วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552

บักหม่อง‏

ทำไมบักหม่องพาเพื่อน..แห่กันไปเที่ยว ผับ.. ทีละ 18 คน..
ก็เ พราะหน้าผับ ....... เขาประกาศไว้ว่า ............ ต่ำกว่า 18 ห้ามเข้าน่ะ สิ !!
------------
* บักหม่อง..ไปร้านขาย ทีวี.. ! ถามคนขายว่า
' ไม่ ทราบว่า..ที่นี่มีทีวีสีขายรึเปล่า ?
คนขายตอบว่า.. ' มี '
บักหม่องเลยบอกว่า ..................
' งั้นเอาสีเขียวมาเครื่อง นึง '
------------
บักหม่อง...เข้าไปเดินดูของในร้านจี ฉ่อย
เห็นกระติกน้ำทำจากโลหะอันหนึ่ง วางอยู่
บักหม่องถาม อาอึ้มว่า
' อึ้ม..ไอ้ที่ วอบแวบสีเงินๆ นั่น อะไร '
อึ้มต อบว่า ' กระติกน้ำไง (ไอ้ ฟาย)'
' แล้วมันทำ อะไรได้มั่ง '
' ก็ใส่ ของ ร้อน-ก็ร้อนนาน
ใส่ของเย็น-ก็เย็น นาน '
บักหม่อง..เห็นว่าน่าสนใจ.............
เลยตกลงซื้อมาอันนึง

เช้าของวันใหม่..อากาศแจ่มใส
บักหม่อง..ก็เอากระติกน้ำที่เพิ่งซื้อมา..
ไป! ที่ทำ งาน.. ตั้งอวดบนโต๊ะ..อย่างภาคภูมิ
หัวหน้าบักหม่องเห็น เข้า.................เลยถามขึ้น
' อะไรนั่น น่ะ..บักหม่อง '
' กระติกน้ำ ครับ '
' แล้วมันมีอะไรพิเศษรึ '
' ก็ใส่ของร้อน..เก็บความร้อนได้
หรือใส่ของเย็น..ก็เก็บความเย็น ได้ '
หัวหน้าเลยถาม ว่า.. ' แล้วใส่อะไรมาล่ะ '
บักหม่องยืด..ก่อนจะตอบว่า..
' กาแฟร้อน 2 แก้ว.. กับไอติม 1 ถ้วย ครับ '
--------------
ทุก ครั้ง..หลังถ่ายเอกสารเสร็จ
บัก หม่อง..จะเอาฉบับก๊อปปี้-มาตรวจทาน..เทียบกับต้นฉบับ
เพื่อเช็คดูว่า..มีคำไหนสะกด ผิดรึเปล่า
--------------
บัก หม่อง..จะยิ้มทุกครั้ง.................ที่ฟ้าผ่า
เพราะนึกว่า..มีคนกำลังถ่ายรูปเขา อยู่
-------------
รู้ป่าว ว่า....ทำไมบักหม่อง................ถึงกดโทรศัพท์เบอร์ฉุก เฉิน
911.. ไม่ได้ ก็เพราะ......เขาหา เบอร์ 11 ( สิบเอ็ด)
..................บนแป้นไม่ เจอ
---- -------------
บักหม่อง..เพิ่งซื้อคอมพิวเตอร์มาใหม่ เครื่องหนึ่ง
เล่นไปซักพัก..ก็เจอ ปัญหา
บักหม่อง..เลยลองกด ที่ HELP บนแป้น F1
ผ่านไปพักใหญ่... &nb sp; บัก หม่องหงุดหงิดมาก
เลยโทรไปต่อว่า..ร้านที่เขาซื้อคอม มา
' ผมกด F1 ตามที่ เครื่องบอก.. เวลา ที่มีปัญหา แล้วก็รออยู่เป็น ชั่วโมง.. ยังไม่เห็นมีใครมา ช่วยเลย '
คนขาย : '(**...)' (!!)
วันรุ่งขึ้น
บักหม่อง : เครื่องคอมพิวเตอร์ คุณนี่ห่วยมากอีกแล้วนะผมเสียเงินซื้อไปตั้งเยอะมีแต่ปัญหาไม่รู้จบหน่ำซ้ำ พอโทรมาสอบถามพนักงานขายของ คุณก็ดันตอบไม่รู้เรื่อง
ผู้จัดการ : มี ปัญหาอะไรให้ดิฉันรับใช้ได้ค่ะ
( เสียงสั่นเครือมากด้วยอาการที่หวาดกลัว จะถูกลูกค้าด่ากลับ )
บักหม่อง : ก็หน้า จอคอมพิวเตอร์ของคุณน่ะ
รายงานผลว่า ' ซีตุ๊ป - ซีตุ๊ป '
ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง
ผู้จัดการ : บอกว่าเธอก็ไม่รู้ว่าไอ้ซี ตุ๊ป-ซีตุ๊ปเนี่ยมันคืออะไร
ช่วงนั้นก็น้ำตาเกือบ ไหล เพราะกะว่าถ้าตอบปัญหาลูก! ค้าไม่ ได้ ต้องถูกไล่ออกแน่เลยตู
จนกระทั่ง.....
ผู้จัดการ : คุณลอง สะกดคำว่า ' ซีตุ๊ป - ซีตุ๊ป ' หน่อยสิคะว่าสะกดอย่างไร
บักหม่อง : S - E - T - U - P S - E - T - U - P
ผู้จัดการ : คุณ! นี่ สุด ยอด จริง ๆ อ่านได้งัย ซีตุ๊ป – ซีตุ๊ป
-------- -----
บักหม่อง..ไปหาหมอ...ในสภาพหูบวมแดงน่ากลัว
หมอถามว่า.. ' ไปโดน อะไรมาครับ '
บักหม่องตอบว่า.. ' ผมกำลังรีดผ้า อยู่... แล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้น แต่แทนที่จะหยิบโทรศัพท์มาพูด ผมดันเผลอ..เอาเตารีดขึ้นมาแนบหูน่ะ สิ '
' โอ้ว..เดียร์ '
หมออุทานเป็นภาษาฝรั่ง...............ด้วยความ เวทนา ' แล้วหูอีกข้าง..ทำไมถึงแดงเหมือนกัน ล่ะ '
.. หมอถามต่อ
' ก็ไอ้ บ้านั่น...เสือ _ โทร.กลับมาอีกรอบ..อ่ะดิหมอ '
------------------------------
* หลังจาก...ใช้ความ พยายาม..................ต่อจิ๊กซอว์อยู่นาน ในที่สุด..บักหม่องก็ต่อเสร็จ
เขาเอา ไปอวดเพื่อน..ด้วยความภูมิใจ
' เป็น ไง ........ ....... เนี่ยฉันใช้เวลา ต่อ..แค่ 5 เดือน เองนะโว้ย '
เพื่อน บักหม่องงง..ที่เขากล้าอวด
' 5 เดือน เหรอ ! แถวบ้านฉันเรียก ว่า..! โคตรนานเลยนะ นั่น '
' แกนี่ไม่รู้ อะไร'
บัก หม่อง..ไม่ยอมลดละ
' ดูที่กล่อง นี่ ................ เห็น มั้ย ................ มันบอก ว่า...
' สำหรับ 4 -7 ปี '
แต่.. ฉันใช้เวลาแค่ 5 เดือนเองนะเฟ้ย.. (!!)

อ่านจบ แล้วก้ออย่าแอบอมยิ้มคนเดียวล่ะ
แจก ให้....คนอื่นยิ้มบ้างนะ

ดูกัน...ขำขำ..นะ‏












วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ทำบุญปล่อยสัตว์ ‏‏

ทำบุญปล่อยสัตว์ ‏


เวลาที่คุณทำบุญโดยการปล่อยสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์น้ำ ประเภทปลาซึ่งมีอยู่หลายชนิดนั้นซึ่งแต่ละชนิดมีความหมายในการทำบุญแตกต่างกันไป เรามาดูกันว่า ปลาแต่ละชนิดและสัตว์น้ำบางชนิด มีความหมายในการทำบุญด้วยการปล่อยอย่างไร เพื่ออะไรบ้าง บางคนอาจปล่อยสัตว์เหล่านี้ตามจำนวนมากกว่าอายุเรา 1 ปี หรือบางคนอาจยึดหลักตามกำลังวันเกิดของเราเอง



ความหมายของการปล่อยสัตว์

ปลาไหล หมายถึง การเงิน การงาน การเรียนจะราบรื่น

ปลาหมอ หมายถึง เพื่อสุขภาพ

ปลาบู่ หมายถึง ทดแทนผู้มีพระคุณ

ปลาดุก หมายถึง ศัตรูคู่แข่งแพ้พ่าย

ปลานิล หมายถึง ทรัพย์สินเพิ่มพูน

ปลาช่อน หมายถึง ช้อนเงินทอง สิ่งที่ซ่อนเร้นจะได้พบ

ปลาทับทิม หมายถึง ทำอะไรราบรื่น

ปลาสวาย หมายถึง เงินทองคล่องตัว

ปลาขาว หมายถึง ปลานำโชค

ปลาจารเม็ด หมายถึง จะได้เงินเต็มเม็ดเต็มหน่วย

ปลาใน หมายถึง ได้เป็นเจ้าคนนายคน

ปลาดุกเผือก หมายถึง ปลามงคล

ปลาดำราหู หมายถึง สะเดาะเคราะห์

ปล่อยกบ หมายถึง ขออุทิศให้แก่เจ้ากรรมนายเวร

หอยขม หมายถึง ทิ้งความขมขื่น จะร่มเย็นเป็นสุข

หอยโข่ง หมายถึง หนทางโล่งเป็นผู้นำ ข้าทาสบริวารมาก

ตะพาบ หมายถึง ภัยคุกคามต่างๆจะราบ อัมพาตจะดีขึ้น อายุมั่นขวัญยืน



สำหรับผู้ที่เกิดแต่ละวัน มีเคล็ดในการทำบุญต่าง ๆ กันไป ดังนี้

บุคคลใดที่เข้าสู่เบญจเพท อายุลงท้ายเลข 5 ,9 เช่น25 29 35 39 45 49 55 59 เป็นต้น

*... คนเกิดวันอาทิตย์ ให้ปล่อยปลาไหล

*... คนเกิดวันจันทร์ ให้ปล่อยนก

*... คนเกิดวันอังคาร ให้ปล่อยหอยขม

*... คนเกิดวันพุธ ให้ปล่อยปลาไหล

*... คนเกิดวันพฤหัส ให้ปล่อยเต่า

*... คนเกิดวันศุกร์ ให้ปล่อยปลาหมอ

*... คนเกิดวันเสาร์ ให้ปล่อยปลาไหล



จำนวนสัตว์ที่ปล่อย ถ้ามีกำลังทรัพย์ ก็ให้มากกว่าอายุ สำหรับคนที่มีรายได้น้อยไม่สะดวกเรื่องเงิน ให้ถือเลขอายุลงท้ายเลข คู่ ให้ปล่อยสัตว์จำนวนเลขคี่ อายุลงท้ายเลขคี่ ให้ปล่อยสัตว์จำนวนเลขคู่

*... อายุ 24 ปล่อยสัตว์จำนวน เลขคี่ 1 3 5 7 9 ..... ฯ

*... อายุ 25 ปล่อยสัตว์จำนวน เลขคู่ 2 4 6 8 10 12 14 .....ฯ



คำอธิษฐาน การปล่อยสัตว์

ข้าพเจ้าชื่อ.........นามสกุล เกิดวันที่.....เดือน.พ.ศ......อายุ....ปี ได้ปล่อยสัตว์...............จำนวน......ตัว ปล่อยเพื่อให้เป็นที่พึ่งแก่ตนเอง เพื่ออุทิศส่วนกุสลให้แก่ศัตรู และเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ตัวที่เป็นที่พึ่ง ขอให้นำความสุขและโชคลาภมาให้ข้าพเจ้า ตัวที่ให้กับศัตรูและเจ้ากรรมนายเวร จงนำเอาสรรพทุกข์ สรรพโศกสรรพโรค สรรพภัย สรรพเคราะห์ เสนียดออกไปจากข้าพเจ้าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ขอให้พระแม่ธรณี พระแม่คงคา, เทพเทวา เจ้าที่เจ้าทาง, หลวงพ่อโต,และพญานาคราช จงเป็นสักขีพยานรับทราบกุศลเจตนาของข้าพเจ้า และคุ้มครองชีวิตสัตว์ให้ปลอดภัยจนสิ้นอายุขัย ด้วยอำนาจของกุศลผลบุญนี้ จงสะเดาะเคราะห์ร้ายของข้าพเจ้าให้กลับกลายเป็นดี มีความร่มเย็นเป็นสุข ประสพความสำเร็จสมหวังในสิ่งที่พึงปรารถนา มีความเจริญก้าวหน้า มีชีวิตที่ สดชื่น มีความสุขความเจริญ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปด้วยเทอญ.

โดยหลักของธรรมชาติ พุทธศาสนาสอนให้เราเป็นคนดี คิดดีทำดี ปฏิบัติดีทั้งกาย วาจา ใจ เมื่อเราอยู่พื้นฐานของความถูกต้องแล้ว ปัญหาย่อมไม่เกิดกับตัวเราแน่นอน .แต่ถ้าพูดกันถึงเรื่อง บุญ - กรรม คุณเชื่อหรือไม่ ? ...ในหนึ่งดวงชะตาที่กำเนิดเกิดขึ้นมาอยู่บนโลกใบนี้ ได้ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องมาเสวยบุญในเรื่องใดบ้าง และชดใช้กรรมในเรื่องใดบ้าง เรื่อง บุญ กรรม ในคนบางคนอาจจะยังไม่เชื่อ เพราะยังพิสูจน์ไม่ได้ กว่าจะรู้ก็สายเกินแก้ไขซะแล้ว เมื่อยังไม่ประสบพบกับตนเอง ก็จะยังไม่เชื่ออยู่นั่นเอง .... ทุกคนที่เกิดมา มีหน้าที่ที่ต้องทำ ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเอง ต่อครอบครัว ต่อคนรอบข้างที่รักฯลฯ ... คำสอนของพระพุทธเจ้า ทันสมัยมาก ๆ ๆ ๆ คำว่าตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตนนั้นนำมาใช้ในยุคโลกาภิวัฒน์ ปัจจุบันนี้ได้ดี มีคุณค่าสูงยิ่ง ทุกคนที่เกิดมา ต้องพึ่งตนเองให้ได้ไม่เป็นภาระ เบียดเบียน ไม่สร้างปัญหาให้สังคมส่วนรวม อื่น ๆ ...และหมั่นเพียรสร้างบารมี เพิ่มเติมให้ตนเองมีบุญหนุนนำชีวิต การ

สร้างบารมี หมายถึง มีจิตเมตตาธรรมต่อผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่นที่ด้อยโอกาสกว่าเราโดยมิต้องหวังผลตอบแทน การช่วยเหลือผู้อื่น ตนเองต้องไม่เดือดร้อน พอประมาณตามอัตภาพที่พอจะทำได้ มิได้หมายถึงว่าต้องใช้เงินทองมากมาย สร้างกุศลแล้วตนเองจะได้บุญกุศลมหาศาล .และการที่รู้จักปฏิเสธบ้างในบางเรื่อง ก็หมายถึงหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะเกิดตามมาในภายหลัง เมื่อรู้ว่าช่วยแล้วเราเดือดร้อน ก็ใช้สติพิจารณาสักนิด

แก้ดวงอย่างไรนั่นหรือ แก้ที่พฤติกรรมตนเองนั่นแหละ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่ถูกไม่ควรหันมาทบทวนตนเองก่อน การแก้ดวงต้องแก้ที่ความคิด ไม่มีเทพเจ้าองค์ใดช่วยท่านได้ถ้าหากท่านประพฤติผิด *...การบูชาเทพ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นการเสริมสร้างกำลังใจ และผลักดันให้เราคิดดี ทำดี นั่นเอง ข้าพเจ้าจะขอนำหลักการเสริมดวงชะตา ต่ออายุเพื่อความสิริมงคล ที่ทุกคนทำได้ไม่ยุ่งยากอะไร เป็นหลักของท่านอาจารย์แม่พรรณี ที่ท่านได้ให้เผยแพร่แก่สาธุชนทั้งหลาย...

