกสนาน จนในบางครั้งเกินความเป็นจริงไปซะไกลเลยเชียว ชอบที่จะเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ เพิ่มเติมจากที่ตัวเองรู้ ชอบพัฒนาชอบสำรวจ สามารถให้คำปรึกษากับคนรอบข้างได้ดี เพราะเป็นผู้รอบรู้และเป็นนักวางแผนที่ดีได้ เป็นคนที่ฉลาดและรอบคอบ คิดสร้างสรรค์อะไรมักจะไปเจริญหรือเป็นจริงได้ในอนาคต คือมีความคิดที่ก้าวไกลกว่าคนอื่น ๆ เหมือนหยั่งรู้อนาคตได้ยังงั้นแหล่ะ สามารถแก้ไขปัญหาได้ดี มีรสนิยมดีตรงไปตรงมาและ จริงใจ ชอบการเดินทาง เปิดหูเปิดตา ชอบกีฬา เรียกว่าอยู่นิ่ง ๆ ไม่ค่อยเป็น และชอบที่จะเป็นอิสระมากว่ามีเจ้านายคอยควบคุม อยากจะแสดงความสามารถที่มีอยู่ให้ใคร ๆ เห็นมากกว่า ชอบแหกกฎ อาจเป็นได้ว่าความถือดีว่าตัวเองมีปัญญาฉลาดกว่าคนอื่น เป็นคนที่โกรธง่ายหายเร็ว แต่อย่าย้ำซ้ำเติมความผิด ของเขานะ จะไม่ค่อยยอมรับผิดหรือแกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ด้วยเลยล่ะ ทำให้เราเสียอารมณ์เปล่า ๆ

ของอร่อยเมืองชล....ต้องไปกินให้ครบทุกร้านนะครับ‏

โซนบางทราย
1. ร้าน อ.อูมซีฟู้ด (กลางวัน-กลางคืน)
ที่ตั้ง จากนิคมอมตะนคร ขับเข้า อ.เมือง มาตามเส้นสุขุมวิท ขับมาเรื่อย ๆ จะผ่านปั๊ม JET ขวามือ ผ่านปั๊ม ปตท. ขวามือ จนถึงสามแยกบางทรายที่มีไฟแดง (นับจากนิคมมาน่าจะเป็นไฟแดงที่ 2) ซ้ายมือเป็นค่ายทหาร เลี้ยวขวาตรงสามแยกนั้นมาประมาณ 30 เมตรจะเห็นป้ายใหญ่ ๆ ซ้ายมือ เขียนว่า อ. อูมซีฟู้ดชี้ไปทางซ้าย เลี้ยวตามป้ายก็ถึงเลย ถ้าหาไม่เจอถามคนแถวนั้นดู รู้จักร้านนี้ทุกคน
เมนูเด็ด อาหารทะเลทั่วไป อร่อยทุกอย่าง ที่เคยกินแล้วประทับใจจะเป็น ต้มยำทะเล กุ้งผัดเห็ดฟาง ลูกตาลลอยแก้ว แต่อย่าสั่งก้ามปูนึ่ง เพราะอันเล็ก ไว้ไปกินแถวบางพระจะดีกว่า
2. ก๋วยเตี๋ยวเครื่องในหมูผักกาดดอง (เช้า-กลางวัน)
ที่ตั้ง อยู่ใกล้ ๆ กับ อ.อูมข้อ 1 นั่นแหละ แต่แทนที่จะเลี้ยวซ้ายเข้าซอยที่เป็น อ.อูม ก็เลี้ยวขวาแทน จะเป็นเลี้ยวหักศอก แต่ไม่ต้องตกใจ ใคร ๆ เขาก็เลี้ยวกัน ให้ระวังรถที่ตามมาด้านหลังก็พอ จริง ๆ ก็ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับปั๊ม ปตท. ที่พูดถึงในข้อ 1 แต่เข้าตรงนั้นไม่ได้เพราะเป็นวันเวย์ หรือจะเลี้ยวเข้าไปจอดในปั๊ม ปตท. แล้วเดินเข้าไปหน่อยก็ได้ ไม่มีชื่อร้าน ถ้าหาไม่เจอถามคนแถวนั้นดู
เมนูเด็ด ก๋วยเตี๋ยวหมูใส่เครื่องในกับผักกาดดอง อร่อยมาก ไม่คาวเลย ไม่มีกลิ่นเหม็นหืนของเครื่องในหมูเลย น้ำซุปก็หวานอมเปรี้ยวเพราะใส่ผักกาดดองลงไปด้วย หรือจะสั่งเป็นเกาเหลามากินกับข้าวเปล่าก็อร่อยเหมือนกัน ด้านหน้าร้านจะมีรถเข็นขายขนมไทย ๆ อยู่ด้วย จุดเด่นอีกอย่างคือจะเสิร์ฟน้ำเปล่ามาในกระป๋องเบียร์หรือกระป๋องน้ำอัดลมเก่าตัดฝาด้านบนออก
โซนฟอรั่ม
1. ข้าวต้มเทวดา+หมูสะเต๊ะ+โรตีดวงดี (กลางคืน)
ที่ตั้ง อยู่ใกล้กับสะพานลอยหน้าห้างฟอรั่ม ฝั่งตรงข้ามเป็น McDonald
เมนูเด็ด ข้าวต้มที่ใส่เครื่องทะเลตามสั่ง (กุ้ง ปลาหมึก ปลา พุงปลา ไข่ปลา หอยนางรม) เกาเหลาทะเลกินกับข้าวเปล่า หน้าร้านมีขายหมูสะเต๊ะด้วย อร่อยมาก ต้องกินให้ได้ น้ำจิ้มหมูสะเต๊ะเหนียวและเข้มข้นดี แต่ให้น้อย กิน ๆ ไปถ้าหมดขอน้ำจิ้มหมูสะเต๊ะเพิ่มได้ ไม่คิดตังค์ มีกระเพาะปลาด้วย แต่ไม่เคยทาน ไม่รู้ว่าอร่อยเหมือนข้าวต้มไหม ข้าง ๆ เป็นร้านโรตีดวงดี แต่พี่ว่ารสชาติงั้น ๆ ตอนนี้ร้านโรตีดวงดีขายอาหารตามสั่งและน้ำปั่นเพิ่มขึ้นมาด้วย

2. ราดหน้าพาต้า (กลางคืน)
ที่ตั้ง ขับเลยข้อ 1. มา 200 เมตร ก่อนถึงวิทยาลัยอาชีวะ จะมี 7-11 อยู่สาขานึง ร้านราดหน้าตั้งอยู่หน้า 7-11 พอดี
เมนูเด็ด ราดหน้าไข่เจียวเส้นใหญ่, เส้นหมี่, หมี่กรอบ ผัดซีอิ๊ว มีแต่หมูนะจ๊ะ ไม่มีทะเล แต่หมูก็อร่อยมาก นุ่มดี ยิ่งมีไข่เจียวแผ่นบาง ๆ โปะบนเส้นหมี่แล้วราดน้ำราดหน้าลงไป โห อร่อยสุด ๆ ร้านข้าง ๆ มีชา กาแฟ นมสด โอวัลติน และขนมปังสังขยาด้วย เขาขายคู่กัน

