หากสังเกตให้ดีๆ คุณจะเห็นว่าเหล่า ดารา คนดัง ในวงการต่างๆ มักจะปรากฎกายต่อหน้าสาธารณะชนด้วยอาภรณ์โทนเดิมๆ หรือไม่หนีกันนัก
คำตอบก็อยู่ที่ “การเลือกสีเสื้อ ให้เหมาะกับสีผิว” เท่านี้ พวกเค้าก็โดดเด่นเตะตาเราๆ
และเพื่อให้คุณสามารถโดดเด่นเตะตาใครๆ มาดูทางนี้ หลักง่ายๆ ในการเลือกสีเสื้อให้เหมาะกับสีผิว
- สำหรับผู้ที่มีผิวขาวซีด หรือสาวๆ และหนุ่มๆ ที่มีสีผิวที่ขาวจนเกินไป ชนิดที่ใครๆ มักมองว่าคุณสุขภาพไม่แข็งแรง ควรเลือกสีโทนค่อนข้างเข็ม เช่น สีแดงเข้ม สีเหลืองอมน้ำตาล สีน้ำตาลไหม้ และ สีเขียวเข้ม เพราะสีของเสื้อผ้าเหล่านี้จะทำให้ผิวพรรณของคุณให้ดูเข้ม แม้นเล็กน้อย ก็ยังดี
- สำหรับผู้ที่มีผิวขาวอมชมพู ผู้ที่มีผิวเช่นนี้นับเป็นโชค เพราะไม่ว่าชุดสีใดก็สวยไปเสียหมด แต่สำหรับสีทำจะทำให้ผิวของคุณๆ ไม่ถูกบดบังความผุดผ่อง ควรเลือกเป็นโทนที่อ่อนๆ อย่าง สีฟ้าอมเขียว สีฟ้าอ่อน สีชมพูอ่อน สีส้ม เป็นต้น เพราะโทนสีเหล่านี้ช่วยทำให้สีผิวของคุณดูโดดเด่น
- สำหรับผู้ที่มีผิวสองสี หรือ ผิวสีน้ำผึ้ง ผู้ที่มีผิวเช่นนี้จะเป็นที่ชื่นชอบมากสำหรับชาวยุโรป เพราะมันเป็นโทนสาวที่ทำให้คุณดู SEXY และมีเสน่ห์เย้ายวน สำหรับสีเสื้อผ้าที่เหมาะกับคุณ คือโทนสีค่อนข้างอ่อน โดยเฉพาะสีผสมต่างๆ เช่น สีน้ำตาลอมแดง สีเขียวอมฟ้า สีชมพูอมส้ม สีชมพูหม่น โทนเหล่านี้ ที่ดูไม่ร้อนแรงหรือเย็นตาจนเกินไป
- สำหรับผู้ที่มีผิวคล้ำ ดำ หรือ แทน ควรเลือกใส่เสื้อผ้าสีโทนกลางๆ ไม่อ่อนและไม่สดจนเกินไป และควรเลือกโทนสีที่ค่อนข้างเข้ม เช่น สีกรมท่า สีน้ำตาลเข้ม สีฟ้า สีม่วง สีเทา สีเขียวเข้ม เพราะโทนสีเหล่านี้จะช่วยให้ผิวของคุณดูกลมกลืนไปกับเสื้อผ้า และช่วยพรางตาให้คุณดูขาวขึ้นด้วย
.... ลองดูแล้วกัน แล้วคุณจะเห็นความความต่าง
by wanwan
Voice TV Reporter
http://www.voicetv.co.th/content/8735/การเลือกสีเสื้อให้Matchกับสีผิว
วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ประหยัดดดดดดดดดดด(เกินไปมั๊ย)
ไปลอกเค้ามานะ....วิธีประหยัดค่าโทร + อยากจีบกันแบบไม่ให้นายรู้..
วิธีสื่อสารสำหรับคู่รัก เพิ่งเลิฟ เลิฟ....ก็ลองใช้แบบนี้...
1. Save เลข หมายโทรศัพท์ ของแฟน ในมือถือเครื่องของคุณโดย SaveName ว่า 'คิดถึงเหมือนกัน' แทน ชื่อแฟนของคุณ
2. Save เลข หมายโทรศัพท์ ของคุณ ในมือถือของแฟนโดย SaveName ว่า 'คิดถึงนะ' แทนชื่อของคุณ
3. เมื่อ ถึงเวลาที่จะต้องโทรหากัน คุณก็โทรหาแฟนสัก 1 - 2 ตู๊ด แล้ววางสาย ที่เครื่องของแฟนก็จะ Show Miss Call เมื่อListดูก็จะพบข้อความว่า 'คิดถึงนะ'
4. เช่น เดียวกัน เมื่อแฟนต้องการจะตอบว่า คิดถึงเหมือนกันก็! ! ให้โทรหาคุณ แล้ววางสาย Show Miss Call เมื่อ List ดู คุณก็จะพบข้อความว่า 'คิดถึงเหมือนกัน '
เท่านี้คุณสามารถก็ประหยัดค่าโทรไปได้อย่างน้อยก็วันละ 6 บาท เก็บเงินไว้ซื้อหนมให้แฟนกินได้
ถ้าแต่งแล้วต้อง ตามนี้เลย
1. Save เลขหมายโทรศัพท์ ของเมีย ในมือถือเครื่องของคุณโดย SaveName ว่า 'มึง อยู่ไหน ทำไมยังไม่กลับบ้าน' แทนชื่อเมีย
2. Save เลขหมายโทรศัพท์ ของคุณ ในมือถือของเมียโดย SaveName ว่า 'กูติดประชุม(โว้ย)' แทนชื่อของคุณ
3. เมื่อถึงเวลาเมียตามกลับบ้าน จะต้องโ! ทรหาคุณ คุณไม่ได้รับเพราะ....ก็จะ Show Miss Call เมื่อListดูก็จะพบข้อค วามว่า 'มึงอยู่ไหน ทำไมยังไม่กลับบ้าน'
4. เช่นเดียวกัน คุณก็โทรหาเมียคุณ ๑ ตู๊ด แล้ววางสาย เมียคุณก็จะเห็น Miss Call เมื่อList ดู คุณก็จะพบข้อความว่า 'กูติดประชุม(โว้ย)'
เท่านี้คุณสามารถก็ประหยัดค่าโทรไปได้อย่าง น้อยก็วันละ 6 บาท แต่อาจต้องนอนนอกบ้าน
ใครมีประสบการณ์ดีกว่ากว่านี้ก็เชิญแจมเรยนะคร้า....อิ อิ..
วิธีสื่อสารสำหรับคู่รัก เพิ่งเลิฟ เลิฟ....ก็ลองใช้แบบนี้...
1. Save เลข หมายโทรศัพท์ ของแฟน ในมือถือเครื่องของคุณโดย SaveName ว่า 'คิดถึงเหมือนกัน' แทน ชื่อแฟนของคุณ
2. Save เลข หมายโทรศัพท์ ของคุณ ในมือถือของแฟนโดย SaveName ว่า 'คิดถึงนะ' แทนชื่อของคุณ
3. เมื่อ ถึงเวลาที่จะต้องโทรหากัน คุณก็โทรหาแฟนสัก 1 - 2 ตู๊ด แล้ววางสาย ที่เครื่องของแฟนก็จะ Show Miss Call เมื่อListดูก็จะพบข้อความว่า 'คิดถึงนะ'
4. เช่น เดียวกัน เมื่อแฟนต้องการจะตอบว่า คิดถึงเหมือนกันก็! ! ให้โทรหาคุณ แล้ววางสาย Show Miss Call เมื่อ List ดู คุณก็จะพบข้อความว่า 'คิดถึงเหมือนกัน '
เท่านี้คุณสามารถก็ประหยัดค่าโทรไปได้อย่างน้อยก็วันละ 6 บาท เก็บเงินไว้ซื้อหนมให้แฟนกินได้
ถ้าแต่งแล้วต้อง ตามนี้เลย
1. Save เลขหมายโทรศัพท์ ของเมีย ในมือถือเครื่องของคุณโดย SaveName ว่า 'มึง อยู่ไหน ทำไมยังไม่กลับบ้าน' แทนชื่อเมีย
2. Save เลขหมายโทรศัพท์ ของคุณ ในมือถือของเมียโดย SaveName ว่า 'กูติดประชุม(โว้ย)' แทนชื่อของคุณ
3. เมื่อถึงเวลาเมียตามกลับบ้าน จะต้องโ! ทรหาคุณ คุณไม่ได้รับเพราะ....ก็จะ Show Miss Call เมื่อListดูก็จะพบข้อค วามว่า 'มึงอยู่ไหน ทำไมยังไม่กลับบ้าน'
4. เช่นเดียวกัน คุณก็โทรหาเมียคุณ ๑ ตู๊ด แล้ววางสาย เมียคุณก็จะเห็น Miss Call เมื่อList ดู คุณก็จะพบข้อความว่า 'กูติดประชุม(โว้ย)'
เท่านี้คุณสามารถก็ประหยัดค่าโทรไปได้อย่าง น้อยก็วันละ 6 บาท แต่อาจต้องนอนนอกบ้าน
ใครมีประสบการณ์ดีกว่ากว่านี้ก็เชิญแจมเรยนะคร้า....อิ อิ..
วิธีไช้หนี้พ่อแม่
วิธีใช้หนี้พ่อแม่ : ฉบับหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน
1.จงสร้างความดีให้กับตัวเอง
และนี่ก็เป็นการใช้หนี้ตัวเอง ตัวเราพ่อให้หัวใจ แม่ให้น้ำเลือดน้ำเหลืองอยู่ในตัวแล้ว จะไปแสวงหาพ่อที่ไหน จะไปแสวงหาแม่ที่ไหน บางคนรังเกียจแม่ ว่าแก่เฒ่าไม่สวยไม่งาม พอตัวเองแก่ก็เลยถูกลูกหลานรังเกียจ จึงเป็นกงกรรมกงเกวียนยืดเยื้อกันต่อไปอีก
2. ใครที่คุณแม่ล่วงลับไปแล้ว
ก็ให้หมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ท่าน และถ้าจะทำบุญด้วยการเจริญกรรมฐาน แล้วอุทิศส่วนกุศลไป การทำเช่นนี้ถือว่าได้บุญมากที่สุด ทั้งฝ่ายผู้ให้และผู้รับ
3. ผู้ใดก็ตาม
ที่คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ให้กลับไปหาแม่ ไปกราบเท้าขอพรจากท่าน จะได้มั่งมีศรีสุข ส่วนคนที่เคยทำไม่ดีไว้กับท่าน ก็นำเทียนแพไปกราบขออโหสิกรรม ล้างเท้าให้ท่านด้วย เป็นการขอขมาลาโทษฯ
4. ขอฝากท่านไว้ไปสอนลูกหลาน
อย่าคิดไม่ดีกับพ่อแม่เลย ไม่ต้องถึงกับฆ่าหรอก แค่คิดว่าพ่อแม่เราไม่ดี จะทำมาหากินไม่ขึ้น เจ๊ง ท่านต้องแก้ปัญหาก่อนคือ ถอนคำพูด ไปขอสมาลาโทษเสีย แล้วมาเจริญกรรมฐาน รับรองสำเร็จแน่ มรรคผลเกิดแน่ ฯ
5. บางคนลืมพ่อลืมแม่
อย่าลืมนะการเถียงพ่อเถียงแม่ไม่ดี ขอบิณฑบาต สอนลูกหลานอย่าเถียงพ่อเถียงแม่ อย่าคิดไม่ดีกับพ่อกับแม่ ไม่อย่างนั้นจะก้าวหน้าได้อย่างไร ก้าวถอยหลังดำน้ำไม่โผล่ ฯ ท่านยกตัวอย่าง (เรื่องจริงนะจ๊ะ)
ตัวอย่าง ที่ 1
บ้านหนึ่งพ่อมีเมีย ๔ คน เมียหลวงบอกลูกว่าพ่อเจ้าไม่ดี ลูกก็ไปด่าพ่อว่าพ่อ
แล้วมาบวชวัดนี้ บวชแล้วเดี๋ยวเป็นโน่นเป็นนี่ จนจะกลายเป็นโรคประสาท
นี่แหละบวชก็ไม่ได้ผล หลวงพ่อก็ให้ไปถอนคำพูด และขอสมาลาโทษกับพ่อเขาก่อน แล้วกลับมานั่งกรรมฐานจึงได้ผล
(กรณีนี้ หลวงพ่อจะเตือนผู้เป็นลูกบ่อยๆไม่ให้ว่าพ่อ) แต่ให้เป็นเรื่องของแม่ที่จะแก้ปัญหานี้ ซึ่งหลวงพ่อสอนไว้แล้ว
ตัวอย่าง ที่ 2
เมื่อเร็วๆนี้ลูกฆ่าพ่อ แม่สงสารพามาเจริญกรรมฐานพอเข้าวัดมันร้อนไปหมด ปวดหัวเข้าไม่ได้นี่เวรกรรมตามสนอง ปิตุฆาต มาตุฆาต ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน ทำกรรมฐานไม่ได้แน่นอน ต้องหันรถกลับ นี่เรื่องจริงในวัดนี้ ฯ
6. คนที่มีบุญวาสนา จะกตัญญูกับพ่อแม่ คนเถียงพ่อเถียงแม่เอาดีไม่ได้
คนไม่พูดกับพ่อแม่ นั่งกรรมฐานร้อยปี ก็ไม่ได้อะไร? ถ้าไม่ขออโหสิกรรม ฯขออโหสิกรรม ที่คิดไม่ดีกับพ่อแม่ คิดไม่ดีกับครูบาอาจารย์ คิดไม่ดีกับพี่ๆน้องๆ
จะไม่เอาอีกแล้ว เอาน้ำไปขันหนึ่ง เอาดอกมะลิโรย กายกัมมัง วจีกัมมัง มโนกัมมัง โยโทโส
อันว่าโทษทัณฑ์ใด ความผิดอันใด ที่ข้าพเจ้าพลั้งเผลอสติไป ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ขอให้คุณพ่อคุณแม่ คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย
คุณพี่คุณน้อง อโหสิกรรมให้ด้วย แล้วเอาน้ำรดมือรดเท้า ฯ
นี่แหละ ท่านทั้งหลายเอ๋ย เป็นหนี้บุญคุณพ่อแม่มากมาย ยังจะไปทวงนาทวงไร่ ทวงตึก มาเป็นของเราอีกหรือ ตัวเองก็พึ่งตัวเองไม่ได้ สอนตัวเองไม่ได้ เป็นคนอัปรีย์จัญไรในโลกมนุษย์ไปทวงหนี้พ่อแม่ พ่อแม่ให้แล้ว (ให้ชีวิต ให้…ให้… ให้….ฯลฯ ) เรียนสำเร็จแล้ว ยังช่วยตัวเองไม่ได้ มีหนี้ติดค้าง รับรองทำมาหากินไม่ขึ้น ฯ
หนี้บุญคุณอันยิ่งใหญ่ เหลือจะนับประมาณ นั่นคือหนี้บุญคุณของบิดา มารดา
ตัวอย่าง ที่ 3
"หนามแหลมใครเสี้ยม มะนาวกลมเกลี้ยงใครไปกลึง"
เด็กประถม ๔ พ่อเมาเหล้า เมากัญชาเล่นการพนัน แม่เล่นหวย ปัจจุบันเป็นดอกเตอร์อยู่อเมริกา หลวงพ่อสอนครั้งเดียวจำได้
บอกวันเกิด หนูซื้อขนม ๒ ห่อ เรียกพ่อแม่มานั่งคู่กัน แล้วกราบนะลูกนะ
แล้วก็บอกพ่อแม่ว่า ความผิดอันใดที่ลูกพลั้งเผลอ ด้วยกาย วาจา ใจ ที่คิดไม่ดีต่อคุณพ่อคุณแม่
ขอให้คุณพ่อคุณแม่อโหสิกรรมให้ แล้วล้างเท้าให้พ่อแม่ ลูกไม่มีสตางค์ ลูกซื้อขนมมา ๒ ห่อ
ให้แม่ก่อน ๑ ห่อ เพราะอุ้มท้องมา แล้วจึงให้พ่ออีก ๑ ห่อ ลูกขอปฏิญาณตนว่า ลูกขอเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ แล้วจะเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ลูกจะไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง...