ในทุกปีเกิด คุณเกิดวันอะไร เช่น เกิดวันจันทร์ ปัจจุบันอายุเต็ม 41 ให้เตรียมดอกไม้สีขาว (กล้วยไม้ขาว นับดอกให้ได้มากกว่าอายุ ถือเลขมงคลสักนิด ลงท้ายด้วยเลข 9 เสมอ เตรียมดอกไม้ขาว 49 ดอกรวมเป็นช่อให้สวยงาม เทียนขาว 49 เล่ม , ธูป49 ดอก (แพคใส่ถุงให้เรียบร้อย), น้ำ 1 ขวด เงิน 49.- + 100 คือ 149บาท ใส่ซองของทุกอย่างเตรียมก่อนวันเกิด ในคืนวันอาทิตย์ นำของทุกอย่าง

ใส่พาน บูชาพระพุทธเจ้าที่หิ้งพระในบ้านตนเอง จุดธูป 3 ดอก นะโม 3 จบ กล่าวคำขอพรต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอแสงสว่างทางปัญญา นำทางให้พบความสิริมงคล ....ฯลฯ อธิษฐานตามใจปรารถนา เช้ามืดตรงกับวันจันทร์ วันเกิดของคุณ ให้นำของทุกอย่างนี้ใส่บาตรพระสงฆ์ 1 รูป พร้อมทั้งผลไม้ อาหารมังสาวิรัต ไม่มีเนื้อสัตว์ กรวดน้ำให้เจ้ากรรมนายเวรตั้งแต่อดีตชาติ ถึงปัจจุบัน ให้มารับบุญกุศลที่ข้าพเจ้าตั้งใจในวันนี้ ... วิธีนี้เรียกว่าการเสริมดวง ต่อดวงชะตาให้ตนเองทำทุกปีที่เกิดนะคะ จะก่อน หรือหลังวันเกิดตามสะดวก

กินยาแล้วนอนท นที อาจตายได้‏

หลายๆคนป่วยจากการกินยา เม็ดแคปซูลกับน้ำอุ่นโดยที่ไม่รู้ว่ายาจะถึงกระเพาะก่อนละลายน้ำหรือไม่
เป็นเรื่องที่น่าคิดว่าคุณควรจะกินยาแบบไหนดี

คำแนะนำจาก แพทย์
- ยาเม็ดสามารถ ละลายด้วยน้ำเย็น หลังจากกลืนคุณควรดื่มน้ำตามมาก ๆ
- ควรทานยาก่อนนอน 30 นาที ไม่ควรทานยา แล้วนอนเลย เพราะยาอาจะไม่ลงในกระเพาะ

ตัวอย่าง
ผู้ชายคนหนึ่งทานยา แอนตี้ไบโอติคส์และดื่มน้ำน้อยเกินไป
ยาจึงลงไปไม่ถึงกระเพาะ ยาค้างอยู่ที่ หลอดอาหารและเป็นเหตุให้! หลอดอาหารอักเสบ
หกวันผ่านไปเค้ากินได้แค่นมเย็นกับ อาหารเหลว และนอนโรงพยายาลอีก 5 วัน
แพทย์เตือน ว่าอาการอาจจะแย่ลงและอาจมีผลข้างเคียง สุดท้ายเกิดอาการไตวายเฉียบพลัน
และ เสียชีวิตหลังเข้าโ! รงพยาบาลเพียง 2 สัปดาห์
เพราะฉะนั้น ต้องระวัง เมื่อกินยา เม็ดหรือแคปซูล อย่า ดื่มน้ำอุ่นหรือ น้ำร้อน &! nbsp;
น้ำผลไม้ หรือน้ำหวานทุกชนิดตามยาลงไป ทางที่ดีควรดื่ม น้ำเย็น เท่านั้น
ถ้าคุณรู้สึกกระหายในลำคอหลังจากทาน ยา ให้ดื่มน้ำตามมาก ๆ และควรยืนหรือนั่งตัวตรงๆ
เมื่อทานยาอย่านอน ทันที

กรุณาส่งต่อให้คนอื่น ๆ และเพื่อน ๆ ของคุณ

วิธีง่ายๆต่อสู้กับมะเร็ง‏

สาระน่ารู้
วิธีง่ายๆต่อสู้กับมะเร็ง
จันทร์ ที่ 21 เดือน เมษายน พ.ศ.2551

วิธีง่ายๆต่อสู้กับมะเร็ง



พ่อเลี้ยง วรรณ พิมพ นิช เจ้าของรวมเกษตรฟาร์ม มาบรรยายวิธีรักษามะเร็งเมื่อ
เดือนที่แล้ว ผมเห็นว่ามีประโยชน์ จึงนำมาถ่ายทอดให้เพื่อนๆฟัง ดังนี้

พ่อเลี้ยงวรรณฯ อายุ 60 ปี เป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายที่กระดูกสันหลัง คุณหมอทั้ง
ไทยและเยอรมัน ไม่รับรอง ว่า จะรักษาหาย จึงไปทำการรักษาที่เกาหลีเหนือ
เป็นเวลา 1 เดือน ก็หายจากโรค กลับมาเมืองไทย
จึงตั้งเป็นมูลนิธิวรรณ รับรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ยากไร้ฟรี! ปัจจุบันมีผู้
รับการรักษา 2000 กว่าคน
ณ อ.แม่สอด ห่างจาก จว.ตาก 100 กม.

วิธีการรักษามะเร็ง แบบธรรมชาติง่ายๆ 4 ข้อ ดังนี้

1. จิตใจ ต้องสู้

2. อาหาร งดเว้นเนื้อสัตว์ ทุกชนิด แล้วหันมารับประทานอาหาร
ที่มะเร็งไม่รับประทาน 15 ชนิด ได้แก่

2.1 ธัญพืช 5 ชนิด ได้แก่ ข้าวกล้อง , ข้าวม้ง , ข้าวบาเล่ย์ ,
ข้าวสาลี , และลูกเดือย นำมาหุงด้วยหม้อข้าวไฟฟ้า
2.2 ผักผลไม้ 10 ชนิด ได้แก่ หอมหัวใหญ่ , มันฝรั่ง , หรือมันเทศ ,
กล้วยน้ำว้าสุก ( 8 ลูก/วัน) , ฟักทอง , ข้าวโพดหวาน , ยอดแค ,
ถั่วพู (2 ชนิดนี้ห้าม ขาด) , บลอคโคลี่ หรือกะหล่ำ ดอก , ถั่วหวาน
และคะน้าฮ่องกง(ผักผลไม้ 5 ชนิดแรกใช้ นึ่ง) นำทั้ง 10 ชนิด หั่นเป็นชิ้นๆ
นำมาเข้าเครื่องปั่นแบบไม่ต้องละเอียดมาก เพื่อ ให้กระเพาะอาหาร
ทำหน้าที่ย่อย จากนั้นนำมารับประทานหนัก 1 กก./วันกับธัญพืช

3. อาบน้ำร้อนสลับเย็นหรือเย็นสลับร้อนอย่างละ 2 นาที รวมเวลา 10 นาที 1
ครั้ง/วัน เตรียมน้ำร้อน โดยใช้เครื่องทำน้ำร้อน เตรียมน้ำเย็นโดยหาถังน้ำ
ใส่น้ำแข็ง แล้วอาบร้อนจัด และเย็นจัด เท่าที่ร่างกายทนได้ ภูมิต้านทานโรค
ทั้งสิ้น 2 จำพวก จะ ถูกกระตุ้นขึ้นมาทำหน้าที่ อย่างแข็งขัน

4. การออกกำลังกาย เดินเร็วหรือวิ่งเหยาะๆ ประมาณ 45 นาที/วัน ง่ายไหม
ครับ

ถ้าเพื่อนสนใจ สามารถเขียนจดหมายติดต่อ ขอรับธัญพืชปลอดสารพิษจากไร่ อ.แม่สอด
ตาม
สถานที่ข้างล่างนี้

“ มูลนิธิวรรณ ” เลขที่ 3/681 ประชานิเวศน์ ถ.เทศบาลนิมิตเหนือ ลาดยาว จตุ จักร กทม.
- เบอร์โทรศัพท์มือถือ พ่อเลี้ยงวรรณ 02 1580658 / 086-7886222



เขาเคยใกล้ตาย...แล้วก็ไม่ตายแล้ว... อย่าประมาท กับโรคมะเร็งร้าย
หลีกเลี่ยง ปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ โดยเฉพาะเนื้อสัตว์ เพราะ โรคมะเร็ง
โอกาศรอดชีวิตมีไม่มากนัก




ผมไปประชุมสัมมนานักประชาสัมพันธ์ สพท.ทั่วประเทศที่โรงแรมเฟิร์ส กทม. เมื่อวันที่ 20-22 กุมภาพันธ์ 2551 มีนักประชาสัมพันธ์ ซึ่งเป็นตำแหน่งบุคลากรทางการศึกษาอื่น ประเภทข้าราชการพลเรือนก็ไม่ใช่ บุคลากรทางการศึกษาก็ไม่เชิง แบบว่ามีคำว่า “อื่น”ต่อท้ายไปด้วย
เลยหาชาติพันธ์ไม่เจอ แบบว่าเป็นคนชายขอบประมาณนั้น กลุ่มนักประชาสัมพันธ์ซึ่งเป็นเซคชั่นหนึ่งของ “บุคลากรทางการศึกษาอื่น” ตามมาตรา 38 ค (2) ในพ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 จึงต้องมารวมตัวกันเพื่อหานโยบาย แนวทางและระดมวิสัยทัศน์พัฒนา “กลุ่มบุคลากรทางการศึกษาอื่น”ขึ้น โดยมีคุณสมยศ เย็นใจ นักประชาสัมพันธ์ 8 ว ประธานชมรมนักประชาสัมพันธ์ สพท.ทั่วประเทศ เป็นแกนนำ และเป็นผู้ที่ได้รับฉันทามติจากสมาชิกชมรมนักประชาสัมพันธ์ สพท.ทั่วประเทศให้ลงสมัครเลือกตั้งซ่อมผู้แทนบุคลากรทางการศึกษาอื่นในคณะกรรมการครูและบุคลากรทางการศึกษาหรือ ก.ค.ศ. แทนตำแหน่งที่ว่าง ซึ่งจะมีการลงคะแนนเสียงในวันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ 2551 โดยมีสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทั่วประเทศ 178 เขต เป็นหน่วยเลือกตั้ง
ทีนี้...วันที่ระดมพลแกนนำชมรมนักประชาสัมพันธ์ สพท.ที่โรงแรมเฟิร์ส เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2551 ซึ่งมีสมาชิกจากภาคเหนือ กลาง ใต้ อิสาน มากันหลายคนและก็ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มบุคลากรที่เป็นนักประชาสัมพันธ์เท่านั้น แต่ยังมีกลุ่มบุคลากรอื่นๆตามมาสังเกตการณ์ด้วย
ซึ่งก็มีทั้งสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี โดยหนึ่งในกลุ่มสุภาพสตรีที่เดินทางมาด้วยคนหนึ่งซึ่งเดินทางร่วมมากับ “คุณเบญ” นักประชาสัมพันธ์ สพท.ร้อยเอ็ด เขต 1 เธอเป็นสุภาพสตรีรูปร่างสันทัด ผิวพรรณผ่องใส หน้าตาสวยสะ แววตาแจ่มใส ผมแอบมองจากหัวโต๊ะในห้องประชุมด้วยเพราะเธอเป็นคนแปลกหน้าสำหรับผม นักประชาสัมพันธ์จังหวัดไหนเอ่ย....ผมถาม “คุณเบญ”ในช่วงเบรกรับกาแฟ
ก็เลยได้ทราบข้อมูลแบบผิวเผินมาว่า เธอชื่อ จันทร์เพ็ญ เกื้อวิทา ตำแหน่งบุคลากร 7ว สพท.ร้อยเอ็ด เขต 1 เป็นชาวกาฬสินธุ์ เดินทางมากทม.พร้อมกับ “คุณเบญ” เพื่อต้องการมาร่วมสนับสนุนและให้กำลังใจคุณสมยศ เย็นใจ ลงสมัครผู้แทน ก.ค.ศ. และอีกเหตุผลหนึ่งก็เพื่อต้องการเดินทางมาพบ “ผู้มีพระคุณ”ต่อชีวิตเธอคนหนึ่ง ที่ชื่อว่า “พ่อเลี้ยงวรรณ”



