วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ที่สุดของหัวใจ (อ่านให้ได้นะ)?‏

Subject: Fwd: FW: ที่สุดของหัวใจ (อ่านให้ได้นะ)?


ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
.........คิดอะไรให้วุ่นวาย.........
...ทำตัวสบายๆมีความสุขกว่ากันเยอะ...
30 บาทรักษาทุกโรค
ในขณะที่ในหลวงท่านทรงประชวรเข้ารับการรักษา
ในโรงพยาบาลที่ข้าพเจ้าศึกษาอยู่เมื่อต้นปีนี้
มีข้าราชบริพารเข้าเยี่ยมจำนวนมาก
ทุกคนคงจำได้ที่เป็นข่าวใหญ่โตที่นายกฯท่านหนึ่ง
บังอาจถวายบัตร 30 บาท ให้พระองค์ เพื่อใช้สิทธิ์
สร้างความแค้นเคืองใจให้พสกนิกรชาวไทยทุกคน
แต่ไม่มีใครรู้เบื้องหลังว่าพระองค์ทรงตอบว่าอย่างไร
ในหลวงทรงตรัสว่า "ไม่เป็นไรหรอก
หากข้าพเจ้าไม่สามารถจ่ายค่ารักษาได้
แต่คงสามารถใช้บัตรผู้สูงอายุได้
หรือจะใช้สิทธิข้าราชการของบุตรี (ฟ้าหญิง) ก็ได้"
ท่านพูดเสียงเรียบๆ ไม่ได้รู้สึกว่าถูกลบหลู่เลย
พูดเสร็จก็ยื่นบัตรทองใบนั้น ให้นายกที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
ฟังแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ว่าท่านตอบได้น่ารักมาก
เคยมีคนถามผมว่านับถือใครมากที่สุด
คิดถึงคนแรกและคนเดียวเลย คือ
ในหลวงท่านเหนือกว่ากษัตริย์ใดในโลกหล้า
ยิ่งใหญ่กว่าวีรบุรุษคนใดในตำนาน
มีคุณธรรมประเสริฐล้ำเทียบพระโพธิสัตว์
ขอถวายความจงรักภักดีจนกว่าชีวีจะหาไม่
**********************
เชื้อโรคตายหมด
หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี
ผู้อำนวยการโครงการหลวง
....... เหตุการณ์ในปี ๒๔๑๓ ที่ควรจะนำมากล่าว
เพราะมีผลต่อจิตใจของชาวเขา
และควรที่ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ได้ทราบเพื่อพยายามเดินตาม
"เบื้องยุคลบาท"วันนั้นเสด็จฯ ไปหมู่บ้านดอยจอมหดพร้าว เชียงใหม่ ผู้ใหญ่บ้านลีซอกราบทูลชวนให้ "ไปแอ่วบ้านเฮา"
ก็เสด็จฯ ตามเขาเข้าไปบ้านซึ่งทำด้วยไม้ไผ่ และมุงหญ้าแห้งเขาเอาที่นอนมาปูสำหรับประทับ แล้วรินเหล้าทำเอง
ใส่ถ้วยที่ไม่ค่อยจะได้ล้างจนมีคราบดำ ๆ จับ
ผู้เขียนรู้สึกเป็นห่วงเพราะตามปกติ ไม่ทรงใช้ถ้วยมีคราบ
จึงกระซิบทูลว่าควรจะทรงทำท่าเสวยแล้วส่งถ้วยมา
พระราชทานให้ผู้เขียนจัดการ
แต่ก็ทรงดวดเองกร้อบเดียวเกลี้ยง
ตอนหลังรับสั่งว่า.."ไม่เป็นไร แอลกอฮอล์เข้มข้น
เชื้อโรคตายหมด"

จากหนังสือในหลวงที่สุดของหัวใจ
ข้าวผัดไข่ดาว โดย ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล
วันหนึ่งเสด็จฯเขาค้อเปิดอนุสาวรีย์
พอเปิดอนุสาวรีย์เสร็จพระองค์ท่านก็ขอกลับไปที่พระตำหนักเฟื่อจะทรงเปลี่ยน ฉลองพระบาท
เพราะเดี๋ยวจะไปดูงานในป่าในดง..........
เราก็ไม่ได้ทานข้าวไม่มีใครทานข้าว
ตอนนั้นบ่ายสองโมงแล้วก่อนจะเปลี่ยนฉลองพระบาท
สักยี่สิบนาทีน่าจะพุ้ยข้าวทันก็รีบวิ่งไปห้องอาหารที่เตรียมไว้ปรากฏว่าพวกที่ไม่ได้ตามเสด็จเขาทานกันหมดแล้ว
ในนั้นจึงเหลือข้าวผัดติดก้นกระบะกับมีไข่ดาวทิ้งแห้ง
ไว้ 3-4 ใบ เราก็ตักเห็นมีข้าวอยู่จานหนึ่งวางไว้มีข้าวผัด
เหมือนอย่างเราไข่ดาวโปะใบหนึ่งมีน้ำปลาถ้วยหนึ่งวางอยู่เพื่อนผมก็จะไปหยิบมามหาดเล็กบอกว่า
"ไม่ได้ๆ ของพระเจ้าอยู่หัว ท่านรับสั่งให้มาตัก"
ดูสิครับตักมาจากก้นกระบะเลยผมนี่น้ำตาแทบไหลเลย
ท่านเสวยเหมือนๆกันกับเรา......
ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ
จากหนังสือในหลวงที่สุดของหัวใจ