3. ข้าวต้มเจ๊สุ (กลางคืน)
ที่ตั้ง จากข้อ 2. ขับผ่านหน้าวิทยาลัยอาชีวะ ข้ามสี่แยกไฟแดง ตรงมาเรื่อย ๆ ต่อมาจะเห็นแบงค์ไทยพาณิชย์ขวามือ เสร็จแล้วเป็น โตโยต้าลีสซิ่ง เข้าขวา หาทาง U-turn จะเห็นด้านขวามีป้ายสีฟ้า เขียนว่า "ข้าวต้มเจ๊สุ"
เมนูเด็ด ข้าวต้มทะเลต่าง ๆ เหมือนข้อ 1. แต่สามารถนำเครื่องเหล่านั้นมา adapt เป็นกับข้าวตามสั่งอื่น ๆ ได้อีก เช่น ปลาอินทรีย์ผัดพริกไทยดำ หอยนางรมผัดพริกเผา ทะเลลวกจิ้ม ฯลฯ อื่น ๆ ก็มีกระเพาะปลาไข่ปู ของหวานจะเป็นสลิ่มน้ำกะทินาป่า , ลอดช่องมะพร้าวอ่อน, รังนกแปะก๊วย รวม ๆ แล้วรสชาติกลาง ๆ ไม่ได้อร่อยมากแต่มีดีที่เครื่องเยอะ option แยะ
เส้นเมืองใหม่
1. ข้าวต้มเจ๊กี (กลางคืน)
ที่ตั้ง เส้นสุขุมวิท ขับผ่านหน้าโรงพยาบาลชลฯ มา ถึงสี่แยกไฟแดงโรงเรียนชลชาย เลี้ยวขวาขับเลาะรั้วโรงเรียนมาเรื่อย ๆ จนเจอสามแยกไฟแดง เลี้ยวซ้ายเข้าถนนเส้นเมืองใหม่ ผ่านหน้า 7-11 ไป 300 เมตรจะเห็นร้านข้าวต้มซ้ายมือ ชื่อ "ร้านข้าวต้มเจ๊กี"
เมนูเด็ด ข้าวต้มกุ๊ย-ข้าวสวย กับข้าวตามสั่ง ที่เคยกินแล้วประทับใจจะมี กระดูกหมูตุ๋นเห็ดหอม กุ่ยช่ายขาวผัดเต้าหู้ ไข่ตุ๋น ผัดผักหวานน้ำมันหอย จุดเด่นคือได้กับข้าวแต่ละอย่างเร็วมาก เพราะเขามีกุ๊กหลายคน หน้าร้านมีรถเข็นขายกาแฟ ชา นมสด ขนมปังเย็นด้วย
2. อิ่มแน่ (กลางคืน)
ที่ตั้ง ขับเลยข้าวต้มเจ๊กีมา อีก 1-2 กิโล จะเห็นป้ายร้านและร้านใหญ่ ๆ ชื่อร้าน "อิ่มแน่" ที่จอดรถหลังร้านเพียบ
เมนูเด็ด บุฟเฟต์ 109 บาทไม่รวมเครื่องดื่ม ใน 109 บาทนี้จะได้กินสุกี้ สเต็ก อาหารญี่ปุ่น สลัด ข้าวผัด ของทอด ส้มตำ หมี่หยก ยำ ผลไม้ ของหวาน ไอติม แต่ไอติมจะหมดเร็วมาก แนะนำว่าไปแต่หัวค่ำ แล้วตักไอติมกินก่อนก็ได้ ถ้าไม่อยากจ่ายค่าเครื่องดื่มมากนัก แนะนำว่าให้สั่งน้ำเปล่าแต่พอประมาณ เสร็จแล้วเอาแก้วไปใส่น้ำแข็งตรงมุมของหวาน แล้วตักน้ำเขียว น้ำแดงที่ใช้ใส่ในของหวานราดได้เลย
3. ร้านลุงชิ้น (กลางวัน-กลางคืน)
ที่ตั้ง เข้าได้ 2 ทางหลัก ๆ
A. จากร้านอิ่มแน่ ขับมาเรื่อย ๆ (ไกลอยู่เหมือนกัน) จนสุดสามแยกไฟแดงที่ไปบรรจบกับถนนเส้นอ่างศิลา U-turn ที่แยกนั้นก็จะเห็นร้านลุงชิ้นอยู่ซ้ายมือ หน้าร้านจะแคบ แต่ตัวร้านลึก จอดรถหลังร้านได้หลายสิบคัน ร้านข้าง ๆ ขายส้มโอและเฟอร์นิเจอร์ไม้ ทางเข้าลานจอดรถหลังร้านจะอยู่ระหว่างตัวร้านลุงชิ้นกับร้านส้มโอ
เมนูเด็ด อาหารทะเลทุกอย่าง ที่เคยกินแล้วประทับใจจะมี ส้มตำปูม้า ส้มตำทะเล หอยแมลงภู่นึ่ง (ได้เร็วมาก สั่งปุ๊บได้ปั๊บ เพราะเขานึ่งไว้แล้วในซึงใหญ่ ๆ ถูกด้วย จานละ 25 บาทเอง สด อร่อย) ปลาหมึกย่าง หอยนางรมสดเสิร์ฟมาพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ด แต่ถ้าจะกินหอยนางรมสดกับน้ำพริกเผาก็ขอเพิ่มได้ ส้มโอร้านข้าง ๆ ก็อร่อย มีหลายพันธุ์หลายเกรด แกะขายไว้แล้วก็มี รับมาจากนครปฐม
โซนอ่างศิลา (แหล่งหอยนางรมสด ทุกร้านคุณภาพใกล้เคียงกัน)
1. ร้านท่าเรือซีฟู้ด (กลางวัน-กลางคืน)
ที่ตั้ง จากสุขุมวิท เลี้ยวเข้าเส้นอ่างศิลาจนถึงชายทะเลจะเจอกับโค้งถนนไปทางซ้าย พอเลี้ยวไปจะเจอกับร้านท่าเรือซีฟู้ดอยู่ซ้ายมือเป็นร้านแรก
เมนูเด็ด อาหารทะเลทุกชนิด
2. ร้านเจ๊น้อง (กลางวัน-กลางคืน)
ที่ตั้ง เลยร้านท่าเรือซีฟู้ด ขับเลียบทะเลอ่างศิลา (ขวามือ) มาเรื่อย ๆ ก่อนถึงศาลนาจา จะเห็นร้านขวามือ ชื่อ "ร้านเจ๊น้อง"
เมนูเด็ด อาหารทะเลทุกชนิด ที่กินแล้วประทับใจจะมี กุ้งอบวุ้นเส้น หอยนางรมสด ออส่วน ปลากระพงทอดราดน้ำปลา กุ้งแช่น้ำปลา
3. ร้านเจ๊อ่วย (กลางวัน-กลางคืน)
ที่ตั้ง อยู่ในซอยเข้าไปอีก ปากซอยอยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องร้านเจ๊น้องข้อ. 2 พอเลี้ยวเข้าไปในซอย ให้ไปตามป้าย ก็จะถึงร้านในที่สุด
เมนูเด็ด อาหารทะเลทุกชนิด ปลา
4. ร้านกุ้งสด-ปูเป็น (กลางวัน-กลางคืน)
ที่ตั้ง ขับเลยซอยที่จะเข้าร้านเจ๊อ่วย ข้อ 3. มาเรื่อย ๆ เลียบทะเลอ่างศิลา ผ่านศาลนาจาขวามือ เลี้ยวตรงโค้งจะเห็นป้ายใหญ่ ๆ "กุ้งสด-ปูเป็น" ทางขวามือ
เมนูเด็ด อาหารทะเลทุกชนิด รสชาติกลาง ๆ ไม่ได้อร่อยมาก ไปกินบรรยากาศมากกว่า แนะนำให้ไปตอนกลางวันเพราะจะเห็นทะเลและการประมงในทะเลชัดมาก ใกล้ด้วย ถ้าไปตอนกลางคืนก็จะไม่เห็นอะไร
5. ร้านโพธิ์ทะเล (กลางวัน-กลางคืน)
ที่ตั้ง อยู่ข้าง ๆ ร้านกุ้งสด-ปูเป็นข้อ 4. แต่ต้องเข้าไปลึกหน่อย
เมนูเด็ด อาหารทะเลทุกชนิด ไปกินบรรยากาศอีกเหมือนกัน แต่ร้านนี้ออกแนวแต่ละโต๊ะจะอยู่ในซอกในหลืบ หากันไม่ค่อยเจอ รอบ ๆ ร้านดูคล้ายป่าชายเลน

โซนเขาสามมุข
1. ร้านวังมุข (กลางวัน-กลางคืน)
ที่ตั้ง บนเขาสามมุข ขับตามป้าย
เมนูเด็ด อาหารทะเลทุกชนิด ไม่มีหมูกับไก่ให้กิน มีแต่ทะเลล้วน ๆ ขอแนะนำปูทะเลนึ่ง กิโลละ 500 บาท ตัวใหญ่มาก ใครที่ชอบกินปูจะได้อร่อยกับเนื้อปูเต็ม ๆ , ปลาเก๋าทอดราดน้ำปลา, ปลาเก๋าสามรส ร้านนี้มีกั้งด้วย ราคาประมาณกิโลละ 700 บาท แต่เคยสั่งกั้งทอดกระเทียมของร้านนี้มากินแล้วไม่ค่อยประทับใจ เพราะไม่ค่อยมีเนื้อ มีแต่โครงกั้ง สู้สั่งกุ้งมากินไม่ได้
2. ร้าน Relax (กลางคืน)
ที่ตั้ง จากอ่างศิลาขับรถมาเหมือนจะมาเขาสามมุข แต่ไม่ต้องเลี้ยวขวาขึ้นเขา ให้ขับลงเนินมาอีกนิด จะเจอป้ายบอกทางให้เลี้ยวขวาเพื่อไปร้าน Relax ร้านออกแนวกึ่งผับ มีดนตรีเล่นด้วย บรรยากาศดี ร้านสวย มีทั้งส่วนกลางแจ้งและในร่ม
เมนูเด็ด แกงส้ม สลัดกุ้งกรอบ-เป็นกุ้งทอดแล้วราดด้วยน้ำสลัด แต่จะมีอีกอย่าง เป็นกุ้งทอดเหมือนกันแต่ราดด้วยน้ำมะขาม จำชื่อไม่ได้ ลองดูตรงเมนูแนะนำของร้าน และที่ห้ามพลาดเลยคือหมูย่าง
3. ร้าน The Sea (กลางคืน)
ที่ตั้ง อยู่ข้าง ๆ ร้าน Relax ข้อ 2. บรรยากาศคล้าย ๆ กัน แต่ออกแนวครอบครัวมากกว่า ไม่มีดนตรีเล่น แต่มีห้องคาราโอเกะ
เมนูเด็ด ปลาทอดราดน้ำปลา ความจริงเป็นเมนูพื้นฐานของทุกร้านในชลบุรี แต่แตกต่างจากร้านอื่น ๆ ตรงที่เขาจะไม่เอาปลาทั้งตัวลงไปทอด แต่จะสับเป็นชิ้น ๆ ก่อน เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มมะม่วงสับ ถ้ามากันหลายสิบคนอาจได้อาหารช้า เคยสั่งกุ้งอบวุ้นเส้นมากินพอเปิดฝาหม้อแล้วได้กลิ่นไหม้

โซนแหลมแท่น
1. ร้านปะการัง (กลางวัน-กลางคืน)
ที่ตั้ง แถว ๆ วงเวียนเล็ก แหลมแท่น ร้านโทนสีขาวยื่นออกไปในทะเล ถ้าดูละครไทยหรือมิวสิกวีดีโออาจจะเคยเห็นร้านปะการังเป็น background บ้างประปรายโดยเฉพาะฉากที่พระเอก-นางเอกไปนั่งกินข้าวกันริมทะเล ณ ร้านที่เงียบสงบแห่งหนึ่งในบรรยากาศโรแมนติก

AMAZING PAINTING!!!!!! Wooooooh.......!!!!!!!‏

World First 2-wheel Motorcycle...มอเตอร์ไซต์ล้อคู่ คันแรกของโลก‏



วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

GT-2001‏

กะทิ...แทนนมได้จริงหรือ?‏

ประหยัดดดดดดดดดดด(เกินไปมั๊ย)‏

ไปลอกเค้ามานะ....วิธีประหยัดค่าโทร + อยากจีบกันแบบไม่ให้นายรู้..

วิธีสื่อสารสำหรับคู่รัก เพิ่งเลิฟ เลิฟ....ก็ลองใช้แบบนี้...

1. Save เลข หมายโทรศัพท์ ของแฟน ในมือถือเครื่องของคุณโดย SaveName ว่า 'คิดถึงเหมือนกัน' แทน ชื่อแฟนของคุณ

2. Save เลข หมายโทรศัพท์ ของคุณ ในมือถือของแฟนโดย SaveName ว่า 'คิดถึงนะ' แทนชื่อของคุณ

3. เมื่อ ถึงเวลาที่จะต้องโทรหากัน คุณก็โทรหาแฟนสัก 1 - 2 ตู๊ด แล้ววางสาย ที่เครื่องของแฟนก็จะ Show Miss Call เมื่อListดูก็จะพบข้อความว่า 'คิดถึงนะ'

4. เช่น เดียวกัน เมื่อแฟนต้องการจะตอบว่า คิดถึงเหมือนกันก็! ! ให้โทรหาคุณ แล้ววางสาย Show Miss Call เมื่อ List ดู คุณก็จะพบข้อความว่า 'คิดถึงเหมือนกัน '

เท่านี้คุณสามารถก็ประหยัดค่าโทรไปได้อย่างน้อยก็วันละ 6 บาท เก็บเงินไว้ซื้อหนมให้แฟนกินได้

ถ้าแต่งแล้วต้อง ตามนี้เลย

1. Save เลขหมายโทรศัพท์ ของเมีย ในมือถือเครื่องของคุณโดย SaveName ว่า 'มึง อยู่ไหน ทำไมยังไม่กลับบ้าน' แทนชื่อเมีย

2. Save เลขหมายโทรศัพท์ ของคุณ ในมือถือของเมียโดย SaveName ว่า 'กูติดประชุม(โว้ย)' แทนชื่อของคุณ

3. เมื่อถึงเวลาเมียตามกลับบ้าน จะต้องโ! ทรหาคุณ คุณไม่ได้รับเพราะ....ก็จะ Show Miss Call เมื่อListดูก็จะพบข้อค วามว่า 'มึงอยู่ไหน ทำไมยังไม่กลับบ้าน'

4. เช่นเดียวกัน คุณก็โทรหาเมียคุณ ๑ ตู๊ด แล้ววางสาย เมียคุณก็จะเห็น Miss Call เมื่อList ดู คุณก็จะพบข้อความว่า 'กูติดประชุม(โว้ย)'

เท่านี้คุณสามารถก็ประหยัดค่าโทรไปได้อย่าง น้อยก็วันละ 6 บาท แต่อาจต้องนอนนอกบ้าน

ใครมีประสบการณ์ดีกว่ากว่านี้ก็เชิญแจมเรยนะคร้า....อิ อิ..