และผมก็ทราบในเวลาต่อมาจากปากของคุณจันทร์เพ็ญว่า เธอเป็นมะเร็งปากมดลูก ระยะที่ 4 บวก 1 โดยแพทย์ได้วินิจฉัยว่า เธอจะมีอายุอีกไม่เกิน 6 เดือน ในขณะที่เพื่อนฝูงและญาติสนิทมิตรสหายของเธอต่างก็ทยอยมาเยี่ยมและคอยดูใจ เวลาผ่านมาจนบัดนี้เป็นเวลากว่า 1 ปี คุณจันทร์เพ็ญเธอเดินปร๋อหน้าตาสดใส เค้าหน้า ดวงตาไม่มีร่องรอยอิดโรยที่จะบ่งบอกว่าเป็นคนที่มี “เนื้อร้าย”อยู่ในร่างกายแต่อย่างใด
“พ่อเลี้ยงวรรณ” คือ บุคคลที่ถูกกล่าวถึงบ่อยที่สุดในการประชุมในวันนั้นไป ภาพตัวตนของคุณจันทร์เพ็ญกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ในชีวิตของผม อาจจะเป็นเพราะผมมีพื้นฐานต้นทุนความคิดว่า ผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะสุดท้าย ถึงแม้จะไม่ทำคีโม ก็ไม่น่าจะมีสภาพกาย-ใจ ที่สุขสมบูรณ์อย่างนี้ ไม่บอกก็ไม่รู้ ไม่ถามเธอก็ไม่จำเป็นตองตอบให้ใครร้ด้วยซ้ำไป
แต่เมื่อรู้แล้ว...ผมจึงต้องขอขยายผล ซึ่งน่าจะเป็นวิทยาทานชีวิตอีกหลายๆชีวิตที่กำลังเผชิญอยู่กับโรคมะเร็งร้ายนี้ก็ได้ ที่สำคัญทั้ง “คุณจันทร์เพ็ญ” และสุภาพบุรุษที่ชื่อ “พ่อเลี้ยงวรรณ” ก็ยินดีที่จะให้เปิดเผยเรื่องราว ชีวิตที่เฉียดตายนี้ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย โดยที่ต้องมีพื้นฐานแห่งจิตใจและศรัทธาร่วมกันเป็นเบื้องต้น โดยต้องไม่มีผลประโยชน์ใดใดมาเกี่ยวข้อง
วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2551 เป็นวันแรกที่คุณจันทร์เพ็ญกับ “พ่อเลี้ยงวรรณ” มาพบกัน เพื่อ “รับยา”และร่วมรายการวิทยุทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย โดยการสัมภาษณ์สดคุณจันทร์เพ็ญ ทำนองว่า เป็นรายการให้กำลังใจผู้กำลังเผชิญภัยกับสภาพจิตใจที่ท้อถอย ร่างกายเสื่อมทรุด นับถอยหลัง ซ้ำร้ายเงินทองค่าใช้จ่ายก็ไม่มี โดย “มูลนิธิวรรณ” ซึ่งมี “พ่อเลี้ยงวรรณ”เป็นเจ้าของมูลนิธิ เป็นผู้ร่วมสัมภาษณ์
และเมื่อเสร็จสิ้นจากรายการวิทยุ “คุณจันทร์เพ็ญ” เธอก็กลับมาพร้อมกับคุณ “พ่อเลี้ยงวรรณ” โดยบุคลิกของสุภาพบุรุษวัยสูงอายุผมสีดอกเลา ดวงตามีเมตตาธรรม เดินเหินคล่องแคล่วปราดเปรียว วาจาฉาดฉาน ผมก็เลยเชิญ “พ่อเลี้ยงวรรณ” พบปะกับสมาชิกชมรมนักประชาสัมพันธ์ สพท. ในเวลานั้นทันที
ระยะเวลาประมาณ 10 นาที กับวิทยากรมืออาชีพอย่าง “พ่อเลี้ยงวรรณ” ยิ่งทำให้ผมและสมาชิกยิ่งบังเกิดความทึ่งประทับใจ ซึ่งหากจะถ่ายทอดใน BLOG นี้ก็คงต้องใช้เนื้อที่มากทีเดียว ผมจึงขอสรุปสั้นๆเท่าที่ฟังและซึมซับในขณะที่ฟังไปด้วยทำงานอย่างอื่นไปด้วยในห้องประชุมโรงแรมเฟิร์สในวันนั้น ได้ดังนี้



“พ่อเลี้ยงวรรณ” มีประวัติเป็นคนไข้โรคมะเร็งในกระดูกและข้อซึ่งแพร่กระจายไปสู่ต่อมน้ำเหลืองและโลหิตแล้ว
“พ่อเลี้ยงวรรณ” ไปรักษาตัวที่ประเทศเกาหลี ด้วยวิธีการเฉพาะทาง ด้วยตัวยาสมุนไพรและวิธีการที่เริ่มต้นด้วยศรัทธาแห่งจิต
“พ่อเลี้ยงวรรณ” หายเป็นปกติ ก้อนเนื้อมะเร็งฝ่อ ออกกำลังกายได้ทุกวัน โดยการวิ่งวันละ 9 กม.
“พ่อเลี้ยงวรรณ” บอกทุกคนว่า “ผมไม่ตายแล้ว”
“พ่อเลี้ยงวรรณ” เป็นวิทยากรบรรยายตามคำเชิญของแพทย์โรงพยาบาลต่างๆ โดยไม่พึงประสงค์ค่าวิทยากร รวมทั้งค่ารถ ค่าอาหารใดๆทั้งสิ้น
“พ่อเลี้ยงวรรณ” เป็นหุ้นส่วนใหญ่ของผลิตภัณฑ์มันฝรั่ง “เลย์” เดินทางไปไหนต่อไหนด้วยพาหนะ “เบ็นซ์”พร้อมคนขับ เหตุผลที่ต้องบอกเช่นนี้ก็เพื่ฮให้รู้ว่า พ่อเลี้ยงมีอันจะกิน ไม่พึงประสงค์ที่จะหาผลประโยชน์ใดใดจากการก่อตั้ง “มูลนิธิวรรณ” ส่วนที่ต้องใช้ “เบ็นซ์”ก็เพราะว่าชีวิตเคยประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์มาบ่อยครั้ง และทุกครั้งก็ปลอดภัยเพราะอยู่ใน “เบ็นซ์” ก็เลยรู้สึกอบอุ่น จะถือว่าเป็นการโฆษณาก็ยอม...
“พ่อเลี้ยงวรรณ” มีลูกหลานรวมกว่า 30 คน ทั้งลูกจริงและลูกบุญธรรม โดยทางมูลนิธิให้ทุนช่วยเหลือการศึกษาระดับปริญญาตรีต่อเนื่องทุนละ 3,500 บาทต่อเดือน ปีละ 10 คน จึงทำให้มีลูกๆเย๊อะ...ประมาณนั้น
“พ่อเลี้ยงวรรณ” ยินดีช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็ง โดยเฉพาะผู้ยากไร้ด้วยความเต็มใจ ไม่คิดเงิน เป็นสาธาณะกุศล
“พ่อเลี้ยงวรรณ” ยินดีไปบรรยายพิเศษทั่วประเทศ ค่าเครื่องบิน ค่ารถ ค่ากิน ฯลฯ พ่อเลี้ยงวรรณบอกว่า ตนเองออกค่าใช้จ่ายเอง ไม่รบกวนเจ้าภาพ เพราะรวยอยู่แล้ว....ประมาณนั้น
ฯลฯ
ผมถามไปตรงๆว่า เมื่อ “ตัวยา” และ “วิธีการ” ได้ผลอย่างนี้ ทำไมถึงไม่ประสานวิทยาศาสตร์การแพทย์และทำไมไม่เสนอตัวเข้าไปช่วยคุณยอดรัก สลักใจ หรือคุณหยาด นภาลัย “พ่อเลี้ยงวรรณ” ตอบทันทีว่า วิธีการมันแตกต่างกัน เพราะของมูลนิธิวรรณเริ่มต้นด้วย “จิตศรัทธา”และความมุ่งมั่น ซึ่งวิธีการของ “พ่อเลี้ยงวรรณ”ทุกวันนี้ก็ได้รับเชิญจากคณะแพทย์จากหลายๆโรงพยาบาลไปทำหน้าที่วิทยากรให้การแนะนำอยู่อย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว และการที่จะติดต่อรับความช่วยเหลือ “พ่อเลี้ยงวรรณ”ก็ขอพูดคุยกับผู้ป่วยหรือผู้ดูแลผู้ป่วยโดยตรงทางโทรศัพท์หรือไม่ก็พบปะกับคนไข้โดยตรง โดยไม่ยินดีที่จะให้คำปรึกษาผ่านคนกลาง...


ผู้ป่วยโรคมะเร็งหรือญาติผู้ป่วยหากคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ติดต่อกับ “พ่อเลี้ยงวรรณ” ได้ที่
มูลนิธิวรรณ
3/681 ประชานิเวศน์
ถนนเทศบาลนิมิตรเหนือ
แขวงลาดยาว
กทม
10900
โทร. 086-7886222, 084-3545552, 02-1580658

กร มกุชะ



ขอความจากเมลล์

Make up! รับสมัครงาน...แต่งหน้าศพ (ดูคนสุดท้ายให้ได้นะ)‏

" Tell Me Why " the Outstanding song! ... by 13 year old‏

ในหลวง คุณยายไข่ และไม้กวาดทางมะพร้าว‏

ในหลวง คุณยายไข่ และไม้กวาดทางมะพร้าว
อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์เมื่อตอนเช้า(23 ก.ย.52) เห็นข่าวว่า พระอาการ “ในหลวง” ดีขึ้น ทำให้นึกถึงเรื่องราวดีๆที่เกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว

ตอนนั้นผมทำงานเป็นนักข่าวใหม่ๆ มีอยู่วันหนึ่งพี่นักข่าวมอบหมายให้ไปสังเกตการณ์ที่โรงพยาบาลศิริราช

วันนั้น เป็นวันที่ในหลวงทรงเสด็จพระราชดำเนินกลับพระราชวังหลังจากที่ทรงฟื้นพระวรกายจากอาการประชวร

จำได้ว่า ผมไปโรงพยาบาลศิริราชในวันนั้นตั้งแต่เช้าตรู่ เห็นผู้คนมากมายที่มาเข้าเฝ้าจนทำให้นักข่าวใหม่อย่างผมเก้ๆกังๆทำอะไรไม่ถูก เลยค่อยๆเลียบเคียงพูดคุยกับลุงป้าน้าอาที่อยู่ในบริเวณนั้น จนผมได้พบกับ...ยายไข่

ด้วยความที่ผมเป็นคนติดคุณยายตั้งแต่ยังเด็ก การนั่งคุยกับยายไข่จึงทำให้รู้สึกอบอุ่นคล้ายกันกับนั่งคุยกับยายของตัวเอง ผมเลยนั่งคุยกับคุณยายคนนี้เรื่อยๆจนคิดว่า น่าจะนำเรื่องคุณยายไข่มาเขียนลงในหนังสือพิมพ์ดีกว่า

บทความที่ชื่อ “ในหลวง คุณยายไข่ และไม้กวาดทางมะพร้าว” จึงเกิดขึ้นและได้ลงใน DLife นิตยสารที่แนบในหนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ

สำหรับนักข่าวใหม่แล้ว การเขียนบทความดีๆที่อยากเขียนสักบทความลงในหนังสือพิมพ์ เพียงเท่านี้ก็อิ่มใจแล้ว

แต่หลังจากที่บทความนี้ลงในหนังสือพิมพ์สักระยะ มีพี่นักข่าวคนหนึ่งเดินมาที่โต๊ะทำงานผมแล้วเล่าให้ฟังว่า

“เพื่อนพี่เขาได้อ่านงานชิ้นนี้ของแก พออ่านจบแล้ว พี่เขาน้ำตาซึมเลย”

ผมได้ยินประโยคนี้แล้ว ความรู้สึกบางอย่างท่วมท้นอยู่ในหัวใจ ในฐานะนักข่าวผู้พยายามถ่ายทอดเรื่องราวของคนๆหนึ่งออกมาเท่าที่จะสามารถจะทำได้ ผมจึงดีใจในฐานะที่เป็น “ผู้เขียน”เท่านั้น

เพราะฉะนั้น คำชมทั้งหมดนี้ ผมอยากจะมอบให้ยายไข่ทั้งหมด ในฐานะคนที่มีชีวิตจริงที่มอบความภักดีทั้งหมดให้กับ “พ่อหลวง” ของเรา

ตอนนี้ผ่านมา 2 ปีแล้ว ผมยังเป็นนักข่าวอยู่ ไม่ได้เจอยายไข่อีกเลย

แต่คิดถึงยายไข่ครับ...



(และนี่ คือเรื่องราวในบทความชิ้นนั้น)

ในหลวง คุณยายไข่ และไม้กวาดทางมะพร้าว

ณ โรงพยาบาลศิริราช ราวๆใกล้เที่ยงของวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ.2550...ภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงฉลองพระองค์สีชมพูกำลังเสด็จพระราชดำเนินกลับพระราชวังหลังจากที่ทรงฟื้นพระวรกายจากอาการประชวร คงจะเป็นภาพแห่งความทรงจำของชาวไทยทุกคน ประชาชนจำนวนมากที่มาชมพระบารมีของพระองค์ท่านที่โรงพยาบาลศิริราชต่างน้ำตานองหน้าด้วยความดีใจ เสียงตะโกนว่า "ทรงพระเจริญ"ดังกึกก้องโรงพยาบาล

ใครจะรู้บ้างว่า ขณะที่ทุกคนกำลังปลาบปลื้มใจอยู่นั้น ณ มุมเล็กๆตรงนั้น ยังมี คุณยายไข่ หม่อมสระ...หญิงแก่อายุ 77 ปีจากดินแดนที่ราบสูงกำลังซับน้ำตาแห่งความยินดีหลังจากที่คุณยายปักหลักเอาใจช่วยพระองค์ท่านอยู่ที่โรงพยาบาลถึง 9 วัน

เรื่องราวเริ่มต้นจาก ณ บ้านโคกหมากเหลี่ยม ต.หนองคูขาด อ.บรบือ จ.มหาสารคาม คุณยายไข่นั่งอยู่หน้าจอโทรทัศน์แล้วได้ยินข่าวว่า ในหลวงทรงพระประชวร ด้วยความเป็นรักและเป็นห่วงในหลวง น้ำตาของคุณยายเริ่มกลั่นออกมาทันที

ที่หลังบ้านของคุณยายมีต้นมะพร้าวอยู่ 6 ต้น คุณยายได้ใช้ให้ลูกชายไปตัดทางมะพร้าวเพื่อนำมาเหลาเป็นไม้กวาด คุณยายได้เหลาทางมะพร้าวทีละก้านๆเหลาไปน้ำตาไหลไปเพราะใจนึกถึงแต่ในหลวงตลอดเวลา จนในที่สุด คุณยายได้ไม้กวาดทางมะพร้าวเล็กๆ 4 ด้าม

คุณยายไข่เชื่อว่า เวลามีใครป่วย ถ้ามีญาติพี่น้องไปเยี่ยมเยียน ผู้ป่วยจะมีกำลังใจต่อสู้กับอาการป่วยไข้นั้นได้

คิดได้ดังนั้น คุณยายจึงเก็บเสื้อผ้าใส่ลังแล้วตัดสินใจเข้าไปกรุงเทพเพื่อไปร่วมให้กำลังใจในหลวงพร้อมกับไม้กวาดทั้ง 4 ด้ามนั้นทันที

แม้ว่าลูกหลานจะทัดทานไม่ให้ออกเดินทางไปเมืองกรุงด้วยเหตุผลทางสุขภาพเพราะคุณยายไข่ยังเจ็บหลังอยู่จนต้องใช้ผ้ารัดไว้ตลอดเวลา รวมไปถึงเวลาเดินไปที่ไหนคุณยายก็เดินลำบากต้องใช้ไม้เท้าเสมอ แต่ถึงอย่างไร คุณยายไข่ก็เดินทางโดยรถไฟจากมหาสารคามไปยังกรุงเทพแล้ว

