9 วิธีทำดี ได้บุญโดยไม่ต้องใช้เงิน
คนไทยเรานั้น ได้ชื่อว่าเป็นพวกที่ชอบทำบุญสุนทานอยู่เสมอ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะความ
เชื่อที่ว่า 'ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว' ซึ่งแม้ปัจจุบัน หลายคนจะรู้สึกกังขาว่า ทำไม คนที่เรารู้สึกว่า
ชั่ว ยังคงได้ดิบได้ดี เช่น ยังมีเงินทองและใช้ชีวิตที่สุขสบายกว่าเรา แต่นั่นก็ยังอธิบายได้ว่า
เขาทำกรรมเก่าดี หรือยังกินบุญเก่าอยู่ ซึ่งที่เราเห็นด้วยตาว่า เขาสุขสบายก็อาจไม่จริง บางที
เขาอาจกำลังทุกข์ใจ เพราะต้องคอยระแวง ปกปิดความผิดของตน กลัวคนไปล่วงรู้อยู่ก็ได้
อย่างไรก็ดี โดยพื้นฐานแล้ว คนส่วนใหญ่ก็มักจะชอบทำบุญ เพราะเชื่อว่าเป็นการทำความดี
และเป็นการสะสมผลบุญ ที่จะสนองให้เราได้รับสิ่งที่ดีในอนาคต หรือในชาติหน้า ซึ่งโดย
แท้จริงการทำบุญนั้น ทันทีที่ทำก็เป็นความสุขแล้ว
เพราะ บุญ คือ การทำความดีด้วยวิธีการต่างๆ ที่ทำให้อิ่มเอิบเบิกบานใจ
โดยทั่วไป คนมักทำบุญกุศลด้วยการบริจาคทรัพย์ สิ่งของ หรือให้ทานเป็นโอกาสๆ เช่น
บริจาคช่วยผู้ประสบภัยธรรมชาติ ร่วมสร้างศาสนสถาน ทอดกฐินผ้าป่า ช่วยเด็กกำพร้า หรือ
ช่วยซื้อโลงศพ เป็นต้น ซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่เชื่อไหมว่า ในชีวิตประจำวันของคนเรานั้น เรา
มีโอกาสทำความดี หรือทำบุญได้ตลอดเวลา โดยไม่ต้องใช้เงินทองหรือสิ่งของถึงแม้เราจะ
ไม่ได้มีอาชีพเป็นแพทย์ พยาบาลที่ต้องช่วยเหลือคนเป็นประจำอยู่แล้วก็ตาม จะทำได้อย่างไร
นั้น กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวง
วัฒนธรรม ขอเสนอแนะ 9 วิธีทำดี ได้บุญ แบบไม่ต้องใช้เงิน เพื่อเป็นแนวทางให้
ท่านได้สะสมกุศลให้เพิ่มพูนขึ้น ดังต่อไปนี้
1. ตื่นเช้าขึ้นมาก็คิดแต่สิ่งดีๆ ทันทีที่ตื่นนอน หากเราคิดถึงแต่สิ่งที่ดีที่งาม ก็จะทำ
ให้จิตใจเราสดชื่น กระตือรือร้น พร้อมที่จะรับมือ กับชีวิตประจำวันด้วยความรื่นเริง ไม่
หงุดหงิดโมโห แค่นี้ นอกจากเราจะมีความสุขแล้ว คนรอบข้างเราก็มีความสุขไปด้วย
ถือว่าเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง
2. ยิ้มแย้มแจ่มใส ในแต่ละวัน หากเราจะรู้จักยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ว่าจะยิ้มกับคนรู้จัก
หรือไม่รู้จักก็ตาม หน้าตาของเราก็จะดูเป็นมิตร ทำให้คนอยากเข้าใกล้ ถ้าเราเป็นพ่อแม่
ยิ้มกับลูกก่อนไปทำงาน ลูกก็ดีใจ ลูกยิ้มกับพ่อแม่ๆ ก็สบายใจว่าต่างคนต่างไม่มีเรื่อง