วิธีไช้หนี้พ่อแม่‏

วิธีใช้หนี้พ่อแม่ : ฉบับหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน

1.จงสร้างความดีให้กับตัวเอง

และนี่ก็เป็นการใช้หนี้ตัวเอง ตัวเราพ่อให้หัวใจ แม่ให้น้ำเลือดน้ำเหลืองอยู่ในตัวแล้ว จะไปแสวงหาพ่อที่ไหน จะไปแสวงหาแม่ที่ไหน บางคนรังเกียจแม่ ว่าแก่เฒ่าไม่สวยไม่งาม พอตัวเองแก่ก็เลยถูกลูกหลานรังเกียจ จึงเป็นกงกรรมกงเกวียนยืดเยื้อกันต่อไปอีก



2. ใครที่คุณแม่ล่วงลับไปแล้ว

ก็ให้หมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ท่าน และถ้าจะทำบุญด้วยการเจริญกรรมฐาน แล้วอุทิศส่วนกุศลไป การทำเช่นนี้ถือว่าได้บุญมากที่สุด ทั้งฝ่ายผู้ให้และผู้รับ

3. ผู้ใดก็ตาม

ที่คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ให้กลับไปหาแม่ ไปกราบเท้าขอพรจากท่าน จะได้มั่งมีศรีสุข ส่วนคนที่เคยทำไม่ดีไว้กับท่าน ก็นำเทียนแพไปกราบขออโหสิกรรม ล้างเท้าให้ท่านด้วย เป็นการขอขมาลาโทษฯ

4. ขอฝากท่านไว้ไปสอนลูกหลาน

อย่าคิดไม่ดีกับพ่อแม่เลย ไม่ต้องถึงกับฆ่าหรอก แค่คิดว่าพ่อแม่เราไม่ดี จะทำมาหากินไม่ขึ้น เจ๊ง ท่านต้องแก้ปัญหาก่อนคือ ถอนคำพูด ไปขอสมาลาโทษเสีย แล้วมาเจริญกรรมฐาน รับรองสำเร็จแน่ มรรคผลเกิดแน่ ฯ

5. บางคนลืมพ่อลืมแม่

อย่าลืมนะการเถียงพ่อเถียงแม่ไม่ดี ขอบิณฑบาต สอนลูกหลานอย่าเถียงพ่อเถียงแม่ อย่าคิดไม่ดีกับพ่อกับแม่ ไม่อย่างนั้นจะก้าวหน้าได้อย่างไร ก้าวถอยหลังดำน้ำไม่โผล่ ฯ ท่านยกตัวอย่าง (เรื่องจริงนะจ๊ะ)

ตัวอย่าง ที่ 1
บ้านหนึ่งพ่อมีเมีย ๔ คน เมียหลวงบอกลูกว่าพ่อเจ้าไม่ดี ลูกก็ไปด่าพ่อว่าพ่อ

แล้วมาบวชวัดนี้ บวชแล้วเดี๋ยวเป็นโน่นเป็นนี่ จนจะกลายเป็นโรคประสาท

นี่แหละบวชก็ไม่ได้ผล หลวงพ่อก็ให้ไปถอนคำพูด และขอสมาลาโทษกับพ่อเขาก่อน แล้วกลับมานั่งกรรมฐานจึงได้ผล

(กรณีนี้ หลวงพ่อจะเตือนผู้เป็นลูกบ่อยๆไม่ให้ว่าพ่อ) แต่ให้เป็นเรื่องของแม่ที่จะแก้ปัญหานี้ ซึ่งหลวงพ่อสอนไว้แล้ว

ตัวอย่าง ที่ 2
เมื่อเร็วๆนี้ลูกฆ่าพ่อ แม่สงสารพามาเจริญกรรมฐานพอเข้าวัดมันร้อนไปหมด ปวดหัวเข้าไม่ได้นี่เวรกรรมตามสนอง ปิตุฆาต มาตุฆาต ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน ทำกรรมฐานไม่ได้แน่นอน ต้องหันรถกลับ นี่เรื่องจริงในวัดนี้ ฯ

6. คนที่มีบุญวาสนา จะกตัญญูกับพ่อแม่ คนเถียงพ่อเถียงแม่เอาดีไม่ได้

คนไม่พูดกับพ่อแม่ นั่งกรรมฐานร้อยปี ก็ไม่ได้อะไร? ถ้าไม่ขออโหสิกรรม ฯขออโหสิกรรม ที่คิดไม่ดีกับพ่อแม่ คิดไม่ดีกับครูบาอาจารย์ คิดไม่ดีกับพี่ๆน้องๆ

จะไม่เอาอีกแล้ว เอาน้ำไปขันหนึ่ง เอาดอกมะลิโรย กายกัมมัง วจีกัมมัง มโนกัมมัง โยโทโส

อันว่าโทษทัณฑ์ใด ความผิดอันใด ที่ข้าพเจ้าพลั้งเผลอสติไป ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ขอให้คุณพ่อคุณแม่ คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย

คุณพี่คุณน้อง อโหสิกรรมให้ด้วย แล้วเอาน้ำรดมือรดเท้า ฯ

นี่แหละ ท่านทั้งหลายเอ๋ย เป็นหนี้บุญคุณพ่อแม่มากมาย ยังจะไปทวงนาทวงไร่ ทวงตึก มาเป็นของเราอีกหรือ ตัวเองก็พึ่งตัวเองไม่ได้ สอนตัวเองไม่ได้ เป็นคนอัปรีย์จัญไรในโลกมนุษย์ไปทวงหนี้พ่อแม่ พ่อแม่ให้แล้ว (ให้ชีวิต ให้…ให้… ให้….ฯลฯ ) เรียนสำเร็จแล้ว ยังช่วยตัวเองไม่ได้ มีหนี้ติดค้าง รับรองทำมาหากินไม่ขึ้น ฯ

หนี้บุญคุณอันยิ่งใหญ่ เหลือจะนับประมาณ นั่นคือหนี้บุญคุณของบิดา มารดา

ตัวอย่าง ที่ 3
"หนามแหลมใครเสี้ยม มะนาวกลมเกลี้ยงใครไปกลึง"

เด็กประถม ๔ พ่อเมาเหล้า เมากัญชาเล่นการพนัน แม่เล่นหวย ปัจจุบันเป็นดอกเตอร์อยู่อเมริกา หลวงพ่อสอนครั้งเดียวจำได้

บอกวันเกิด หนูซื้อขนม ๒ ห่อ เรียกพ่อแม่มานั่งคู่กัน แล้วกราบนะลูกนะ

แล้วก็บอกพ่อแม่ว่า ความผิดอันใดที่ลูกพลั้งเผลอ ด้วยกาย วาจา ใจ ที่คิดไม่ดีต่อคุณพ่อคุณแม่

ขอให้คุณพ่อคุณแม่อโหสิกรรมให้ แล้วล้างเท้าให้พ่อแม่ ลูกไม่มีสตางค์ ลูกซื้อขนมมา ๒ ห่อ

ให้แม่ก่อน ๑ ห่อ เพราะอุ้มท้องมา แล้วจึงให้พ่ออีก ๑ ห่อ ลูกขอปฏิญาณตนว่า ลูกขอเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ แล้วจะเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ลูกจะไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง...

พ่อฟังแล้วน้ำตาร่วงสร่างเมา ส่วนแม่ก็ร้องไห้เลย พ่อแม่ก็ให้สัญญากับลูกเลิกอบายมุขทั้งหมด

7. ลูกหลานโปรดจำไว้

เมื่อแยกครอบครัวไปมีสามีภรรยาแล้ว อย่าลืมไปหาพ่อแม่ ถึงวันว่างเมื่อไรต้องไปหาพ่อแม่

ถึงวันเกิดของลูกหลาน อย่าลืมเอาของไปให้พ่อแม่รับประทาน อย่ากินเหล้า เข้าโฮเต็ล

8. ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้เป็นมงคลนาม

ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน เพราะชื่อเป็นเพียงนามสมมุติแทนตัวเรา อย่างหลวงพ่อชื่อจรัญ ปู่ตั้งให้ หมอดูบอกเป็นกาลกิณี แต่ทำไมเจริญรุ่งเรือง ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้าทำดีได้ดี

9. ของดี ของ ปู่ ย่า ตา ยาย อย่าไปทำลายเลย

ของพ่อแม่อย่าไปทำลายนะ หนีได้แน่นอน โยมมีกรรมฐาน มีทรัพย์ มีชื่อเสียง ความรัก บูชาทรัพย์ บูชาชื่อเสียง ความรักของพ่อแม่ได้ เงินจะไหลนองทองจะไหลมา.........