หลังจากที่ไม่เคยมาเมืองฟ้าอมรแห่งนี้กว่า 30 ปีแล้ว ตีห้าของวันที่ 30 ตุลาคม รถไฟสายอีสานคันหนึ่งจอดที่ปลายทาง นั่นคือ สถานีรถไฟหัวลำโพง หญิงชราค่อยๆลงมาจากรถ แล้วมองหาพาหนะที่จะพาตนเองไปยังโรงพยาบาลศิริราช

คุณยายไข่ตัดสินขึ้นรถตุ๊กตุ๊กด้วยราคารับจ้างที่ตกลงกันไว้ว่า 50 บาท สารถีของรถตุ๊กตุ๊กคันนี้ได้พูดคุยกับยายไข่ในระหว่างทางโดยสารจนได้ทราบถึงความมุ่งหมายอันแรงกล้าของหญิงชราหัวใจแกร่งผู้นี้

เมื่อถึงโรงพยาบาลศิริราช คนขับรถตุ๊กตุ๊กกลับไม่คิดเงินกับคุณยายไข่สักบาทแถมยังช่วยยกสัมภาระส่วนตัวของคุณยายไปยังเต็นท์สำหรับคนมาเฝ้าในหลวง ด้วยเหตุผลที่ว่าเป็นคนอีสานเหมือนกัน และเหตุผลที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านั้นก็คือ เขาทั้งสองมีความรักในคนคนเดียวกัน นั่น คือ "ในหลวง"นั่นเอง

คุณยายไข่จึงขอยึดพื้นที่เล็กๆภายในเต๊นท์เพื่อเป็นรังนอนชั่วคราวเพื่อเอาใจช่วยจนกว่าในหลวงจะหายจากอาการประชวร

ไม่ใช่ว่าคุณยายมาอยู่ที่โรงพยาบาลโดยไม่ทำอะไรเลย เพราะในทุกเช้า คุณยายจะช่วยกวาดเศษใบไม้ใบหญ้าในบริเวณนั้นตามแต่กำลังจะอำนวยด้วยไม้กวาดทางมะพร้าวของยาย แล้วทั้งวัน กิจกรรมต่างๆไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลงถวายพระพรหรือสวดมนต์ ยายไข่จะเข้าร่วมด้วยเสมอ

หลายวันเข้า คนที่มาร่วมเอาใจช่วยในหลวงเริ่มคุ้นเคยกับคุณยายผู้นี้ แล้วมิตรภาพดีๆก็เกิดขึ้น อย่างเช่น เวลามีแจกอาหาร ตำรวจจะหยิบอาหารมาให้คุณยายไข่เสมอเพราะคุณยายเดินลำบาก บางคนรู้ว่าคุณยายโปรดปรานอาหารอีสานถึงกับกลับบ้านเพื่อไปทำอาหารอีสานมาให้ นอกจากนี้หลายคนก่อนกลับบ้าน มักจะมาไหว้คุณยายก่อนเสมอ

และแล้ววันที่ 9 ของการอยู่ที่โรงพยาบาลของคุณยายไข่ คำอธิษฐานของคุณยายก็เป็นจริง ในหลวงมีพระวรกายที่แข็งแรงขึ้นจนสามารถกลับพระราชวังได้แล้ว

คุณยายไข่อธิษฐานว่า ถ้าในหลวงแข็งแรงดีแล้ว คุณยายจะนำไม้กวาดทั้ง 4 ด้ามไปทำบุญให้กับโรงพยาบาลศิริราช วัดมหาธาตุ(ท่าพระจันทร์) วัดพระแก้ว และวัดระฆัง โดยที่คุณยายจะช่วยกวาดเศษใบไม้ใบหญ้าในสถานที่แห่งนั้นด้วย

ในวันที่ในหลวงออกจากโรงพยาบาล ผู้เขียนได้พาคุณยายไข่ไปส่งที่วัดมหาธาตุ คุณยายตั้งใจจะอยู่ที่นี่สักพักหนึ่งเพราะมีคนที่คุณยายรู้จักอยู่ที่วัดนี้ แล้วคุณยายจะค่อยๆเดินทางออกไปทำบุญทีละวัดๆเพื่อทำความดีถวายในหลวง

หวังว่าภาพของหญิงชราที่ค่อยๆกวาดเศษใบไม้ใบหญ้าคงจะกระตุ้นให้หลายคนอยากจะทำความดีในวันนี้ขึ้นมาบ้าง

อ่านได้มั้ย"ลองดู"‏

Subject: FW: อ่านได้มั้ย"ลองดู ๆ"



วันก่อนเพื่อนส่งเมลมาให้ฉบับหนึ่ง หัวข้อก็คือ "คุณอ่านได้มั้ย"

พออ่านแล้วรู้สึกสนุกดี ว่า....เอ้ !! แปลกจังเลย นี่เราก็ยังอ่านมันได้นี่หน่า แม้เหมือนจะงง ไม่เข้าใจ

แล้วทำให้เกิดข้อคิดบางอย่างขึ้นมา ท่ามการดำเนินชีวิตในสถานการณ์ที่ดูสับสนอลหม่านวุ่นวายในยุคปัจจุบันนี้

ไม่รู้ว่าคุณเคยอ่านหรือยัง แต่เอาล่ะ เราไปอ่านกันดู ดูสิว่าคุณอ่านมันได้มั้ย แล้วค่อยมาคุยกันต่อ



ณุอาน่ได้มยั้








ถ้าคณุอาน่บทคาวมนี้ได้
คณุมีความคดิที่แขง็แรงพอสวคมรเลยนะ
คณุอาน่ได้หรอืเลป่าล่ะ
มีแค่ 55 คนจาก 100 เท่านนั้แล่หะที่อาน่ได้







ฉนัไม่อายกจะเชอื่เลยว่า
ฉนัเข้าใจสงิ่ที่ฉนักำลงัอาน่อู่ยนี้
มนัเปน็ปฎกราากรณ์ของคาวมคดิของม์ษุยน
ผลการศกึาษวจิยัจาก มวหายิทัาลย แบมคิร์จด ก่าลวว่า







มนัไม่สคำญเลยว่าตวัอรัษกเยีรงถตอ้กูงหรอืไม่ในคำคำหนงึ่
มนัสคำญแค่ว่า ตวัอษักรแรกและตวัอษกัรตวัสดุทาย้ของคำ
นนั้อู่ยในตนำแห่งที่ถกูตอ้ง ที่เลืหอนนั้มนัจะมวั่ซวั่อ่ายงไร
คณุก็อาน่มนัได้อู่ยดี ไม่มีปหญัา








ที่เปน็อาย่งนี้เราพะคาวมคดิของมษุน์ยนนั้
ไม่ได้อาน่ตวัอษกัรทกุตวัซกัหอน่ย
แต่อาน่เปน็คำเตม็ ๆ คำ
สดุยอดเลยใช่มยั้ล่ะ...ใช่เลย
แต่ยงัไงฉนัก็คดิว่าการสกะดมนัสคำญันะ
ถ้าคณุอาน่บควาบมนี้ได้ ชว่ยสง่ตอ่หอน่ยนะ












ฉะนั้น ความสับสันวุ่นวายไม่ได้เป็นเหตุทำให้เราไปต่อไม่ได้ และเราไม่ควรจะวิตกจริตกับสิ่งต่างๆที่ประดังประดาถ่าโถมเข้ามาในชีวิตจน เกินเหตุ

จงเผชิญกับมันเถิด แล้วคุณจะรู้ว่า

คุณสามารถอ่านปัญหาที่ดูงงงวยได้ไม่ยาก และสามารถเผชิญหน้ามันต่อไปได้ และไปจนถึงความสำเร็จ

ใช่.....คุณยังไหว.....และคุณอ่านมันได้

วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เรื่องดีที่ควรส่งต่อ...จากยายซุบ ถึง ในหลวง..

เรื่องดีที่ควรส่งต่อ...จากยายซุบ ถึง ในหลวง..





เรื่องดีๆที่ควรส่งต่อ

ในหลวงของปวงเรา

** ฉันอายตัวเองว่า ในขณะที่ท่านให้ชีวิตใหม่กับเรา แต่เราช่วยอะไรท่านไม่ได้เลย***


ยายซุบ สามร้อยยอด เป็นหญิงชาวบ้านวัย 70 แห่งบ้านคุ้งโตนด อำเภอกุยบุรี จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์ ยากจนมาตังแต่ยังสาวจวบจนวันนี้ หากแต่เธอกลับยืนยันว่า เธอมีอดีตที่มีความหมายต่อชีวิตของแก อดีตที่หมายถึงชีวิตใหม่ ไม่ว่าแกจะยังจนต้องขอเงินลูก ๆ 9 คนใช้ดังเช่นทุกวันนี้หรือจะมั่งมีศรีสุข ถูกหวยรวยเบอร์อย่างไรก็ตาม แกไม่เคยลืมเหตุการณ์ครั้งนั้น เหตุการณ์ที่ล่วงเลยมานานกว่า 40 ปี การเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนราษฏรบ้านคุ้งโตนด อำเภอกุยบุรี ไม่เพียงทำให้หมู่บ้านที่ยากจน ล้าหลัง ไม่มีแม้ถนนที่จะติดต่อกับโลกภายนอก ได้มีชีวิตที่ดีขึ้น หากแต่การเสด็จพระราชดำเนินในครานั้นได้ทำให้หญิงคนหนึ่งมีชีวิตยืนยาวต่อมาจนถึงวันนี้

สมัยยังสาวยายเคยไปรับเสด็จในหลวงใช่ไหม ?

ยาย-ใช่ ตอนนั้นไปรับเสด็จที่ตีนถ้ำไทรในหมู่บ้านเรานี่แหละ ท่านเสด็จฯ มาทางเหนือ ไอ้เราป่วยเป็นไส้ติ่ง ปวดท้องมาครึ่งเดือนแล้ว แต่ไม่รู้หรอกนะตอนนั้นว่าเป็นไส้ติ่ง ปวดท้องนอนซม คนในบ้านบอกในหลวงจะมา เราก็อยากเห็น อยากไปรับเสด็จ แต่ปวดท้องจนเดินไม่ไหว

เดินไม่ไหว แล้วไปยังไง ?

ยาย-ก็ให้คนหามไป ใส่เกวียนไปเลย

ทำไมถึงเลือกไปเฝ้าในหลวง ไม่ไปหาหมอ ?

ยาย-ไม่รู้สิ คืออยากเห็นตัวจริง ๆ ใกล้ ๆ นะ คิดในใจว่ายอมตายได้ แต่ขอไปรับเสด็จก่อน แลกตัวแลกชีวิตกันเลย พูดง่าย ๆ ว่าวัดดวงเอาเลย อีกอย่างตอนนั้นถ้าเราไปหาหมอก็ลำบาก เพราะน้ำแห้ง เรือเครื่องก็ไม่มี ถ้าไปก็คงไปไม่ถึง มันคงจะตายก่อน

แล้วตอนนั้นได้ถวายอะไรท่านบ้างไหม ?
ยาย-ยกมือพนมยังจะไม่ไหวเลย จะให้ถวายอะไรอีก (หัวเราะเสียงดัง)

แล้วได้เห็นท่านไหม ?

ยาย-ก็ได้เห็นท่านอยู่ แต่ก็เห็นห่าง ๆ แล้วก็เห็นไม่นานเพราะว่าพระองค์ท่านต้องเสด็จฯ ไปที่ตีนเขาอีกลูกคนละฟาก ทรงไปดูเรื่องที่จะระเบิดเขาทำทางเข้าออกหมู่บ้าน

ไส้ติ่งเรากำลังจะแตก แล้วรอดมาได้อย่างไร เกิดอะไรขึ้น ?

ยาย-ตอนนั้นไส้ติ่งกำลังจะแตก เงินสักบาทก็ไม่มีติดตัว พอดีว่าพระราชินีท่านทรงเยี่ยมเยียนราษฏร แล้วทอดพระเนตรเห็นเรานั่งหน้าซีด พิงเพื่อน คือได้ตอนนั้นมันไม่ไหวจริง ๆ ท่านทอดพระเนตรเห็นก็คงสังเกตได้ว่าอาการเราไม่ดี พระองค์ก็ถามว่า เป็นอะไร ? ท่านบอกให้พูดธรรมดาก็ได้ เราบอกว่าเจ็บท้อง พระองค์ท่านตรัสถามต่อว่า เจ็บมากี่วันแล้ว ? เราก็บอกว่า เจ็บมาครึ่งเดือนเห็นจะได้ ท่านก็เลยบอกให้หมอที่มาด้วยตรวจดู

แล้วหมอว่ายังไง ?

ยาย-หมอบอกว่าไส้ติ่งกำลังจะแตก พอหมอบอกอยางนั้น พระองค์ท่านก็ทรงติดต่อไปที่ในหลวงซึ่ง ทรงอยู่ที่ตีนเขาอีกลูก

รู้ได้ยังไงว่าสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงติดต่อไปที่ในหลวง ?

ยาย-รู้สิ เพราะเห็นในหลวง พระองค์ท่านทรงวิ่งจากตีนเขาลูกโน้นมาเลย ห่างกันถึง 1 กิโล ( แค่นี้ก็ตื้นตันแทนคุณยายแล้ว)

รู้สึกอย่างไรบ้างในตอนนั้น ?

ยาย-ดีใจแล้วก็ปลื้มใจแบบมาก ๆ ไอ้ตอนแรกคิดว่ากำลังจะตายนี่ คิดว่าตัวเองรอดแน่ มันมีกำลังใจ คิดว่าขนาดพระเจ้าแผ่นดินยังเอาใจใส่เราขนาดนี้ เราจะตายไม่ได้

พอในหลวงเสด็จมาถึง ทรงตรัสว่าอย่างไรหรือไม่ ?

ยาย-ท่านให้เอา ฮ. มารับ ท่านตรัสว่า เดี๋ยวเราจะกลับทางเรือเอง ให้เอาคนไข้ไปส่งก่อน พอพระองค์ท่านตรัส หมอสองคนก็หิ้วปีกเราไป ในหลวงท่านทรงเมตตาเราไปจนถึงเครื่อง พอเราขึ้นไป ก่อนที่ประตู ฮ. จะปิด เราก็มองลงมาเห็นในหลวง ท่านทรงโบกพระหัตถ์ เราซาบซึ้งมาก ยิ่งบอกตัวของเราเลยว่าเราจะตายไม่ได้

ถ้าไม่มีในหลวงในวันนั้น ก็ต้องตายแน่ ?

