วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ซุปหนึ่งชาม‏

Subject: Fw: ซุปหนึ่งชาม


นานมาแล้ว มีครอบครัวหนึ่งอยู่ด้วยกัน 4 คน พ่อ แม่ ลูกชาย และลูกสะใภ้ ครอบครัวนี้รักใคร่ปรองดองกันมาก สมาชิกในครอบครัวต่างเคารพยกย่อง และดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน ต่อมาวันหนึ่ง ผู้เป็นแม่ล้มป่วยลง ลูกชายจึงนำเงินจำนวนมากไปซื้อโสมอย่างดีมาหนึ่งต้น ซื้อไก่อีกหนึ่งตัว เพื่อให้ภรรยาของเขาตุ๋นเป็นยาบำรุงให้แม่ เมื่อลูกสะใภ้ตุ๋นซุปโสมชามใหญ่เสร็จ ก็ยกเข้าไปในห้องนอนของแม่สามี แต่ปรากฏว่า แม่นอนหลับเสียแล้ว ลูกสะใภ้ไม่อยากรบกวน จึงวางชามซุปนั้นไว้บนโต๊ะ แล้วเดินออกไปให้อาหารไก่ที่หลังบ้าน เวลานั้น สุนัขเฝ้าบ้านตัวใหญ่ได้หลุดเข้ามาในห้อง มันได้กลิ่นหอมชวนกินของซุปชามนั้น จึงจัดการเสียหมดเกลี้ยง

ครับ เหตุการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร ท่านผู้อ่านทดลองจินตนาการต่อ ท่านลองหลับตานึกภาพว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าสุนัขเฝ้าบ้านตัวใหญ่ จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อแม่ตื่นขึ้นมา จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อพ่อและสามีรู้ว่าแม่ไม่ได้ทานซุปชามนั้น แล้วลูกสะใภ้จะทำอย่างไร

เล่าต่อนะครับ ลองตามมาดูว่า ที่ท่านคิดเมื่อสักครู่จะเป็นแบบนิทานเรื่องนี้หรือไม่

เมื่อลูกสะใภ้ให้อาหารไก่เสร็จ กลับเข้ามาในห้อง เห็นซุปยาบำรุงราคาแพงถูกสุนัขขโมยกินจนหมดเกลี้ยง ก็ร้องไห้โฮออกมา พลางตำหนิตัวเองว่า “เป็นความผิดของข้าเองที่ไม่ได้ระวัง ปล่อยให้เจ้าหมาตัวนั้นหลุดเข้ามาในห้องนี้ได้”

ผู้เป็นแม่ตื่นขึ้นมาเห็นลูกสะใภ้นั่งร้องไห้ ก็ถามลูกสะใภ้จนเข้าใจเรื่องทั้งหมด ก่อนจะปลอบว่า “เจ้าอย่าตำหนิตัวเองเลย เรื่องนี้ว่าไปแล้วก็ต้องโทษแม่จึงจะถูก มัวแต่นอนหลับอุตุ หมาเข้ามาในห้องก็ยังไม่รู้เรื่อง”

ส่วนผู้เป็นพ่อ เมื่อทราบเรื่องก็กล่าวว่า “ที่จริง เรื่องนี้ข้าเองก็ผิดเหมือนกัน ทั้งๆ ที่เห็นลูกสะใภ้ออกไปให้อาหารไก่ แทนที่จะเข้ามาดูแลเจ้าแทนลูกสะใภ้ กลับมัวแต่ทำงานของตัวเอง” ขณะนั้นลูกชายกลับถึงบ้าน พอรู้เรื่องก็ปลอบทุกคนว่า “ท่านพ่อท่านแม่อย่าได้กล่าวโทษตัวเองกันเลย เรื่องนี้ควรโทษข้ามากกว่า ความจริง ถ้าข้าเอาเจ้าหมาไปล่าสัตว์ด้วยตั้งแต่เช้า เรื่องนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น”

เป็นอย่างไรบ้างครับ จินตนาการของท่านผู้อ่านว่าจะเกิดอะไรขึ้น ตรงกับตอนท้ายของนิทานหรือไม่ครับ

อ่านถึงตอนนี้ ท่านผู้อ่านบางท่านอาจคิดต่อว่าในใจว่า อะไรจะดีปานนี้ ไม่มีหรอกในชีวิตจริง ใช่แล้วครับไม่มีแน่ มันไม่เกิดแน่ เพราะเริ่มต้นก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้ มันก็จะเป็นไปไม่ได้ตามที่เราคิดแบบ Negative Approach ดังนั้นแล้ว จึงเป็นการยากที่จะได้พรจากยักษ์ในตะเกียงวิเศษ