พับเพียบ
รองศาสตราจารย์ ดร.สุธี อักษรกิตติ์ผู้สนองพระราชดำริ
ในโครงการระบบสื่อสารสายอากาศ และอิเล็กทรอนิกส์
... ในครั้งแรก ผมทำงานตามพระราชดำริ โดยไม่ทราบว่า
เป็นงานของพระองค์จนกระทั่งวันหนึ่ง มีคนบอกว่า
ให้เข้าไปในวังด้วยกัน และให้นำระบบสายอากาศชนิดใหม่
ขึ้นไปติดตั้ง ก็ไม่ได้คิดว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
จะเสด็จฯ มาแต่ว่าแปลกใจทำไมอยู่ดี ๆเจ้าหน้าที่ที่กำลังติดตั้งอุปกรณ์ต่าง ๆอย่บนดาดฟ้าของพระตำหนักถึงปีนลงมาทั้ง ๆ
ที่งานยังไม่เสร็จ แท้ที่จริงพระองค์ท่านเสด็จฯ มายืนอยู่
ข้างหลัง ผมเหลียวหลังไปมองนิดหนึ่ง ครั้นพอเห็น
พระองค์ท่านก็ตกใจ เป็นอาการวูบขึ้นมาทันที
นึกอยู่ในใจว่าใช่แล้ว ใช่แน่ ๆ เพราะคิดว่าเหมือนในรูป
ผมก็รีบทำความเคารพ แล้วก็ทำอะไรไม่ถูก
สิ่งที่ผมจำได้คือเราต้องอยู่ต่ำกว่าจึงรีบคุกเข่าให้ต่ำลงมา
เป็นเหมือนชันเข่า เพราะว่าตอนนั้นพระองค์ท่านประทับยืนอยู่
ถ้านั่งพับเพียบเลยก็จะต่ำเกินไปเพราะว่าผมต้องพูดอธิบายด้วย
ปรากฏว่าพระองค์ท่านก็คุกเข่าลงไปด้วยผมก็เลยนั่งพับเพียบให้ต่ำลงไปอีก พระองค์ท่านก็ประทับพับเพียบเหมือนกันเลยกลายเป็นว่าวันนั้น นั่งพับเพียบสนทนากัน ๒-๓ ชั่วโมง
บนดาดฟ้าพระตำหนักในเวลาช่วง บ่ายที่ร้อนเปรี้ยง ........
จากหนังสือในหลวงที่สุดของหัวใจ

ไม่ต้องกั้น
โดยดร.สุเมธ ตันติเวชกุล
มีอยู่ครั้งหนึ่งเสด็จฯไปที่เซ็นทรัลวันที่มีประชุมรัฐสภาโลก
วันนั้นผมจำได้ผมติดอยู่บนท้องถนนฝนตกผมก็มีวิทยุเลย
ได้ยินรับสั่งมากับตำรวจมาเลย "วันนี้ไม่ต้องกั้นรถ"
ทรงเข้าใจความทุกข์ของราษฎรอยู่ตลอดเวลา
วันนี้เป็นวันฝนตกรถติดกันอย่างมหาศาล
ถ้าขืนต้องไปติดขบวนอีกสร้างความทุกข์ให้กับประชาชน
ทรงวิทยุบอกตำรวจว่า "ขบวนจะแล่นไปพร้อมกับ
รถของประชาชนไม่ต้องกั้นเคลื่อนที่ไปพร้อมกัน"
จากหนังสือในหลวงที่สุดของหัวใจ

