ผู้เชี่ยวชาญแนะหนุ่มสาวออฟฟิศหมั่นบริหารกล้ามเนื้อ ช่วยลดอาการปวดศีรษะเรื้อรังอันเนื่องจากความเครียด
อาการปวดศีรษะ อันเนื่องมาจากภาวะความเครียดและความกดดันในการทำงานของคนเมืองในปัจจุบัน เริ่มกลายเป็นเรื่องปรกติสำหรับหนุ่มสาวในวัยทำงา โดยเฉพาะในกลุ่มที่ในแต่ละวันต้องใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ จะพบว่าพอตื่นเช้าขึ้นมามักจะเริ่มมีอาการมึนศรีษะ ไม่สดชื่น เมื่อเริ่มทำงานจะเริ่มรู้สึกปวดบริเวณ คอ บริเวณ ขมับทั้งสองข้าง หรือหน้าผาก บ้างก็มีอาการปวดตื้อ บางครั้งอาจจะตาพร่า และปวดบริเวณกระบอกตา และเมื่อเริ่มมีอาการหนักขึ้นจะมีอาการปวดถี่ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งปวดศรีษะทุกวัน และเริ่มมีอาการปวดรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
แพทย์อายุรเวท วิภาพร สายศรี จาก คลินิกรักษาโรคปวดศีรษะดอกเตอร์แคร์ กล่าวว่า อาการปวดศีรษะอาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือาการปวดศีรษะแบบมีพยาธิ สภาพ ซึ่งเป็นอาการที่เกิดจากเชื้อโรค หลอดเลือดในสมองอักเสบ เส้นประสาทอักเสบ เนื้องอกในสมอง ซึ่งพบได้เพียง 10% ของผู้ที่มีอาการปวดศีรษะซึ่งอาการปวดแบบนี้ สามารถรักษาได้ด้วยยา และการผ่าตัด
ส่วนอีกประเภท คือ อาการปวดศีรษะแบบไม่มีพยาธิสภาพ เช่น ปวดศีรษะเรื้อรัง ปวดไมเกรน ปวดกระบอกตา ซึ่งพบได้ถึงร้อยละ 90 ของผู้ป่วยที่มาพบแพทย์ โดย อาการปวดดังกล่าวเป็นอาการปวดที่เกิดจากการที่เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงบริเวณ ศีรษะได้อย่างเพียงพอ เนื่องจากมีการเกร็งและกดทับของกล้ามเนื้อการปวดศีรษะ แบบนี้พบได้บ่อยมากกับกลุ่มคนทำงานออฟฟิศ อาทิ โปรแกรมเมอร์ นักบัญชี สถาปนิก และผู้ที่ต้องใช้คอมพิวเตอร์ต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ เนื่องจากพฤติกรรมการทำงานทำให้ กล้ามเนื้อบริเวณ บ่า ต้นคอ ต้องเกร็งต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ จนกระทั่งเกิดกล้ามเนื้อ หดตัวจนเป็นก้อนเล็กๆ ที่เรียกว่า Trigger Point เป็นจำนวนมาก ทำให้การกินยาแก้ปวด หรือ ยาคลายกล้ามเนื้อไม่มีผลต่อการรักษา
พฤติกรรมที่ทำให้เกิดอาการปวดศรีษะเรื้อรังเกิดได้จากหลายสาเหตุทั้งกิจกรรม ที่ใช้กล้ามเนื้อบริเวณบ่าและคอติดต่อกันเป็นเวลานานอย่างการใช้คอมพิวเตอร์จากการ ทำงานหรือเล่นเกมส์, การขับรถระยะไกล, ความเครียด ความวิตกกังวล หรือ แม้แต่การก้มหรือเงยหน้าเป็นเวลานาน ผู้เชี่ยวชาญด้านการปวดศีรษะกล่าว
ส่วนวิธีการป้องกันอาการปวดศีรษะเรื้อรังนั้นควรหลีกเลี่ยงการใช้คอมพิวเตอร์ ติดต่อกันเกินกว่า 2 ชั่วโมง และควรยุติกิจกรรมที่ใช้กล้ามเนื้อบริเวณบ่า และคอทันทีที่ รู้สึกเกร็ง ที่สำคัญควรบริหารกล้ามเนื้อบริเวณบ่าและคอ ด้วยการยืดกล้ามเนื้อหลังการ ใช้คอมพิวเตอร์ทุกครั้ง ควรหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน และแอลกอฮอลล์ ปิดท้ายด้วยการพักผ่อน และทำสมาธิ เมื่อมีความเครียด เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ โดย แพทย์อายุรเวท วิภาพร สายศรี จาก คลินิกรักษาโรคปวดศีรษะดอกเตอร์แคร์ ได้ให้เทคนิคการบริหารกล้ามเนื้อคอเพื่อคลายความตึงเครียดระหว่างการนั่งปฏิบัติงาน ด้วย 5 ท่าบริหารง่ายๆ สามารถทำได้บนเก้าอี้ทำงาน โดย เริ่มต้นท่าที่ 1 หันศีรษะไปทางด้านซ้ายช้า ๆ ใช้มือซ้ายช่วยดึงค้างไว้นับ 1-10 วินาที จากนั้นสลับทำด้านขวา , ท่าที่ 2 ก้มศีรษะพยายามให้คางชิดอกมากที่สุด ค้างไว้ 10 วินาที,ท่าที่ 3 เงยหน้าขึ้นช้า ๆ ไปด้านหลังให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ค้างไว้ 10 วินาที, ท่าที่ 4 เอียงศีรษะไปทางด้านขวา ใช้มือขวาช่วยดึง พยายามให้ศีรษะชิดไหล่มากที่สุด ค้างไว้ 10 วินาที จากนั้นสลับทำด้านซ้าย และท่าที่ 5 หันศีรษะไปทางด้านซ้าย 45 องศา ใช้มือขวาช่วยดึงพร้อมก้มลงช้าๆให้มากที่สุดค้างไว้ 10 วินาที จากนั้นสลับทำด้านขวา
ปัจจุบันคลินิกรักษาโรคปวดศีรษะดอกเตอร์แคร์ ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับกลไก การทำงานของกล้ามเนื้อ ระบบการทำงานของเลือด และ Trigger Point อันเป็นสาเหตุหนึ่งของการปวดศีรษะ และได้พัฒนาเทคนิคการรักษาโรคปวดศีรษะและโรคไมเกรน ที่เรียกว่า DMT (Doctor Care Manipulation Technique) ซึ่งเป็นเทคนิคการรักษา ที่มุ่งขจัดสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการไหลเวียนของ เลือดและออกซิเจน ที่ขึ้นไปเลี้ยง บริเวณศีรษะและสมอง เมื่อการไหล เวียนของเลือดเป็นปกติ อาการปวดศีรษะทั้ง เฉียบพลันและเรื้อรังก็จะบรรเทาและดีขึ้นเป็นลำดับโดยไม่ต้องรับประทานยา โปรแกรมการรักษาจะใช้เวลาประมาณ 2-6 ครั้ง ขึ้นอยู่กับสภาพกล้ามเนื้อและระยะ เวลาที่มีอาการของผู้ป่วย ผู้สนใจสามารถโทรนัดหมายเพื่อขอตรวจและปรึกษาอาการ ไมเกรนและปวดศีรษะเรื้อรัง โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ได้ที่ 02 6777 552-3 หรือ ดูรายละเอียด การรักษาแบบ DMT ได้ที่ www.drcareclinic.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น