ยาย-แน่นอน ไม่ต้องอะไรหรอก หมอบอกว่า มาช้ากว่านี้แค่ 2-3 นาที ก็ไม่รอดแล้ว แล้ววันนั้นอย่างที่บอกว่าเรือเครื่องก็ไม่มี น้ำก็แห้ง ไม่รู้ใช้เวลาครึ่งวันจะเดินทางไปถึงโรงพยาบาลหรือเปล่า ถ้าในหลวงไม่เสด็จมาที่นี่ วันนั้นก็ตายแน่ ตายทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นอะไรตาย

เหมือนกับได้ชีวิตใหม่ ?

ยาย-ใช่ ชีวิตทุกวันนี้ถึงฉันแก่แล้ว แต่เมื่อนึกถึงวันนั้นทีไรรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ทุกที ตอนนั่งดูโทรทัศน์ เวลาเห็นท่าน เราก็จะพนมมือไหว้ตลอด รู้สึกว่าท่านได้มอบชีวิตใหม่ให้กับเรา

ตอนนั้นอยู่บน ฮ. เป็นอย่างไรบ้าง ?

ยาย-จำไม่ค่อยได้ รู้แต่ว่าพอบินขึ้นไปพักใหญ่หมอก็ถามว่าเป็นยังไงบ้าง เราพูดไม่ค่อยไหว แต่ก็บอกไปว่าปวดท้อง บน ฮ. นอกจากเรา ก็มีหมออีก 2 คน แ้วก็คนขับอีก 2 คน จำได้แค่นี้ล่ะ

ฮ. พาไปที่โรงพยาบาลไหน ?

ยาย-โรงพยาบาลพระมงกุฏฯ เพชรบุรี

แล้วพักอยู่กี่วัน ?

ยาย-ปกติคนเป็นไส้ติ่งทั่วไปเขาพักกัน 3-4 วันก็ออกได้แล้ว แต่เราเป็นหนักต้องพักถึง 24 วัน ถ้าในหลวงไม่ช่วยก็ตายแน่ แล้วถ้าเราตาย ลูกเต้าก็ไม่รู้จะอยู่ยังไง ในหลวงท่านทรงเมตตา ทรงดูแลเราอย่างดี ห้องที่เราพักอยู่นี่ดีมาก เป็นห้องพิเศษเลย พูดตรง ๆ ว่า ดีกว่าบ้านที่ฉันอยู่อีก หมอก็นิสัยดี พูดจากับเราเพราะแล้วก็ใจดี

** ในหลวงท่านทรงห่วงใยเรามากมีคนมาเยี่ยม ถามอาการ ถามสารทุกข์สุขดิบทุกวัน คนใกล้ชิดพระองค์ท่านก็ถามเรานะว่า จะฝากอะไรถึงท่านไหม เราบอกให้ พระองค์ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ พูดได้แค่นั้น มันตื้นตันจนนึกไม่ออก**

หลังจากวันนั้นแล้วเป็นอย่างไร ?

ยาย-ไม่มีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ พระองค์ท่านอีกเลย ถ้าเรามีโอกาส จะขอเข้าไปกราบแทบพระบาทเลย สิ่งที่พระองค์ท่านทรงช่วยเหลือเราไว้ เป็นความซาบซึ้งที่สุดในชีวิตแล้ว

** คิดูสิโลกนี้จะหากษัตริย์อย่างท่านได้ที่ไหน เราเป็นแค่ชาวบ้านจน ๆ แต่ท่านห่วงเราเหมือนเราเป็นลูกพระองค์ท่าน ทรงห่วงเราเหมือนที่เราห่วงลูก ท่านทรงเสียสละแม้กระทั่งของส่วนพระองค์ ทรงยอมลำบากกลับทางเรือเพื่อคนอย่างเรา พูดตรง ๆ ว่าสิ่งที่พระองค์ทรงทำให้ฉันตายแล้วเกิดใหม่อีกสิบชาติก็ทดแทนไม่หมด**

กลับมาบ้านแล้ว เป็นอย่างไร ?

ยาย-ตอนที่ออกจากโรงพยาบาลใหม่ ๆ พระองค์ท่านก็ส่งเงินมาให้อยู่ถึง 1 ปี ครั้งละ 3-5 พันบาท ส่งมาหลายครั้งอยู่ เรารู้เพระว่าใส่ซองสีขาวประทับตราสำนักพระราชวัง จากเหตุการณ์นั้นทำให้เรารักในหลวงของเรามาก

แล้วทุกวันนี้ก็ยังน้อยใจตัวเองอยู่ว่า เวลาที่ท่านป่วย เราก็ไม่มีเงินไปเฝ้า ไปแสดงความจงรักภักดีกับท่าน ได้แต่ร้องไห้อยู่กับบ้าน นั่งร้องไห้ทุกวัน ดูข่าวทุก??ันไม่เคยเว้นเลย ** ฉันอายตัวเองว่า ในขณะที่ท่านให้ชีวิตใหม่กับเรา แต่เราช่วยอะไรท่านไม่ได้เลย**

การเสียสละของในหลวงคราวนั้น ได้เอามาปฏิบัติตามหรือไม่ ?

ยาย-มีส่วนมากเลย เวลาคนในหมู่บ้านเขาป่วยเป็นอะไร ฉันก็ไปเยี่ยมเขาทั่ว ไปไหนไปกัน มีใครเจ็บในหมู่บ้านนี่ฉันจะไปเยี่ยมหมด บางทีถึงไม่ใช่หมอ ไม่ใช่ญาติเขา แต่เราก็ไป ไปนั่งพูดคุยให้กำลังใจ บางทีก็ไปบีบให้นวดให้ นี่คือสิ่งที่ในหลวงให้เรา และเราให้คนอื่นต่อ

** เมืองไทยเราโชคดีที่มีในหลวง โชคดีมาก ๆ ไม่มีกษัตริย์ที่ไหนในโลกอีกแล้วที่จะเป็นห่วงชาวบ้านอยางฉันเท่ากับท่าน คนอยางเราเปรียบไปก็เหมือนมดปลวก แต่ท่านก็ยังใส่ใจ ท่านใส่ใจจริง ๆ เหมือนกับว่าคนไทย คือ ลูกของท่านทั้งแผ่นดิน**

ความจริงของการให้อาหารช้าง ต้องอ่านตอนจบที่คุณไม่รู้‏

ขออนุญาตเจ้าของบทความมาลงนะคะ

วันนี้เห็นอีกแล้ว ... ภาพควาญช้างพาช้างเดินร่อนเร่ข้างถนน
ถึงจะเห็นเป็นประจำจนเจนตา แต่ก็ใช่ว่าจะทำใจให้ชาชินได้

ครั้งนี้แย่ยิ่งกว่า ตรงที่ช้างที่เห็นยังเป็นลูกช้างอยู่เลย
สูงเท่าอกควาญช้างเอง.. แต่ขาลูกช้างเล็กมาก ไม่สมส่วน
สงสารเท้าบางๆ ต้องมาเดินบนคอนกรีตร้อนๆ
ถามควาญ ควาญบอกไม่ต้องห่วง เท้าช้างมันหนา
เราว่าไม่หนาเท่าหน้าควาญหรอกมั้ง
( อันนี้คิดในใจ กลัวควาญสั่งให้ช้างเหยียบหน้าเรา)

กล้วย อ้อย ที่คนซื้อจากควาญ...เพื่อให้ควาญเอาให้ช้างกินอีกทีเนี่ย..
เป็นตลกร้ายมากๆ แต่ตลกที่ขำไม่ออก
เหมือนควาญจับช้างตัวเองเป็นตัวประกัน
ให้อดน้ำอดอาหาร แล้วรอให้คนอื่นเอาเงินมาไถ่ช้างของตัวเอง
แล้วควาญ ก็จะเอาเงินมาเลี้ยงตัวควาญเองเป็นส่วนมาก
( และเลี้ยงช้างอีกเป็นส่วนน้อย)
สรุป ...เราไม่ได้ซื้ออาหารเลี้ยงช้าง แต่จ่ายเงินเลี้ยงควาญมากกว่า

เมื่อก่อนเราก็เป็นหนึ่งในคนขี้สงสาร อดไม่ได้ต้องซื้อกล้วยซื้ออ้อยให้ช้าง
ทั้งๆที่รู้ว่าไม่ถูกต้อง

แต่จากประสบการณ์ตรง " เ ห็ น ม า กั บ ต า "
คืนนั้นประมาณสี่ทุ่ม เรากับเพื่อนกลุ่มนึง
ออกมาจากร้านอาหารที่กินเลี้ยงกัน

เจอช้างเช่นเดิม (สงสัยดวงสมพงษ์)
เราก็ทำอย่างเดิม (ซื้ออ้อยให้ช้าง)
แต่พอดีวันนี้มีเวลาเยอะ ประกอบกับมีที่นั่งแถวนั้น
เลยนั่งคุยกับเพื่อนไป ดูช้างไป

เริ่มเอะใจ
เฮ้ย... ทำไมช้างไม่เคี้ยวอ้อยหว่า ?
( เวลาไปปางช้าง เคยสังเกตว่าช้างจะเอาอ้อยเข้าปาก แล้วเคี้ยวหยับๆอยู่แป๊บนึง)
หรือว่าให้น้อยไป ช้างกลืนลงคอไปแล้ว จะรู้รสไหมนั่น ?
ไม่ได้การ เลยซื้อเพิ่ม สงสารช้าง ท่าจะหิว มันดึกแล้วคงไม่มีใครมาอุดหนุนแล้วล่ะ
คราวนี้เราจ้องซะตาเหลือก
อ้าว.. ยังไม่เคี้ยวอีกแฮะ อมไว้รึป่าวเนี่ย ?

สักพักควาญเห็นว่าเรามองมากๆ เลยจูงช้างเดินเลี่ยงไป ( อย่างเร็ว)
เรากับเพื่อนอีก 3-4 คน ก็ทำเป็นออกเดินมั่ง
ทำเดินเม๊าท์แตกโดยบังเอิญไปทางเดียวกัน
( แต่จริงๆคือจะเดินตามไปดู)
คราวนี้ควาญออกอาการ เอาขอเกี่ยวหูให้ช้างวิ่งเลย เราก็เฮ้ย ทำไมน่ะ ?
ควาญ?ิ่งพาช้างข้ามถนนไปอีกฝั่ง แล้วงุดๆไปหลบอยู่ตรงมุมมืดๆ
เรามองไม่ค่อยเห็นแล้ว เราไม่กล้าตามแล้วด้วย

โชคดีที่ตรงนั้น เพื่อนเราอีกคนออกมาจาก 7/11 ตรงหัวมุมแถวนั้นพอดี
( ลืมไปเลยว่า เพื่อนอีกคนออกมาก่อน มันบอกจะเดินไปซื้อของที่ 7/11 ฝั่งตรงข้าม)
เพื่อนคนนี้ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ช่วงที่เราเจอช้าง ควาญช้างก็ไม่รู้ว่าคนนี้เพื่อนเรา

เราโทรมือถือไปบอกเพื่อนเรา บอกว่า " เฮ้ย อย่าเพิ่งพูดอะไรนะ ช่วยดูช้างกับควาญให้ที "
แล้วเราก็เล่าเหตุการณ์คร่าวๆให้ฟัง ก่อนวางหู
เพื่อนคนนี้เป็นผู้ชาย มันเลยกล้าเดินไปยืนแถวๆควาญช้างตรงมุมมืดๆ
เพื่อนแกล้งทำท่าเหมือนหลบคนเยอะๆมาคุยโทรศัพท์
แต่จริงๆไม่ได้กดโทรออก
ส่วนเราเดินกลับมารอฟังข่าวที่เดิม

สักพักเพื่อนคนนี้ เดินข้ามฝั่งกลับมา บอกว่า

" ควาญเอาขอเกี่ยวหูช้างอย่างแรง ตอนแรกช้างไม่ทำอะไร
ตอนหลังควาญเลยเอาขอเกี่ยว ฟาดเข้าหลังหูเลย
ด้านคมๆนั่นแหล่ะ ช้างท่าจะเจ็บมาก มันร้องในลำคอ
แล้วคายอ้อยออกมา "

" อารายนะ!!!!!! " เราตกใจ
" ช้างคายอ้อยออกมา ...ออกมาเป็นมัดๆเลย
สงสัยอ้อยที่เธอซื้อให้นั่นแหล่ะ " เพื่อนย้ำอีกที

เรางี้ฟังแล้วแทบร้องไห้
ควาญสอนช้างให้อมอ้อย จะได้ให้ช้างคายอ้อยในที่ลับตา
แล้วเอาอ้อยกลับมาล้างเพื่อขายใหม่ได้เรื่อยๆ
โดยที่ช้างไม่ได้กินอะไรเลย!!!!

คิดดูช้างเดินบนพื้นคอนกรีตแข็งๆเป็นกิโลๆ
ยิ่งน้ำหนักตัวกดทับเยอะ ก็ยิ่งระบม แล้วยังต้องมาอดอาหารอีก
นึกภาพมันอมอ้อยไว้ในปาก คงทั้งหวานทั้งน่ากิน แต่ช้างก็ไม่กล้ากิน เพราะถูกสอนมา
ตอนถูกสั่งให้คายครั้งแรก มันคงทำใจคายไม่ได้ คงหิวมาก
ต้องให้ควาญฟาดตะขอจิกเข้าไป มันเจ็บจนต้องคายออกมา
ยิ่งเราซื้ออาหารให้ช้างมากเท่าไหร่ ช้างก็ยิ่งโดนทำร้ายแบบนี้มากเท่านั้น...

ขอประณามควาญช้างที่ทำแบบนี้
คุณไม่ควรทำกับช้างผู้มีพระคุณกับคุณ
คุณอาศัยความสงสารของคนมาเลี้ยงตัวเองยังไม่พอ
คุณยังทำร้ายช้างด้วย นี่ไม่น่าอภัยให้ยิ่งกว่า

เราไม่รู้นะว่าควาญช้างกี่คนที่สอนช้างให้ทำแบบนี้ได้ เราได้แต่หวังให้มีคนนี้คนเดียว
แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเบื้องหลังเค้าทำแบบนี้กันหมด ?