เดือนร้อนใจแน่ หรือหากมีก็กล้าจะมาปรึกษาหารือ หรือหากเป็นเจ้านาย ยิ้มกับ
ลูกน้องๆ ก็รู้ว่าวันนี้นายอารมณ์ดี ทำให้ทำงานด้วยความมั่นใจ ไม่ต้องระแวงว่าจะถูก
เรียกไปต่อว่าและถ้าเรียกก็ดูน่าจะมีเมตตา กว่าเวลาที่นายทำหน้ายักษ์
3. ทักทาย โอปราศรัย คนบางคน นอกจากจะไม่ยิ้มกับใครแล้ว ยังชอบทำหน้าบึ้งตึง
ไม่คิดจะพูดจาทักทายใครด้วย ซึ่งถ้าเกิดทำงานด้านบริการ คนมาติดต่อคงรู้สึกเกร็ง
และกังวลตลอดว่าจะถูกเอ็ดตะโรเมื่อไรก็ไม่รู้ ดังนั้น นอกจากยิ้มแย้มแจ่มใสแล้ว เราก็
ควรจะเอื้อนเอ่ยวาจาทักทายผู้มารับบริการก่อน การทักทายปราศรัยกับผู้อื่น ไม่ว่าจะ
เป็นผู้มาขอรับบริการเพื่อนฝูงคนรู้จัก ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา หรือแม้แต่คนที่มาทำงานให้
เรา เช่น แม่บ้าน ยาม ฯลฯ จะทำให้เขารู้สึกเป็นมิตร และอบอุ่นใจ ทำให้บรรยากาศใน
ที่นั้นๆ ดีขึ้น
4. แบ่งปันน้ำใจไมตรี สามารถทำได้ทุกที่และทุกเวลา เช่น ช่วยพ่อแม่จัดโต๊ะอาหาร
ล้างถ้วยชาม ลุกให้เด็ก ผู้หญิงท้อง หรือคนแก่นั่ง ช่วยถือของหนักให้คนในรถเมล์ หยุด
รถให้คนข้ามถนน หรือรถอื่นไปก่อน ช่วยแบ่งเบาภาระงาน ให้เพื่อนในที่ทำงาน เป็นต้น
การให้ความช่วยเหลือเช่นนี้ เป็นการทำบุญด้วยการลดความเห็นแก่ตัวของเราลงและ
ทำให้เราได้รับมิตรไมตรีสนองตอบกลับมาด้วย
5. ปลุกปลอบให้กำลังใจ ช่วยแก้ไขปัญหา หลายๆครั้งที่เพื่อนฝูงญาติมิตรอาจประสบ
ปัญหาชีวิต และเกิดความทุกข์ใจแสนสาหัส สิ่งที่ดีที่สุดคือ ความเป็นมิตรและถ้อยคำที่
ปลุกปลอบให้กำลังใจ คำพูดดีๆ ที่มาจากใจ จะทำให้ผู้ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์ รู้สึกดีขึ้นและ
มีพลังที่ต่อสู้ชีวิตต่อไปได้
6. ให้คำชมด้วยความนิยมยินดี การกล่าวคำชื่นชมต่อผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆ
ย่อมจะทำให้ผู้รับคำชมรู้สึกปลาบปลื้มยินดี และมีความสุขได้ โดยเฉพาะในเรื่องที่เขา
ทำสำเร็จ แต่ทั้งนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง และจริงใจด้วย ดูอย่างตัวเราเอง
แค่วันไหน แต่งตัวสวย แล้วมีคนชม เราก็หน้าบานไปทั้งวันแล้ว เช่นเดียวกันคนทุกคน
ล้วนอยากได้การยอมรับและคำชมทั้งนั้น เพราะคำชมจะเป็นการเสริมเพิ่มกำลังใจให้
อยากทำดียิ่งๆ ขึ้นไป
7. แนะนำให้คำสอนที่ดี มีคุณค่า ไม่ว่าจะเราจะอยู่ในสถานภาพใด เช่น เป็นลูก เป็น
พ่อแม่ลูกน้อง เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมอาชีพ ฯลฯ หากเราจะมีเมตตา แนะนำ
