ข้อคิดดี ๆ จากชายที่จากไป
แง่คิดดีๆ จากชายชราผู้จากไป
โดย พิษณุ นิลกลัด
สัปดาห์สุดท้ายของปี 2548
ผมไปงานสวดและงานเผาศพผู้ชายวัย 81 ปีที่ผมรู้จักเขามายาวนาน 30 ปี
ไม่ใช่ญาติ แต่ สนิทกันรักใคร่เสมือนญาติ
ก่อนเสียชีวิตไม่กี่วันเขาสั่งลูกและภรรยาแบบคนไม่ครั่นคร้ามความตายว่า
สวดสามวันแล้วเผา ไม่ต้องบอกใครให้วุ่นวาย
อย่าเศร้า อย่าร้องไห้ ทุกคนต้องมีวันนี้
เพียงแต่เขาอยู่หัวแถวเลยต้องไปก่อน
แล้วลูกเมียก็ทำตามคำสั่ง สวดสามวันเผา
งานสวด 3 คืน มีคนฟังพระสวดคืนละ 14 คน
คือเมีย ลูก หลาน เขย สะใภ้ และผม ซึ่งเป็นคนนอก
เป็นงานศพที่มีคนไปร่วมงานน้อยที่สุดเท่าที่ผมเคยไปฟังสวด
วันเผามีเพิ่มเป็น 17 คน
สามคนที่เพิ่ม เป็นเพื่อนบ้านที่เคยคุยด้วยเกือบทุกเย็น
คนหนึ่งเป็นแม่ค้าล็อตเตอรี่ที่เคยยืมเงินแล้วไม่มีสตังค์จ่าย
เลยเอาล็อตเตอรี่ทยอยผ่อนใช้หนี้แทนเงิน งวดละสองใบคนหนึ่ง
และคนสุดท้ายเป็นหญิงที่ผู้ตายเคยผูกปิ่นโตทุกมื้อเย็น
ทั้งสามคนบอกว่า เกือบมาไม่ทันเผา
เคราะห์ดีที่แวะไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล เจ้าหน้าที่บอกว่าเสียชีวิตไปแล้ว 3 วัน
หลังฌาปนกิจ พระกระซิบถามเจ้าหน้าที่วัด
ว่าเจ้าของงานจ่ายเงินค่าศาลาสวดพระอภิธรรมแล้วหรือยัง
พระท่านคงไม่เคยเห็นงานศพที่มีคนน้อยแบบที่ผมก็รู้สึกตั้งแต่สวดคืนแรก
จริงๆ แล้วผู้ตายเป็นคนค่อนข้างมีสตังค์
ทำงานธนาคารแห่งประเทศไทยจนเกษียณอายุที่ ตำแหน่งหัวหน้าหน่วย
แต่ด้วยความที่รักและศรัทธาอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ อดีตผู้ว่าการแบงค์ชาติ
จึงดำเนินชีวิตแบบไม่ปรารถนาให้ใครเดือนร้อน
แม้กระทั่งวันตาย
ผมสนิทกับเขาเพราะเขามีความฝันในวัยเด็กอยากเป็นนักประพันธ์แบบไม้เมืองเดิม
ที่เขาเคยนั่งเหลาดินสอและวิ่งซื้อโอเลี้ยงให้
เมื่อตัวเองเป็นนักเขียนไม่ได้ พอมาเจอะผมที่เป็นนักข่าวก็เลยถูกชะตา
และให้ความเมตตา
การมีโอกาสได้พูดได้คุยกับเขาตามวาระโอกาสตลอด 30 ปี
ทำให้ได้แง่คิดดีๆ มาใช้ในการดำรงชีวิต
วันหนึ่งเขารู้ว่า ขโมย ยกชุดกอล์ฟของผมไป สองชุดราคา 4 แสนกว่าบาท
เขาปลอบใจผมว่า
'ของที่หายเป็นของฟุ่มเฟือยของเรา
แต่มันอาจเป็นของจำเป็นสำหรับลูกเมีย ครอบครัวเขา
คิดซะว่าได้ทำบุญ จะได้ไม่ทุกข์'
เขามีวิธีคิด 'เท่ๆ'
แบบผมคิดไม่ได้มากมาย เป็นต้นว่า
สุขและทุกข์อยู่รอบตัวเรา อยู่ที่ว่าเราจะเลือกหยิบเลือกคว้าอะไร
คงเป็นเพราะเขาเลือกคว้าแต่ความสุข
ช่วงปีสุดท้ายของชีวิต เขาต่อสู้กับโรคชรา เบาหวาน หัวใจ
ความดัน เกาต์ และไตทำงานเพียง 5% โดยไม่ปริปากบ่น
แถมยังสามารถให้ลูกชายขับรถพาเที่ยวในวันหยุดสุดสัปดาห์
โดยที่ตัวเองต้อง หิ้วถุงปัสสาวะไปด้วยตลอดเวลา
เนื่องจากไตไม่ทำงาน ปัสสาวะเองไม่ได้
6 เดือน สุดท้ายของชีวิตต้องนอนโรงพยาบาลสามวัน นอนบ้านสี่วันสลับกันไป
เวลาลูกหลาน หรือเพื่อนของลูกรวมทั้งผมด้วยไปเยี่ยมที่โรงพยาบาล
เขามีแรงพูดติดต่อกันไม่เกิน 10 นาที
แต่ 10 นาที ที่พูด มีแต่เรื่องสนุกสนาน
เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากคนไป เยี่ยมไข้
ทุกคน พูดตรงกันว่า
'คุณตาไม่เห็นเหมือนคนป่วยเลย
ตลกเหมือนเดิม'
พอแขกกลับ
ลูกหลานถามว่าทำไมคุยแต่เรื่องตลก
เขาตอบว่า
'ถ้าคุยแต่เรื่องเจ็บป่วย
วันหลังใครเขาจะอยากมาเยี่ยมอีก'
เขาเป็นคนชอบคุยกับผู้คนไม่ว่าจะอยู่บนเตียงคนไข้หรืออยู่บนรถแท็กซี่
บ่อยครั้งที่นั่งรถถึงหน้าบ้านแล้ว
แต่สั่งให้โชเฟอร์ขับวนรอบหมู่บ้าน เพราะยังคุยไม่จบเรื่อง
แล้วจ่ายเงินตามมิเตอร์!