****** วานผู้ใจบุญ ช่วยส่งเมล์ฉบับนี้ต่อไปด้วย******
1555 อาจจะติดยาก
แต่มีอีกหลายเบอร์ เมมไว้ เห็นที่ไหน โทรแจ้งเลย

มูลนิธิเพื่อนช้าง
0-2945-7124/6 ( เวลาทำการ จันทร์-ศุกร์)
โรงพยาบาลช้างของมูลนิธิเพื่อนช้าง ( 24 ชั่วโมง)
08-1914-6113, 0-5424-7869/70
สายด่วน คุณโซไรดา ซาลวาลา
08-1936-3500
สายด่วน นายสัตวแพทย์ปรีชา พวงคำ
08-1936-3681
ศูนย์วิทยุผ่านฟ้า
191
รายการวิทยุ "ร่วมด้วยช่วยกัน"
1677, 142
รายการวิทยุ "สวพ. 91"
1644, 0-2562-0033/34
รายการวิทยุ "จ.ส. 100"
1137, 0-2711-9160/60
ศูนย์รับแจ้งทุกข์และภัย กองป้องกันภัยฝ่ายพลเรือน กรุงเทพฯ
1555
สายด่วนแจ้งช้างเร่ร่อน
1362

: Amazing! นิยาม "ไม่มีอะไร ในโลกนี้ที่ มนุษย์เราทำไม่ได้"‏

All idiots. คลิป แอบถ่าย(เสียวทุกคลิป)‏





เตือนภัยบัตรเครดิต‏



คู่ทุกข์...คู่ยาก‏

แมนโดนรถชนอาการสาหัส แต่โชคดีที่สมรเมียสาวไม่เป็นอะไร แมนอยู่ในอ้อมแขนของสมรเมียรักระหว่างส่งโรงพยาบาล
แมน : สมร ผม กำ ลัง จะตาย.....
สมร : ไม่ค่ะแมน คุณต้องไม่เป็นไรนะค่ะ
ทั้งคู่ฟูมฟายเหมือนหนังละครทั่วๆ ไป
แมน : เมื่อสองปีก่อน ธุรกิจผมพังพินาศ ก็มีคุณอยู่ใกล้ๆ
สมร : ก็ฉันเป็นเมียคุณนี่ค่ะแมน
แมน : เมื่อปีที่แล้วศาลฟ้องผมให้ล้มละลาย ก็มีคุณอยู่ไม่ห่าง
สมร : โธ่ แมนอย่าพูดแบบนั้นสิคะที่รัก
แมน : ปลายปีที่แล้ว จำได้ไหมผมโดนยิงเกือบตาย ก็มีคุณอยู่ใกล้ๆ อีก
สมร : อย่าพูดเลยค่ะ ยังไงสมรก็ไม่ทิ้งคุณหรอกค่ะ
แมนสำลักเลือดที่ไหลออกทางปาก กำลังจะตาย
แมน : สมร เข้ามาใกล้ๆ ผมสิ
>

>

>

>

สมรเอียงหูเข้าไปใกล้ ให้แมนสั่งเสียเป็นครั้งสุดท้าย ...........................
>

>

>

>

>

>

>
>
แมน : จำ ไว้ นะ.......อี หมอน.............มึง นะ มัน ตัว ซวย.........

นัยอันล้ำลึกของคำว่า "ขอบคุณ" ของ ว วชิรเมธี - Mind Breakfast‏

แก้วที่คว่ำอยู่กลางสายฝน
ต่อให้ฝนตกกระหน่ำทั้งคืน
ก็ไม่อาจเต็มไปด้วยน้ำ
คนที่ไ ม่ยอมเปิดใจเรียนรู้
ต่อให้คลุกคลีอยู่กับนักปราชญ์ทั้งคืนทั้งวัน
ก็ยังโง่เท่าเดิม
ว วชิรเมธี

........................
นัยอันล้ำลึกของคำว่า "ขอบคุณ"

ขอบคุณความไม่รู้ ที่ทำให้รู้วิธีลุกขึ้นสู้
ขอบคุณความยากจน ที่ทำให้เป็นคนมุมานะ
ขอบคุณความล้มเหลว ที่ทำให้เกิดความเชี่ยวชาญ

ขอบคุณความผิดพลาด ที่ทำให้ฉลาดยิ่งกว่าเดิม
ขอบคุณความริษยา ที่ทำให้กล้าสร้างสรรค์สิ่งใหม่
ขอบคุณคำวิพากษ์วิจารณ์ ที่ทำให้ผลิบานอย่างไร้ข้อตำหนิ

ขอบคุณความไม่รู้ ที่ทำให้รู้จักครูที่ชื่อประสบการณ์
ขอบคุณความผิดหวัง ที่ทำให้ตั้งสติเพื่อลุกขึ้นมาใหม่
ขอบคุณศัตรูที่แกร่งกล้า ที่ทำให้รู้ว่าเรายังไม่ใช่มืออาชีพ

ขอบคุณมหกรรมคอรัปชั่น ที่ทำให้เราอยากสร้างสรรค์การเมืองใหม่
ขอบคุณความป่วยไข้ ที่ทำให้เราตั้งใจดูแลสุขภาพ
ขอบคุณความทุกข์ที่ ทำให้เรารู้ว่าความสุขมีค่าแค่ไหน

ขอบคุณความพลัดพราก ที่ทำให้เราสละจากความยึดมั่น ถือมั่น
ขอบคุณเพลิงกิเลส ที่ทำให้เรามีเหตุอยากถึงพระนิพพาน
ขอบคุณความตาย ที่ทำให้ฉากสุดท้ายของชีวิตสมบูรณ์แบบ

เจริญพร
ว วชิรเมธี


ขออนุโมทนาขอบคุณชาวพุทธทุกท่านที่กรุณา forward mail แนะนำธรรมทานนี้ต่อ ๆ กันไป
ไม่สงวนลิขสิทธิ์ใด ๆ
ขออภัยอย่างสูง หาก mail นี้รบกวนท่าน

Super guy! ยอดมนุษย์‏

James Bond in Bangkok‏

ตุ๊กตา 'Reborn Baby'‏

เทรนด์ใหม่คนเล่นตุ๊กตาReborn Baby ซื้อผ่านเน็ตราคาหลักหมื่นถึงแสนบาท

ของเล่นใหม่คนมีตังค์มาแล้ว "รีบอร์นเบบี้" (Reborn Baby) หน้าตาเหมือนเด็กทารก-แรกเกิดคล้ายมีชีวิตจริง ซื้อผ่านเน็ตจากตปท. ราคาตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักแสน ชี้เป็นเทรนด์ใหม่คนเล่นตุ๊กตาที่กำลังมาแรง มีสิทธิเข้ามาเทียบเคียงกับตุ๊กตา Blythe เพราะสามารถนำมาจับตกแต่งได้ พิเศษตรงที่ลักษณะของผิวเหมือนเด็กทารกของจริงมาก

หลังจากเป็นกระแสฮิตในอังกฤษ อเมริกา และยุโรป ล่าสุดของเล่นคนมีตังค์ที่ชื่อ "รีบอร์นเบบี้" (Reborn Baby) ก็เดินทางข้ามทะเลมาสู่ผู้ชื่นชอบตุ๊กตาในเมืองไทยแล้ว !

ทั้งนี้ ความนิยมรีบอร์นเบบี้ได้แพร่กระจายไปยังกลุ่มคนมีกำลังซื้อทั้งชายและหญิงที่มีความรักชอบตุ๊กตา หรืออยากมีตัวแทนของเด็กทารกเอาไว้เลี้ยงแก้เหงา บางคนถึงกับอุ้มไปไหนมาไหนราวกับเป็นลูกหลานที่มีตัวตน โดยนิยมสั่งซื้อผ่านทางอินเทอร์เน็ตในราคาที่มีตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักแสน
รวมถึงยังมีแอ็กเซสซอรี่สำหรับให้นักสะสมได้ซื้อหาด้วย
นายธีรพันธุ์ จิตตาลาน กรรมการผู้จัดการ บริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุนนครหลวงไทย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ชื่นชอบตุ๊กตา Reborn มาก และสั่งนำเข้ามาจากประเทศออสเตรเลียในราคา 20,000 บาท ตามสเป็กที่เราต้องการ สาเหตุที่เลี้ยง เพราะอยากอุ้มหลาน โดยลูกชายเตรียมจะแต่งงานปีหน้า เลยซ้อมเลี้ยงไว้ก่อนจะอุ้มหลานจริงๆ ซึ่งก็จะวางไว้บนหัวเตียง
เพื่อจะได้คอยดูแลและอุ้มหลาน

"ตุ๊กตา Reborn ที่นำมาเลี้ยงได้ตั้งชื่อว่า น้องฮันนี่ อายุ 1-3 เดือน ผมสีทองหยิก ตาสีฟ้า แถมมีแอ็กเซสซอรี่ทั้งเสื้อผ้า สร้อยคอ แบบครบเซต โดยเริ่มแรกที่สั่งนำเข้ามา เนื่องจากภรรยาของพี่ชายเป็นคนซื้อมาเล่นก่อน 2 ตัว และแนะนำให้เล่นกันในครอบครัว ซึ่งเคยพาเจ้าน้องฮันนี่ไปอวดเพื่อนและลูกค้าที่ทำงานด้วย
และเคยอุ้มพาไปเที่ยวที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดังโดยที่คนทั่วไปไม่รู้ คิดว่าเป็นเด็กทารกจริง แต่เป็นตุ๊กตา"

"เจ้าตุ๊กตา Reborn นี่ ว่ากันว่าเป็นเทรนด์ล่าสุด ที่มีสิทธิเข้ามาเทียบกับตุ๊กตา Blythe เพราะสามารถนำมาจับตกแต่งได้เหมือนกัน แต่พิเศษตรงที่ลักษณะของผิวเหมือนกับเด็กทารกของจริงมาก ส่วนราคาไม่ต้องพูดถึง ผมซื้อมาราคา 20,000 บาท แต่มีบางตัวแพงกว่านี้ แพงกว่าตุ๊กตา Blythe เสียอีก "นายธีรพันธุ์กล่าว

ขณะที่แหล่งข่าวอีกรายที่ชื่นชอบตุ๊กตา Reborn กล่าวว่า "ช่วงแรกตัวเองก็เล่นตุ๊กตาไบลธ์ มีไบลธ์สะสมไว้ถึง 150 ตัว แต่ตอนนี้ พอเห็นคนเล่นเยอะมาก เลยอยากลองเปลี่ยนไปเล่นตุ๊กตาตัวอื่นบ้าง พอดีเปิดช่องทีวีของทางอเมริกาแล้วเจอรายการที่พูดถึงตุ๊กตา Reborn ว่าใช้เป็นเพื่อนของคนขี้เหงา เป็นเหมือนเด็กทารกเลย เลยลองติดตามดูตุ๊กตาตัวนี้ดู"

แหล่งข่าวรายหนึ่งได้กล่าวว่า เธอได้เข้าไปสำรวจดูในเว็บไซต์ของอีเบย์ จึงได้เห็นว่าตุ๊กตา Reborn เป็นตุ๊กตาต้องทำด้วยมือ เป็นงานในเชิงศิลปะ คนที่ทำส่วนใหญ่เป็นพวกแม่บ้านที่ฝึกฝนวิธีการทำตุ๊กตา Reborn ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 3 ปี ถึงจะชำนาญในระดับที่สามารถทำตุ๊กตาที่เหมือนคนจริงๆ ได้ ซึ่งขณะนี้เป็นที่นิยมกันมากที่อิตาลี อังกฤษ ออสเตรเลีย
ตอนนี้สะสมอยู่ 2 ตัว ซื้อมาจากคนที่ทำในออสเตรเลีย โดยที่เขาส่งใบเกิด การดูแล และชื่อของตุ๊กตามาด้วย เธอทั้งสองคนมีชื่อว่า ลิเลียนนาและเมดิสัน ตัวละ 20,000 บาท ซึ่งเป็นราคามาตรฐานของตุ๊กตา Reborn ที่ทำแล้วคล้ายกับเด็กทารกที่สุด ซึ่งทำได้เนี้ยบขนาดที่ว่า ผมของเด็กต้องจัดเรียงทีละเส้น สีผิวต้องใกล้เคียงกับเด็กทารกเลยทีเดียว

"วิธีการเล่นตุ๊กตาตัวนี้ เล่นเหมือนเด็กเลย อุ้มเหมือนเด็ก ซื้อเสื้อผ้าให้ มีจุกนม แต่ไม่สามารถสระผมและอาบน้ำให้ได้ ข้อดีก็คือ เขาไม่งอแง ไม่ร้องไห้"

สำหรับกระแสตุ๊กตา Reborn ในบ้านเราในตอนนี้ แหล่งข่าวเล่าว่า ยังไม่ค่อยเห็นว่ามีใครสะสมสักเท่าไหร่ ช็อปที่เมืองไทยก็ไม่มี เพราะส่วนใหญ่เป็นงานฝีมือที่แม่บ้านทำกันในบ้านแล้วส่งเข้ามาเสนอขายที่เว็บไซต์อีเบย์มากกว่า

ว่ากันว่าศิลปะการประดิษฐ์ตุ๊กตารีบอร์นเกิดขึ้นครั้งแรกที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ราวปี ค.ศ.1990 แต่เดิมตุ๊กตาประเภทนี้ตกทอดกันมาเฉพาะในหมู่นักสะสม กระทั่งโรงงานเริ่มผลิตและขยายศักยภาพในการผลิตให้เหมือนเด็กทารกจริงมากขึ้น จากนั้นศิลปินผู้ผลิตตุ๊กตาและนักสะสมจึงได้เริ่มเผยแพร่ของรักของพวกเขาผ่านอินเทอร์เน็ตในราคา 1,000 ดอลลาร์ขึ้นไป
เพื่อสร้างคอมมิวนิตี้สำหรับผู้ที?หลงใหลตุ๊กตาชนิดนี้ขึ้นมา

และเมื่อตุ๊กตารีบอร์นตัวแรกได้ถูกขายผ่านเว็บไซต์อีเบย์ในปี 2002 ก็พลันเกิดปรากฏการณ์ในตลาดตุ๊กตาแนวนี้ เพราะได้รับกระแสตอบรับจากนักสะสมอย่างล้นหลาม จนผู้ผลิตตุ๊กตารีบอร์นได้พากันหันมาเปิดหน้าร้านแบบออนไลน์กันเป็นจำนวนมาก เพื่อขายสินค้าและเป็นเนิร์สเซอรี่เพื่อดูแลซ่อมแซมด้วย นับได้ว่า ตุ๊กตารีบอร์น
เป็นเทรนด์ใหม่ของนักเล่นตุ๊กตาที่กำลังมาแรงและเติบโตจากตลาดนิชมาร์เก็ตสู่ตลาดนักสะสมตุ๊กตาในทั่วโลกอย่างรวดเร็ว คือจากอเมริกา ไปอังกฤษ ออสเตรเลีย แคนาดา ยุโรป แอฟริกา ละตินอเมริกา รวมถึงกำลังเริ่มเข้ามามีอิทธิพลกับนักสะสมตุ๊กตาในเมืองไทยแล้ว








ก่อนที่สมองจะเสื่อม...น่าอ่านมาก‏

Subject: ก่อนที่สมองจะเสื่อม...น่าอ่านมาก


ออกกำลังสมอง ก่อนสมองจะเสื่อม /ศ.พญ.นันทิกา ทวิชาชาติ


สมองก็ เหมือนร่างกายที่ต้องการการออกกำลังให้แข็งแรง คล่องแคล่ว ฉับไว โดยเฉพาะเมื่ออายุมากขึ้นยิ่งต้องให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เพราะการทำงานของสมองเสื่อมลงจนอาจเกิดภาวะสมองเสื่อม สูญเสียความทรงจำ หรือเกิดโรคอัลไซเมอร์