ในสิ่งที่ดี มีประโยชน์และคุณค่าต่อผู้อื่น หรือสอนในสิ่งที่เราชำนาญให้แก่ผู้อื่น ก็จะเป็น
การช่วยเกื้อกูลสังคมให้ดียิ่งขึ้น และผลก็จะย้อนมาสู่ตัวเราผู้ทำด้วย เช่น สอนงานให้
ลูกน้องต่อไป เมื่อเขาทำงานเป็น เราก็ไม่ต้องเหนื่อยมาก และเขาก็จะรู้สึกขอบคุณเรา
แนะวิธีออกกำลังกายให้พ่อแม่ ท่านก็แข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยง่าย เราก็สบายใจ หรือ
แม้แต่การแนะนำให้ความรู้ที่เรามี หรือทราบมาแก่คนไม่รู้จัก อย่างแนะนำหมอ ยาดีๆ
หรือธรรมะที่ดีแก่คนอื่น ทำให้เขาหายป่วยหรือรู้สึกดีขึ้น เขาก็จะอธิษฐานหรือให้พรเรา
ทำให้เราพบแต่สิ่งดีๆ ในชีวิต
8. การให้อภัยในความผิดพลาดของผู้อื่น โดยทั่วไปคนเรามักจะให้อภัยตัวเองง่าย
และมีข้อแก้ตัวให้ตนต่างๆ นานา แต่ถ้าผู้อื่นผิดพลาดแล้ว เรามักเห็นเป็นเรื่องใหญ่
และตำหนิติเตียนไม่รู้จักแล้วจบ ดังนั้น เราจะต้องหัดมีเมตตา รู้จักให้อภัยต่อผู้อื่นให้
ง่าย เหมือนให้อภัยแก่ตัวเราเอง เพราะการให้อภัย จะทำให้เราไม่ผูกใจเจ็บ ไม่อาฆาต
มาดร้าย ไม่ก่อศัตรู แต่ทำให้จิตใจเราสงบเย็น เป็นฝึกจิตพื้นฐานอย่างหนึ่ง ที่จะนำไปสู่
กุศลขั้นสูงอื่นๆ ต่อไป
9. ฝึกจิตให้สงบและสบาย ด้วยการทำสมาธิหรือสวดมนต์ การทำสมาธิ ฟังดูเหมือน
ยาก แต่จริงๆ เราทำได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน หรือทำอะไรอยู่ เช่น กินข้าว
อาบน้ำ ทำการบ้าน ทำงานบ้าน อ่านหนังสือ อยู่ที่ทำงาน หัวใจหลักคือให้เอาใจไปจดจ่อ
ในสิ่งที่ทำเพียงอย่างเดียว จะทำให้เราทำทุกอย่างได้ดีขึ้น เพราะไม่พะวักพะวนคิดหรือ
ทำหลายอย่างในเวลาเดียวกันอันทำให้ขาดสติ และทุกๆ คืนก่อนนอน ก็ควรสวด
มนต์ไหว้พระที่เรานับถือ โดยอาจเลือกบทสวดสั้นๆ ที่เราชอบ เสร็จแล้วก็อย่าลืมแผ่เมตตา
ให้กับตัวเราเอง และผู้อื่นตามสมควร
ที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่าเป็นการทำความดีที่ไม่ต้องใช้เงินเลย แต่สามารถปฏิบัติใน
ชีวิตประจำวันของเราได้ โดยไม่ยากเย็นเข็ญใจจนเกินไป
อีกทั้งปฏิบัติแล้วก็เป็นบุญกุศลที่จะเกื้อหนุนให้เรา และคนรอบตัวมีความสุข เพราะ'บุญ' ใน
อีกความหมายหนึ่งก็คือ เครื่องชำระกาย ใจให้บริสุทธิ์ เป็นการทำประโยชน์ให้แก่ตัวเราเอง
และผู้อื่น และยังช่วยลดกิเลส ความเศร้าหมองต่างๆ ได้
เริ่มทำแต่วันนี้เลยนะคะ
เพราะมีคนบอกว่า
'ความดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอง'
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น