4 เดือน สุดท้ายของชีวิตแพทย์ที่รักษาโรคไตมาตั้งแต่สมัยเป็นแพทย์อินเทิร์น
จนกระทั่งเป็นหัวหน้าแผนก แนะนำให้พักรักษาตัวในโรงพยาบาลให้แข็งแรง
แล้วค่อยกลับบ้าน
แต่ อยู่ได้ 4 วันเขาวิงวอนหมอว่า ขอกลับบ้าน
หมอซึ่งรักษากันมา 16 ปีไม่ยอม
เขาพูดกับหมอด้วยความสุภาพว่า
'ขอให้ผมกลับบ้านเถอะ ผมอยากฟังเสียงนกร้อง'
คุณหมอไม่รู้หรอก ว่าคนคิดถึงบ้านมันเป็นอย่างไร
เพราะพอเสร็จงานหมอก็กลับบ้าน'
หมอได้ฟังแล้วหมดทางสู้ ยอมให้คนไข้กลับบ้าน
แต่กำชับให้มาตรวจตรงตามเวลานัดทุกครั้ง
1 เดือน ถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
เขาสูญเสียการควบคุมอวัยวะของร่างกายเกือบทั้งหมด
เคลื่อนไหวได้อย่างเดียวคือกะพริบตา
แต่แพทย์บอกว่าสมองของเขายังดีมาก
เวลา ลูก เมียพูดคุยด้วย ต้องบอกว่า
'ถ้าได้ยินพ่อกะพริบตาสองที'
เขา กะพริบตาสองทีทุกครั้ง!
เห็นแล้วทั้งดีใจและใจหาย
เขา ยังรับรู้
แต่ พูดไม่ได้
นี่กระมังที่เรียกว่าถูกขังในร่างของตนเอง
สิบวันก่อนพลัดพราก ภรรยากระซิบข้างหูว่า
' พ่อสู้นะ '
เขา ไม่กะพริบตาซะแล้ว
ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้สองเดือนเคยตอบว่า
' สู้ '
เขาสู้กับสารพัดโรคด้วยความเข้าใจโรค
สู้ ชนิดที่หมอออกปากว่า
' คุณลุงแกสู้จริงๆ '
ตอนที่วางดอกไม้จันทน์
ผมนึกถึงประโยคที่แกพูดกับลูกเมื่อสี่เดือนก่อนว่า
'โรคภัย มันเอาร่างกายของพ่อไปแล้ว
อย่าให้มันเอาใจของเราไปด้วย'
'แง่คิดดีๆ จากชายชราที่จากไป '
สอนให้เรารู้ว่า...
เราเกิดมาพร้อมกับจิตใจบริสุทธิ์
และมันสมองมหัศจรรย์ ที่จะสามารถเรียนรู้
แยกแยะเรื่องดีๆ และสิ่งร้ายๆ ในชีวิต
จงใช้โอกาสดีๆ ที่ร่างกายและจิตใจของเรา
ยังทำอะไรๆ ได้อย่างที่สมองสั่ง
จงเรียนรู้
และสร้างประโยชน์สุข
ให้กับตนเองและผู้อื่นอย่างพอเพียง
และดำรงชีวิตอย่างพอเพียงทางเศรษฐกิจ
หากทุกๆ ครั้งที่เรียนรู้
เราล้ม เราพลาด
อาจจะรู้สึกท้อบ้างในบางที
แม้ไม่มีกำลังกายที่จะลุกในทันที..แต่ข้อให้มีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป
ถ้าเราเรียนรู้...ก็จะทำให้เราพบว่า
การล้มหรือพลาดครั้งต่อไป
เราจะไม่เจ็บเท่าเดิม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น