พ่อฟังแล้วน้ำตาร่วงสร่างเมา ส่วนแม่ก็ร้องไห้เลย พ่อแม่ก็ให้สัญญากับลูกเลิกอบายมุขทั้งหมด
7. ลูกหลานโปรดจำไว้
เมื่อแยกครอบครัวไปมีสามีภรรยาแล้ว อย่าลืมไปหาพ่อแม่ ถึงวันว่างเมื่อไรต้องไปหาพ่อแม่
ถึงวันเกิดของลูกหลาน อย่าลืมเอาของไปให้พ่อแม่รับประทาน อย่ากินเหล้า เข้าโฮเต็ล
8. ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้เป็นมงคลนาม
ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน เพราะชื่อเป็นเพียงนามสมมุติแทนตัวเรา อย่างหลวงพ่อชื่อจรัญ ปู่ตั้งให้ หมอดูบอกเป็นกาลกิณี แต่ทำไมเจริญรุ่งเรือง ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้าทำดีได้ดี
9. ของดี ของ ปู่ ย่า ตา ยาย อย่าไปทำลายเลย
ของพ่อแม่อย่าไปทำลายนะ หนีได้แน่นอน โยมมีกรรมฐาน มีทรัพย์ มีชื่อเสียง ความรัก บูชาทรัพย์ บูชาชื่อเสียง ความรักของพ่อแม่ได้ เงินจะไหลนองทองจะไหลมา.........
พ่อแม่ให้อะไรเอาไว้ก่อน อย่าไปทำลายเสีย ถึงจะเป็นถ้วยพ่อแม่ให้มา ก็ไว้เป็นที่ระลึกก็ยังดีอย่าเอาไปทิ้งขว้าง ฯ
10. ถ้าต้องการเจริญก้าวหน้าขอฝากไว้ด้วย
คนเรามี ๒ ก้าว จะก้าวขึ้นหรือก้าวลงดำน้ำไม่โผล่ ก้าวลงมันง่ายดี ก้าวขึ้นมันต้องยาก ของชั่วมันง่าย หลั่งไหลไปตามที่ต่ำ
นี่บอกสอนลูกหลาน ต้องการจะบรรจุงานไม่ต้องไปวิ่งเต้น ดูลูกเสียก่อน กุศลเพียงพอหรือเปล่า ต้องเพิ่มกุศล
ตัวอย่างเรียนจบครู สวดมนตร์เข้าเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นครู ทำงานธนาคารก็ได้ บริษัทก็ได้เดี๋ยวมีคนรับ บางรายทั้งสอบทั้งสมัครหลายแห่งไม่เคยเรียกเลย อาตมาให้นั่งกรรมฐาน พอ ๗ วันผ่านไปพวกมาตามให้เข้าไปทำงานแล้ว
1.จงสร้างความดีให้กับตัวเอง
และนี่ก็เป็นการใช้หนี้ตัวเอง ตัวเราพ่อให้หัวใจ แม่ให้น้ำเลือดน้ำเหลืองอยู่ในตัวแล้ว จะไปแสวงหาพ่อที่ไหน จะไปแสวงหาแม่ที่ไหน บางคนรังเกียจแม่ ว่าแก่เฒ่าไม่สวยไม่งาม พอตัวเองแก่ก็เลยถูกลูกหลานรังเกียจ จึงเป็นกงกรรมกงเกวียนยืดเยื้อกันต่อไปอีก
2. ใครที่คุณแม่ล่วงลับไปแล้ว
ก็ให้หมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ท่าน และถ้าจะทำบุญด้วยการเจริญกรรมฐาน แล้วอุทิศส่วนกุศลไป การทำเช่นนี้ถือว่าได้บุญมากที่สุด ทั้งฝ่ายผู้ให้และผู้รับ
3. ผู้ใดก็ตาม
ที่คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ให้กลับไปหาแม่ ไปกราบเท้าขอพรจากท่าน จะได้มั่งมีศรีสุข ส่วนคนที่เคยทำไม่ดีไว้กับท่าน ก็นำเทียนแพไปกราบขออโหสิกรรม ล้างเท้าให้ท่านด้วย เป็นการขอขมาลาโทษฯ
4. ขอฝากท่านไว้ไปสอนลูกหลาน
อย่าคิดไม่ดีกับพ่อแม่เลย ไม่ต้องถึงกับฆ่าหรอก แค่คิดว่าพ่อแม่เราไม่ดี จะทำมาหากินไม่ขึ้น เจ๊ง ท่านต้องแก้ปัญหาก่อนคือ ถอนคำพูด ไปขอสมาลาโทษเสีย แล้วมาเจริญกรรมฐาน รับรองสำเร็จแน่ มรรคผลเกิดแน่ ฯ
5. บางคนลืมพ่อลืมแม่
อย่าลืมนะการเถียงพ่อเถียงแม่ไม่ดี ขอบิณฑบาต สอนลูกหลานอย่าเถียงพ่อเถียงแม่ อย่าคิดไม่ดีกับพ่อกับแม่ ไม่อย่างนั้นจะก้าวหน้าได้อย่างไร ก้าวถอยหลังดำน้ำไม่โผล่ ฯ ท่านยกตัวอย่าง (เรื่องจริงนะจ๊ะ)
ตัวอย่าง ที่ 1
บ้านหนึ่งพ่อมีเมีย ๔ คน เมียหลวงบอกลูกว่าพ่อเจ้าไม่ดี ลูกก็ไปด่าพ่อว่าพ่อ
แล้วมาบวชวัดนี้ บวชแล้วเดี๋ยวเป็นโน่นเป็นนี่ จนจะกลายเป็นโรคประสาท
นี่แหละบวชก็ไม่ได้ผล หลวงพ่อก็ให้ไปถอนคำพูด และขอสมาลาโทษกับพ่อเขาก่อน แล้วกลับมานั่งกรรมฐานจึงได้ผล
(กรณีนี้ หลวงพ่อจะเตือนผู้เป็นลูกบ่อยๆไม่ให้ว่าพ่อ) แต่ให้เป็นเรื่องของแม่ที่จะแก้ปัญหานี้ ซึ่งหลวงพ่อสอนไว้แล้ว
ตัวอย่าง ที่ 2
เมื่อเร็วๆนี้ลูกฆ่าพ่อ แม่สงสารพามาเจริญกรรมฐานพอเข้าวัดมันร้อนไปหมด ปวดหัวเข้าไม่ได้นี่เวรกรรมตามสนอง ปิตุฆาต มาตุฆาต ห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพาน ทำกรรมฐานไม่ได้แน่นอน ต้องหันรถกลับ นี่เรื่องจริงในวัดนี้ ฯ
6. คนที่มีบุญวาสนา จะกตัญญูกับพ่อแม่ คนเถียงพ่อเถียงแม่เอาดีไม่ได้
คนไม่พูดกับพ่อแม่ นั่งกรรมฐานร้อยปี ก็ไม่ได้อะไร? ถ้าไม่ขออโหสิกรรม ฯขออโหสิกรรม ที่คิดไม่ดีกับพ่อแม่ คิดไม่ดีกับครูบาอาจารย์ คิดไม่ดีกับพี่ๆน้องๆ
จะไม่เอาอีกแล้ว เอาน้ำไปขันหนึ่ง เอาดอกมะลิโรย กายกัมมัง วจีกัมมัง มโนกัมมัง โยโทโส
อันว่าโทษทัณฑ์ใด ความผิดอันใด ที่ข้าพเจ้าพลั้งเผลอสติไป ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ขอให้คุณพ่อคุณแม่ คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยาย
คุณพี่คุณน้อง อโหสิกรรมให้ด้วย แล้วเอาน้ำรดมือรดเท้า ฯ
นี่แหละ ท่านทั้งหลายเอ๋ย เป็นหนี้บุญคุณพ่อแม่มากมาย ยังจะไปทวงนาทวงไร่ ทวงตึก มาเป็นของเราอีกหรือ ตัวเองก็พึ่งตัวเองไม่ได้ สอนตัวเองไม่ได้ เป็นคนอัปรีย์จัญไรในโลกมนุษย์ไปทวงหนี้พ่อแม่ พ่อแม่ให้แล้ว (ให้ชีวิต ให้…ให้… ให้….ฯลฯ ) เรียนสำเร็จแล้ว ยังช่วยตัวเองไม่ได้ มีหนี้ติดค้าง รับรองทำมาหากินไม่ขึ้น ฯ
หนี้บุญคุณอันยิ่งใหญ่ เหลือจะนับประมาณ นั่นคือหนี้บุญคุณของบิดา มารดา
ตัวอย่าง ที่ 3
"หนามแหลมใครเสี้ยม มะนาวกลมเกลี้ยงใครไปกลึง"
เด็กประถม ๔ พ่อเมาเหล้า เมากัญชาเล่นการพนัน แม่เล่นหวย ปัจจุบันเป็นดอกเตอร์อยู่อเมริกา หลวงพ่อสอนครั้งเดียวจำได้
บอกวันเกิด หนูซื้อขนม ๒ ห่อ เรียกพ่อแม่มานั่งคู่กัน แล้วกราบนะลูกนะ
แล้วก็บอกพ่อแม่ว่า ความผิดอันใดที่ลูกพลั้งเผลอ ด้วยกาย วาจา ใจ ที่คิดไม่ดีต่อคุณพ่อคุณแม่
ขอให้คุณพ่อคุณแม่อโหสิกรรมให้ แล้วล้างเท้าให้พ่อแม่ ลูกไม่มีสตางค์ ลูกซื้อขนมมา ๒ ห่อ
ให้แม่ก่อน ๑ ห่อ เพราะอุ้มท้องมา แล้วจึงให้พ่ออีก ๑ ห่อ ลูกขอปฏิญาณตนว่า ลูกขอเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ แล้วจะเป็นศิษย์ที่ดีของครูบาอาจารย์ ลูกจะไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง...
พ่อฟังแล้วน้ำตาร่วงสร่างเมา ส่วนแม่ก็ร้องไห้เลย พ่อแม่ก็ให้สัญญากับลูกเลิกอบายมุขทั้งหมด
7. ลูกหลานโปรดจำไว้
เมื่อแยกครอบครัวไปมีสามีภรรยาแล้ว อย่าลืมไปหาพ่อแม่ ถึงวันว่างเมื่อไรต้องไปหาพ่อแม่
ถึงวันเกิดของลูกหลาน อย่าลืมเอาของไปให้พ่อแม่รับประทาน อย่ากินเหล้า เข้าโฮเต็ล
8. ชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้เป็นมงคลนาม
ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน เพราะชื่อเป็นเพียงนามสมมุติแทนตัวเรา อย่างหลวงพ่อชื่อจรัญ ปู่ตั้งให้ หมอดูบอกเป็นกาลกิณี แต่ทำไมเจริญรุ่งเรือง ขอให้เชื่อพระพุทธเจ้าทำดีได้ดี
9. ของดี ของ ปู่ ย่า ตา ยาย อย่าไปทำลายเลย
ของพ่อแม่อย่าไปทำลายนะ หนีได้แน่นอน โยมมีกรรมฐาน มีทรัพย์ มีชื่อเสียง ความรัก บูชาทรัพย์ บูชาชื่อเสียง ความรักของพ่อแม่ได้ เงินจะไหลนองทองจะไหลมา.........
พ่อแม่ให้อะไรเอาไว้ก่อน อย่าไปทำลายเสีย ถึงจะเป็นถ้วยพ่อแม่ให้มา ก็ไว้เป็นที่ระลึกก็ยังดีอย่าเอาไปทิ้งขว้าง ฯ
10. ถ้าต้องการเจริญก้าวหน้าขอฝากไว้ด้วย
คนเรามี ๒ ก้าว จะก้าวขึ้นหรือก้าวลงดำน้ำไม่โผล่ ก้าวลงมันง่ายดี ก้าวขึ้นมันต้องยาก ของชั่วมันง่าย หลั่งไหลไปตามที่ต่ำ
นี่บอกสอนลูกหลาน ต้องการจะบรรจุงานไม่ต้องไปวิ่งเต้น ดูลูกเสียก่อน กุศลเพียงพอหรือเปล่า ต้องเพิ่มกุศล
ตัวอย่างเรียนจบครู สวดมนตร์เข้าเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นครู ทำงานธนาคารก็ได้ บริษัทก็ได้เดี๋ยวมีคนรับ บางรายทั้งสอบทั้งสมัครหลายแห่งไม่เคยเรียกเลย อาตมาให้นั่งกรรมฐาน พอ ๗ วันผ่านไปพวกมาตามให้เข้าไปทำงานแล้ว
วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
๕ บ.ของ CEO ที่ทำลายทุกอย่าง
Subject: ๕ บ.ของ CEO ที่ทำลายทุกอย่าง
ผมได้เข้าฟังการบรรยายของอาจารย์ ดร.วรภัทร ภู่เจริญ ในหัวข้อ Productivity วีถีพุทธ จัดโดยสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ ท่านได้เอ่ยถึง CEO ที่ งกๆเค็มไว้หลายเรื่องแต่เรื่องที่ผมติดใจที่สุดก็คือ
๕ บ.ของ CEO ที่ทำลายทุกอย่าง ดีมากครับลองดูกัน
๑.เบิ้ล -เป็นภาษาวัยรุ่นสมัยอาจารย์คือ ลงโทษ (ตบหัว โดยไม่ลูบหลัง)ไม่มีน้ำใจ ดุลูกน้องอย่างเสียๆหายๆ
๒.ใบ้ -ไม่ตัดสินใจ ไม่มีความเห็น ไม่มีความรู้ ช่วยลูกน้องไม่ได้
๓.โบ้ย -เมื่อลูกน้องทำผิดก็ไม่ร่วมรับผิดชอบ ป้ายความผิด โยนความผิด
๔.บี้ -เน้นตัวชี้วัดอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง สร้างความเครียดแก่องค์กร สร้างความแตกแยกให้กับครอบครัวพนักงาน
๕.บล้อค -ปิดกั้นความคิดเห็นใหม่ๆ วิธีการทำงานใหม่ๆจากลูกน้อง
ถ้าเราเป็น CEO ๕ บ.
ลูกน้องจะไม่มีความสุข ไม่รักองค์กร ไม่มีการเพิ่มประสิทธฺภาพงาน ไม่มีนวัตกรรม ไม่มีการบริการลูกค้าที่ดี สุดท้ายท่าน CEO ก็ทำลายตัวเอง ทำลายองค์กรตนเอง
การเป็น ๕บ. สุดท้ายทั้ง ท่าน CEO และลูกน้อง ก็จะมี บ.ที่ ๖ ด้วยกันคือ บ้า
ลองนำไปปรับใช้ครับ
ผมได้เข้าฟังการบรรยายของอาจารย์ ดร.วรภัทร ภู่เจริญ ในหัวข้อ Productivity วีถีพุทธ จัดโดยสถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ ท่านได้เอ่ยถึง CEO ที่ งกๆเค็มไว้หลายเรื่องแต่เรื่องที่ผมติดใจที่สุดก็คือ
๕ บ.ของ CEO ที่ทำลายทุกอย่าง ดีมากครับลองดูกัน
๑.เบิ้ล -เป็นภาษาวัยรุ่นสมัยอาจารย์คือ ลงโทษ (ตบหัว โดยไม่ลูบหลัง)ไม่มีน้ำใจ ดุลูกน้องอย่างเสียๆหายๆ
๒.ใบ้ -ไม่ตัดสินใจ ไม่มีความเห็น ไม่มีความรู้ ช่วยลูกน้องไม่ได้
๓.โบ้ย -เมื่อลูกน้องทำผิดก็ไม่ร่วมรับผิดชอบ ป้ายความผิด โยนความผิด
๔.บี้ -เน้นตัวชี้วัดอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง สร้างความเครียดแก่องค์กร สร้างความแตกแยกให้กับครอบครัวพนักงาน
๕.บล้อค -ปิดกั้นความคิดเห็นใหม่ๆ วิธีการทำงานใหม่ๆจากลูกน้อง
ถ้าเราเป็น CEO ๕ บ.