ในประเทศไทยพบว่าเมื่อปี 2548 มีผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมสูงถึง 229,1000 คน และจะเพิ่มขึ้นเป็น 450,200 คนในอีก 20 ปีข้างหน้า ดังนั้น เมื่ออายุมากขึ้น โอกาสเสี่ยงของการเกิดภาวะสมองเสื่อมยิ่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การป้องกันที่ดีที่สุดคือการรักษาความดันโลหิตให้ปกติ อย่าให้มีไขมันในเลือดสูง ออกกำลังสมอง ไม่เครียด และเข้าร่วมสังคม จะช่วยกระตุ้นให้สมองทำงาน ไม่เสื่อมสภาพเร็ว


การออกกำลังสมอง หรือ " นิวโรบิกส์ เอ็กเซอร์ไซส์ " (Neurobics Exercise) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยได้

ศาสตราจารย์ แพทย์หญิงนันทิกา ทิวชาชาติ จากภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกเล่าถึงถึงวิธีการออกกำลังสมองว่า การออกกำลังสมองเปรียบเทียบได้กับการออกกำลังของร่างกาย ที่จะต้องเคลื่อนไหวเพื่อใช้กล้ามเนื้อหลาย ๆ ส่วนให้ทำงานเชื่อมโยงกัน ส่งผลให้ร่างกายเราแข็งแรงขึ้น

ดังนั้นการออกกำลังสมองจึงเป็นเสมือนการฝึกให้สมองส่วนต่าง ๆ มีการทำงานที่ประสานสัมพันธ์กัน ทำให้ระบบการทำงานของสมองแข็งแรงและมีพลังขึ้น เพราะเมื่อฝึกออกกำลังสมองบ่อย ๆ สมองจะมีการหลั่งสารที่เรียกว่า นิวโรโทรฟินส์ ( Neurotrophins) ที่เปรียบเหมือน " อาหารสมอง " ที่ ทำให้เซลล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของ "เดนไดรต์" (Dendrite) ที่เชื่อมระหว่างเซลล์ประสาททำงานดีขึ้น จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้เนื้อเซลล์เจริญเติบโต และเซลล์สมองแข็งแรง


"เมื่อเซลล์สมองส่วนใหญ่แข็งแรง ก็จะทำให้เกิด " พุทธิปัญญา " (Cognitive Function) ที่หมายถึงความจำ สมาธิ การรับรู้ ที่ทำให้เกิดพฤติกรรมการแสดงออก รวมไปถึง " การทำงานของสมองระดับสูง " (Executive Function) คือ การคิด แก้ปัญหา การตัดสินใจ และการวางแผนที่ดีขึ้น ทำให้การทำงานของสมองยังคงประสิทธิภาพดี แข็งแรง และชะลอความเสื่อม เรียกง่าย ๆ ว่า "สมองฟิต" เหมือนการออกกำลังให้ร่างกายนั่นแหล่ะ"

สำหรับหลักการของการออกกำลังสมอง หรือนิวโรบิกส์ เอ๊กเซอร์ไซส์ ศาสตราจารย์แพทย์หญิงนันทิกา อธิบายว่า เกิดจากการกระตุ้นให้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 (Sensory Organs) อันได้แก่ การได้ยิน ได้มองเห็น การได้กลิ่น การลิ้มรส และการสัมผัส รวมไปถึงส่วนสำคัญส่วนที่ 6 คือ ส่วนของ "อารมณ์" (Emotional Sense) ได้ทำงานเชื่อมโยงกัน โดยใช้กิจกรรมในชีวิตประจำวันเดิมของเราเป็นตัวช่วย เพียงแต่ต้องเปลี่ยนวิธีการไปจากเดิม


"ยกตัวอย่างเช่น จากที่เคยชินกับการใช้มือขวาซึ่งเป็นข้างที่ถนัดหยิบจับทุกอย่าง ก็เปลี่ยนมาใช้มือซ้ายทำแทน เนื่องจากพฤติกรรมและการรับรู้ต่าง ๆ เกิดจากการทำงานประสานกันระหว่างสมองซีกซ้ายและขวา ถ้าเราใช้แต่มือข้างขวาทำทุกอย่าง สมองด้านซ้ายซึ่งบังคับมือขวาจะได้รับการกระตุ้นด้านเดียว แต่สมองส่วนขวาซึ่งบังคับมือซ้ายก็จะไม่ค่อยได้ทำงานและอาจจะเสื่อมไป ดังนั้นเมื่อเราฝึกทำกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยมือซ้าย ก็ช่วยให้สมองส่วนขวาได้รับการกระตุ้นและทำงานอย่างมีประสิทธิภาพขึ้นด้วย"

การออกกำลังสมองไม่ยากอย่างที่คิด
การออกกำลังสมองสามารถทำได้ด้วยตัวเองได้ มาลองทำดูกันนะคะ

ถ้าอยู่บ้าน ลองทำกิจกรรมเหล่านี้ดู
- ปิดตาทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ปิดตาอาบน้ำ ปิดตาดูทีวี เพื่อเปลี่ยนความเคยชินในการรับข้อมูลจากประสาทสัมผัสเดิม ๆ เช่น เมื่อเราปิดตาดูทีวี แทนที่จะ"มองเห็น" เราก็จะ "ฟัง" และกระตุ้นความคิดว่า เรากำลังดูรายการอะไร หรือพิธีกรซึ่งเป็นเจ้าของเสียงนี้คือใคร
- ปิดไฟในห้องแล้วใช้มือคลำ เพื่อกระตุ้นประสาทในส่วน "สัมผัส" เชื่อมโยงกับความจำว่าสวิตซ์ไฟหรือสิ่งของภายในห้องอยู่ตรงไหน
- สลับกับกิจกรรมที่เคยทำตั้งแต่ตื่นนอน จากที่เคยอาบน้ำก่อนกินข้าว ก็เปลี่ยนเป็นกินข้าวก่อนอาบน้ำ (แต่จะแปรงฟันก่อนก็ได้) เนื่องจากสมองจะใช้พลังในการทำสิ่งใหม่ ๆ มากกว่าตอนที่ทำกิจกรรมเดิม ๆ ซึ่งเคยชิน

ระหว่างเดินทางก็ฝึกสมองได้
- หากเปิดแอร์ระหว่างขับรถทุกวันก็ลองเปิดกระจกขับรถบ้าง แต่ก็ควรเลือกเส้นทางที่มีอากาศบริสุทธิ์หน่อยนะคะ เพื่อเชื่อมโยงประสาทรับกลิ่นและเสียงภายนอกให้ทำงานประสานกันมากขึ้น
- หากคุณต้องขับรถไปทำงานทุกวันก็ลองเปลี่ยนเส้นทางที่ใช้อยู่เดิมบ้าง อาจเป็นเส้นทางที่ใช้อยู่เดิมบ้าง เส้นทางใหม่ที่ทราบอยู่แล้ว หรือเส้นทางทดลองขับก็ได้ เพราะทั้งวิวทิวทัศน์ กลิ่น และเสียงของเส้นทางใหม่จะช่วยกระตุ้นทั้งสมองชั้นนอกและฮิปโปแคมปัสให้สร้าง แผนที่เส้นทางชุดใหม่ขึ้นในสมอง
- เปลี่ยนวิธีการเดินทางบ้าง เช่น จากที่เคยขับรถก็อาจนั่งรถเมล์หรือรถไฟฟ้ามาทำงานแทน


ทำงานไปด้วย ฝึกสมองไปด้วยก็ได้
- เปลี่ยนตำแหน่งสิ่งของบนโต๊ะทำงานโดยเฉพาะถังขยะ เพราะความเคยชินจากการรู้ว่าจะหยิบจับอะไรตรงไหน ทำให้สมองเราทำงานน้อยลง พิสูจน์ได้จากเมื่อคุณย้ายตำแหน่งถังขยะในช่วงแรก ๆ คุณก็ยังทิ้งขยะลงที่เดิมซึ่งไม่ลงถังแล้ว นั่นเป็นเพราะสมองเคยชิน
- พูดคุยกับเพื่อนร่วมงานใหม่หรือคนที่ไม่ค่อยคุยด้วย เพื่อเติมข้อมูลใหม่ ๆ ให้กับสมอง ทั้งการจำลักษณะใบหน้า เสียงพูดหรืออุปนิสัยส่วนตัวของเพื่อนร่วมงานคนนั้น
- ชวนเพื่อนร่วมงานถกเถียง อภิปรายหรือพูดคุยในประเด็นที่ไม่เคยพูด เพื่อเปิดรับข้อมูลใหม่ ๆ

ลองฝึกดูนะคะ ค่อย ๆ ทำวันละเล็ก วันละน้อย ก็สามารถจะยืดอายุสมองของคุณให้แข็งแรงนานขึ้นค่ะ

19 ways to refresh your eyes โดยเฉพาะสาว ๆ โปรดทราบ‏



1. ปรับช่องแอร์ในรถให้ต่ำลงอย่าให้ลมเย็นพ่นเข่าตาโดยตรง เพราะลมเย็นพวกนี้จะเป็นสาเหตุให้ตาแห้ง ถ้าปล่อยไว้นานๆ กระจกตาก็อาจจะถลอกจนกลายเป็นปัญหาเรื้อรังได้

2. บลูเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่ดีต่อสายตามากๆและหาซื้อได้ไม่ยากเลย แค่ซื้อแยมบลูเบอร์รี่มาทาขนมปังทาน คุณก็จะได้รับสารอาหารแอนโธไซยาโนไซด์ ซึ่งช่วยบำรุงสายตาแล้ว

3. อย่ามองข้ามมันเทศของดีราคาย่อมเยาที่พ่อค้าเขาเดินขาย วิตามินในมันเทศจะช่วยปรับสายตาของคุณให้เห็นได้ชัดในที่มืด

4. เวลาทำกับข้าวอย่าลืมใส่หัวหอมแดงลงไปด้วยเพื่อให้สารต้านอนุมูลอิสระเคอร์ซิทินในหอมแดงจะช่วยป้องกันต้อหินให้คุณ

5. อย่าขี้เกียจเดินเพราะผลการวิจัยบอกว่าเดินอย่างน้อยสัปดาห์ละ 4 ครั้งจะช่วยลดความดันในกระบอกตา ทำให้สายตาเป็นปกติ

6. กินปลาสัปดาห์ละ 2 ครั้งเพื่อไม่ให้ร่างกายขาดโอเมก้า-3 ที่จำเป็นสำหรับบำรุงสายตา

7. ลดขนมหวานๆ และอาหารมันจัดอาหารพวกนี้เกิดมาเพื่อเป็นศัตรูกับสุขภาพ รวมทั้งสายตาของคุณด้วย

8. ก่อนออกจากบ้านอย่าลืมใส่แว่นกันแดดเสมอเพื่อป้องกันทั้งลม แดด ฝุ่นละออง และเชื้อโรค ที่จะแท็คทีมกันมาทำร้ายสายตาที่รักของเรา

9. ตรวจวัดความดันโลติตเป็นประจำทุกเดือนความดันที่ผิดปกติมีผลโดยตรงต่อสายตามาก จึงไม่ควรมองข้ามการวัดความดัน ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลจะได้รักษาได้ทันท่วงที

10. สวมหมวกปีกกว้างแว่นกันแดดอย่างเดียวอาจจะสู้กับแดดแรงมหาร้อนอย่างบ้านเราไม่ไหว หมวกปีกกว้างจึงเป็นอุปกรณ์เสริมอีกอย่างที่ขาดไม่ได้ เพื่อป้องกันรังสียูวีที่อาจจะเล็ดลอดเข้ามาทางด้านบนของแว่นกันแดด

11. อย่าละเลยการทำความสะอาดดวงตาด้วยน้ำยาล้างเครื่องสำอางค์ทุกคืนเพื่อป้องกันไม่ให้มาสคาร่าที่อาจจะเหลือตกค้างอยู่เข้าไปหมักหมมอยู่ในดวงตาจนเกิดการติดเชื้อ

12. กินผักใบเขียวเป็นประจำทุกวันผักใบเขียวเป็นแหล่งรวมของสารลูเทอินและซีอาแซนธินที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคต้อกระจกและยิ่งซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในกระบอกตาได้ด้วย (คนที่เกลียดผักคงต้องพยายามหน่อยน่ะ)

13. ผักบีตสดๆเป็นของขวัญชั้นดีที่จะมอบให้ดวงตาของตัวเองได้ผักชนิดนี้มีสารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยปกป้องหลอดเลือดในกระบอกตา ทำให้ตาคุณมีเลือดไปเลี้ยงอย่างสมบูรณ์ ทำให้ตาคุณสวยและใส

14. เลิกทานอาหารที่เค็มจัดเพราะคนที่ติดรสเค็มจะมีโอกาสเป็นโรคต้อกระจกมากกว่าคนที่ชอบอาหารรสจืด

15. หมั่นซักผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัวบ่อยๆเพื่อให้ผ้าส่วนตัวของคุณสะอาด ปราศจากเชื้อโรค ทีสำคัญไม่ควรใช้ผ้าเช็ดหน้าร่วมกับใคร เพราะในผ้าพวกนั้นอาจจะมีเชื้อโรคตาแดงซ่อนอยู่

16. น้ำหอมกลิ่นมะลิ วนิลลา หรือเปปเปอร์มินต์ มีสรรพคุณช่วยกระตุ้นระบบลิมบิกในสมองซึ่งจะไปกระตุ้นเซลล์รูปแท่งในจอตาอีกต่อหนึ่ง ทำให้คุณมองเห็นในที่มืดได้ชัดขึ้น แค่หยดน้ำหอมกลิ่นใดกลิ่นหนึ่งไว้ที่แขนเสื้อ ก็จะมีสายตาดีขึ้นได้แล้ว ว้าว!! ง่ายจัง

17. อย่าเพ่งมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งนานเกินไปแม้การอ่านหนังสือก็ควรถอนสายตามองออกไปที่ไกลๆทุกๆ 30 นาที เพื่อพักสายตาไม่ให้เพลียหรือล้าถาวร

18.กินผักโขมสัปดาห์ละ 2 ครั้งผักชนิดนี้มีสารลูเทอิน ซึ่งจะช่วยป้องกันต้อกระจกและภาวะศูนย์กลางประสาท

19. เปลี่ยนมาสคาร่าขวดใหม่ทุกๆ 3 เดือนทุกครั้งที่มาสคาร่าสัมผัสตาคุณ จะต้องมีความสกปรกเล็กๆน้อยๆ ติดมาด้วย เมื่อมาหมักหมมปนกันนานเกิน 3 เดือนขึ้นไป มาสคาร่าขวดโปรดของคุณก็จะกลายเป็นแหล่งรวมเชื้อโรคไปโดยปริยาย

เขาขโมยใช้ Sim กันได้แล้ว ชวยกันส่งต่อด้วยนะ...‏

sim ของมือถือโดนลักลอบใช้ได้แล้ว !!