กส. ๙
พลตำรวจตรี สุชาติ เผือนสกนธ์อดีตอธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข
..พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงใช้เครื่องวิทยุที่ทรงมีอยู่
เฝ้าฟังและติดต่อกับ "ปทุมวัน" และ "ผ่านฟ้า" เป็นครั้งคราวเมื่อทรงว่างพระราชภารกิจอื่น การติดต่อทางวิทยุ
ได้ทรงมีพระบรมราชานุญาตให้ผู้ที่ติดต่อกับพระองค์ท่าน
ไม่ต้องใช้ราชาศัพท์พระองค์ท่านทรงจดจำสัญญาณเรียกขาน, ประมวลคำย่อ (โค๊ด "ว")ได้อย่างแม่นยำ และใช้ได้
อย่างถูกต้อง ซึ่งนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อย
ยังปฏิบัติไม่ได้ โดยการรับฟังการติดต่อในข่ายวิทยุของ
ตำรวจนี้เองจึงทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบข่าวรายงานเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่นข่าวโจรกรรม ,อัคคีภัย ,
การจราจรได้ทุกระยะ ในการเสด็จจากที่ประทับของพระองค์ท่านเพื่อปฏิบัติพระราชภารกิจ
... จึงทรงพระกรุณารับสั่งให้สมุหราชองครักษ์ติดต่อประสานงานกับกรมตำรวจ ให้สั่งการสถานีตำรวจท้องที่ติดต่อสื่อสารทางวิทยุกับแผนกรักษาความปลอดภัย บุคคลสำคัญ
กรมราชองครักษ์ เพื่อจะได้ทราบกำหนดเวลาเสด็จ
ออกจากพระตำหนักที่ใกล้เคียง และปิดการจราจรในเส้นทางผ่านเพียงช่วงเวลาสั้นๆประชาชนจะได้ไม่เดือดร้อน
... มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ได้รับสั่งทางวิทยุกับพนักงานวิทยุ
สถานีวิทยุกองกำกับการตำรวจนนทบุรี เพื่อจะพระราชทาน
คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติ การสื่อสารบางประการ
โดยทรงใช้สัญญาณเรียกขานว่า "กส. ๙" ติดต่อเข้าไป
พนักงานวิทยุผู้นั้นจำพระสุรเสียง ไม่ได้จึงได้สอบถามว่า
"เป็น กส.๙" จริงหรือปลอม ทั้งดูเหมือนจะใช้คำพูด
ไม่สู้จะเรียบร้อยเรื่องนี้จึงเดือดร้อน มาถึงผู้เขียน
เนื่องจากได้รับสั่งเล่าเหตุการณ์มาให้ทราบ
เพื่อให้ช่วยยืนยันว่าเป็น "กส.๙ จริง"
...ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ พระองค์ท่าน ยังทรงห่วงใยว่าพนักงานวิทยุผู้นั้น จะถูกลงโทษทางวินัย จึงได้รับสั่ง
ทางวิทยุให้ผู้เขียนติดต่อประสานงานกับผู้บังคับบัญชา
ของพนักงานวิทยุ ขออย่าให้มีการลงโทษเลย
จากหนังสือในหลวงที่สุดของหัวใจ

ตัวยึกยือ
มนูญ มุกข์ประดิษฐ์ รองเลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา
ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
อดีตเลขาธิการ สำนักงานกรรมการพิเศษ
เพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
...... พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จะพระราชดำเนินด้วยพระบาทเข้าไปในป่ายางท่ามกลางฝนตกหนักโดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ตามรอยพระยุคลบาทไปไม่ห่างเป็นระยะทางถึง ๒ กม. เศษ
.... นี่คือสิ่งที่มิใช่สามัญธรรมดาในความรู้สึก ของผู้คนและความไม่สามัญธรรมดานี้ ก็ยิ่งไม่ธรรมดามากยิ่งขึ้น เป็นทวีคูณเนื่องเพราะบริเวณนี้คือ "ดงทาก" หรือ "รังทาก"อันมีทากชุกชุม ที่สุดแห่งหนึ่งของภาคใต้
...กว่าจะถึงจุดหมาย คือบริเวณพื้นที่ที่จะพิจารณาสร้าง
อ่างเก็บน้ำเพื่อใหม่มีน้ำไว้ใช้ สำหรับพื้นที่ ๕,๐๐๐ ไร่ใน
๓ เขตตำบลคือ เชิงคีรี มะยูง และรือเสาะ เกือบทุกคนก็โชกฝน และโชกเลือด
แม้ทูลกระหม่อมทั้งสองพระองค์ ก็มิได้รับยกเว้น
..... ค่ำวันนั้น ระหว่างเสด็จพระราชดำเนินกลับพระตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ อากาศปลายฤดูฝน กำลังสบาย ดวงดาว
บนท้องฟ้า เริ่มจะปรายแสงขบวนรถยนต์พระที่นั่ง ได้หยุดลงอย่างกะทันหันโดยไม่ทราบสาเหตุบนทางหลวงที่มืดสงัด
เป็นเวลาหลายนาทีถามไถ่ได้ความภายหลังว่า
ยังมีทากหลงเหลือ กัดติดพระวรกายอยู่อีก เมื่อรู้สึกพระองค์
จึงได้ทรงหยุดรถยนต์พระที่นั่งและรับสั่งให้สมเด็จพระเทพ
รัตนราชสุดาฯช่วยจับทากที่ตัวเป่งด้วยพระโลหิตออกจาก
พระวรกาย
... ทรงเรียกการทรงงานวิบาก ที่เชิงคีรีครั้งนี้ในภายหลังว่าสงครามกับตัวยึกยือ ที่เชิงคีรี "
จากหนังสือในหลวงที่สุดของหัวใจ
.........อย่าลืมส่งต่อ ๆกันไปนะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ค้นหา