ลูกน้องจะไม่มีความสุข ไม่รักองค์กร ไม่มีการเพิ่มประสิทธฺภาพงาน ไม่มีนวัตกรรม ไม่มีการบริการลูกค้าที่ดี สุดท้ายท่าน CEO ก็ทำลายตัวเอง ทำลายองค์กรตนเอง
การเป็น ๕บ. สุดท้ายทั้ง ท่าน CEO และลูกน้อง ก็จะมี บ.ที่ ๖ ด้วยกันคือ บ้า
ลองนำไปปรับใช้ครับ
" คนแรกที่รักคุณ"
เรื่อง:"คนแรกที่รักคุณ"
เเด่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ชื่อว่าแม่
เมื่อคุณเกิดมาในโลกนี้ แม่อุ้มคุณไว้ในอ้อมอก คุณขอบคุณแม่ด้วยการเปล่งเสียงร้องไห้
เมื่อคุณอายุ 1 ขวบ แม่ป้อนข้าวและอาบน้ำให้คุณ คุณขอบคุณแม่โดยการร้องไห้งอแง
เมื่อคุณอายุ 2 ขวบ แม่สอนให้คุณหัดเดิน คุณขอบคุณแม่ด้วยการวิ่งหนีทุกครั้งที่แม่เรียกหา
เมื่อคุณอายุ 3 ขวบ แม่ทำอาหารทุกอย่างให้คุณด้วยความรัก คุณขอบคุณแม่ด้วยการโยนจานลงบนพื้น
เมื่อคุณอายุ 4 ขวบ แม่ให้ดินสอสีแก่คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการระบายสีเลอะเต็มบ้าน
เมื่อคุณอายุ 5 ขวบ แม่แต่งชุดสวยๆ(หรือหล่อๆ)ให้คุณไปเที่ยว คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำชุดเลอะโคลน
เมื่อคุณอายุ 6 ขวบ แม่ไปส่งคุณที่รร. คุณขอบคุณแม่ด้วยการร้องไห้ตะโกนว่า ' ไม่ไป... ไม่ไป... ไม่ไป... ''
เมื่อคุณอายุ 7 ขวบ แม่ซื้อไอศกรีมให้คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำมันหกเลอะเทอะไปทั่ว
เมื่อคุณอายุ 8 ขวบ แม่ซื้อลูกบอลให้คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำกระจกเพื่อนบ้านแตก
เมื่อคุณอายุ 9 ขวบ แม่สอนให้คุณเล่นเปียโน คุณขอบคุณแม่ด้วยการไม่เคยแม้แต่จะซ้อม
เมื่อคุณอายุ 10 ขวบ แม่พาคุณไปเรียนพิเศษและพาไปงานวันเกิดเพื่อน คุณขอบคุณแม่ด้วยการกระโดดลงจากรถโดยไม่คิดที่จะหันกลับมามอง
เมื่อคุณอายุ 11 ขวบ แม่พาคุณกับเพื่อนไปดูหนัง คุณขอบคุณแม่ด้วยการขอที่นั่งคนละแถว(หรือขอให้แม่ไม่ต้องดู)
เมื่อคุณอายุ 12 ขวบ แม่เตือนคุณว่าอย่าดูทีวี คุณขอบคุณแม่ด้วยการรอให้แม่ไปข้างนอกแล้วดูต่อ
เมื่อคุณอายุ 13 ปี แม่บอกให้คุณตัดผม คุณขอบคุณแม่ด้วยการด่าแม่ว่า ' แม่นี่...ไม่มีรสนิยมเลย ไม่ต้องกะหนู(ผม)หรอก '
เมื่อคุณอายุ 14 ปี แม่จ่ายเงินซัมเมอร์แคมป์ที่แพงแสนแพงเพื่อให้คุณได้เรียนสิ่งที่ดีๆ คุณขอบคุณแม่ด้วยการไม่เขียนจดหมายหาแม่ซักกะฉบับ
เมื่อคุณอายุ 15 ปี แม่กลับบ้านหลักงานเลิกอยากกอดคุณสักกอด คุณขอบคุณแม่ด้วยการขังตัวเองอยู่ในห้อง
เมื่อคุณอายุ 16 ปี แม่สอนคุณขับรถ คุณขอบคุณแม่ด้วยการขับรถหนีแม่ไป??ที่ยว
เมื่อคุณอายุ 17 ปี แม่จ่ายค่าเรียนกวดวิชา คุณขอบคุณแม่ด้วยการให้แม่ส่งข้างนอกเพื่อจะได้ไม่อายเพื่อน
เมื่อคุณอายุ 18 ปี แม่ร้องไห้ในวันที่คุณจบชั้นมัธยม คุณขอบคุณแม่ด้วยการฉลองยันเช้า
เมื่อคุณอายุ 19 ปี แม่รอโทรศัพท์สายสำคัญ คุณขอบคุณแม่ ด้วยการใช้สายตลอดคืนนั้น
เมื่อคุณอายุ 20 ปี แม่ถามว่าคุณมีแฟนรึยัง คุณขอบคุณแม่ด้วยการตอบว่า ' แม่อย่ามายุ่งกะหนู(ผม)เลย '
เมื่อคุณอายุ 21 ปี แม่แนะนำอาชีพของแม่ให้คุณทำในอนาคตของคุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า ' หนู(ผม)ไม่อยากเป็นอย่างแม่ '
เมื่อคุณอายุ 22 ปี แม่อยากกอดคุณในวันรับปริญญา คุณขอบคุณแม่ด้วยการกอดกับเพศตรงข้ามกับคุณ
เมื่อคุณอายุ 23 ปี แม่ซื้ออพาร์ตเม้นท์และเฟอร์นิเจอร์ให้แก่คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการว่ากับเพื่อนๆลับหลังว่า ' มันช่างเชยและน่าเกลียดเสียนี่กระไร '
เมื่อคุณอายุ 24 ปี แม่บอกให้คุณพาแฟนของคุณมาหาแม่ เมื่อคุณพามา แม่ถามพวกคุณว่าอนาคตวางแผนไว้ว่าอย่างไร คุณขอบคุณแม่ด้วยการจ้องเขม็งและพูดว่า ' แม่จะมายุ่งอะไรกะหนูอีกเนี่ย '
เมื่อคุณอายุ 25 ปี ( สำหรับผู้ชาย)แม่ช่วยออกค่าสินสอดให้กับคุณ และบอกกับคุณว่าแม่รักคุณมากขนาดไหน คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า ' อายคนอื่นเขาน่า แม่ '
( สำหรับผู้หญิง)แม่ช่วยออกค่าใช้จ่ายในงานแต่งงานให้คุณ และบอกว่าแม่รักคุณมากขนาดไหน คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า ' หนูอยากไปอยู่ต่างประเทศเพื่อจะได้สวีทกับแฟนโดนไม่มีแม่ '
เมื่อคุณอายุ 30 ปี แม่โทรมาหาและแนะนำวิธีเลี้ยงเด็ก คุณขอบคุณแม่โดยการบอกว่า ' สมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้วล่ะค่ะแม่ '
เมื่อคุณอายุ 40 ปี แม่โทรมาชวนคุณไปงานวันเกิดญาติ คุณขอบคุณแม่และญาติว่า ' ตอนนี้ไม่ว่างเลย '
เมื่อคุณอายุ 50 ปี แม่ชราและไม่สบาย อยากให้คุณดูแล คุณขอบคุณแม่ด้วยการบอกว่า ' มันเป็นภาระนะแม่ หนูมีงานอีกเยอะแยะ '
และแล้ววันหนึ่ง แม่จากคุณไปอย่างสงบ และทุกอย่างที่คุณไม่เคยทำมาก่อน จะเหมือนฟ้าผ่าในใจคุณ
โปรดใช้เวลาสักนิด แสดงออกถึงความลึกซึ้งแด่ ' แม่ '
ไม่มีอะไรมาแทนแม่ได้ แม้ว่าบางคราวแม่จะไม่ใช่คนที่เข้าใจคุณมากที่สุด หรือเห็นด้วยกับคุณ แต่ก็คือ ' แม่ ' ของคุณ และเชื่อได้ว่าจะทำทุกอย่างเพื่อคุณ รับฟังคุณ ความกังวลของคุณ
ลองถามตัวเองดู คุณมีเวลาที่จะฟังความเศร้า ความกังวลใจไม่ว่าจากการงาน จากงานบ้าน หรือจากงานในครัวของแม่ไหม คุณเคยนึกถึงความทุกข์ของแม่ที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อคุณและทุกคนไหม
รักแม่ให้มาก แม้ว่าจะคิดเห็นแตกต่างการ เพราะเมื่อแม่จากไป จะเหลือเพียงความเสียใจและความทรงจำเท่านั้น
อย่าเพิกเฉยกับคนที่ใกล้หัวใจคุณที่สุด รัก ' แม่ ' ให้มากกว่ารักตัวเอง แสดงให้แม่รู้ว่าคุณก็ ' รัก ' ก่อนที่จะทำได้เพียงบอกรักกับ ' รูป ' ของแม่เท่านั้น
เเด่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ชื่อว่าแม่
เมื่อคุณเกิดมาในโลกนี้ แม่อุ้มคุณไว้ในอ้อมอก คุณขอบคุณแม่ด้วยการเปล่งเสียงร้องไห้
เมื่อคุณอายุ 1 ขวบ แม่ป้อนข้าวและอาบน้ำให้คุณ คุณขอบคุณแม่โดยการร้องไห้งอแง
เมื่อคุณอายุ 2 ขวบ แม่สอนให้คุณหัดเดิน คุณขอบคุณแม่ด้วยการวิ่งหนีทุกครั้งที่แม่เรียกหา
เมื่อคุณอายุ 3 ขวบ แม่ทำอาหารทุกอย่างให้คุณด้วยความรัก คุณขอบคุณแม่ด้วยการโยนจานลงบนพื้น
เมื่อคุณอายุ 4 ขวบ แม่ให้ดินสอสีแก่คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการระบายสีเลอะเต็มบ้าน
เมื่อคุณอายุ 5 ขวบ แม่แต่งชุดสวยๆ(หรือหล่อๆ)ให้คุณไปเที่ยว คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำชุดเลอะโคลน
เมื่อคุณอายุ 6 ขวบ แม่ไปส่งคุณที่รร. คุณขอบคุณแม่ด้วยการร้องไห้ตะโกนว่า ' ไม่ไป... ไม่ไป... ไม่ไป... ''
เมื่อคุณอายุ 7 ขวบ แม่ซื้อไอศกรีมให้คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำมันหกเลอะเทอะไปทั่ว
เมื่อคุณอายุ 8 ขวบ แม่ซื้อลูกบอลให้คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการทำกระจกเพื่อนบ้านแตก
เมื่อคุณอายุ 9 ขวบ แม่สอนให้คุณเล่นเปียโน คุณขอบคุณแม่ด้วยการไม่เคยแม้แต่จะซ้อม
เมื่อคุณอายุ 10 ขวบ แม่พาคุณไปเรียนพิเศษและพาไปงานวันเกิดเพื่อน คุณขอบคุณแม่ด้วยการกระโดดลงจากรถโดยไม่คิดที่จะหันกลับมามอง
เมื่อคุณอายุ 11 ขวบ แม่พาคุณกับเพื่อนไปดูหนัง คุณขอบคุณแม่ด้วยการขอที่นั่งคนละแถว(หรือขอให้แม่ไม่ต้องดู)
เมื่อคุณอายุ 12 ขวบ แม่เตือนคุณว่าอย่าดูทีวี คุณขอบคุณแม่ด้วยการรอให้แม่ไปข้างนอกแล้วดูต่อ
เมื่อคุณอายุ 13 ปี แม่บอกให้คุณตัดผม คุณขอบคุณแม่ด้วยการด่าแม่ว่า ' แม่นี่...ไม่มีรสนิยมเลย ไม่ต้องกะหนู(ผม)หรอก '
เมื่อคุณอายุ 14 ปี แม่จ่ายเงินซัมเมอร์แคมป์ที่แพงแสนแพงเพื่อให้คุณได้เรียนสิ่งที่ดีๆ คุณขอบคุณแม่ด้วยการไม่เขียนจดหมายหาแม่ซักกะฉบับ
เมื่อคุณอายุ 15 ปี แม่กลับบ้านหลักงานเลิกอยากกอดคุณสักกอด คุณขอบคุณแม่ด้วยการขังตัวเองอยู่ในห้อง
เมื่อคุณอายุ 16 ปี แม่สอนคุณขับรถ คุณขอบคุณแม่ด้วยการขับรถหนีแม่ไป??ที่ยว
เมื่อคุณอายุ 17 ปี แม่จ่ายค่าเรียนกวดวิชา คุณขอบคุณแม่ด้วยการให้แม่ส่งข้างนอกเพื่อจะได้ไม่อายเพื่อน
เมื่อคุณอายุ 18 ปี แม่ร้องไห้ในวันที่คุณจบชั้นมัธยม คุณขอบคุณแม่ด้วยการฉลองยันเช้า
เมื่อคุณอายุ 19 ปี แม่รอโทรศัพท์สายสำคัญ คุณขอบคุณแม่ ด้วยการใช้สายตลอดคืนนั้น
เมื่อคุณอายุ 20 ปี แม่ถามว่าคุณมีแฟนรึยัง คุณขอบคุณแม่ด้วยการตอบว่า ' แม่อย่ามายุ่งกะหนู(ผม)เลย '
เมื่อคุณอายุ 21 ปี แม่แนะนำอาชีพของแม่ให้คุณทำในอนาคตของคุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า ' หนู(ผม)ไม่อยากเป็นอย่างแม่ '
เมื่อคุณอายุ 22 ปี แม่อยากกอดคุณในวันรับปริญญา คุณขอบคุณแม่ด้วยการกอดกับเพศตรงข้ามกับคุณ
เมื่อคุณอายุ 23 ปี แม่ซื้ออพาร์ตเม้นท์และเฟอร์นิเจอร์ให้แก่คุณ คุณขอบคุณแม่ด้วยการว่ากับเพื่อนๆลับหลังว่า ' มันช่างเชยและน่าเกลียดเสียนี่กระไร '
เมื่อคุณอายุ 24 ปี แม่บอกให้คุณพาแฟนของคุณมาหาแม่ เมื่อคุณพามา แม่ถามพวกคุณว่าอนาคตวางแผนไว้ว่าอย่างไร คุณขอบคุณแม่ด้วยการจ้องเขม็งและพูดว่า ' แม่จะมายุ่งอะไรกะหนูอีกเนี่ย '
เมื่อคุณอายุ 25 ปี ( สำหรับผู้ชาย)แม่ช่วยออกค่าสินสอดให้กับคุณ และบอกกับคุณว่าแม่รักคุณมากขนาดไหน คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า ' อายคนอื่นเขาน่า แม่ '
( สำหรับผู้หญิง)แม่ช่วยออกค่าใช้จ่ายในงานแต่งงานให้คุณ และบอกว่าแม่รักคุณมากขนาดไหน คุณขอบคุณแม่ด้วยการพูดว่า ' หนูอยากไปอยู่ต่างประเทศเพื่อจะได้สวีทกับแฟนโดนไม่มีแม่ '
เมื่อคุณอายุ 30 ปี แม่โทรมาหาและแนะนำวิธีเลี้ยงเด็ก คุณขอบคุณแม่โดยการบอกว่า ' สมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้วล่ะค่ะแม่ '
เมื่อคุณอายุ 40 ปี แม่โทรมาชวนคุณไปงานวันเกิดญาติ คุณขอบคุณแม่และญาติว่า ' ตอนนี้ไม่ว่างเลย '
เมื่อคุณอายุ 50 ปี แม่ชราและไม่สบาย อยากให้คุณดูแล คุณขอบคุณแม่ด้วยการบอกว่า ' มันเป็นภาระนะแม่ หนูมีงานอีกเยอะแยะ '
และแล้ววันหนึ่ง แม่จากคุณไปอย่างสงบ และทุกอย่างที่คุณไม่เคยทำมาก่อน จะเหมือนฟ้าผ่าในใจคุณ
โปรดใช้เวลาสักนิด แสดงออกถึงความลึกซึ้งแด่ ' แม่ '
ไม่มีอะไรมาแทนแม่ได้ แม้ว่าบางคราวแม่จะไม่ใช่คนที่เข้าใจคุณมากที่สุด หรือเห็นด้วยกับคุณ แต่ก็คือ ' แม่ ' ของคุณ และเชื่อได้ว่าจะทำทุกอย่างเพื่อคุณ รับฟังคุณ ความกังวลของคุณ