โปรดระวัง ถ้าคุณได้รับสัญญาณโทรศัพท์บนมือถือของคุณว่า
ช่างเทคนิค Cellnet หรือ Vodafone บอกคุณว่า
พวกเขากำลังทำการตรวจเช็คโทรศัพท์ของคุณ
และบอกให้คุณต้องกด # 90 หรือ 90 #
ตอนนี้มีบริษัทหลอกลวงฉ้อฉล วางอุบายนี้ขึ้นมา
ถ้าคุณได้รับสัญญาณโทรศัพท์ดังกล่าว คุณต้องวางสายโทรศัพท์ทันที
ถ้าคุณกด # 90 หรือ 90 # ล่ะก็ พวกเขาจะสามารถเข้าไปใน sim card ของคุณได้
และสามารถทำการใช้โทร.ออกจาก sim card นั้น
โดยค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้น จะเป็นของคุณ
กรุณาบอกคนอื่นๆด้วย
-- ห้ามเปิด เวป นี้ เด็ดขาด --
เว็บ siamstreet.com และ digithais.com
ปล่อย ไวรัส อย่าเปิด แถมข้อมูลยังโดนแฮ็กด้วยบอกต่อด้วย โหด มาก
เตือนทุก คน ฟอร์เวิร์ดต่อด้วย นะ !
Virus ชื่อ kali มันจะมากับเ?ล์ชื่อ Let watchTV .
อย่า เปิด เพราะ harddisk คุณจะเกลี้ยงทุกอย่างโดย ทันที
ส่งต่อด้วยยังไม่มีวิธีแก้ไข ไม่ควรเปิด เว็บ Siamstreet.com และ Digithais.com
***** ขอย้ำ ว่า FORWARD ต่อด้วย นะ

วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ภัยจากนามบัตร‏

Subject: ภัยจากความใจดี


> หญิงคนหนึ่ง ไปเติมแก็สที่ปั้มแก็ส มีชายมาเสนอบริการทาสี โดยยื่นนามบัตรให้ หญิงคนนั้นก็รับ
มาอ่าน แล้วถือเข้ามาในรถด้วย สักครู่เมื่อขับรถออกมาจากปั้มแก็ส ก็สังเกตว่าชายคนนั้นขับรถ
ตามมา และเธอก็รู้สึกว่า หายใจไม่ค่อยออก เธอรับเปิดหน้าต่าง และตระหนักว่ากลิ่นนั้นมาจาก
มือของเธอเอง ซึ่งเป็นมือข้างที่เธอรับนามบัตรมาจากชายคนนั้น เธอตัดสินใจขับรถและกดแตร
ดังไปตลอดทางเพื่อขอความช่วยเหลือ ชายคนนั้นจึงขับรถหนีไป
>
> ยาที่ป้ายบนนามบัตร คือ ยา BURUNDANGA เพิ่อให้เราหมดสติ ควบคุมตนเองไม่ได้ แล้วเจ้า
ตัวร้ายก็จะขโมยของและหรือข่มขืนเรา โดยยานี้มีประสิทธิภาพแรงกว่ายาที่ใช้ข่มขืนสาวๆ ถึง 4
เท่า
>
> ดังนั้นอย่ารับ กระดาษ นามบัตร แผ่นพับ จากคนแปลกหน้านะจ๊ะ !!!!

Museu Automóvel do Caramulo II‏

18 สาเหตุ ทำให้ไม่มีเรี่ยวแรง

18 สาเหตุ ทำให้ไม่มีเรี่ยวแรง + อ่อนเพลีย



18 คำตอบ เวลาที่คุณรู้สึกไม่มีเรี่ยวแรง เวลาที่เราอ่อนเพลีย เรามักโทษความเครียดและการนอนน้อย แต่ยังมีสิ่งผิดปกติอื่นอีกที่สามารถสูบพลังจนหมดตัวคุณได้ โชคดีที่เรามีวิธีเรียกพลังใจและกายกลับคืนมา

1.. ใช้โทรศัพท์มากเกินไป คุณจะเสียน้ำในร่างกายไปทางปากขณะพูด ซึ่งเป็นอาการที่เรียกว่า Phone-Fatigue ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่สำหรับพนักงานตามศูนย์บริการลูกค้า อาการขาดน้ำทำให้เลือดแข็งตัวและลดปริมาณออกซิเจนในระบบที่เป็นตัวให้พลังงาน ดังนั้น ถ้าคุณใช้โทรศัพท์นาน ควรดื่มน้ำมากๆ ระหว่างคุย

2. ความดันเลือดต่ำ ความดันเลือดต่ำคือสาเหตุใหญ่ที่คุณหมดแรง แพทย์ยังไม่รู้ว่าทำไม แต่เป็นไปได้ว่ามันทำให้เลือดส่งไปยังสมองไม่เต็มที่ ซึ่งอาจทำให้อ่อนเพลีย อาการที่พบได้บ่อยที่สุดในคนที่มีความดันเลือดต่ำคือ รู้สึกหน้ามืดเวลาลุกขึ้นปุบปับ หรือเวลายืนนานๆ ถ้าคุณมีอาการเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์

3. เล่นเน็ตดึกเกินไป ฮอร์โมนเมลาโตนิน (Melatonin) จะกระตุ้นให้เรานอนหลับ แต่แสงจากจอคอมพิวเตอร์อาจทำให้เราหลับยาก โดยเฉพาะเมื่อคุณกำลังดูสิ่งที่สนใจอยู่ ซึ่งทำให้คุณมักนอนดึก และมีเวลานอนหลับน้อยลง ให้คุณทำอย่างอื่นที่ผ่อนคลายกว่า เช่น อ่านหนังสือแล้วดูสิว่าคุณจะตื่นตัวมากกว่าเดิมในวันใหม่หรือเปล่า

4. กินอาหารไม่เต็มที่ การเฝ้ารออาหารจะเพิ่มปริมาณน้ำย่อย และทำให้เราดูดซับสารอาหารได้มากขึ้นที่มันเกี่ยวกับอาการอ่อนเพลียก็เพราะการขาดธาตุเหล็กคือหนึ่งในสาเหตุของความอ่อนเพลียที่พบมากในผู้หญิง ดังนั้นไม่ว่าอะไรที่เพิ่มระดับสารอาหารให้คุณ ก็จะเพิ่มพลังใจและกายให้ด้วย

5. ไม่ออกกำลัง นักวิจัยพบว่าคนที่ออกกำลังอย่างน้อย 20 นาที แม้จะแค่อาทิตย์ละครั้งก็จะรู้สึกอ่อนเพลียน้อยกว่า คนที่ไม่ออกกำลังเลยประมาณ 30% ถ้าเห็นว่าออกกำลังเป็นเรื่องยากเกินไปให้คุณกินผักและผลไม้เพิ่ม คนที่กินผักผลไม้อย่างน้อย 4 – 5 จานต่อวันจะออกกำลังได้อย่างสบายๆ

6. อิทธิพลของเดือนเกิด ถ้าคุณเกิดเดือนธันวาคม หรือมกราคม จะอ่อนเพลียในช่วงเย็นมากกว่าคนที่เกิดเดือนมิถุนายน หรือกรกฎาคมที่จะขี้เซาในยามเช้า นักวิทยาศาสตร์บอกว่า การสัมผัสของแสงแดดยามเช้าประมาณ 15 นาที จะทำให้คนประเภทหลังตาสว่าง ส่วนกาแฟยามบ่ายจะเพิ่มพลังให้กับคนประเภทแรก

7. กรามแข็ง คุณสามารถใส่นิ้ว 3 นิ้วเรียงเป็นแนวตั้งเข้าปากพร้อมกันหรือเปล่า ถ้าไม่ได้ คุณคงมีปัญหาที่เรียกว่า โรค TMJ (TemporomandiBular Joint Disorder) แพทย์บอกว่ามันคือความไม่สมดุลระหว่างกล้ามเนื้อใกล้กราม และตำแหน่งของฟัน อาการทั่วไปคืออ่อนเพลีย และปวดหัว ปวดคอ หรือไหล่ ควรปรึกษาทันตแพทย์

8. ธรณีหน้าต่างสกปรก จากการวิจัยพบว่า 88% ของบ้านทั่วไปจะมีราขึ้นตามหน้าต่าง และการแพ้เชื้อราเหล่านี้เองคือ สาเหตุหนึ่งของความอ่อนเพลีย ใช้ผงซักฟอกทำความสะอาดและตรวจดูผ้าม่านอาบน้ำของคุณด้วยว่ามีราหรือเปล่า

9. ไม่ได้เอาผ้าห่มไปผึ่งแดด ระดับความขึ้นสูงทำให้ไรฝุ่นเติบโตได้ดี มันอาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบตามหลอดลมในปอด ทำให้หายใจติดขัดและนอนหลับไม่สนิท และเป็นสาเหตุของความอ่อนเพลียในวันต่อมา นำผ้าห่มผึ่งแดด เป็นประจำเมื่อความชื้นหมดไป ก็ไม่มีไรฝุ่น

10. เชื่องช้า งุ่มง่าม ร่างกายจะใช้พลังงานมากขึ้นเมื่อคุณงุ่มง่าม เพราะปริมาณกลูโคสเข้าสู่สมองน้อยลง คุณเลยอ่อนเพลีย การผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียดทำได้โดยเหวี่ยงแขนไปหน้าและหลัง สลับทีละแขน

11. อยู่ใกล้คนมองโลกในแง่ร้าย คนที่มองทุกอย่างในแง่ร้ายจะฉุดพลังคุณหดหายไปด้วย เพื่อลดอิทธิพลของพวกเขาให้จินตนาการว่า คุณกำลังใส่เสื้อคลุมสีดำเวลาคุยกันก็จะยับยั้งไม่ให้คุณดูดพลังแง่ลบจากพวกเขาได้

12. อยู่ใกล้เครื่องใช้ ไฟฟ้ามากเกินไป ขั้วบวกที่มาจากอุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์ หรือเครื่องปรับอากาศอาจกระตุ้นให้เกิดฮอร์โมนที่ทำให้เราอ่อนเพลียและซึมเศร้า ให้เสียบปลั๊กตัวแปลงขั้วไฟฟ้าเพื่อเพิ่มระดับของขั้วลบที่เสริมพลังในอากาศ

13. ลืมดื่มกาแฟตอนเช้า ถ้าคุณไม่ได้ดื่มกาแฟยามเช้า พลังกายและใจอาจตกวูบในวันนี้ จากงานวิจัยพบว่าผู้ร่วมวิจัย 50% มีอาการอ่อนเพลียถ้าไม่ได้ดื่มกาแฟถ้วยแรกของวัน ซึ่งมีถึง 13% ที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย

14. บ้านรก ผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยบอกว่ากองสิ่งของรกเกะกะจะทำให้สถานที่นั้นขาดพลังและกระตุ้นให้คุณขาดพลังไปด้วย คุณไม่ต้องถึงกับเก็บทุกอย่างในทันที แค่สะสางพื้นที่อาทิตย์ละครั้งก็ใช้ได้

15. ร่างกายมีปัญหา แม้ว่าการเจ็บหน้าอกคือสัญญาณหลักๆ บอกถึงอาการโรคหัวใจ แต่สำหรับเพศหญิงสัญญาณนั้นอาจเป็นความอ่อนเพลีย ซึ่งมีมากถึง 70% ที่อ่อนเพลียภายในเดือนนั้น ก่อนหัวใจกำเริบ สัญญาณอื่นๆ อาจ รวมถึงการนอนไม่หลับ หายใจขาดห้วง อาหารไม่ย่อย และความเครียด 43% ของผู้หญิงไม่มีอาการเจ็บ หน้าอกเลย แม้โรคหัวใจจะกำเริบก็ตาม พบผู้หญิงวัยก่อนหมดประจำเดือนเป็นโรคหัวใจน้อยมาก แต่ถ้าคุณรู้สึกไม่ดีควรตรวจร่างกาย โดยเฉพาะถ้าคุณมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น สูบบุหรี่ ความดันเลือดสูง คลอเรสเตอรอลสูง เป็นเบาหวาน หรือคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ

16. กลั้นหาว การหาวเป็นวิธีธรรมชาติที่ร่างกายของเรากระตุ้นให้เราตื่น นักจิตวิทยาบอกว่าการเคลื่อนไหวของ กรามจะบีบหลอดเลือดบนใบหน้า ซึ่งส่งเลือดไปยังสมอง การกลั้นหาวจึงเป็นการยับยั้งกระบวนการนี้ และทำให้คุณยิ่งง่วงนอนมากขึ้น

17. ใช้ชีวิตตามตาราง ตารางกิจกรรมที่เตือนคุณทุกอย่างว่าต้องทำอะไรบ้างคือตัวดูดพลังชั้นดี นักวิจัยพบว่าคนที่คิดว่าเขา ทำอะไรไปได้มากแค่ไหนมักจะอ่อนเพลียง่ายกว่าคนที่ทำสิ่งที่ต้องทำไปเรื่อยๆ

18. หมอนเก่าเกินไป ถ้าหมอนของคุณยวบยาบไม่แข็งพอ จะทำให้ลำคอของคุณไม่ได้ระนาบเดียวกับลำตัว ซึ่งไม่เพียงทำให้กล้ามเนื้อตึงตัวซึ่งทำให้คุณนอนไม่หลับแล้ว ยังไปกีดขวางระบบการหายใจเวลาคุณหลับด้วย ถ้าหมอนของคุณอ่อนนิ่มจนโอบรอบแขนคุณได้ก็ถึงเวลาซื้อใบใหม่แล้ว

วิธีเอาตัวรอดของสาวรุ่นใหม่ นี่เชื่อแม่แล้วนะ‏

*** คำแนะนำสำหรับผู้อ่านเมลล์ ***

ผู้อ่านควรใช้ วิจารณญาณ ในการรับชมข่าวสารของเมลล์นี้ เมลลนี้์บั่นทอนปัญญา เน้นฮา ไม่เน้นสาระ..



Knowledge and Entertainment
' Please keep your inbox empty to keep your membership status active. '





Apples vs Banana. เมื่อแอปเปิ้ลกะกล้วยเจอกัน ฮาดี‏

ความเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา‏

















วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2552

การจัดอันดับมหาวิทยาลัย‏

Subject: การจัดอันดับมหาวิทยาลัย


ขอนำเสนอข่าวสารการจัดอันดับมหาวิทยาลัยตาม Link ครับ

จุฬาฯ ติดอันดับ 138 มหา’ลัยที่ดีที่สุดของโลกปี 52

http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9520000124478

คนไทย...........อะไรมากที่สุด‏

รู้มั้ย คนไทย............

--------------------------------------------------------------------------------

เบื่ออะไรที่สุด



อะำไรเสียบ่อยที่สุด



อยากอะไรมากที่สุด

ค้นหา