พ่อแม่ให้อะไรเอาไว้ก่อน อย่าไปทำลายเสีย ถึงจะเป็นถ้วยพ่อแม่ให้มา ก็ไว้เป็นที่ระลึกก็ยังดีอย่าเอาไปทิ้งขว้าง ฯ
10. ถ้าต้องการเจริญก้าวหน้าขอฝากไว้ด้วย

คนเรามี ๒ ก้าว จะก้าวขึ้นหรือก้าวลงดำน้ำไม่โผล่ ก้าวลงมันง่ายดี ก้าวขึ้นมันต้องยาก ของชั่วมันง่าย หลั่งไหลไปตามที่ต่ำ

นี่บอกสอนลูกหลาน ต้องการจะบรรจุงานไม่ต้องไปวิ่งเต้น ดูลูกเสียก่อน กุศลเพียงพอหรือเปล่า ต้องเพิ่มกุศล

ตัวอย่างเรียนจบครู สวดมนตร์เข้าเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นครู ทำงานธนาคารก็ได้ บริษัทก็ได้เดี๋ยวมีคนรับ บางรายทั้งสอบทั้งสมัครหลายแห่งไม่เคยเรียกเลย อาตมาให้นั่งกรรมฐาน พอ ๗ วันผ่านไปพวกมาตามให้เข้าไปทำงานแล้ว

Dog in Japan. เนียนมากเลย‏

วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

๕ บ.ของ CEO ที่ทำลายทุกอย่าง‏

Subject: ๕ บ.ของ CEO ที่ทำลายทุกอย่าง


ผมได้เข้าฟังการบรรยายของอาจารย์ ดร.วรภัทร ภู่เจริญ ในหัวข้อ Productivity วีถีพุทธ จัดโดยสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ ท่านได้เอ่ยถึง CEO ที่ งกๆเค็มไว้หลายเรื่องแต่เรื่องที่ผมติดใจที่สุดก็คือ


๕ บ.ของ CEO ที่ทำลายทุกอย่าง ดีมากครับลองดูกัน
๑.เบิ้ล -เป็นภาษาวัยรุ่นสมัยอาจารย์คือ ลงโทษ (ตบหัว โดยไม่ลูบหลัง)ไม่มีน้ำใจ ดุลูกน้องอย่างเสียๆหายๆ
๒.ใบ้ -ไม่ตัดสินใจ ไม่มีความเห็น ไม่มีความรู้ ช่วยลูกน้องไม่ได้
๓.โบ้ย -เมื่อลูกน้องทำผิดก็ไม่ร่วมรับผิดชอบ ป้ายความผิด โยนความผิด
๔.บี้ -เน้นตัวชี้วัดอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง สร้างความเครียดแก่องค์กร สร้างความแตกแยกให้กับครอบครัวพนักงาน

๕.บล้อค -ปิดกั้นความคิดเห็นใหม่ๆ วิธีการทำงานใหม่ๆจากลูกน้อง

ถ้าเราเป็น CEO ๕ บ.
ลูกน้องจะไม่มีความสุข ไม่รักองค์กร ไม่มีการเพิ่มประสิทธฺภาพงาน ไม่มีนวัตกรรม ไม่มีการบริการลูกค้าที่ดี สุดท้ายท่าน CEO ก็ทำลายตัวเอง ทำลายองค์กรตนเอง
การเป็น ๕บ. สุดท้ายทั้ง ท่าน CEO และลูกน้อง ก็จะมี บ.ที่ ๖ ด้วยกันคือ บ้า
ลองนำไปปรับใช้ครับ

ถ้าอยู่ office นี้ กุ ตายยย......‏


VANCOUVER....Beautiful Music Video ~ ~ ~‏

sexy‏ ขำขำ

อย่าขับเลนขวา‏

Clip วู้ดดี้‏

" คนแรกที่รักคุณ"‏

เรื่อง:"คนแรกที่รักคุณ"

เเด่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ชื่อว่าแม่
เมื่อคุณเกิดมาในโลกนี้ แม่อุ้มคุณไว้ในอ้อมอก คุณขอบคุณแม่ด้วยการเปล่งเสียงร้องไห้
เมื่อคุณอายุ 1 ขวบ แม่ป้อนข้าวและอาบน้ำให้คุณ คุณขอบคุณแม่โดยการร้องไห้งอแง
เมื่อคุณอายุ 2 ขวบ แม่สอนให้คุณหัดเดิน คุณขอบคุณแม่ด้วยการวิ่งหนีทุกครั้งที่แม่เรียกหา
เมื่อคุณอายุ 3 ขวบ แม่ทำอาหารทุกอย่างให้คุณด้วยความรัก คุณขอบคุณแม่ด้วยการโยนจานลงบนพื้น
เมื่อคุณอายุ 4 ขวบ แม่ให้ดินสอสีแก่คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการระบายสีเลอะเต็มบ้าน
เมื่อคุณอายุ 5 ขวบ แม่แต่งชุดสวยๆ(หรือหล่อๆ)ให้คุณไปเที่ยว คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำชุดเลอะโคลน
เมื่อคุณอายุ 6 ขวบ แม่ไปส่งคุณที่รร. คุณขอบคุณแม่ด้วยการร้องไห้ตะโกนว่า ' ไม่ไป... ไม่ไป... ไม่ไป... ''
เมื่อคุณอายุ 7 ขวบ แม่ซื้อไอศกรีมให้คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำมันหกเลอะเทอะไปทั่ว
เมื่อคุณอายุ 8 ขวบ แม่ซื้อลูกบอลให้คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำกระจกเพื่อนบ้านแตก
เมื่อคุณอายุ 9 ขวบ แม่สอนให้คุณเล่นเปียโน คุณขอบคุณแม่ด้วยการไม่เคยแม้แต่จะซ้อม
เมื่อคุณอายุ 10 ขวบ แม่พาคุณไปเรียนพิเศษและพาไปงานวันเกิดเพื่อน คุณขอบคุณแม่ด้วยการกระโดดลงจากรถโดยไม่คิดที่จะหันกลับมามอง
เมื่อคุณอายุ 11 ขวบ แม่พาคุณกับเพื่อนไปดูหนัง คุณขอบคุณแม่ด้วยการขอที่นั่งคนละแถว(หรือขอให้แม่ไม่ต้องดู)
เมื่อคุณอายุ 12 ขวบ แม่เตือนคุณว่าอย่าดูทีวี คุณขอบคุณแม่ด้วยการรอให้แม่ไปข้างนอกแล้วดูต่อ
เมื่อคุณอายุ 13 ปี แม่บอกให้คุณตัดผม คุณขอบคุณแม่ด้วยการด่าแม่ว่า ' แม่นี่...ไม่มีรสนิยมเลย ไม่ต้องกะหนู(ผม)หรอก '
เมื่อคุณอายุ 14 ปี แม่จ่ายเงินซัมเมอร์แคมป์ที่แพงแสนแพงเพื่อให้คุณได้เรียนสิ่งที่ดีๆ คุณขอบคุณแม่ด้วยการไม่เขียนจดหมายหาแม่ซักกะฉบับ
เมื่อคุณอายุ 15 ปี แม่กลับบ้านหลักงานเลิกอยากกอดคุณสักกอด คุณขอบคุณแม่ด้วยการขังตัวเองอยู่ในห้อง
เมื่อคุณอายุ 16 ปี แม่สอนคุณขับรถ คุณขอบคุณแม่ด้วยการขับรถหนีแม่ไป??ที่ยว
เมื่อคุณอายุ 17 ปี แม่จ่ายค่าเรียนกวดวิชา คุณขอบคุณแม่ด้วยการให้แม่ส่งข้างนอกเพื่อจะได้ไม่อายเพื่อน
เมื่อคุณอายุ 18 ปี แม่ร้องไห้ในวันที่คุณจบชั้นมัธยม คุณขอบคุณแม่ด้วยการฉลองยันเช้า
เมื่อคุณอายุ 19 ปี แม่รอโทรศัพท์สายสำคัญ คุณขอบคุณแม่ ด้วยการใช้สายตลอดคืนนั้น
เมื่อคุณอายุ 20 ปี แม่ถามว่าคุณมีแฟนรึยัง คุณขอบคุณแม่ด้วยการตอบว่า ' แม่อย่ามายุ่งกะหนู(ผม)เลย '
เมื่อคุณอายุ 21 ปี แม่แนะนำอาชีพของแม่ให้คุณทำในอนาคตของคุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า ' หนู(ผม)ไม่อยากเป็นอย่างแม่ '
เมื่อคุณอายุ 22 ปี แม่อยากกอดคุณในวันรับปริญญา คุณขอบคุณแม่ด้วยการกอดกับเพศตรงข้ามกับคุณ
เมื่อคุณอายุ 23 ปี แม่ซื้ออพาร์ตเม้นท์และเฟอร์นิเจอร์ให้แก่คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการว่ากับเพื่อนๆลับหลังว่า ' มันช่างเชยและน่าเกลียดเสียนี่กระไร '
เมื่อคุณอายุ 24 ปี แม่บอกให้คุณพาแฟนของคุณมาหาแม่ เมื่อคุณพามา แม่ถามพวกคุณว่าอนาคตวางแผนไว้ว่าอย่างไร คุณขอบคุณแม่ด้วยการจ้องเขม็งและพูดว่า ' แม่จะมายุ่งอะไรกะหนูอีกเนี่ย '
เมื่อคุณอายุ 25 ปี ( สำหรับผู้ชาย)แม่ช่วยออกค่าสินสอดให้กับคุณ และบอกกับคุณว่าแม่รักคุณมากขนาดไหน คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า ' อายคนอื่นเขาน่า แม่ '
( สำหรับผู้หญิง)แม่ช่วยออกค่าใช้จ่ายในงานแต่งงานให้คุณ และบอกว่าแม่รักคุณมากขนาดไหน คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า ' หนูอยากไปอยู่ต่างประเทศเพื่อจะได้สวีทกับแฟนโดนไม่มีแม่ '
เมื่อคุณอายุ 30 ปี แม่โทรมาหาและแนะนำวิธีเลี้ยงเด็ก คุณขอบคุณแม่โดยการบอกว่า ' สมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้วล่ะค่ะแม่ '
เมื่อคุณอายุ 40 ปี แม่โทรมาชวนคุณไปงานวันเกิดญาติ คุณขอบคุณแม่และญาติว่า ' ตอนนี้ไม่ว่างเลย '
เมื่อคุณอายุ 50 ปี แม่ชราและไม่สบาย อยากให้คุณดูแล คุณขอบคุณแม่ด้วยการบอกว่า ' มันเป็นภาระนะแม่ หนูมีงานอีกเยอะแยะ '
และแล้ววันหนึ่ง แม่จากคุณไปอย่างสงบ และทุกอย่างที่คุณไม่เคยทำมาก่อน จะเหมือนฟ้าผ่าในใจคุณ
โปรดใช้เวลาสักนิด แสดงออกถึงความลึกซึ้งแด่ ' แม่ '
ไม่มีอะไรมาแทนแม่ได้ แม้ว่าบางคราวแม่จะไม่ใช่คนที่เข้าใจคุณมากที่สุด หรือเห็นด้วยกับคุณ แต่ก็คือ ' แม่ ' ของคุณ และเชื่อได้ว่าจะทำทุกอย่างเพื่อคุณ รับฟังคุณ ความกังวลของคุณ
ลองถามตัวเองดู คุณมีเวลาที่จะฟังความเศร้า ความกังวลใจไม่ว่าจากการงาน จากงานบ้าน หรือจากงานในครัวของแม่ไหม คุณเคยนึกถึงความทุกข์ของแม่ที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อคุณและทุกคนไหม
รักแม่ให้มาก แม้ว่าจะคิดเห็นแตกต่างการ เพราะเมื่อแม่จากไป จะเหลือเพียงความเสียใจและความทรงจำเท่านั้น