ลองถามตัวเองดู คุณมีเวลาที่จะฟังความเศร้า ความกังวลใจไม่ว่าจากการงาน จากงานบ้าน หรือจากงานในครัวของแม่ไหม คุณเคยนึกถึงความทุกข์ของแม่ที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อคุณและทุกคนไหม
รักแม่ให้มาก แม้ว่าจะคิดเห็นแตกต่างการ เพราะเมื่อแม่จากไป จะเหลือเพียงความเสียใจและความทรงจำเท่านั้น
อย่าเพิกเฉยกับคนที่ใกล้หัวใจคุณที่สุด รัก ' แม่ ' ให้มากกว่ารักตัวเอง แสดงให้แม่รู้ว่าคุณก็ ' รัก ' ก่อนที่จะทำได้เพียงบอกรักกับ ' รูป ' ของแม่เท่านั้น
วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ดูแลต้นคอคุณดีหรือยัง
ดูแลต้นคอคุณดีหรือยัง
เส้นลมปราณหลักทั่วร่างกายมี 12 เส้น ในนั้นที่เดินผ่านกระดูกต้นคอมีถึง 6 เส้น คือ เส้นตูม่าย เส้นกระเพาะปัสสาวะ เส้นซานเจียว เส้นลำไส้เล็ก เส้นลำไส้ใหญ่และเส้นถุงน้ำดี ซึ่งล้วนเป็นเส้นหยางทั้งนั้น
เส้นหยางเป็นเส้นที่ให้ความอุ่น เส้นลมปราณจึงจะเดินคล่อง เลือดลมไหลเวียนดี กล้ามเนื้อที่อยู่รอบต้นคอมีทั้งชิ้นเล็กชิ้นน้อย จากลึกมาหาตื้น จากชิ้นเล็กมาจนถึงชิ้นใหญ่ ทับซ้อนกันหลายชั้น เมื่ออยู่ในภาวะหนาวเย็นเป็นประจำ เส้นลมปราณ เส้นเลือด กล้ามเนื้อ ก็จะหดเกร็ง ยิ่งบวกกับการทำงานในท่าเดียวนานเกินไป กล้ามเนื้อจึงตึงเกร็งแข็งเป็นก้อน
เมื่อเส้นหยางเดินผ่านมาก ความอบอุ่นของบริเวณต้นคอ การไหลเวียนจึงเป็นไปอย่างคล่อง ไม่ติดขัดเช่นนี้ พอต้นคออยู่ท่ามกลางความหนาวเย็นตลอด ส่งผลให้กล้ามเนื้อต้นคอหดเกร็ง เลือดหนืด ไหลเวียนช้า ติดขัด ดังนั้นการป้องกันโรคนี้ ก็ต้องหลีกเลี่ยงจากความหนาวเย็น การไหลเวียนที่สะดวกของชี่เลือด การไหลเวียนที่คล่องไม่ติดขัดของเส้นลมปราณต้องอาศัยอุณหภูมิที่พอดีกับร่างกาย
โรคเกี่ยวกับต้นคอที่เกิดขึ้นมากมายในทุกวันนี้ แยกมาออกจากการที่อยู่ในห้องแอร์เย็นๆ กินดื่มอาหารที่แช่เย็น หรือมีฤทธิ์เย็นๆ เป็นประจำ รวมถึงการใช้ท่านั่งนอนที่ผิด การสะสมความเหนื่อยล้า รวมถึงความเครียดด้วย
เส้นลมปราณหยางเส้นหนึ่งยังเดินตั้งแต่ศีรษะผ่านต้นคอ แผ่นหลัง ไปจนถึงเอ็นร้อยหวายด้านนอกจนถึงเท้า ดังนั้น ความเย็นสามารถเข้าจากทางเท้า ส่งผลมาทำให้กล้ามเนื้อที่ไหล่ คอ และหลังหดเกร็งจนเกิดอาการเจ็บปวดขึ้นได้เช่นกัน
เมื่อรู้ความเป็นมาของโรคเช่นนี้ สิ่งแรกที่ควรทำก็คือ เริ่มดูแลป้องกันด้วยตัวเราเองก็คือ ใส่เสื้อให้อุ่นในขณะที่ทำงานหรือนอนในห้องแอร์ เพราะห้องแอร์ได้กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการใช้ชีวิตของผู้คนในภาวะโลกร้อนไปเสียแล้ว
สองก็คือ กินขิง หอมใหญ่ พริก พริกไทย ข่า ตะไคร้ เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย หรือเอาพริกไทยสัก 1 ขีด ตำให้ละเอียด ห่อผ้า แช่ในเหล้า 48 ดีกรี สักพัก แล้วเอามาถูกล้ามเนื้อต้นคอในบริเวณที่เจ็บ เพื่อให้มีความร้อน กล้ามเนื้อเมื่อได้ความอบอุ่นก็จะคลายตัวลง แต่ต้องระวังจะลวกไหม้ผิวหนัง ต้องค่อยๆ ลองทำก่อน
นอกจากนั่งในแอร์เย็นเป็นประจำแล้ว ยังอยู่หน้าจอคอมฯ เป็นเวลานานๆ ด้วย ทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็งอยู่ในท่าเดียว อาการปวดคอก็ยิ่งเพิ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้น การดูแลป้องกันโรคกระดูกต้นคอก็ต้องมีการบริหารเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อต้นคอ และเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นรอบๆ ต้นคอด้วย
พอทำงานหน้าจอคอมไปได้ประมาณ 1 ชม. ก็ลุกขึ้นมาเปลี่ยนอิริยาบถ หรือนั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วเอามือทั้งสองไพล่หลังไปจับกัน ดึงรั้งแขนไปข้างหลังให้ตึง แหงนหน้าขึ้น ยืดตัวให้ตรง พร้อมกับหายใจเข้าลึกๆ แล้วผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ทำซ้ำกันหลายครั้งตามแต่จะทนได้
ง่ายที่สุดก็คือ แกว่งแขน จาก 100 ครั้ง เพิ่มมากขึ้นเรื่อยจนเป็นพันครั้ง ถ้าทำได้ทุกวันจะทำให้กล้ามเนื้อบ่าไหล่ผ่อนคลายลงได้
บริหารต้นคอด้วยการฝึกโยคะ จะสามารถช่วยยืดเส้นสายให้ผ่อนคลาย ซึ่งบางครั้งการฝังเข็ม หรือการนวดไปไม่ถึง หรือที่เรียกกันสะบักจม
จุดสะบักที่ว่านี้ในกระเพาะปัสสาวะที่เดินเลาะเลียบริมสะบัก ห่างกระดูกสันหลังส่วนหน้าอกข้อที่ 4 ออกไป 3 นิ้ว จุดนี้จะเปิดให้ทะลุทะลวงยากมาก แต่ถ้าใครทำให้เปิดทะลวงได้ ร่างกายก็จะสบาย โบราณจีนเขาสอนให้เปิดทะลวงจุดนี้ด้วยท่าง่ายนิดเดียว คือ ยกไหล่ขึ้น แล้วห่อไหล่ไปด้านหน้า ท่านี้เรียกว่าเปิดจุดสะบัก จากนั้นดันไปข้างหลังอย่างแรงและเร็ว พร้อมกันนั้นนิ้วกลางทั้งสองนิ้วต้องไม่ให้หลุดจากเส้นกลางเข็มขัด จุดสะบักจะเปิดทะลวงค่อนข้างยาก จึงต้องฝึกเป็นประจำและเป็นเวลานาน
หรือจะใช้จุฬาลัมพา รมที่จุดนี้ก็ได้ โดยนั่งอุ้มพนักเก้าอี้เพื่อเผยให้เห็นจุดสะบักให้ชัด แล้วรมที่นั่น พอรมแล้วจะเจ็บมากแทบทนไม่ไหว แต่เมื่อรมไปได้สักพัก จะรู้สึกเหมือนมีน้ำร้อนราดลงล่าง จากนั้นจะรู้สึกโปร่ง โล่งสบาย แต่ของไทยเรา การฝึกโยคะก็ช่วยเปิดทะลวงจุดสะบักได้ดีทีเดียว
คนโบราณจีนยังสอนให้บริหารคอแบบเต่า ลองไปสังเกตดูว่าเต่าเคลื่อนไหวคออย่างไร ก็ทำตามอย่างเวลาที่เต่าเดินนั่นแหละ หัวเต่าจะผงกยืดหดๆ อยู่ตลอด ถ้าอยากรู้จริงก็ต้องไปซื้อเต่ามาดูเวลามันเดินก็ได้
เมื่อเส้นลมปราณที่เดินผ่านต้นคอมีมากมายเช่นนี้ การทำให้เส้นลมปราณเดินคล่องไม่ติดขัด จึงมีความสำคัญยิ่งในการป้องกันและรักษาโรคกระดูกต้นคอ การฝังเข็มเป็นการขจัดความติดขัดให้เดินได้สะดวกแก่เส้นลมปราณ
แต่ความสมดุลในโครงสร้างของต้นคอ ไม่เพียงมีแต่กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นเท่านั้น ยังมีข้อกระดูกสันหลัง ที่พร้อมจะเคลื่อนขยับมากดทับประสาทได้ทุกเมื่อถ้าคุณนั่งด้วยท่าที่ไม่เหมาะสม หรือเกิดการหกล้ม เกิดอุบัติเหตุ การยกของหนัก หรือการเล่นกีฬาที่ต้องเอี้ยวคอ หลังและเอว
ดังนั้น หลังการฝังเข็มเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อแล้ว ยังควรทำการทุยหนา เพื่อจัดเรียงกระดูกให้เข้าที่
การที่เราเกิดโรคขึ้น ไม่เพียงชี่เลือดและเส้นลมปราณเกิดความไม่ปกติเท่านั้น อวัยวะภายในที่กำกับดูแลอวัยวะเหล่านั้นก็มีความผิดปกติด้วย เช่น ตับกำกับดูแลเส้นเอ็น ถ้าตับอ่อนแอ ทำหน้าที่ได้ไม่ดี เส้นเอ็นก็ขาดความแข็งแรง ทำให้การร้อยรัดข้อต่างๆ แข็งแรงลดลง ทำให้เกิดอาการปวดบวมที่ข้อต่างๆ ขึ้นได้
ส่วนไตกำกับดูแลกระดูก ถ้าไตอ่อนแอ กระดูกก็จะไม่แข็งแกร่งด้วย ดังนั้นการจะทำให้ยาจีนเพื่อเสริมความแข็งแรงให้แก่ตับและไต เป็นการช่วยกันอีกแรงหนึ่งในการรักษาโรคนี้
การนั่งอยู่หน้าจอคอมฯ ทั้งวัน นอกจากจะปวดต้นคอแล้ว ยังปวดเมื่อย ไหล่ หลัง และเอวด้วย ถ้ากินยาจีน นวด ฝังเข็ม หรือใช้วิธีต่างๆ นานาแล้วไม่ได้ผล ลองวิธีง่ายๆที่ได้ผลรวดเร็วดู ที่แขนด้านหลังมีเส้นลมปราณไท่หยางมือลำไส้เล็กเดินพาดผ่านจากปลายนิ้วจนมาถึงต้นคอ จุด 'โฮ่วซี' เป็นจุดที่มือด้านนิ้วก้อยตรงนิ้วก้อยกับฝ่ามือเชื่อมกันพอดี นับจากปลายนิ้วก้อยมาเป็นจุดที่ 3 ใช้นิ้วโป้งซ้ายกดนวดจุดนี้ที่มือขวา 3 นาที แล้วเปลี่ยนมาใช้นิ้วโป้งมือขวากดจุดนี้ที่มือซ้าย 3 นาทีเช่นกัน จะช่วยให้ลมปราณและเลือดไหลเวียนดี
เพราะ 'จุดโฮ่วซี' เป็นจุดที่เชื่อมโยงไปถึงเส้นตูม่ายที่สันหลังได้ จึงเป็นจุดที่ช่วยรักษาการปวดเมื่อยสันหลังได้ดีที่สุด ลองทำเป็นประจำดู อาจไม่ต้องพึ่งการนวดหรือการฝังเข็มก็เป็นได้
เส้นลมปราณหลักทั่วร่างกายมี 12 เส้น ในนั้นที่เดินผ่านกระดูกต้นคอมีถึง 6 เส้น คือ เส้นตูม่าย เส้นกระเพาะปัสสาวะ เส้นซานเจียว เส้นลำไส้เล็ก เส้นลำไส้ใหญ่และเส้นถุงน้ำดี ซึ่งล้วนเป็นเส้นหยางทั้งนั้น
เส้นหยางเป็นเส้นที่ให้ความอุ่น เส้นลมปราณจึงจะเดินคล่อง เลือดลมไหลเวียนดี กล้ามเนื้อที่อยู่รอบต้นคอมีทั้งชิ้นเล็กชิ้นน้อย จากลึกมาหาตื้น จากชิ้นเล็กมาจนถึงชิ้นใหญ่ ทับซ้อนกันหลายชั้น เมื่ออยู่ในภาวะหนาวเย็นเป็นประจำ เส้นลมปราณ เส้นเลือด กล้ามเนื้อ ก็จะหดเกร็ง ยิ่งบวกกับการทำงานในท่าเดียวนานเกินไป กล้ามเนื้อจึงตึงเกร็งแข็งเป็นก้อน
เมื่อเส้นหยางเดินผ่านมาก ความอบอุ่นของบริเวณต้นคอ การไหลเวียนจึงเป็นไปอย่างคล่อง ไม่ติดขัดเช่นนี้ พอต้นคออยู่ท่ามกลางความหนาวเย็นตลอด ส่งผลให้กล้ามเนื้อต้นคอหดเกร็ง เลือดหนืด ไหลเวียนช้า ติดขัด ดังนั้นการป้องกันโรคนี้ ก็ต้องหลีกเลี่ยงจากความหนาวเย็น การไหลเวียนที่สะดวกของชี่เลือด การไหลเวียนที่คล่องไม่ติดขัดของเส้นลมปราณต้องอาศัยอุณหภูมิที่พอดีกับร่างกาย
โรคเกี่ยวกับต้นคอที่เกิดขึ้นมากมายในทุกวันนี้ แยกมาออกจากการที่อยู่ในห้องแอร์เย็นๆ กินดื่มอาหารที่แช่เย็น หรือมีฤทธิ์เย็นๆ เป็นประจำ รวมถึงการใช้ท่านั่งนอนที่ผิด การสะสมความเหนื่อยล้า รวมถึงความเครียดด้วย
เส้นลมปราณหยางเส้นหนึ่งยังเดินตั้งแต่ศีรษะผ่านต้นคอ แผ่นหลัง ไปจนถึงเอ็นร้อยหวายด้านนอกจนถึงเท้า ดังนั้น ความเย็นสามารถเข้าจากทางเท้า ส่งผลมาทำให้กล้ามเนื้อที่ไหล่ คอ และหลังหดเกร็งจนเกิดอาการเจ็บปวดขึ้นได้เช่นกัน
เมื่อรู้ความเป็นมาของโรคเช่นนี้ สิ่งแรกที่ควรทำก็คือ เริ่มดูแลป้องกันด้วยตัวเราเองก็คือ ใส่เสื้อให้อุ่นในขณะที่ทำงานหรือนอนในห้องแอร์ เพราะห้องแอร์ได้กลายเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการใช้ชีวิตของผู้คนในภาวะโลกร้อนไปเสียแล้ว
สองก็คือ กินขิง หอมใหญ่ พริก พริกไทย ข่า ตะไคร้ เพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้กับร่างกาย หรือเอาพริกไทยสัก 1 ขีด ตำให้ละเอียด ห่อผ้า แช่ในเหล้า 48 ดีกรี สักพัก แล้วเอามาถูกล้ามเนื้อต้นคอในบริเวณที่เจ็บ เพื่อให้มีความร้อน กล้ามเนื้อเมื่อได้ความอบอุ่นก็จะคลายตัวลง แต่ต้องระวังจะลวกไหม้ผิวหนัง ต้องค่อยๆ ลองทำก่อน
นอกจากนั่งในแอร์เย็นเป็นประจำแล้ว ยังอยู่หน้าจอคอมฯ เป็นเวลานานๆ ด้วย ทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็งอยู่ในท่าเดียว อาการปวดคอก็ยิ่งเพิ่มทวีความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้น การดูแลป้องกันโรคกระดูกต้นคอก็ต้องมีการบริหารเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อต้นคอ และเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นรอบๆ ต้นคอด้วย
พอทำงานหน้าจอคอมไปได้ประมาณ 1 ชม. ก็ลุกขึ้นมาเปลี่ยนอิริยาบถ หรือนั่งอยู่บนเก้าอี้แล้วเอามือทั้งสองไพล่หลังไปจับกัน ดึงรั้งแขนไปข้างหลังให้ตึง แหงนหน้าขึ้น ยืดตัวให้ตรง พร้อมกับหายใจเข้าลึกๆ แล้วผ่อนลมหายใจออกช้าๆ ทำซ้ำกันหลายครั้งตามแต่จะทนได้
ง่ายที่สุดก็คือ แกว่งแขน จาก 100 ครั้ง เพิ่มมากขึ้นเรื่อยจนเป็นพันครั้ง ถ้าทำได้ทุกวันจะทำให้กล้ามเนื้อบ่าไหล่ผ่อนคลายลงได้
บริหารต้นคอด้วยการฝึกโยคะ จะสามารถช่วยยืดเส้นสายให้ผ่อนคลาย ซึ่งบางครั้งการฝังเข็ม หรือการนวดไปไม่ถึง หรือที่เรียกกันสะบักจม
จุดสะบักที่ว่านี้ในกระเพาะปัสสาวะที่เดินเลาะเลียบริมสะบัก ห่างกระดูกสันหลังส่วนหน้าอกข้อที่ 4 ออกไป 3 นิ้ว จุดนี้จะเปิดให้ทะลุทะลวงยากมาก แต่ถ้าใครทำให้เปิดทะลวงได้ ร่างกายก็จะสบาย โบราณจีนเขาสอนให้เปิดทะลวงจุดนี้ด้วยท่าง่ายนิดเดียว คือ ยกไหล่ขึ้น แล้วห่อไหล่ไปด้านหน้า ท่านี้เรียกว่าเปิดจุดสะบัก จากนั้นดันไปข้างหลังอย่างแรงและเร็ว พร้อมกันนั้นนิ้วกลางทั้งสองนิ้วต้องไม่ให้หลุดจากเส้นกลางเข็มขัด จุดสะบักจะเปิดทะลวงค่อนข้างยาก จึงต้องฝึกเป็นประจำและเป็นเวลานาน
หรือจะใช้จุฬาลัมพา รมที่จุดนี้ก็ได้ โดยนั่งอุ้มพนักเก้าอี้เพื่อเผยให้เห็นจุดสะบักให้ชัด แล้วรมที่นั่น พอรมแล้วจะเจ็บมากแทบทนไม่ไหว แต่เมื่อรมไปได้สักพัก จะรู้สึกเหมือนมีน้ำร้อนราดลงล่าง จากนั้นจะรู้สึกโปร่ง โล่งสบาย แต่ของไทยเรา การฝึกโยคะก็ช่วยเปิดทะลวงจุดสะบักได้ดีทีเดียว
คนโบราณจีนยังสอนให้บริหารคอแบบเต่า ลองไปสังเกตดูว่าเต่าเคลื่อนไหวคออย่างไร ก็ทำตามอย่างเวลาที่เต่าเดินนั่นแหละ หัวเต่าจะผงกยืดหดๆ อยู่ตลอด ถ้าอยากรู้จริงก็ต้องไปซื้อเต่ามาดูเวลามันเดินก็ได้
เมื่อเส้นลมปราณที่เดินผ่านต้นคอมีมากมายเช่นนี้ การทำให้เส้นลมปราณเดินคล่องไม่ติดขัด จึงมีความสำคัญยิ่งในการป้องกันและรักษาโรคกระดูกต้นคอ การฝังเข็มเป็นการขจัดความติดขัดให้เดินได้สะดวกแก่เส้นลมปราณ
แต่ความสมดุลในโครงสร้างของต้นคอ ไม่เพียงมีแต่กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นเท่านั้น ยังมีข้อกระดูกสันหลัง ที่พร้อมจะเคลื่อนขยับมากดทับประสาทได้ทุกเมื่อถ้าคุณนั่งด้วยท่าที่ไม่เหมาะสม หรือเกิดการหกล้ม เกิดอุบัติเหตุ การยกของหนัก หรือการเล่นกีฬาที่ต้องเอี้ยวคอ หลังและเอว
ดังนั้น หลังการฝังเข็มเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อแล้ว ยังควรทำการทุยหนา เพื่อจัดเรียงกระดูกให้เข้าที่
การที่เราเกิดโรคขึ้น ไม่เพียงชี่เลือดและเส้นลมปราณเกิดความไม่ปกติเท่านั้น อวัยวะภายในที่กำกับดูแลอวัยวะเหล่านั้นก็มีความผิดปกติด้วย เช่น ตับกำกับดูแลเส้นเอ็น ถ้าตับอ่อนแอ ทำหน้าที่ได้ไม่ดี เส้นเอ็นก็ขาดความแข็งแรง ทำให้การร้อยรัดข้อต่างๆ แข็งแรงลดลง ทำให้เกิดอาการปวดบวมที่ข้อต่างๆ ขึ้นได้
ส่วนไตกำกับดูแลกระดูก ถ้าไตอ่อนแอ กระดูกก็จะไม่แข็งแกร่งด้วย ดังนั้นการจะทำให้ยาจีนเพื่อเสริมความแข็งแรงให้แก่ตับและไต เป็นการช่วยกันอีกแรงหนึ่งในการรักษาโรคนี้
การนั่งอยู่หน้าจอคอมฯ ทั้งวัน นอกจากจะปวดต้นคอแล้ว ยังปวดเมื่อย ไหล่ หลัง และเอวด้วย ถ้ากินยาจีน นวด ฝังเข็ม หรือใช้วิธีต่างๆ นานาแล้วไม่ได้ผล ลองวิธีง่ายๆที่ได้ผลรวดเร็วดู ที่แขนด้านหลังมีเส้นลมปราณไท่หยางมือลำไส้เล็กเดินพาดผ่านจากปลายนิ้วจนมาถึงต้นคอ จุด 'โฮ่วซี' เป็นจุดที่มือด้านนิ้วก้อยตรงนิ้วก้อยกับฝ่ามือเชื่อมกันพอดี นับจากปลายนิ้วก้อยมาเป็นจุดที่ 3 ใช้นิ้วโป้งซ้ายกดนวดจุดนี้ที่มือขวา 3 นาที แล้วเปลี่ยนมาใช้นิ้วโป้งมือขวากดจุดนี้ที่มือซ้าย 3 นาทีเช่นกัน จะช่วยให้ลมปราณและเลือดไหลเวียนดี
เพราะ 'จุดโฮ่วซี' เป็นจุดที่เชื่อมโยงไปถึงเส้นตูม่ายที่สันหลังได้ จึงเป็นจุดที่ช่วยรักษาการปวดเมื่อยสันหลังได้ดีที่สุด ลองทำเป็นประจำดู อาจไม่ต้องพึ่งการนวดหรือการฝังเข็มก็เป็นได้
กล้ามเนื้อหนีบเส้นประสาท โรคร้าย! รักษาผิด-เจ็บตัวฟรี
คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ชีวิตมนุษย์เงินเดือนนั่งทำงานในออฟฟิศ หรือแม้การนั่งขับรถอยู่บนท้องถนนเป็นเวลานานๆ ทำให้เหนื่อยล้าเกินกว่าจะออกกำลังกายเป็นประจำได้ เมื่อเวลาผ่านไปมักมีอาการปวดตามบ่า ไหล่ สะโพก ปวดร้าวถึงปลามือ ปลายขา บางรายชาที่ปลายมือปลายเท้าด้วย ทุกข์ทรมานแสนสาหัส อาการเหล่านี้ทางการแพทย์เรียกว่า "โรคกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท"
โรคกล้ามเนื้อหนีบเส้นประสาทจะมีอาการปวดร้าวและชา ไปตามแขนหรือขา อาการคล้ายกับโรคหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดกระดูกสันหลังยังแยกสองโรคออกได้ไม่ 100% ถ้าซักประวัติละเอียดจะพบว่า ผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องกล้ามเนื้อนี้จะมีอาการปวดบริเวณสะโพกนำมาก่อน และค่อยๆ ลามลงขาไปจนถึงปลายเท้า หรือปวดบริเวณคอหัวไหล่ แล้วค่อยๆ ลามไปถึงปลายแขน อาการรุนแรงกว่าโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทเสียอีก
"บางรายจะปวดมากจนนอนไม่หลับ เวลาเปลี่ยนอิริยาบถเริ่มเดินแรกๆ มักจะปวดสะโพกลงขา แต่พบเดินๆ ไประยะทางหนึ่งจะค่อยๆ หายปวดขา ถ้าเป็นที่กล้ามเนื้อต้นคอ เวลาขยับกล้ามเนื้อคอจะมีอาการปวดเสียวอย่างแรงเหมือนไฟฟ้าช็อตที่แขน อาการนี้คล้ายกับโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทมาก" นาวาอากาศเอก นพ.ทายาท บูรณกาล ผู้อำนวยการศูนย์รวมการรักษากระดูกสันหลัง โรงพยาบาลกรุงเทพ (Bangkok Hospital Comprehensive Spine Center) ให้ความชัดเจนในเรื่องนี้
โรคกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท อาการคล้าย "โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท" ต้องวินิจฉัยแยกโรคอื่นๆ ออกไป โดยการทำเอ็มอาร์ไอที่กระดูกสันหลังดูด้วยว่ามีโรคทางกระดูกสันหลังหรือไม่ พบบ่อยว่าทั้งสองโรคสามารถเกิดร่วมกันได้เสมอ และต้องระวังอย่านำผู้ป่วยที่ปวดอย่างรุนแรงไปผ่าตัดเร็วเกินไป เพราะการผ่าตัดกระดูกสันหลังไม่ได้ทำให้กล้ามเนื้อเหล่านี้คลายตัวได้
กล้ามเนื้อที่พบบ่อยว่ามีการหนีบทับเส้นประสาทส่วนขา คือ กล้ามเนื้อที่มีชื่อว่า พิริฟอร์มิส (Piriformis) จึงมีผู้ใช้ชื่อโรคกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาทขาว่า "พิริฟอร์มิสซินโดรม" (Pirifomis Syndrome) ผู้ป่วยจะมีอาการปวดร้าวตามขาเรื้อรัง ปวดสะโพกบริเวณที่นั่งทับ อาจจะมีอาการเล็กน้อย จนถึงขั้นรุนแรง และเดินไม่ได้ ผู้ป่วยบางรายได้รับการทำเอ็มอาร์ไอ หวังว่าจะพบกระดูกทับเส้น
แต่พบว่ากระดูกสันหลังปกติทังหมด ทำให้ไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร ที่โชคร้ายกว่านั้น คือ ผู้ป่วยบางรายผลเอ็มอาร์ไอมีหมอนรองกระดูกเสื่อมหรือผิดปกติเพียงเล็กน้อย แต่ด้วยความปวดทำให้ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดที่กระดูกสันหลังไป แต่ไม่หายปวด!! เป็นเพราะกล้ามเนื้อหนีบทับเส้นประสาท
ผู้ป่วยที่มีอาการปวดขา มีลักษณะคล้ายการปวดตามแนวของเส้นประสาท จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องวินิจฉัยแยกโรค "กล้ามเนื้อหนีบเส้นประสาท" ร่วมด้วยเสมอ หากรักษาโรคกล้ามเนื้อก่อนแล้ว จะทำให้ผู้ป่วยส่วนหนึ่งไม่ต้องถูกผ่าตัดโดยไม่จำเป็น นอกจากนี้ยังช่วยลดปัญหา "ผ่าตัดแล้วไม่หายปวด" ดังกล่าวแล้วได้ โดยแพทย์ผู้ชำนาญทางด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู (Rehabilitation) จะเป็นผู้ที่ทำการรักษาสภาวะผิดปกตินี้ได้เป็นอย่างดี
ดังนั้นผู้ป่วยทุกรายควรจะได้รับการตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์ด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู เพื่อแยกโรคทางกล้ามเนื้อออกเสียก่อนที่จะตัดสินใจผ่าตัด ทางการแพทย์เรียกการรักษาผู้ป่วยร่วมกันระหว่าง ศัลยแพทย์ และแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู รวมทั้งแพทย์สาขาอื่นๆ นี้ว่าการักษาแบบคอมพรีเฮนซีฟ แอพโพรช
พญ.สุชีลา จิตสาโรจิตโต ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวเสริมว่า กล้ามเนื้อของมนุษย์มีประมาณ 600 มัด เปรียบเสมือนเป็นมอเตอร์ให้ร่างกายของมนุษย์ขับเคลื่อนไปได้ทำงานตลอดเวลาไม่มีพักจึงป่วยได้ โดยส่งสัญญาณอาการปวดร้างตามร่างกายส่วนต่างๆ เพราะปกติกล้ามเนื้อของคนจะเสื่อมลงเฉลี่ยนปีละ 1 เปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว แต่โชคร้ายแม้เอกซเรย์หรือเอ็มอาร์ไอก็ไม่สามารถเห็จอาการป่วยของกล้ามเนื้อนี้ได้
"กล้ามเนื้อของมุษย์นั้น มีลักษณะเฉพาะตัว คือ แข็งแรง ทนทาน และยืดหยุ่นได้ หากอันใดอันหนึ่งทำงานไม่ปกติมีการตึงตัวหรือยืดหยุ่นน้อยลง ก็สามารถสร้างความเจ็บปวดขึ้นมาได้ ดั้งนั้นในการฟื้นฟูและการบำบัดนั้นในผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงมากนัก ต้องทำกายภาพบำบัดเพื่อลดอาการปวด และคลายกล้ามเนื้อ เช่น การใช้ความร้อนทั้งแบบพื้นผิว หรือแบบลึกไปสู่กล้ามเนื้อชั้นลึก หรือแม้กระทั่งการใช้ไฟฟ้ากระตุ้น หรือการฝังเข็มให้กล้ามเนื้อคลายตัว แต่ต้องอยู่ในความควบคุมของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ" พญ.สุชีลา กล่าว
โรคกล้ามเนื้อหนีบเส้นประสาทจะมีอาการปวดร้าวและชา ไปตามแขนหรือขา อาการคล้ายกับโรคหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาท แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านการผ่าตัดกระดูกสันหลังยังแยกสองโรคออกได้ไม่ 100% ถ้าซักประวัติละเอียดจะพบว่า ผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องกล้ามเนื้อนี้จะมีอาการปวดบริเวณสะโพกนำมาก่อน และค่อยๆ ลามลงขาไปจนถึงปลายเท้า หรือปวดบริเวณคอหัวไหล่ แล้วค่อยๆ ลามไปถึงปลายแขน อาการรุนแรงกว่าโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทเสียอีก
"บางรายจะปวดมากจนนอนไม่หลับ เวลาเปลี่ยนอิริยาบถเริ่มเดินแรกๆ มักจะปวดสะโพกลงขา แต่พบเดินๆ ไประยะทางหนึ่งจะค่อยๆ หายปวดขา ถ้าเป็นที่กล้ามเนื้อต้นคอ เวลาขยับกล้ามเนื้อคอจะมีอาการปวดเสียวอย่างแรงเหมือนไฟฟ้าช็อตที่แขน อาการนี้คล้ายกับโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทมาก" นาวาอากาศเอก นพ.ทายาท บูรณกาล ผู้อำนวยการศูนย์รวมการรักษากระดูกสันหลัง โรงพยาบาลกรุงเทพ (Bangkok Hospital Comprehensive Spine Center) ให้ความชัดเจนในเรื่องนี้
โรคกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาท อาการคล้าย "โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท" ต้องวินิจฉัยแยกโรคอื่นๆ ออกไป โดยการทำเอ็มอาร์ไอที่กระดูกสันหลังดูด้วยว่ามีโรคทางกระดูกสันหลังหรือไม่ พบบ่อยว่าทั้งสองโรคสามารถเกิดร่วมกันได้เสมอ และต้องระวังอย่านำผู้ป่วยที่ปวดอย่างรุนแรงไปผ่าตัดเร็วเกินไป เพราะการผ่าตัดกระดูกสันหลังไม่ได้ทำให้กล้ามเนื้อเหล่านี้คลายตัวได้
กล้ามเนื้อที่พบบ่อยว่ามีการหนีบทับเส้นประสาทส่วนขา คือ กล้ามเนื้อที่มีชื่อว่า พิริฟอร์มิส (Piriformis) จึงมีผู้ใช้ชื่อโรคกล้ามเนื้อสะโพกหนีบเส้นประสาทขาว่า "พิริฟอร์มิสซินโดรม" (Pirifomis Syndrome) ผู้ป่วยจะมีอาการปวดร้าวตามขาเรื้อรัง ปวดสะโพกบริเวณที่นั่งทับ อาจจะมีอาการเล็กน้อย จนถึงขั้นรุนแรง และเดินไม่ได้ ผู้ป่วยบางรายได้รับการทำเอ็มอาร์ไอ หวังว่าจะพบกระดูกทับเส้น
แต่พบว่ากระดูกสันหลังปกติทังหมด ทำให้ไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร ที่โชคร้ายกว่านั้น คือ ผู้ป่วยบางรายผลเอ็มอาร์ไอมีหมอนรองกระดูกเสื่อมหรือผิดปกติเพียงเล็กน้อย แต่ด้วยความปวดทำให้ผู้ป่วยได้รับการผ่าตัดที่กระดูกสันหลังไป แต่ไม่หายปวด!! เป็นเพราะกล้ามเนื้อหนีบทับเส้นประสาท
ผู้ป่วยที่มีอาการปวดขา มีลักษณะคล้ายการปวดตามแนวของเส้นประสาท จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องวินิจฉัยแยกโรค "กล้ามเนื้อหนีบเส้นประสาท" ร่วมด้วยเสมอ หากรักษาโรคกล้ามเนื้อก่อนแล้ว จะทำให้ผู้ป่วยส่วนหนึ่งไม่ต้องถูกผ่าตัดโดยไม่จำเป็น นอกจากนี้ยังช่วยลดปัญหา "ผ่าตัดแล้วไม่หายปวด" ดังกล่าวแล้วได้ โดยแพทย์ผู้ชำนาญทางด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู (Rehabilitation) จะเป็นผู้ที่ทำการรักษาสภาวะผิดปกตินี้ได้เป็นอย่างดี
ดังนั้นผู้ป่วยทุกรายควรจะได้รับการตรวจวินิจฉัยโดยแพทย์ด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟู เพื่อแยกโรคทางกล้ามเนื้อออกเสียก่อนที่จะตัดสินใจผ่าตัด ทางการแพทย์เรียกการรักษาผู้ป่วยร่วมกันระหว่าง ศัลยแพทย์ และแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู รวมทั้งแพทย์สาขาอื่นๆ นี้ว่าการักษาแบบคอมพรีเฮนซีฟ แอพโพรช
พญ.สุชีลา จิตสาโรจิตโต ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวเสริมว่า กล้ามเนื้อของมนุษย์มีประมาณ 600 มัด เปรียบเสมือนเป็นมอเตอร์ให้ร่างกายของมนุษย์ขับเคลื่อนไปได้ทำงานตลอดเวลาไม่มีพักจึงป่วยได้ โดยส่งสัญญาณอาการปวดร้างตามร่างกายส่วนต่างๆ เพราะปกติกล้ามเนื้อของคนจะเสื่อมลงเฉลี่ยนปีละ 1 เปอร์เซ็นต์อยู่แล้ว แต่โชคร้ายแม้เอกซเรย์หรือเอ็มอาร์ไอก็ไม่สามารถเห็จอาการป่วยของกล้ามเนื้อนี้ได้
"กล้ามเนื้อของมุษย์นั้น มีลักษณะเฉพาะตัว คือ แข็งแรง ทนทาน และยืดหยุ่นได้ หากอันใดอันหนึ่งทำงานไม่ปกติมีการตึงตัวหรือยืดหยุ่นน้อยลง ก็สามารถสร้างความเจ็บปวดขึ้นมาได้ ดั้งนั้นในการฟื้นฟูและการบำบัดนั้นในผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงมากนัก ต้องทำกายภาพบำบัดเพื่อลดอาการปวด และคลายกล้ามเนื้อ เช่น การใช้ความร้อนทั้งแบบพื้นผิว หรือแบบลึกไปสู่กล้ามเนื้อชั้นลึก หรือแม้กระทั่งการใช้ไฟฟ้ากระตุ้น หรือการฝังเข็มให้กล้ามเนื้อคลายตัว แต่ต้องอยู่ในความควบคุมของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ" พญ.สุชีลา กล่าว
วิธีดื่มน้ำ อ่านเถอะดีจริงๆ
วิธีดื่มน้ำ อ่านเถอะดีจริงๆ
เพื่อนๆคิดว่าสุดยอดของการเป็นหมออยู่ที่ไหนครับ
ในพฤติกรรมที่ผมว่าคนไทยส่วนใหญ่ทำผิดมากที่สุดคือ เรื่องของการดื่มน้ำนี่แหละครับ
ลองทำแบบทดสอบกันสักนิดก่อนอ่านต่อดีไหมครับ
1. คุณมีความเชื่อที่ว่าน้ำยิ่งดื่มเยอะยิ่งดีหรือไม่
2. คุณดื่มน้ำวันละกี่แก้ว
3. น้ำที่ดื่มเป็นน้ำเย็น, น้ำธรรมดา หรือว่าน้ำอุ่น
4. ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนเป็นพิเศษไหม เช่น ดื่มตอนเช้า ดื่มระหว่างทานข้าว ดื่มก่อนนอน เป็นต้น
5. ปกติดื่มอะไร เช่น น้ำเปล่า น้ำอัดลม ชา กาแฟ เป็นต้น
เราเฉลยกันไปทีละข้อๆพร้อมอธิบายละกันครับ พร้อมที่จะรู้ความผิดของ
ตัวเองหรือยังครับ
ข้อหนึ่งนั้น เป็นความเชื่อที่ผิดครับ ทุกอย่างต่างมีทั้งคุณและโทษ ต้องหาจุดสมดุลของมันครับ
น้ำดื่มมากเกินไปกลับไม่ดีเสียอีกครับ เดี๋ยวผมจะมีสูตรให้คำนวณว่าวันหนึ่งเพื่อนๆควรดื่มน้ำแค่ไหน
ข้อสอง คิดว่าทุกคนคงเคยเรียนกันมาอยู่แล้วว่าคนเราวันหนึ่งควรทานน้ำวันละ 8-10 แก้ว ว่าแต่
ทำได้อย่างที่เรียนมาหรือเปล่าครับ ผมจะอธิบายให้ฟังว่า น้ำในร่างกายของเรามีที่มาที่ไปอย่างไรก่อน
น้ำที่เข้าสู่ร่างกายเรามาจากน้ำและอาหารที่ทานเข้าไปเป็นหลัก
ส่วนน้ำจะออกจากร่างกายทางปัสสาวะ อุจจาระ เหงื่อ และทางลมหายใจ
แต่ปัสสาวะเป็นเส้นทางหลักครับ คนเราจำเป็นต้องปัสสาวะออกจากร่างกายอย่างน้อย 500 มิลลิลิตรต่อวัน
ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้หมด
นอกจากนี้อีกสามทางที่เหลือโดยเฉลี่ยก็จำเป็นต้องใช้น้ำอีกราว 1000 มิลลิลิตร หรือ 1 ลิตร ต่อวัน
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว คนเราจึงต้องดื่มน้ำเพื่อชดเชยส่วนที่ออกจากร่างกายทุกวันราว 1500 มล. หรือ 7-8 แก้ว
(แก้วละ 200 มล.) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเลขนี้ก็ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคนครับ
ผมเลยมีสูตรมาให้คิดกันคร่าวๆว่าวันหนึ่งเราต้องทานน้ำปริมาณเท่าไรจึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
สูตรคือ
(น้ำหนักตัว(กก.) x 2.2 x 30) / 2 หน่วยที่ได้ออกมาเป็นมิลลิลิตรครับ เช่น หนัก 60 กก. เอาเข้าแทนค่าก็จะได้
ควรดื่มน้ำ (60 x 2.2 x 30) / 2 = 1980 มล. หรือประมาณ 10 แก้วต่อวันครับ
ถ้าเราดื่มน้ำน้อยกว่านี้ เลือดซึ่ง 90% ทำมาจากน้ำก็จะไหลเวียนไม่สะดวก ร่างกายก็จะขับของเสียได้ยาก ขณะเดียวกัน
สารอาหารในเลือดก็ส่งไปถึงร่างกายช้า ทางแพทย์จีนถ้าเกิดเลือดลมเดินไม่สะดวกนี่เป็นบ่อเกิดสารพัดโรคเลย
บางคนบอกว่าประจำเดือนมาน้อยหรือไม่มา มาเป็นลิ่มเลือด สีเข้ม หนืด ปวดประจำเดือนก็แหงละครับ
น้ำไม่กินจะเอาที่ไหนไปสร้างเลือดละครับ
แต่ถ้าทานน้ำมากกว่านี้ก็เป็นผลเสียต่อร่างกายอีกเหมือนกัน ทำอะไรก็ต้องพอดีๆครับ
ข้อสาม อย่างที่เคยบอกไปตั้งแต่อาการขี้หนาวนะครับว่าน้ำเย็นเป็นของต้องห้ามสำหรับร่างกาย
กระเพาะเมื่อเจอของเย็นเข้าไปการทำงานจะด้อยลงทันที เกิดเป็นอาหารไม่ย่อย อาหารบูดเน่า หมักหมมอยู่ในกระเพาะ
และลำไส้ลำไส้ก็ดูดซึมของเสียจากกากอาหารพวกนี้กลับเข้าสู่เส้นเลือดต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะถ่ายอุจจาระออกจากร่างกายของเรา
เพราะฉะนั้นเราไม่ควรจะทานของเย็นๆครับ ทานน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นก็ได้
แต่ก่อนผมไม่รู้จุดนี้ก็ทานกันไป โดยเฉพาะไทยเป็นเมืองร้อน ทุกที่ต้องเสริฟน้ำเย็น เสริฟน้ำแข็งกันเป็นกระติกๆ กินกัน
จนเป็นเรื่องธรรมชาติ ก่อนหน้านี้ไม่รู้ก็เฉยๆ แต่พอตอนนี้ เห็นแล้วกลัวไปเลยครับ บ้านผมตอนนี้ไม่ทานน้ำแข็งกันแล้ว
ข้อสี่ ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนกัน ที่บอกให้ดื่มวันละ 8-10 แก้วเนี่ยจะแบ่งกินช่วงไหนระหว่างวันบ้างละ ใครที่ชอบทานข้าวไป
จิบน้ำไปประมาณว่ากินข้าวเสร็จหมดน้ำไปสองแก้ว ข้อนี้ผมจัดเป็นหายนะอย่างใหญ่หลวงที่สุดเลยครับ เป็นการกินน้ำที่ผิดที่สุดครับ
คนเรามักทำอะไรเพลินเสียจนลืมทานน้ำ พอถึงเวลาว่างซึ่งมักจะเป็นเวลาทานข้าว
เขาบอกว่าให้ทานน้ำเยอะก็ทานรวดเดียวไปเลย ผิด ผิด ผิด
ผิดแบบไม่น่าให้อภัยเลยครับ เพราะช่วงเวลาที่ทานข้าวนั้น ร่างกายจำเป็นต้องอาศัยน้ำย่อยในการย่อยอาหาร
เมื่อคุณกินน้ำเข้าไปเยอะๆแล้ว น้ำย่อยก็จะเจือจาง ก็เข้าสู่ระบบเดียวกับการกินของเย็นคืออาหารไม่ย่อย หมักหมม พิษถูกดูด
เข้าเส้นเลือด
เพราะฉะนั้นที่คุณควรทำคือ
ตอนเช้าตื่นมาดื่มน้ำก่อนเลยครับ 2-5 แก้ว เพื่อขับพิษออกจากร่างกายทางอุจจาระ ปัสสาวะ ที่ให้ดื่มทันทีเพื่อให้มีระยะเวลาห่างจากอาหารเช้าพอสมควร
ก่อนอาหาร 15 นาที ระหว่างทานอาหาร และหลังอาหาร 40 นาที ทานน้ำได้ไม่เกินครึ่งแก้วครับ
ในที่นี้หมายรวมถึงซุป น้ำแกง และของเหลวทุกประเภทนะครับ
และอย่าดื่มน้ำครั้งละมากๆ ให้จิบครั้งละ 2-3 อึก แต่จิบถี่ๆ หาขวดน้ำแก้วน้ำมาวางไว้ข้างตัว จิบไปทั้งวันครับ
ถ้ากินน้ำครั้งละมากๆผลก็คือ ร่างกายยังไม่ทันได้ดูดซึมก็ไหลรวดเดียวปัสสาวะออกไปหมดแล้ว
อย่างนี้ดื่มน้ำมากแค่ไหนก็ยังหิวน้ำครับ เหมือนน้ำป่ามาครั้งเดียว ทะลักล้นเขื่อนออกไปหมด แล้วจะเอาอะไร
กักเก็บไว้ในเขื่อนละครับ เหมือนทำยาก แต่จริงๆแล้วพอเริ่มทำมันก็ไม่ยากอะไรครับ
ผมแต่ก่อนทานน้ำ 2-3 แก้วพร้อมทานข้าว ด้วยเหตุผลสารพัดที่เข้าใจผิด เช่น ควรกินข้าวพออิ่มและทานน้ำ
เพื่อให้อิ่มจริง หรือกินล้างปากสักหน่อย (กินกันเป็นแก้วล้างปากเนี่ยนะ)
หรือต้องสั่งชอคโกแลตปั่นใส่วิปครีมมากิน กินแล้วหวานมันเย็นอร่อยแต่ส่งผลเสียต่อกระเพาะโดยไม่รู้ตัว
เบียร์ก็อีกตัวครับ สังสรรค์กันทีกินเข้าไปสิกี่ขวดว่ากันไป ทุกวันนี้เลิกครับ
ได้ข้อดีอีกอย่างคือไม่รู้จะเอาเวลาที่ไหนไปดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะมันควรกินแกล้มอาหาร เลยได้เลิกเหล้า
เลิกเบียร์กันไป
แต่ก่อนหลังทานข้าวเสร็จผมจะเรอตลอด ท้องอืดมาก ก็งง หรือว่าเรากินเยอะไป แต่บางทีกินไม่เยอะก็เรอตลอด
เสียบุคลิกมาก พอมารู้ตรงนี้ถึงได้ถึงบางอ้อ กินน้ำเยอะอย่างนี้แล้วอาหารจะย่อยยังไงมันก็เลยเกิดลมเกิดแก๊สซิ
พอเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำใหม่ อาการเหล่านี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆครับ
นอกจากนี้หลังอาหารยังไม่ควรทานผลไม้ล้างปากทันทีอีกด้วยครับ โดยเฉพาะผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็นทั้งหลาย เช่น
ส้ม แก้วมังกร สาลี่ แตงโม เป็นต้น
มีสองเหตุผลครับ
หนึ่ง เพราะว่าผลไม้จะย่อยเร็วกว่าอาหาร อาหารยังย่อยไม่เสร็จ ผลไม้ก็ค้างเติ่งอยู่ในกระเพาะ ร่างกายก็ดูดซึม
สารอาหารจากผลไม้เหล่านี้ไม่ได้ พอไปถึงลำไส้ถึงคิวที่มันจะได้ดูดซึมมันก็เน่าเสียไปหมดแล้วครับ
เพราะฉะนั้นถ้าจะทานผลไม้ควรทานก่อนหรือหลังอาหารสัก 1-2 ชม. ขณะท้องว่างเพื่อให้ร่างกายได้ดูดซึมวิตามิน
สารอาหารและไม่รบกวนระบบการย่อย?าหารด้วย
เหตุผลที่สอง คือ น้ำย่อยในกระเพาะถือว่าเป็นธาตุไฟครับ ถ้าทานผลไม้ฤทธิ์เย็นเข้าไปก็จะส่งผลให้อาหารย่อยไม่ดี
เกิดวงจรอุบาทว์ดังเช่นข้างบนอีกเหมือนกัน
มาถึงข้อสุดท้ายแล้ว เป็นไงบ้างครับ คอตกรับผิดกันเป็นแถวเชียว ยังครับมารับรู้ความผิดของตัวเองกันในข้อนี้ต่อ
ทานน้ำอะไรกันครับ บางคนชอบทานน้ำอัดลมมาก ดื่มทุกวัน ไตก็ต้องทำงานกรองน้ำให้สะอาดหนักกว่าเดิม
เครื่องกรองน้ำยี่ห้อแอมเวย์สามารถกรองโค้กให้กลายเป็นน้ำเปล่าได้อายุการใช้งานไม่ถึงปีก็ต้องเปลี่ยนหัวกรอง
ทว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนไตได้ครับ ถ้ายังอยากให้ไตอยู่คู่กับเรานานๆแล้ว คุณคงรู้ว่าต้องทำอย่างไร
อีกอย่างน้ำอัดลมเป็นน้ำที่ผ่านกรรมวิธีทางเคมี ใส่น้ำตาลจำนวนมาก กินเข้าไปมีแต่ผลเสียครับ
ยิ่งอัดแก๊สอีก กินเข้าไปท้องก็อืด การย่อยอาหารก็ไม่ดี เสียเงินไปทำร้ายร่างกายตัวเองเปล่าๆ
พวกชาพร้อมดื่มบรรจุขวดก็เหมือนกันไม่มีอะไรนอกจากน้ำตาลและคาเฟอีนปริมาณมากผสมน้ำนำมาขาย
แต่ถ้าเป็นชาจีนร้อนๆชงจากกาก็ควรจะเว้นระยะหลังอาหารสักครึ่ง ชม.ครับ เพราะชามีฤทธิ์เย็น ทำให้อาหารไม่ย่อย
รวมทั้งยังส่งผลต่อร่างกายในการดูดซึมธาตุเหล็กและโปรตีนอีกด้วย
กาแฟก็ไม่ควรทานอย่างที่เคยพูดไว้ บางคนเถียงข้างๆคูๆ "กาแฟหอมนะหมอ"หอมครับผมไม่เถียง แต่มันไม่ดีครับ
เดี๋ยวไอเดียบรรเจิดไม่เป็นหมอแล้ว ผลิตยาดมรสกาแฟดีกว่า ท่าจะรุ่ง
อีกอย่างขอแถมนิดนึง คนไทยชอบกินก๋วยเตี๋ยวเติมเครื่องเยอะๆ อร่อยลิ้นแต่ไตทำงานหนักนะครับ
ครบห้าข้อแล้ว โอย เหนื่อย เอนทรี่นี้ยาวเป็นบ้า แต่ก็จำเป็นต้องเขียน เพื่อประโยชน์สุขของมวลชน555 ว่าไปนั่น
ที่เขียนมาให้อ่านนี้เพราะหวังดีจริงๆครับ อยากให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างถูกต้องเพื่อจะได้ห่างจากโรคภัยไข้เจ็บอย่างที่บอกครับ
หมอไม่อยากรักษาคนไข้หรอกครับ และหมอที่ดีที่สุดคือตัวคนไข้เอง
เพราะพวกผมไม่มีทางอยู่กับคุณได้ตลอด ความสำเร็จไม่ใช่ได้มาเพียงชั่ว
ข้ามคืน แต่ต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างยาวนาน
สุขภาพที่ดีไม่ใช่ว่าป่วยแล้วไปหาหมอ ได้ยามาทานแล้วหาย แต่เป็นหน้าที่ของตัวคุณเองที่ต้องดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง
ขอให้พวกเราชนะโดยไม่จำเป็นต้องออกกระบวนท่าครับ
ปล. If you trust me ก็นำไปปฏิบัติตามนะครับ อีกอย่างความรู้ควรแบ่งปันครับ คนไม่รู้เรื่องนี้ยังมีอีกมาก
เพื่อนๆคิดว่าสุดยอดของการเป็นหมออยู่ที่ไหนครับ
ในพฤติกรรมที่ผมว่าคนไทยส่วนใหญ่ทำผิดมากที่สุดคือ เรื่องของการดื่มน้ำนี่แหละครับ
ลองทำแบบทดสอบกันสักนิดก่อนอ่านต่อดีไหมครับ
1. คุณมีความเชื่อที่ว่าน้ำยิ่งดื่มเยอะยิ่งดีหรือไม่
2. คุณดื่มน้ำวันละกี่แก้ว
3. น้ำที่ดื่มเป็นน้ำเย็น, น้ำธรรมดา หรือว่าน้ำอุ่น
4. ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนเป็นพิเศษไหม เช่น ดื่มตอนเช้า ดื่มระหว่างทานข้าว ดื่มก่อนนอน เป็นต้น
5. ปกติดื่มอะไร เช่น น้ำเปล่า น้ำอัดลม ชา กาแฟ เป็นต้น
เราเฉลยกันไปทีละข้อๆพร้อมอธิบายละกันครับ พร้อมที่จะรู้ความผิดของ
ตัวเองหรือยังครับ
ข้อหนึ่งนั้น เป็นความเชื่อที่ผิดครับ ทุกอย่างต่างมีทั้งคุณและโทษ ต้องหาจุดสมดุลของมันครับ
น้ำดื่มมากเกินไปกลับไม่ดีเสียอีกครับ เดี๋ยวผมจะมีสูตรให้คำนวณว่าวันหนึ่งเพื่อนๆควรดื่มน้ำแค่ไหน
ข้อสอง คิดว่าทุกคนคงเคยเรียนกันมาอยู่แล้วว่าคนเราวันหนึ่งควรทานน้ำวันละ 8-10 แก้ว ว่าแต่
ทำได้อย่างที่เรียนมาหรือเปล่าครับ ผมจะอธิบายให้ฟังว่า น้ำในร่างกายของเรามีที่มาที่ไปอย่างไรก่อน
น้ำที่เข้าสู่ร่างกายเรามาจากน้ำและอาหารที่ทานเข้าไปเป็นหลัก
ส่วนน้ำจะออกจากร่างกายทางปัสสาวะ อุจจาระ เหงื่อ และทางลมหายใจ
แต่ปัสสาวะเป็นเส้นทางหลักครับ คนเราจำเป็นต้องปัสสาวะออกจากร่างกายอย่างน้อย 500 มิลลิลิตรต่อวัน
ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้หมด
นอกจากนี้อีกสามทางที่เหลือโดยเฉลี่ยก็จำเป็นต้องใช้น้ำอีกราว 1000 มิลลิลิตร หรือ 1 ลิตร ต่อวัน
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว คนเราจึงต้องดื่มน้ำเพื่อชดเชยส่วนที่ออกจากร่างกายทุกวันราว 1500 มล. หรือ 7-8 แก้ว
(แก้วละ 200 มล.) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเลขนี้ก็ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคนครับ
ผมเลยมีสูตรมาให้คิดกันคร่าวๆว่าวันหนึ่งเราต้องทานน้ำปริมาณเท่าไรจึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
สูตรคือ
(น้ำหนักตัว(กก.) x 2.2 x 30) / 2 หน่วยที่ได้ออกมาเป็นมิลลิลิตรครับ เช่น หนัก 60 กก. เอาเข้าแทนค่าก็จะได้
ควรดื่มน้ำ (60 x 2.2 x 30) / 2 = 1980 มล. หรือประมาณ 10 แก้วต่อวันครับ
ถ้าเราดื่มน้ำน้อยกว่านี้ เลือดซึ่ง 90% ทำมาจากน้ำก็จะไหลเวียนไม่สะดวก ร่างกายก็จะขับของเสียได้ยาก ขณะเดียวกัน
สารอาหารในเลือดก็ส่งไปถึงร่างกายช้า ทางแพทย์จีนถ้าเกิดเลือดลมเดินไม่สะดวกนี่เป็นบ่อเกิดสารพัดโรคเลย
บางคนบอกว่าประจำเดือนมาน้อยหรือไม่มา มาเป็นลิ่มเลือด สีเข้ม หนืด ปวดประจำเดือนก็แหงละครับ
น้ำไม่กินจะเอาที่ไหนไปสร้างเลือดละครับ
แต่ถ้าทานน้ำมากกว่านี้ก็เป็นผลเสียต่อร่างกายอีกเหมือนกัน ทำอะไรก็ต้องพอดีๆครับ
ข้อสาม อย่างที่เคยบอกไปตั้งแต่อาการขี้หนาวนะครับว่าน้ำเย็นเป็นของต้องห้ามสำหรับร่างกาย
กระเพาะเมื่อเจอของเย็นเข้าไปการทำงานจะด้อยลงทันที เกิดเป็นอาหารไม่ย่อย อาหารบูดเน่า หมักหมมอยู่ในกระเพาะ
และลำไส้ลำไส้ก็ดูดซึมของเสียจากกากอาหารพวกนี้กลับเข้าสู่เส้นเลือดต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะถ่ายอุจจาระออกจากร่างกายของเรา
เพราะฉะนั้นเราไม่ควรจะทานของเย็นๆครับ ทานน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นก็ได้
แต่ก่อนผมไม่รู้จุดนี้ก็ทานกันไป โดยเฉพาะไทยเป็นเมืองร้อน ทุกที่ต้องเสริฟน้ำเย็น เสริฟน้ำแข็งกันเป็นกระติกๆ กินกัน
จนเป็นเรื่องธรรมชาติ ก่อนหน้านี้ไม่รู้ก็เฉยๆ แต่พอตอนนี้ เห็นแล้วกลัวไปเลยครับ บ้านผมตอนนี้ไม่ทานน้ำแข็งกันแล้ว
ข้อสี่ ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนกัน ที่บอกให้ดื่มวันละ 8-10 แก้วเนี่ยจะแบ่งกินช่วงไหนระหว่างวันบ้างละ ใครที่ชอบทานข้าวไป
จิบน้ำไปประมาณว่ากินข้าวเสร็จหมดน้ำไปสองแก้ว ข้อนี้ผมจัดเป็นหายนะอย่างใหญ่หลวงที่สุดเลยครับ เป็นการกินน้ำที่ผิดที่สุดครับ
คนเรามักทำอะไรเพลินเสียจนลืมทานน้ำ พอถึงเวลาว่างซึ่งมักจะเป็นเวลาทานข้าว
เขาบอกว่าให้ทานน้ำเยอะก็ทานรวดเดียวไปเลย ผิด ผิด ผิด
ผิดแบบไม่น่าให้อภัยเลยครับ เพราะช่วงเวลาที่ทานข้าวนั้น ร่างกายจำเป็นต้องอาศัยน้ำย่อยในการย่อยอาหาร
เมื่อคุณกินน้ำเข้าไปเยอะๆแล้ว น้ำย่อยก็จะเจือจาง ก็เข้าสู่ระบบเดียวกับการกินของเย็นคืออาหารไม่ย่อย หมักหมม พิษถูกดูด
เข้าเส้นเลือด
เพราะฉะนั้นที่คุณควรทำคือ
ตอนเช้าตื่นมาดื่มน้ำก่อนเลยครับ 2-5 แก้ว เพื่อขับพิษออกจากร่างกายทางอุจจาระ ปัสสาวะ ที่ให้ดื่มทันทีเพื่อให้มีระยะเวลาห่างจากอาหารเช้าพอสมควร
ก่อนอาหาร 15 นาที ระหว่างทานอาหาร และหลังอาหาร 40 นาที ทานน้ำได้ไม่เกินครึ่งแก้วครับ
ในที่นี้หมายรวมถึงซุป น้ำแกง และของเหลวทุกประเภทนะครับ
และอย่าดื่มน้ำครั้งละมากๆ ให้จิบครั้งละ 2-3 อึก แต่จิบถี่ๆ หาขวดน้ำแก้วน้ำมาวางไว้ข้างตัว จิบไปทั้งวันครับ
ถ้ากินน้ำครั้งละมากๆผลก็คือ ร่างกายยังไม่ทันได้ดูดซึมก็ไหลรวดเดียวปัสสาวะออกไปหมดแล้ว
อย่างนี้ดื่มน้ำมากแค่ไหนก็ยังหิวน้ำครับ เหมือนน้ำป่ามาครั้งเดียว ทะลักล้นเขื่อนออกไปหมด แล้วจะเอาอะไร
กักเก็บไว้ในเขื่อนละครับ เหมือนทำยาก แต่จริงๆแล้วพอเริ่มทำมันก็ไม่ยากอะไรครับ
ผมแต่ก่อนทานน้ำ 2-3 แก้วพร้อมทานข้าว ด้วยเหตุผลสารพัดที่เข้าใจผิด เช่น ควรกินข้าวพออิ่มและทานน้ำ
เพื่อให้อิ่มจริง หรือกินล้างปากสักหน่อย (กินกันเป็นแก้วล้างปากเนี่ยนะ)
หรือต้องสั่งชอคโกแลตปั่นใส่วิปครีมมากิน กินแล้วหวานมันเย็นอร่อยแต่ส่งผลเสียต่อกระเพาะโดยไม่รู้ตัว
เบียร์ก็อีกตัวครับ สังสรรค์กันทีกินเข้าไปสิกี่ขวดว่ากันไป ทุกวันนี้เลิกครับ
ได้ข้อดีอีกอย่างคือไม่รู้จะเอาเวลาที่ไหนไปดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะมันควรกินแกล้มอาหาร เลยได้เลิกเหล้า
เลิกเบียร์กันไป
แต่ก่อนหลังทานข้าวเสร็จผมจะเรอตลอด ท้องอืดมาก ก็งง หรือว่าเรากินเยอะไป แต่บางทีกินไม่เยอะก็เรอตลอด
เสียบุคลิกมาก พอมารู้ตรงนี้ถึงได้ถึงบางอ้อ กินน้ำเยอะอย่างนี้แล้วอาหารจะย่อยยังไงมันก็เลยเกิดลมเกิดแก๊สซิ
พอเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำใหม่ อาการเหล่านี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆครับ
นอกจากนี้หลังอาหารยังไม่ควรทานผลไม้ล้างปากทันทีอีกด้วยครับ โดยเฉพาะผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็นทั้งหลาย เช่น
ส้ม แก้วมังกร สาลี่ แตงโม เป็นต้น
มีสองเหตุผลครับ
หนึ่ง เพราะว่าผลไม้จะย่อยเร็วกว่าอาหาร อาหารยังย่อยไม่เสร็จ ผลไม้ก็ค้างเติ่งอยู่ในกระเพาะ ร่างกายก็ดูดซึม
สารอาหารจากผลไม้เหล่านี้ไม่ได้ พอไปถึงลำไส้ถึงคิวที่มันจะได้ดูดซึมมันก็เน่าเสียไปหมดแล้วครับ
เพราะฉะนั้นถ้าจะทานผลไม้ควรทานก่อนหรือหลังอาหารสัก 1-2 ชม. ขณะท้องว่างเพื่อให้ร่างกายได้ดูดซึมวิตามิน
สารอาหารและไม่รบกวนระบบการย่อย?าหารด้วย
เหตุผลที่สอง คือ น้ำย่อยในกระเพาะถือว่าเป็นธาตุไฟครับ ถ้าทานผลไม้ฤทธิ์เย็นเข้าไปก็จะส่งผลให้อาหารย่อยไม่ดี