อย่าเพิกเฉยกับคนที่ใกล้หัวใจคุณที่สุด รัก ' แม่ ' ให้มากกว่ารักตัวเอง แสดงให้แม่รู้ว่าคุณก็ ' รัก ' ก่อนที่จะทำได้เพียงบอกรักกับ ' รูป ' ของแม่เท่านั้น

วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ดูแลต้นคอคุณดีหรือยัง‏

ดูแลต้นคอคุณดีหรือยัง
เส้นลมปราณหลักทั่วร่างกายมี 12 เส้น ในนั้นที่เดินผ่านกระดูกต้นคอมีถึง 6 เส้น คือ เส้นตูม่าย เส้นกระเพาะปัสสาวะ เส้นซานเจียว เส้นลำไส้เล็ก เส้นลำไส้ใหญ่และเส้นถุงน้ำดี ซึ่งล้วนเป็นเส้นหยางทั้งนั้น

เส้นหยางเป็นเส้นที่ให้ความอุ่น เส้นลมปราณจึงจะเดินคล่อง เลือดลมไหลเวียนดี กล้ามเนื้อที่อยู่รอบต้นคอมีทั้งชิ้นเล็กชิ้นน้อย จากลึกมาหาตื้น จากชิ้นเล็กมาจนถึงชิ้นใหญ่ ทับซ้อนกันหลายชั้น เมื่ออยู่ในภาวะหนาวเย็นเป็นประจำ เส้นลมปราณ เส้นเลือด กล้ามเนื้อ ก็จะหดเกร็ง ยิ่งบวกกับการทำงานในท่าเดียวนานเกินไป กล้ามเนื้อจึงตึงเกร็งแข็งเป็นก้อน

เมื่อเส้นหยางเดินผ่านมาก ความอบอุ่นของบริเวณต้นคอ การไหลเวียนจึงเป็นไปอย่างคล่อง ไม่ติดขัดเช่นนี้ พอต้นคออยู่ท่ามกลางความหนาวเย็นตลอด ส่งผลให้กล้ามเนื้อต้นคอหดเกร็ง เลือดหนืด ไหลเวียนช้า ติดขัด ดังนั้นการป้องกันโรคนี้ ก็ต้องหลีกเลี่ยงจากความหนาวเย็น การไหลเวียนที่สะดวกของชี่เลือด การไหลเวียนที่คล่องไม่ติดขัดของเส้นลมปราณต้องอาศัยอุณหภูมิที่พอดีกับร่างกาย
โรคเกี่ยวกับต้นคอที่เกิดขึ้นมากมายในทุกวันนี้ แยกมาออกจากการที่อยู่ในห้องแอร์เย็นๆ กินดื่มอาหารที่แช่เย็น หรือมีฤทธิ์เย็นๆ เป็นประจำ รวมถึงการใช้ท่านั่งนอนที่ผิด การสะสมความเหนื่อยล้า รวมถึงความเครียดด้วย
เส้นลมปราณหยางเส้นหนึ่งยังเดินตั้งแต่ศีรษะผ่านต้นคอ แผ่นหลัง ไปจนถึงเอ็นร้อยหวายด้านนอกจนถึงเท้า ดังนั้น ความเย็นสามารถเข้าจากทางเท้า ส่งผลมาทำให้กล้ามเนื้อที่ไหล่ คอ และหลังหดเกร็งจนเกิดอาการเจ็บปวดขึ้นได้เช่นกัน
เมื่อรู้ความเป็นมาของโรคเช่นนี้ สิ่งแรกที่ควรทำก็คือ เริ่มดูแลป้องกันด้วยตัวเราเองก็คือ ใส่เสื้อให้อุ่นในขณะที่ทำงานหรือนอนในห้องแอร์ เพราะห้องแอร์ได้กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการใช้ชีวิตของผู้คนในภาวะโลกร้อนไปเสียแล้ว
สองก็คือ กินขิง หอมใหญ่ พริก พริกไทย ข่า ตะไคร้ เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย หรือเอาพริกไทยสัก 1 ขีด ตำให้ละเอียด ห่อผ้า แช่ในเหล้า 48 ดีกรี สักพัก แล้วเอามาถูกล้ามเนื้อต้นคอในบริเวณที่เจ็บ เพื่อให้มีความร้อน กล้ามเนื้อเมื่อได้ความอบอุ่นก็จะคลายตัวลง แต่ต้องระวังจะลวกไหม้ผิวหนัง ต้องค่อยๆ ลองทำก่อน
นอกจากนั่งในแอร์เย็นเป็นประจำแล้ว ยังอยู่หน้าจอคอมฯ เป็นเวลานานๆ ด้วย ทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็งอยู่ในท่าเดียว อาการปวดคอก็ยิ่งเพิ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้น การดูแลป้องกันโรคกระดูกต้นคอก็ต้องมีการบริหารเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อต้นคอ และเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นรอบๆ ต้นคอด้วย
พอทำงานหน้าจอคอมไปได้ประมาณ 1 ชม. ก็ลุกขึ้นมาเปลี่ยนอิริยาบถ หรือนั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วเอามือทั้งสองไพล่หลังไปจับกัน ดึงรั้งแขนไปข้างหลังให้ตึง แหงนหน้าขึ้น ยืดตัวให้ตรง พร้อมกับหายใจเข้าลึกๆ แล้วผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ทำซ้ำกันหลายครั้งตามแต่จะทนได้
ง่ายที่สุดก็คือ แกว่งแขน จาก 100 ครั้ง เพิ่มมากขึ้นเรื่อยจนเป็นพันครั้ง ถ้าทำได้ทุกวันจะทำให้กล้ามเนื้อบ่าไหล่ผ่อนคลายลงได้
บริหารต้นคอด้วยการฝึกโยคะ จะสามารถช่วยยืดเส้นสายให้ผ่อนคลาย ซึ่งบางครั้งการฝังเข็ม หรือการนวดไปไม่ถึง หรือที่เรียกกันสะบักจม
จุดสะบักที่ว่านี้ในกระเพาะปัสสาวะที่เดินเลาะเลียบริมสะบัก ห่างกระดูกสันหลังส่วนหน้าอกข้อที่ 4 ออกไป 3 นิ้ว จุดนี้จะเปิดให้ทะลุทะลวงยากมาก แต่ถ้าใครทำให้เปิดทะลวงได้ ร่างกายก็จะสบาย โบราณจีนเขาสอนให้เปิดทะลวงจุดนี้ด้วยท่าง่ายนิดเดียว คือ ยกไหล่ขึ้น แล้วห่อไหล่ไปด้านหน้า ท่านี้เรียกว่าเปิดจุดสะบัก จากนั้นดันไปข้างหลังอย่างแรงและเร็ว พร้อมกันนั้นนิ้วกลางทั้งสองนิ้วต้องไม่ให้หลุดจากเส้นกลางเข็มขัด จุดสะบักจะเปิดทะลวงค่อนข้างยาก จึงต้องฝึกเป็นประจำและเป็นเวลานาน
หรือจะใช้จุฬาลัมพา รมที่จุดนี้ก็ได้ โดยนั่งอุ้มพนักเก้าอี้เพื่อเผยให้เห็นจุดสะบักให้ชัด แล้วรมที่นั่น พอรมแล้วจะเจ็บมากแทบทนไม่ไหว แต่เมื่อรมไปได้สักพัก จะรู้สึกเหมือนมีน้ำร้อนราดลงล่าง จากนั้นจะรู้สึกโปร่ง โล่งสบาย แต่ของไทยเรา การฝึกโยคะก็ช่วยเปิดทะลวงจุดสะบักได้ดีทีเดียว
คนโบราณจีนยังสอนให้บริหารคอแบบเต่า ลองไปสังเกตดูว่าเต่าเคลื่อนไหวคออย่างไร ก็ทำตามอย่างเวลาที่เต่าเดินนั่นแหละ หัวเต่าจะผงกยืดหดๆ อยู่ตลอด ถ้าอยากรู้จริงก็ต้องไปซื้อเต่ามาดูเวลามันเดินก็ได้
เมื่อเส้นลมปราณที่เดินผ่านต้นคอมีมากมายเช่นนี้ การทำให้เส้นลมปราณเดินคล่องไม่ติดขัด จึงมีความสำคัญยิ่งในการป้องกันและรักษาโรคกระดูกต้นคอ การฝังเข็มเป็นการขจัดความติดขัดให้เดินได้สะดวกแก่เส้นลมปราณ
แต่ความสมดุลในโครงสร้างของต้นคอ ไม่เพียงมีแต่กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นเท่านั้น ยังมีข้อกระดูกสันหลัง ที่พร้อมจะเคลื่อนขยับมากดทับประสาทได้ทุกเมื่อถ้าคุณนั่งด้วยท่าที่ไม่เหมาะสม หรือเกิดการหกล้ม เกิดอุบัติเหตุ การยกของหนัก หรือการเล่นกีฬาที่ต้องเอี้ยวคอ หลังและเอว
ดังนั้น หลังการฝังเข็มเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อแล้ว ยังควรทำการทุยหนา เพื่อจัดเรียงกระดูกให้เข้าที่
การที่เราเกิดโรคขึ้น ไม่เพียงชี่เลือดและเส้นลมปราณเกิดความไม่ปกติเท่านั้น อวัยวะภายในที่กำกับดูแลอวัยวะเหล่านั้นก็มีความผิดปกติด้วย เช่น ตับกำกับดูแลเส้นเอ็น ถ้าตับอ่อนแอ ทำหน้าที่ได้ไม่ดี เส้นเอ็นก็ขาดความแข็งแรง ทำให้การร้อยรัดข้อต่างๆ แข็งแรงลดลง ทำให้เกิดอาการปวดบวมที่ข้อต่างๆ ขึ้นได้
ส่วนไตกำกับดูแลกระดูก ถ้าไตอ่อนแอ กระดูกก็จะไม่แข็งแกร่งด้วย ดังนั้นการจะทำให้ยาจีนเพื่อเสริมความแข็งแรงให้แก่ตับและไต เป็นการช่วยกันอีกแรงหนึ่งในการรักษาโรคนี้
การนั่งอยู่หน้าจอคอมฯ ทั้งวัน นอกจากจะปวดต้นคอแล้ว ยังปวดเมื่อย ไหล่ หลัง และเอวด้วย ถ้ากินยาจีน นวด ฝังเข็ม หรือใช้วิธีต่างๆ นานาแล้วไม่ได้ผล ลองวิธีง่ายๆที่ได้ผลรวดเร็วดู ที่แขนด้านหลังมีเส้นลมปราณไท่หยางมือลำไส้เล็กเดินพาดผ่านจากปลายนิ้วจนมาถึงต้นคอ จุด 'โฮ่วซี' เป็นจุดที่มือด้านนิ้วก้อยตรงนิ้วก้อยกับฝ่ามือเชื่อมกันพอดี นับจากปลายนิ้วก้อยมาเป็นจุดที่ 3 ใช้นิ้วโป้งซ้ายกดนวดจุดนี้ที่มือขวา 3 นาที แล้วเปลี่ยนมาใช้นิ้วโป้งมือขวากดจุดนี้ที่มือซ้าย 3 นาทีเช่นกัน จะช่วยให้ลมปราณและเลือดไหลเวียนดี
เพราะ 'จุดโฮ่วซี' เป็นจุดที่เชื่อมโยงไปถึงเส้นตูม่ายที่สันหลังได้ จึงเป็นจุดที่ช่วยรักษาการปวดเมื่อยสันหลังได้ดีที่สุด ลองทำเป็นประจำดู อาจไม่ต้องพึ่งการนวดหรือการฝังเข็มก็เป็นได้

The Mom Song‏

กล้ามเนื้อหนีบเส้นประสาท โรคร้าย! รักษาผิด-เจ็บตัวฟรี

คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ชีวิตมนุษย์เงินเดือนนั่งทำงานในออฟฟิศ หรือแม้การนั่งขับรถอยู่บนท้องถนนเป็นเวลานานๆ ทำให้เหนื่อยล้าเกินกว่าจะออกกำลังกายเป็นประจำได้ เมื่อเวลาผ่านไปมักมีอาการปวดตามบ่า ไหล่ สะโพก ปวดร้าวถึงปลามือ ปลายขา บางรายชาที่ปลายมือปลายเท้าด้วย ทุกข์ทรมานแสนสาหัส อาการเหล่านี้ทางการแพทย์เรียกว่า "โรคกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท"
โรคกล้ามเนื้อหนีบเส้นประสาทจะมีอาการปวดร้าวและชา ไปตามแขนหรือขา อาการคล้ายกับโรคหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดกระดูกสันหลังยังแยกสองโรคออกได้ไม่ 100% ถ้าซักประวัติละเอียดจะพบว่า ผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องกล้ามเนื้อนี้จะมีอาการปวดบริเวณสะโพกนำมาก่อน และค่อยๆ ลามลงขาไปจนถึงปลายเท้า หรือปวดบริเวณคอหัวไหล่ แล้วค่อยๆ ลามไปถึงปลายแขน อาการรุนแรงกว่าโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทเสียอีก
"บางรายจะปวดมากจนนอนไม่หลับ เวลาเปลี่ยนอิริยาบถเริ่มเดินแรกๆ มักจะปวดสะโพกลงขา แต่พบเดินๆ ไประยะทางหนึ่งจะค่อยๆ หายปวดขา ถ้าเป็นที่กล้ามเนื้อต้นคอ เวลาขยับกล้ามเนื้อคอจะมีอาการปวดเสียวอย่างแรงเหมือนไฟฟ้าช็อตที่แขน อาการนี้คล้ายกับโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทมาก" นาวาอากาศเอก นพ.ทายาท บูรณกาล ผู้อำนวยการศูนย์รวมการรักษากระดูกสันหลัง โรงพยาบาลกรุงเทพ (Bangkok Hospital Comprehensive Spine Center) ให้ความชัดเจนในเรื่องนี้
โรคกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท อาการคล้าย "โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท" ต้องวินิจฉัยแยกโรคอื่นๆ ออกไป โดยการทำเอ็มอาร์ไอที่กระดูกสันหลังดูด้วยว่ามีโรคทางกระดูกสันหลังหรือไม่ พบบ่อยว่าทั้งสองโรคสามารถเกิดร่วมกันได้เสมอ และต้องระวังอย่านำผู้ป่วยที่ปวดอย่างรุนแรงไปผ่าตัดเร็วเกินไป เพราะการผ่าตัดกระดูกสันหลังไม่ได้ทำให้กล้ามเนื้อเหล่านี้คลายตัวได้
กล้ามเนื้อที่พบบ่อยว่ามีการหนีบทับเส้นประสาทส่วนขา คือ กล้ามเนื้อที่มีชื่อว่า พิริฟอร์มิส (Piriformis) จึงมีผู้ใช้ชื่อโรคกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาทขาว่า "พิริฟอร์มิสซินโดรม" (Pirifomis Syndrome) ผู้ป่วยจะมีอาการปวดร้าวตามขาเรื้อรัง ปวดสะโพกบริเวณที่นั่งทับ อาจจะมีอาการเล็กน้อย จนถึงขั้นรุนแรง และเดินไม่ได้ ผู้ป่วยบางรายได้รับการทำเอ็มอาร์ไอ หวังว่าจะพบกระดูกทับเส้น
แต่พบว่ากระดูกสันหลังปกติทังหมด ทำให้ไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร ที่โชคร้ายกว่านั้น คือ ผู้ป่วยบางรายผลเอ็มอาร์ไอมีหมอนรองกระดูกเสื่อมหรือผิดปกติเพียงเล็กน้อย แต่ด้วยความปวดทำให้ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดที่กระดูกสันหลังไป แต่ไม่หายปวด!! เป็นเพราะกล้ามเนื้อหนีบทับเส้นประสาท
ผู้ป่วยที่มีอาการปวดขา มีลักษณะคล้ายการปวดตามแนวของเส้นประสาท จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องวินิจฉัยแยกโรค "กล้ามเนื้อหนีบเส้นประสาท" ร่วมด้วยเสมอ หากรักษาโรคกล้ามเนื้อก่อนแล้ว จะทำให้ผู้ป่วยส่วนหนึ่งไม่ต้องถูกผ่าตัดโดยไม่จำเป็น นอกจากนี้ยังช่วยลดปัญหา "ผ่าตัดแล้วไม่หายปวด" ดังกล่าวแล้วได้ โดยแพทย์ผู้ชำนาญทางด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู (Rehabilitation) จะเป็นผู้ที่ทำการรักษาสภาวะผิดปกตินี้ได้เป็นอย่างดี
ดังนั้นผู้ป่วยทุกรายควรจะได้รับการตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์ด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู เพื่อแยกโรคทางกล้ามเนื้อออกเสียก่อนที่จะตัดสินใจผ่าตัด ทางการแพทย์เรียกการรักษาผู้ป่วยร่วมกันระหว่าง ศัลยแพทย์ และแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู รวมทั้งแพทย์สาขาอื่นๆ นี้ว่าการักษาแบบคอมพรีเฮนซีฟ แอพโพรช
พญ.สุชีลา จิตสาโรจิตโต ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวเสริมว่า กล้ามเนื้อของมนุษย์มีประมาณ 600 มัด เปรียบเสมือนเป็นมอเตอร์ให้ร่างกายของมนุษย์ขับเคลื่อนไปได้ทำงานตลอดเวลาไม่มีพักจึงป่วยได้ โดยส่งสัญญาณอาการปวดร้างตามร่างกายส่วนต่างๆ เพราะปกติกล้ามเนื้อของคนจะเสื่อมลงเฉลี่ยนปีละ 1 เปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว แต่โชคร้ายแม้เอกซเรย์หรือเอ็มอาร์ไอก็ไม่สามารถเห็จอาการป่วยของกล้ามเนื้อนี้ได้
"กล้ามเนื้อของมุษย์นั้น มีลักษณะเฉพาะตัว คือ แข็งแรง ทนทาน และยืดหยุ่นได้ หากอันใดอันหนึ่งทำงานไม่ปกติมีการตึงตัวหรือยืดหยุ่นน้อยลง ก็สามารถสร้างความเจ็บปวดขึ้นมาได้ ดั้งนั้นในการฟื้นฟูและการบำบัดนั้นในผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงมากนัก ต้องทำกายภาพบำบัดเพื่อลดอาการปวด และคลายกล้ามเนื้อ เช่น การใช้ความร้อนทั้งแบบพื้นผิว หรือแบบลึกไปสู่กล้ามเนื้อชั้นลึก หรือแม้กระทั่งการใช้ไฟฟ้ากระตุ้น หรือการฝังเข็มให้กล้ามเนื้อคลายตัว แต่ต้องอยู่ในความควบคุมของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ" พญ.สุชีลา กล่าว

วิธีดื่มน้ำ อ่านเถอะดีจริงๆ‏

วิธีดื่มน้ำ อ่านเถอะดีจริงๆ




เพื่อนๆคิดว่าสุดยอดของการเป็นหมออยู่ที่ไหนครับ
ในพฤติกรรมที่ผมว่าคนไทยส่วนใหญ่ทำผิดมากที่สุดคือ เรื่องของการดื่มน้ำนี่แหละครับ
ลองทำแบบทดสอบกันสักนิดก่อนอ่านต่อดีไหมครับ
1. คุณมีความเชื่อที่ว่าน้ำยิ่งดื่มเยอะยิ่งดีหรือไม่
2. คุณดื่มน้ำวันละกี่แก้ว
3. น้ำที่ดื่มเป็นน้ำเย็น, น้ำธรรมดา หรือว่าน้ำอุ่น
4. ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนเป็นพิเศษไหม เช่น ดื่มตอนเช้า ดื่มระหว่างทานข้าว ดื่มก่อนนอน เป็นต้น
5. ปกติดื่มอะไร เช่น น้ำเปล่า น้ำอัดลม ชา กาแฟ เป็นต้น
เราเฉลยกันไปทีละข้อๆพร้อมอธิบายละกันครับ พร้อมที่จะรู้ความผิดของ
ตัวเองหรือยังครับ

ข้อหนึ่งนั้น เป็นความเชื่อที่ผิดครับ ทุกอย่างต่างมีทั้งคุณและโทษ ต้องหาจุดสมดุลของมันครับ
น้ำดื่มมากเกินไปกลับไม่ดีเสียอีกครับ เดี๋ยวผมจะมีสูตรให้คำนวณว่าวันหนึ่งเพื่อนๆควรดื่มน้ำแค่ไหน