เกิดวงจรอุบาทว์ดังเช่นข้างบนอีกเหมือนกัน
มาถึงข้อสุดท้ายแล้ว เป็นไงบ้างครับ คอตกรับผิดกันเป็นแถวเชียว ยังครับมารับรู้ความผิดของตัวเองกันในข้อนี้ต่อ
ทานน้ำอะไรกันครับ บางคนชอบทานน้ำอัดลมมาก ดื่มทุกวัน ไตก็ต้องทำงานกรองน้ำให้สะอาดหนักกว่าเดิม
เครื่องกรองน้ำยี่ห้อแอมเวย์สามารถกรองโค้กให้กลายเป็นน้ำเปล่าได้อายุการใช้งานไม่ถึงปีก็ต้องเปลี่ยนหัวกรอง
ทว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนไตได้ครับ ถ้ายังอยากให้ไตอยู่คู่กับเรานานๆแล้ว คุณคงรู้ว่าต้องทำอย่างไร
อีกอย่างน้ำอัดลมเป็นน้ำที่ผ่านกรรมวิธีทางเคมี ใส่น้ำตาลจำนวนมาก กินเข้าไปมีแต่ผลเสียครับ
ยิ่งอัดแก๊สอีก กินเข้าไปท้องก็อืด การย่อยอาหารก็ไม่ดี เสียเงินไปทำร้ายร่างกายตัวเองเปล่าๆ
พวกชาพร้อมดื่มบรรจุขวดก็เหมือนกันไม่มีอะไรนอกจากน้ำตาลและคาเฟอีนปริมาณมากผสมน้ำนำมาขาย
แต่ถ้าเป็นชาจีนร้อนๆชงจากกาก็ควรจะเว้นระยะหลังอาหารสักครึ่ง ชม.ครับ เพราะชามีฤทธิ์เย็น ทำให้อาหารไม่ย่อย
รวมทั้งยังส่งผลต่อร่างกายในการดูดซึมธาตุเหล็กและโปรตีนอีกด้วย
กาแฟก็ไม่ควรทานอย่างที่เคยพูดไว้ บางคนเถียงข้างๆคูๆ "กาแฟหอมนะหมอ"หอมครับผมไม่เถียง แต่มันไม่ดีครับ
เดี๋ยวไอเดียบรรเจิดไม่เป็นหมอแล้ว ผลิตยาดมรสกาแฟดีกว่า ท่าจะรุ่ง
อีกอย่างขอแถมนิดนึง คนไทยชอบกินก๋วยเตี๋ยวเติมเครื่องเยอะๆ อร่อยลิ้นแต่ไตทำงานหนักนะครับ
ครบห้าข้อแล้ว โอย เหนื่อย เอนทรี่นี้ยาวเป็นบ้า แต่ก็จำเป็นต้องเขียน เพื่อประโยชน์สุขของมวลชน555 ว่าไปนั่น
ที่เขียนมาให้อ่านนี้เพราะหวังดีจริงๆครับ อยากให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างถูกต้องเพื่อจะได้ห่างจากโรคภัยไข้เจ็บอย่างที่บอกครับ
หมอไม่อยากรักษาคนไข้หรอกครับ และหมอที่ดีที่สุดคือตัวคนไข้เอง
เพราะพวกผมไม่มีทางอยู่กับคุณได้ตลอด ความสำเร็จไม่ใช่ได้มาเพียงชั่ว
ข้ามคืน แต่ต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างยาวนาน
สุขภาพที่ดีไม่ใช่ว่าป่วยแล้วไปหาหมอ ได้ยามาทานแล้วหาย แต่เป็นหน้าที่ของตัวคุณเองที่ต้องดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง
ขอให้พวกเราชนะโดยไม่จำเป็นต้องออกกระบวนท่าครับ
ปล. If you trust me ก็นำไปปฏิบัติตามนะครับ อีกอย่างความรู้ควรแบ่งปันครับ คนไม่รู้เรื่องนี้ยังมีอีกมาก
วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
วันศุกร์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
เคล็ดไม่ลับ ประจำบ้าน
เคล็ดไม่ลับ ประจำบ้าน
การรักษาเครื่องซักผ้า
เวลาที่ไม่ใช้เครื่องซักผ้า
ให้เปิดฝาทิ้งไว้เสมอ
ช่วยรักษาแผ่นยางที่อยู่ตรงประตูเครื่อง
และช่วยให้เครื่องไม่มีกลิ่นด้วยจ้ะ
ล้างห้องน้ำด้วยโค้ก
การทำความสะอาดชักโครก
ให้ปราศจากคราบ
และดูเหมือนใหม่เสมอ
คือ ให้ชักโครกกินโค้กซะบ้าง
เทโค้กใส่ลงในชักโครก
ปล่อยให้ชักโครกดื่มโค้กอย่างสบายใจ
สักสองสามชั่วโมง
คราบสกปรกจะหลุดออกหมด
น้ำตาเทียนหยดใส่พื้น
ไม่ว่าจะเป็นพื้นพรม พื้นไม้
หรือโต๊ะ ตู้
ถ้ามีน้ำตาเทียนหยดใส่
อย่ามัวแต่นั่งแกะให้เสียเวลา
ให้เอากระดาษทิชชู่หนา ๆ
วางบนคราบน้ำตาเทียนนั้น
แล้วเอาเตารีดไฟปานกลางมารีด ๆ
น้ำตาเทียนจะหลุดติดกับทิชชู่
ระวังอย่าให้ไฟแรงมากนะ
เดี๋ยวไหม้
ทำให้บ้านหอม
ไม่ต้องพึ่งสเปรย์หอมกันแล้ว
ให้เอาส้มเช้ง
มาปักไว้ด้วยกานพลูหลาย ๆ ดอก
วางทิ้งไว้ตามจุดต่าง ๆ ในบ้าน
ใส่แก้วสวย ๆ ก็จะดูดี
ดูเหมือนของตกแต่ง
ทีนี้กลิ่นในบ้านจะหอมหวนตลอดเวลา
ข้อควรระวัง
ต้องหมั่นเปลี่ยนส้มซักหน่อย
อย่าทิ้งไว้จนเน่า
ไม่งั้นคงได้กลิ่นตรงกันข้าม
ไมโครเวฟหอมชื่นใจ
เอาชามใส่น้ำอุ่นบีบมะนาว
วางไว้ตรงกลางไมโครเวฟ
เปิดเครื่องร้อนสุดห้านาที
ความร้อนจากน้ำจะทำให้คราบสกปรก
หลุดโดยง่าย
และมะนาวจะช่วยให้กลิ่นหอมสดชื่น
ลอกสติ๊กเกอร์
สติ๊กเกอร์ที่แปะตู้เย็น
คอมพิวเตอร์ หรือตามผนังอะไรก็ตาม
เวลาเบื่อแล้วจะลอกทิ้งไป
ให้ใช้น้ำมันก๊าดชุบผ้าหมาด ๆ
เช็ดถูตรงสติ๊กเกอร์
แล้วปล่อยทิ้งไว้สักพัก
สติ๊กเกอร์จะหลุดออกมาโดยง่าย
กระจกใส
น้ำยาเช็ดกระจก
นอกจากจะมีสารเคมีแล้ว
ยังเสียเงินแพงอีกด้วย
ใช้วิธีนี้จะดีกว่า
ให้เอาน้ำอุ่นใส่ถัง
เอาหอมใหญ่มาปอกเปลือก
แล้วผ่าสี่
ใส่หอมลงไปในถัง
แค่นี้แหละ
เช็ดกระจกได้ใสแจ่มแจ๋วเหมือนใหม่
ทำความสะอาดเตาอบ
1. ตั้งเตาอบไว้ที่ความร้อน 200 องศาเซลเซียส
ปล่อยไว้ 3 นาที
แล้วจึงปิดเครื่อง
2. เอาหม้อใส่น้ำเดือดตั้งไว้ที่พื้นเตาอบ
3. เอาชามทนไฟใบเล็ก ๆ
ใส่แอมโมเนีย
วางบนตะแกรงเตาอบ
เหนือหม้อน้ำเดือดที่ใส่ไว้
4. ปิดฝาเตาอบทิ้งไว้หลาย ๆ ชั่วโมง
แล้วค่อยนำผ้า
มาเช็ดทำความสะอาดเตาอบ
คราบต่าง ๆ จะหลุดลอกออกมาโดยง่าย
กำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ในตู้เย็น
1. เอากาแฟเย็นใส่ถ้วย
วางไว้หนึ่งคืน
กลิ่นจะหายไปดังปลิดทิ้ง
2. เอามันฝรั่งผ่าครึ่งใส่ชามเล็ก ๆ วางไว้
มันฝรั่งจะดูดกลิ่นไปหมด
3. เอาถุงชาที่ยังไม่ได้ชงใส่ไว้
ถุงชาจะซับกลิ่นเช่นเดียวกับมันฝรั่ง
จะวางถุงทิ้งไว้ตลอดก็ได้
ซักสองอาทิตย์ก็เปลี่ยนครั้งนึง
ตู้เย็นจะได้หอมตลอดกาล
กำจัดกลิ่นบนเขียง
หลังจากที่ใช้เขียง
หั่นหอมกระเทียม
เขียงมักจะเก็บกลิ่นฉุนไว้ติดแน่น
ให้เอามะนาวผ่าซีก
มาถูบนเขียงให้ทั่ว
แล้วล้างออก
กลิ่นจะหายไป
กำจัดขนสัตว์เลี้ยง
ขนสัตว์เลี้ยง
ที่ติดตามโซฟา เบาะ
กำจัดได้โดย
ใส่ถุงมือยาง
ชุบน้ำหมาด ๆ
แล้วเอาถุงมือนี่แหละ
ไปถู ๆ ตามโซฟา
ขนจะม้วนติดกันเป็นก้อน ๆ
เก็บทิ้งได้ง่าย
ไล่แมวแบบนิ่ม ๆ
เอาแผ่นอลูมิเนียมฟอยล์
วางไว้บนที่ที่ไม่อยากให้แมวมา
แมวเกลียดเจ้าแผ่นนี้มาก
จะเป็นเพราะเสียงกรอบแกรบ
หรือแสงสะท้อนก็ไม่ทราบ
ไล่แมลงวัน
แมลงวันชอบเข้ามาอยู่ในครัว
ให้เอาแก้วใส่น้ำอุ่นครึ่งแก้ว
ใส่น้ำส้มสายชู
ลงไปซัก 2-3 ช้อนโต๊ะ
ใส่น้ำตาลนิดนึง
ปิดฝาแก้วด้วยพลาสติก
จิ้มรูไว้หลาย ๆ รู
แมลงวันได้กลิ่นแล้วจะหนีไป
ไล่แมงมุม
แมงมุมชอบมาชักไย
ไว้ตามซอกมุมต่าง ๆ
วิธีไล่แมงมุมง่าย ๆ
ก็คือ วางชามใส่เกลือไว้ตรงซอก
ที่แมงมุมชอบชักไย
เกลือจะดูดความชื้น
ทำให้แมงมุมสร้างไยไม่สำเร็จ
กำจัดหอยทาก
ให้เอาชามอ่างเล็ก ๆ
ใส่เบียร์วางทิ้งไว้
บริเวณที่มีหอยทาก
หอยจะพากันมากินเบียร์
และเมาตายในที่สุด
ถึงจะอ่านแล้วดูบาป ๆ
แต่หอยทากคงจะตายอย่างมีความสุข
การรักษาเครื่องซักผ้า
เวลาที่ไม่ใช้เครื่องซักผ้า
ให้เปิดฝาทิ้งไว้เสมอ
ช่วยรักษาแผ่นยางที่อยู่ตรงประตูเครื่อง
และช่วยให้เครื่องไม่มีกลิ่นด้วยจ้ะ
ล้างห้องน้ำด้วยโค้ก
การทำความสะอาดชักโครก
ให้ปราศจากคราบ
และดูเหมือนใหม่เสมอ
คือ ให้ชักโครกกินโค้กซะบ้าง
เทโค้กใส่ลงในชักโครก
ปล่อยให้ชักโครกดื่มโค้กอย่างสบายใจ
สักสองสามชั่วโมง
คราบสกปรกจะหลุดออกหมด
น้ำตาเทียนหยดใส่พื้น
ไม่ว่าจะเป็นพื้นพรม พื้นไม้
หรือโต๊ะ ตู้
ถ้ามีน้ำตาเทียนหยดใส่
อย่ามัวแต่นั่งแกะให้เสียเวลา
ให้เอากระดาษทิชชู่หนา ๆ
วางบนคราบน้ำตาเทียนนั้น
แล้วเอาเตารีดไฟปานกลางมารีด ๆ
น้ำตาเทียนจะหลุดติดกับทิชชู่
ระวังอย่าให้ไฟแรงมากนะ
เดี๋ยวไหม้
ทำให้บ้านหอม
ไม่ต้องพึ่งสเปรย์หอมกันแล้ว
ให้เอาส้มเช้ง
มาปักไว้ด้วยกานพลูหลาย ๆ ดอก
วางทิ้งไว้ตามจุดต่าง ๆ ในบ้าน
ใส่แก้วสวย ๆ ก็จะดูดี
ดูเหมือนของตกแต่ง
ทีนี้กลิ่นในบ้านจะหอมหวนตลอดเวลา
ข้อควรระวัง
ต้องหมั่นเปลี่ยนส้มซักหน่อย
อย่าทิ้งไว้จนเน่า
ไม่งั้นคงได้กลิ่นตรงกันข้าม
ไมโครเวฟหอมชื่นใจ
เอาชามใส่น้ำอุ่นบีบมะนาว
วางไว้ตรงกลางไมโครเวฟ
เปิดเครื่องร้อนสุดห้านาที
ความร้อนจากน้ำจะทำให้คราบสกปรก
หลุดโดยง่าย
และมะนาวจะช่วยให้กลิ่นหอมสดชื่น
ลอกสติ๊กเกอร์
สติ๊กเกอร์ที่แปะตู้เย็น
คอมพิวเตอร์ หรือตามผนังอะไรก็ตาม
เวลาเบื่อแล้วจะลอกทิ้งไป
ให้ใช้น้ำมันก๊าดชุบผ้าหมาด ๆ
เช็ดถูตรงสติ๊กเกอร์
แล้วปล่อยทิ้งไว้สักพัก
สติ๊กเกอร์จะหลุดออกมาโดยง่าย
กระจกใส
น้ำยาเช็ดกระจก
นอกจากจะมีสารเคมีแล้ว
ยังเสียเงินแพงอีกด้วย
ใช้วิธีนี้จะดีกว่า
ให้เอาน้ำอุ่นใส่ถัง
เอาหอมใหญ่มาปอกเปลือก
แล้วผ่าสี่
ใส่หอมลงไปในถัง
แค่นี้แหละ
เช็ดกระจกได้ใสแจ่มแจ๋วเหมือนใหม่
ทำความสะอาดเตาอบ
1. ตั้งเตาอบไว้ที่ความร้อน 200 องศาเซลเซียส
ปล่อยไว้ 3 นาที
แล้วจึงปิดเครื่อง
2. เอาหม้อใส่น้ำเดือดตั้งไว้ที่พื้นเตาอบ
3. เอาชามทนไฟใบเล็ก ๆ
ใส่แอมโมเนีย
วางบนตะแกรงเตาอบ
เหนือหม้อน้ำเดือดที่ใส่ไว้
4. ปิดฝาเตาอบทิ้งไว้หลาย ๆ ชั่วโมง
แล้วค่อยนำผ้า
มาเช็ดทำความสะอาดเตาอบ
คราบต่าง ๆ จะหลุดลอกออกมาโดยง่าย
กำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ในตู้เย็น
1. เอากาแฟเย็นใส่ถ้วย
วางไว้หนึ่งคืน
กลิ่นจะหายไปดังปลิดทิ้ง
2. เอามันฝรั่งผ่าครึ่งใส่ชามเล็ก ๆ วางไว้
มันฝรั่งจะดูดกลิ่นไปหมด
3. เอาถุงชาที่ยังไม่ได้ชงใส่ไว้
ถุงชาจะซับกลิ่นเช่นเดียวกับมันฝรั่ง
จะวางถุงทิ้งไว้ตลอดก็ได้
ซักสองอาทิตย์ก็เปลี่ยนครั้งนึง
ตู้เย็นจะได้หอมตลอดกาล
กำจัดกลิ่นบนเขียง
หลังจากที่ใช้เขียง
หั่นหอมกระเทียม
เขียงมักจะเก็บกลิ่นฉุนไว้ติดแน่น
ให้เอามะนาวผ่าซีก
มาถูบนเขียงให้ทั่ว
แล้วล้างออก
กลิ่นจะหายไป
กำจัดขนสัตว์เลี้ยง
ขนสัตว์เลี้ยง
ที่ติดตามโซฟา เบาะ
กำจัดได้โดย
ใส่ถุงมือยาง
ชุบน้ำหมาด ๆ
แล้วเอาถุงมือนี่แหละ
ไปถู ๆ ตามโซฟา
ขนจะม้วนติดกันเป็นก้อน ๆ
เก็บทิ้งได้ง่าย
ไล่แมวแบบนิ่ม ๆ
เอาแผ่นอลูมิเนียมฟอยล์
วางไว้บนที่ที่ไม่อยากให้แมวมา
แมวเกลียดเจ้าแผ่นนี้มาก
จะเป็นเพราะเสียงกรอบแกรบ
หรือแสงสะท้อนก็ไม่ทราบ
ไล่แมลงวัน
แมลงวันชอบเข้ามาอยู่ในครัว
ให้เอาแก้วใส่น้ำอุ่นครึ่งแก้ว
ใส่น้ำส้มสายชู
ลงไปซัก 2-3 ช้อนโต๊ะ
ใส่น้ำตาลนิดนึง
ปิดฝาแก้วด้วยพลาสติก
จิ้มรูไว้หลาย ๆ รู
แมลงวันได้กลิ่นแล้วจะหนีไป
ไล่แมงมุม
แมงมุมชอบมาชักไย
ไว้ตามซอกมุมต่าง ๆ
วิธีไล่แมงมุมง่าย ๆ
ก็คือ วางชามใส่เกลือไว้ตรงซอก
ที่แมงมุมชอบชักไย
เกลือจะดูดความชื้น
ทำให้แมงมุมสร้างไยไม่สำเร็จ
กำจัดหอยทาก
ให้เอาชามอ่างเล็ก ๆ
ใส่เบียร์วางทิ้งไว้
บริเวณที่มีหอยทาก
หอยจะพากันมากินเบียร์
และเมาตายในที่สุด
ถึงจะอ่านแล้วดูบาป ๆ
แต่หอยทากคงจะตายอย่างมีความสุข
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)