ข้อสอง คิดว่าทุกคนคงเคยเรียนกันมาอยู่แล้วว่าคนเราวันหนึ่งควรทานน้ำวันละ 8-10 แก้ว ว่าแต่
ทำได้อย่างที่เรียนมาหรือเปล่าครับ ผมจะอธิบายให้ฟังว่า น้ำในร่างกายของเรามีที่มาที่ไปอย่างไรก่อน
น้ำที่เข้าสู่ร่างกายเรามาจากน้ำและอาหารที่ทานเข้าไปเป็นหลัก
ส่วนน้ำจะออกจากร่างกายทางปัสสาวะ อุจจาระ เหงื่อ และทางลมหายใจ
แต่ปัสสาวะเป็นเส้นทางหลักครับ คนเราจำเป็นต้องปัสสาวะออกจากร่างกายอย่างน้อย 500 มิลลิลิตรต่อวัน
ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้หมด
นอกจากนี้อีกสามทางที่เหลือโดยเฉลี่ยก็จำเป็นต้องใช้น้ำอีกราว 1000 มิลลิลิตร หรือ 1 ลิตร ต่อวัน
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว คนเราจึงต้องดื่มน้ำเพื่อชดเชยส่วนที่ออกจากร่างกายทุกวันราว 1500 มล. หรือ 7-8 แก้ว
(แก้วละ 200 มล.) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเลขนี้ก็ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคนครับ
ผมเลยมีสูตรมาให้คิดกันคร่าวๆว่าวันหนึ่งเราต้องทานน้ำปริมาณเท่าไรจึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
สูตรคือ
(น้ำหนักตัว(กก.) x 2.2 x 30) / 2 หน่วยที่ได้ออกมาเป็นมิลลิลิตรครับ เช่น หนัก 60 กก. เอาเข้าแทนค่าก็จะได้
ควรดื่มน้ำ (60 x 2.2 x 30) / 2 = 1980 มล. หรือประมาณ 10 แก้วต่อวันครับ
ถ้าเราดื่มน้ำน้อยกว่านี้ เลือดซึ่ง 90% ทำมาจากน้ำก็จะไหลเวียนไม่สะดวก ร่างกายก็จะขับของเสียได้ยาก ขณะเดียวกัน
สารอาหารในเลือดก็ส่งไปถึงร่างกายช้า ทางแพทย์จีนถ้าเกิดเลือดลมเดินไม่สะดวกนี่เป็นบ่อเกิดสารพัดโรคเลย
บางคนบอกว่าประจำเดือนมาน้อยหรือไม่มา มาเป็นลิ่มเลือด สีเข้ม หนืด ปวดประจำเดือนก็แหงละครับ
น้ำไม่กินจะเอาที่ไหนไปสร้างเลือดละครับ
แต่ถ้าทานน้ำมากกว่านี้ก็เป็นผลเสียต่อร่างกายอีกเหมือนกัน ทำอะไรก็ต้องพอดีๆครับ

ข้อสาม อย่างที่เคยบอกไปตั้งแต่อาการขี้หนาวนะครับว่าน้ำเย็นเป็นของต้องห้ามสำหรับร่างกาย
กระเพาะเมื่อเจอของเย็นเข้าไปการทำงานจะด้อยลงทันที เกิดเป็นอาหารไม่ย่อย อาหารบูดเน่า หมักหมมอยู่ในกระเพาะ
และลำไส้ลำไส้ก็ดูดซึมของเสียจากกากอาหารพวกนี้กลับเข้าสู่เส้นเลือดต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะถ่ายอุจจาระออกจากร่างกายของเรา
เพราะฉะนั้นเราไม่ควรจะทานของเย็นๆครับ ทานน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นก็ได้
แต่ก่อนผมไม่รู้จุดนี้ก็ทานกันไป โดยเฉพาะไทยเป็นเมืองร้อน ทุกที่ต้องเสริฟน้ำเย็น เสริฟน้ำแข็งกันเป็นกระติกๆ กินกัน
จนเป็นเรื่องธรรมชาติ ก่อนหน้านี้ไม่รู้ก็เฉยๆ แต่พอตอนนี้ เห็นแล้วกลัวไปเลยครับ บ้านผมตอนนี้ไม่ทานน้ำแข็งกันแล้ว

ข้อสี่ ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนกัน ที่บอกให้ดื่มวันละ 8-10 แก้วเนี่ยจะแบ่งกินช่วงไหนระหว่างวันบ้างละ ใครที่ชอบทานข้าวไป
จิบน้ำไปประมาณว่ากินข้าวเสร็จหมดน้ำไปสองแก้ว ข้อนี้ผมจัดเป็นหายนะอย่างใหญ่หลวงที่สุดเลยครับ เป็นการกินน้ำที่ผิดที่สุดครับ
คนเรามักทำอะไรเพลินเสียจนลืมทานน้ำ พอถึงเวลาว่างซึ่งมักจะเป็นเวลาทานข้าว
เขาบอกว่าให้ทานน้ำเยอะก็ทานรวดเดียวไปเลย ผิด ผิด ผิด
ผิดแบบไม่น่าให้อภัยเลยครับ เพราะช่วงเวลาที่ทานข้าวนั้น ร่างกายจำเป็นต้องอาศัยน้ำย่อยในการย่อยอาหาร
เมื่อคุณกินน้ำเข้าไปเยอะๆแล้ว น้ำย่อยก็จะเจือจาง ก็เข้าสู่ระบบเดียวกับการกินของเย็นคืออาหารไม่ย่อย หมักหมม พิษถูกดูด
เข้าเส้นเลือด
เพราะฉะนั้นที่คุณควรทำคือ
ตอนเช้าตื่นมาดื่มน้ำก่อนเลยครับ 2-5 แก้ว เพื่อขับพิษออกจากร่างกายทางอุจจาระ ปัสสาวะ ที่ให้ดื่มทันทีเพื่อให้มีระยะเวลาห่างจากอาหารเช้าพอสมควร
ก่อนอาหาร 15 นาที ระหว่างทานอาหาร และหลังอาหาร 40 นาที ทานน้ำได้ไม่เกินครึ่งแก้วครับ
ในที่นี้หมายรวมถึงซุป น้ำแกง และของเหลวทุกประเภทนะครับ
และอย่าดื่มน้ำครั้งละมากๆ ให้จิบครั้งละ 2-3 อึก แต่จิบถี่ๆ หาขวดน้ำแก้วน้ำมาวางไว้ข้างตัว จิบไปทั้งวันครับ
ถ้ากินน้ำครั้งละมากๆผลก็คือ ร่างกายยังไม่ทันได้ดูดซึมก็ไหลรวดเดียวปัสสาวะออกไปหมดแล้ว
อย่างนี้ดื่มน้ำมากแค่ไหนก็ยังหิวน้ำครับ เหมือนน้ำป่ามาครั้งเดียว ทะลักล้นเขื่อนออกไปหมด แล้วจะเอาอะไร
กักเก็บไว้ในเขื่อนละครับ เหมือนทำยาก แต่จริงๆแล้วพอเริ่มทำมันก็ไม่ยากอะไรครับ
ผมแต่ก่อนทานน้ำ 2-3 แก้วพร้อมทานข้าว ด้วยเหตุผลสารพัดที่เข้าใจผิด เช่น ควรกินข้าวพออิ่มและทานน้ำ
เพื่อให้อิ่มจริง หรือกินล้างปากสักหน่อย (กินกันเป็นแก้วล้างปากเนี่ยนะ)
หรือต้องสั่งชอคโกแลตปั่นใส่วิปครีมมากิน กินแล้วหวานมันเย็นอร่อยแต่ส่งผลเสียต่อกระเพาะโดยไม่รู้ตัว
เบียร์ก็อีกตัวครับ สังสรรค์กันทีกินเข้าไปสิกี่ขวดว่ากันไป ทุกวันนี้เลิกครับ
ได้ข้อดีอีกอย่างคือไม่รู้จะเอาเวลาที่ไหนไปดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะมันควรกินแกล้มอาหาร เลยได้เลิกเหล้า
เลิกเบียร์กันไป
แต่ก่อนหลังทานข้าวเสร็จผมจะเรอตลอด ท้องอืดมาก ก็งง หรือว่าเรากินเยอะไป แต่บางทีกินไม่เยอะก็เรอตลอด
เสียบุคลิกมาก พอมารู้ตรงนี้ถึงได้ถึงบางอ้อ กินน้ำเยอะอย่างนี้แล้วอาหารจะย่อยยังไงมันก็เลยเกิดลมเกิดแก๊สซิ
พอเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำใหม่ อาการเหล่านี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆครับ

นอกจากนี้หลังอาหารยังไม่ควรทานผลไม้ล้างปากทันทีอีกด้วยครับ โดยเฉพาะผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็นทั้งหลาย เช่น
ส้ม แก้วมังกร สาลี่ แตงโม เป็นต้น
มีสองเหตุผลครับ
หนึ่ง เพราะว่าผลไม้จะย่อยเร็วกว่าอาหาร อาหารยังย่อยไม่เสร็จ ผลไม้ก็ค้างเติ่งอยู่ในกระเพาะ ร่างกายก็ดูดซึม
สารอาหารจากผลไม้เหล่านี้ไม่ได้ พอไปถึงลำไส้ถึงคิวที่มันจะได้ดูดซึมมันก็เน่าเสียไปหมดแล้วครับ
เพราะฉะนั้นถ้าจะทานผลไม้ควรทานก่อนหรือหลังอาหารสัก 1-2 ชม. ขณะท้องว่างเพื่อให้ร่างกายได้ดูดซึมวิตามิน
สารอาหารและไม่รบกวนระบบการย่อย?าหารด้วย
เหตุผลที่สอง คือ น้ำย่อยในกระเพาะถือว่าเป็นธาตุไฟครับ ถ้าทานผลไม้ฤทธิ์เย็นเข้าไปก็จะส่งผลให้อาหารย่อยไม่ดี
เกิดวงจรอุบาทว์ดังเช่นข้างบนอีกเหมือนกัน

มาถึงข้อสุดท้ายแล้ว เป็นไงบ้างครับ คอตกรับผิดกันเป็นแถวเชียว ยังครับมารับรู้ความผิดของตัวเองกันในข้อนี้ต่อ
ทานน้ำอะไรกันครับ บางคนชอบทานน้ำอัดลมมาก ดื่มทุกวัน ไตก็ต้องทำงานกรองน้ำให้สะอาดหนักกว่าเดิม
เครื่องกรองน้ำยี่ห้อแอมเวย์สามารถกรองโค้กให้กลายเป็นน้ำเปล่าได้อายุการใช้งานไม่ถึงปีก็ต้องเปลี่ยนหัวกรอง
ทว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนไตได้ครับ ถ้ายังอยากให้ไตอยู่คู่กับเรานานๆแล้ว คุณคงรู้ว่าต้องทำอย่างไร
อีกอย่างน้ำอัดลมเป็นน้ำที่ผ่านกรรมวิธีทางเคมี ใส่น้ำตาลจำนวนมาก กินเข้าไปมีแต่ผลเสียครับ
ยิ่งอัดแก๊สอีก กินเข้าไปท้องก็อืด การย่อยอาหารก็ไม่ดี เสียเงินไปทำร้ายร่างกายตัวเองเปล่าๆ
พวกชาพร้อมดื่มบรรจุขวดก็เหมือนกันไม่มีอะไรนอกจากน้ำตาลและคาเฟอีนปริมาณมากผสมน้ำนำมาขาย
แต่ถ้าเป็นชาจีนร้อนๆชงจากกาก็ควรจะเว้นระยะหลังอาหารสักครึ่ง ชม.ครับ เพราะชามีฤทธิ์เย็น ทำให้อาหารไม่ย่อย
รวมทั้งยังส่งผลต่อร่างกายในการดูดซึมธาตุเหล็กและโปรตีนอีกด้วย
กาแฟก็ไม่ควรทานอย่างที่เคยพูดไว้ บางคนเถียงข้างๆคูๆ "กาแฟหอมนะหมอ"หอมครับผมไม่เถียง แต่มันไม่ดีครับ
เดี๋ยวไอเดียบรรเจิดไม่เป็นหมอแล้ว ผลิตยาดมรสกาแฟดีกว่า ท่าจะรุ่ง

อีกอย่างขอแถมนิดนึง คนไทยชอบกินก๋วยเตี๋ยวเติมเครื่องเยอะๆ อร่อยลิ้นแต่ไตทำงานหนักนะครับ

ครบห้าข้อแล้ว โอย เหนื่อย เอนทรี่นี้ยาวเป็นบ้า แต่ก็จำเป็นต้องเขียน เพื่อประโยชน์สุขของมวลชน555 ว่าไปนั่น
ที่เขียนมาให้อ่านนี้เพราะหวังดีจริงๆครับ อยากให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างถูกต้องเพื่อจะได้ห่างจากโรคภัยไข้เจ็บอย่างที่บอกครับ
หมอไม่อยากรักษาคนไข้หรอกครับ และหมอที่ดีที่สุดคือตัวคนไข้เอง
เพราะพวกผมไม่มีทางอยู่กับคุณได้ตลอด ความสำเร็จไม่ใช่ได้มาเพียงชั่ว
ข้ามคืน แต่ต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างยาวนาน
สุขภาพที่ดีไม่ใช่ว่าป่วยแล้วไปหาหมอ ได้ยามาทานแล้วหาย แต่เป็นหน้าที่ของตัวคุณเองที่ต้องดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง
ขอให้พวกเราชนะโดยไม่จำเป็นต้องออกกระบวนท่าครับ

ปล. If you trust me ก็นำไปปฏิบัติตามนะครับ อีกอย่างความรู้ควรแบ่งปันครับ คนไม่รู้เรื่องนี้ยังมีอีกมาก

วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เคล็ดไม่ลับ ประจำบ้าน‏

เคล็ดไม่ลับ ประจำบ้าน

การรักษาเครื่องซักผ้า

เวลาที่ไม่ใช้เครื่องซักผ้า
ให้เปิดฝาทิ้งไว้เสมอ
ช่วยรักษาแผ่นยางที่อยู่ตรงประตูเครื่อง
และช่วยให้เครื่องไม่มีกลิ่นด้วยจ้ะ

ล้างห้องน้ำด้วยโค้ก

การทำความสะอาดชักโครก
ให้ปราศจากคราบ
และดูเหมือนใหม่เสมอ
คือ ให้ชักโครกกินโค้กซะบ้าง
เทโค้กใส่ลงในชักโครก
ปล่อยให้ชักโครกดื่มโค้กอย่างสบายใจ
สักสองสามชั่วโมง
คราบสกปรกจะหลุดออกหมด

น้ำตาเทียนหยดใส่พื้น

ไม่ว่าจะเป็นพื้นพรม พื้นไม้
หรือโต๊ะ ตู้
ถ้ามีน้ำตาเทียนหยดใส่
อย่ามัวแต่นั่งแกะให้เสียเวลา
ให้เอากระดาษทิชชู่หนา ๆ
วางบนคราบน้ำตาเทียนนั้น
แล้วเอาเตารีดไฟปานกลางมารีด ๆ
น้ำตาเทียนจะหลุดติดกับทิชชู่
ระวังอย่าให้ไฟแรงมากนะ
เดี๋ยวไหม้

ทำให้บ้านหอม

ไม่ต้องพึ่งสเปรย์หอมกันแล้ว
ให้เอาส้มเช้ง
มาปักไว้ด้วยกานพลูหลาย ๆ ดอก
วางทิ้งไว้ตามจุดต่าง ๆ ในบ้าน
ใส่แก้วสวย ๆ ก็จะดูดี
ดูเหมือนของตกแต่ง
ทีนี้กลิ่นในบ้านจะหอมหวนตลอดเวลา
ข้อควรระวัง
ต้องหมั่นเปลี่ยนส้มซักหน่อย
อย่าทิ้งไว้จนเน่า
ไม่งั้นคงได้กลิ่นตรงกันข้าม

ไมโครเวฟหอมชื่นใจ

เอาชามใส่น้ำอุ่นบีบมะนาว
วางไว้ตรงกลางไมโครเวฟ
เปิดเครื่องร้อนสุดห้านาที
ความร้อนจากน้ำจะทำให้คราบสกปรก
หลุดโดยง่าย
และมะนาวจะช่วยให้กลิ่นหอมสดชื่น

ลอกสติ๊กเกอร์

สติ๊กเกอร์ที่แปะตู้เย็น
คอมพิวเตอร์ หรือตามผนังอะไรก็ตาม
เวลาเบื่อแล้วจะลอกทิ้งไป
ให้ใช้น้ำมันก๊าดชุบผ้าหมาด ๆ
เช็ดถูตรงสติ๊กเกอร์
แล้วปล่อยทิ้งไว้สักพัก
สติ๊กเกอร์จะหลุดออกมาโดยง่าย

กระจกใส

น้ำยาเช็ดกระจก
นอกจากจะมีสารเคมีแล้ว
ยังเสียเงินแพงอีกด้วย
ใช้วิธีนี้จะดีกว่า
ให้เอาน้ำอุ่นใส่ถัง
เอาหอมใหญ่มาปอกเปลือก
แล้วผ่าสี่
ใส่หอมลงไปในถัง
แค่นี้แหละ
เช็ดกระจกได้ใสแจ่มแจ๋วเหมือนใหม่

ทำความสะอาดเตาอบ

1. ตั้งเตาอบไว้ที่ความร้อน 200 องศาเซลเซียส
ปล่อยไว้ 3 นาที
แล้วจึงปิดเครื่อง

2. เอาหม้อใส่น้ำเดือดตั้งไว้ที่พื้นเตาอบ

3. เอาชามทนไฟใบเล็ก ๆ
ใส่แอมโมเนีย
วางบนตะแกรงเตาอบ
เหนือหม้อน้ำเดือดที่ใส่ไว้

4. ปิดฝาเตาอบทิ้งไว้หลาย ๆ ชั่วโมง
แล้วค่อยนำผ้า
มาเช็ดทำความสะอาดเตาอบ
คราบต่าง ๆ จะหลุดลอกออกมาโดยง่าย


กำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ในตู้เย็น

1. เอากาแฟเย็นใส่ถ้วย
วางไว้หนึ่งคืน
กลิ่นจะหายไปดังปลิดทิ้ง

2. เอามันฝรั่งผ่าครึ่งใส่ชามเล็ก ๆ วางไว้
มันฝรั่งจะดูดกลิ่นไปหมด

3. เอาถุงชาที่ยังไม่ได้ชงใส่ไว้
ถุงชาจะซับกลิ่นเช่นเดียวกับมันฝรั่ง
จะวางถุงทิ้งไว้ตลอดก็ได้
ซักสองอาทิตย์ก็เปลี่ยนครั้งนึง
ตู้เย็นจะได้หอมตลอดกาล


กำจัดกลิ่นบนเขียง

หลังจากที่ใช้เขียง
หั่นหอมกระเทียม
เขียงมักจะเก็บกลิ่นฉุนไว้ติดแน่น
ให้เอามะนาวผ่าซีก
มาถูบนเขียงให้ทั่ว
แล้วล้างออก
กลิ่นจะหายไป


กำจัดขนสัตว์เลี้ยง

ขนสัตว์เลี้ยง
ที่ติดตามโซฟา เบาะ
กำจัดได้โดย
ใส่ถุงมือยาง
ชุบน้ำหมาด ๆ
แล้วเอาถุงมือนี่แหละ
ไปถู ๆ ตามโซฟา
ขนจะม้วนติดกันเป็นก้อน ๆ
เก็บทิ้งได้ง่าย



ไล่แมวแบบนิ่ม ๆ

เอาแผ่นอลูมิเนียมฟอยล์
วางไว้บนที่ที่ไม่อยากให้แมวมา
แมวเกลียดเจ้าแผ่นนี้มาก
จะเป็นเพราะเสียงกรอบแกรบ
หรือแสงสะท้อนก็ไม่ทราบ



ไล่แมลงวัน

แมลงวันชอบเข้ามาอยู่ในครัว
ให้เอาแก้วใส่น้ำอุ่นครึ่งแก้ว
ใส่น้ำส้มสายชู
ลงไปซัก 2-3 ช้อนโต๊ะ
ใส่น้ำตาลนิดนึง
ปิดฝาแก้วด้วยพลาสติก
จิ้มรูไว้หลาย ๆ รู
แมลงวันได้กลิ่นแล้วจะหนีไป



ไล่แมงมุม

แมงมุมชอบมาชักไย
ไว้ตามซอกมุมต่าง ๆ
วิธีไล่แมงมุมง่าย ๆ
ก็คือ วางชามใส่เกลือไว้ตรงซอก
ที่แมงมุมชอบชักไย
เกลือจะดูดความชื้น
ทำให้แมงมุมสร้างไยไม่สำเร็จ



กำจัดหอยทาก

ให้เอาชามอ่างเล็ก ๆ
ใส่เบียร์วางทิ้งไว้
บริเวณที่มีหอยทาก
หอยจะพากันมากินเบียร์
และเมาตายในที่สุด
ถึงจะอ่านแล้วดูบาป ๆ
แต่หอยทากคงจะตายอย่างมีความสุข

ค้นหา