ในโลกแห่งความเป็นจริง พรจากยักษ์ในตะเกียงวิเศษไม่มีหรอกครับ แต่เราเองที่บันดาลได้ ช่วงที่ลูกหัดเล่นบาสเกตบอลใหม่ๆ ผมซึ่งไม่มีความชำนาญทางบาสเกตบอลเลย ผมสอนเทคนิคหรือแทคติกต่างๆ ให้ลูกไม่ได้ แต่ผมสอนให้ลูกฝึกคิดด้านดีได้ โดยบอกให้ฝึกที่จิตและความคิดก่อน Positive Approach คิดว่าเราต้องชู้ตลงแน่ แทนที่จะคิดว่าชู้ตไม่ลง เมื่อคิดว่าชู้ตลง ก็จะเกิดพลัง เกิดความมั่นใจ เกิดสมาธิ ความตั้งใจ เกิดความอยากชู้ตบ่อยๆ อยากฝึกฝน ให้นึกถึงความสำเร็จที่อยู่ข้างหน้า เหลือเชื่อจริงๆ ครับ เพราะมันได้ผล!!

ลูกบอกกับผมว่า ก่อนที่จะได้รับคำแนะนำนี้ ลูกมักจะคิดว่ารุ่นพี่ที่โรงเรียนเก่งกว่า ทำได้ดีกว่า เราไม่มีทางเก่งเท่ารุ่นพี่เลย ความไม่มั่นใจเกิดขึ้น ความกังวลใจเกิดขึ้นทันที สมาธิขาดหาย ความตั้งใจก็น้อยลง เมื่อพลาดก็ไม่อยากจะชู้ตอีก แต่วันนี้ลูกทำสถิติชู้ตลงได้ 5 ลูกติดต่อกันและมีกำลังใจที่จะฝึกฝนต่อให้ได้ถึง 10 ลูกติดต่อกัน

องค์กรต่างๆ ก็เช่นกัน ตัวอย่างที่พบเห็นอยู่บ่อยๆ ทั่วไป เช่น เมื่อใดก็ตาม ที่มีพนักงานใหม่เข้ามาร่วมงาน มักจะถูกมองกันก่อนว่า มาจากไหน เก่งแค่ไหน จะอยู่กันนานไหม มีใจรักองค์กรหรือเปล่า ตลอดจนมีการทดสอบลองของกัน มองกันแม้กระทั่งว่า เดี๋ยวเขาก็ไป อยู่ไม่ทนหรอก ความคิด Negative Approach แบบนี้ได้ผลครับ ไม่ช้าคนที่มาใหม่ลาออกแน่นอน เพราะได้รับการปฏิบัติไปในแบบลบๆ จนทนอยู่ไม่ไหวและที่คาดไว้ตั้งแต่ต้นก็ไม่ผิด

ในทางกลับกัน Positive Approach หากมองว่า ดีจังได้คนเก่งๆ มีประสบการณ์ มาร่วมงาน ต่อไปต้องดีขึ้นแน่ แค่คิดก็สำเร็จไปครึ่งทางแล้วครับ เพราะคนใหม่นั้นจะได้รับความร่วมมือ ได้รับความช่วยเหลือ ได้รับการสนับสนุน ทำให้เกิดบรรยากาศที่ดี มีความสุข มีพลังให้แก่กันและกัน คนใหม่ก็จะเริ่มรักองค์กร และมีกำลังใจที่จะสร้างผลงานให้ต่อเนื่องร่วมกัน และจะไม่คิดลาออก แต่กลับจะชวนคนดีๆ เก่งๆ มาอยู่ร่วมกันมากยิ่งขึ้น เห็นไหมครับ คิดอย่างไร ได้อย่างนั้น

สังคมของเรา ผู้คนยังลังเลในแนวคิดทั้งสองด้าน (+ and - Approach) ตัวอย่างใกล้ตัวเลยครับ ลองนึกภาพเวลาที่ท่านอยู่ในรถ ติดไฟแดงตามสี่แยก และมีเด็กขายพวงมาลัย ขายลอตเตอรี่ มาเช็ดกระจกหรือมาขอทานยืนพนมมือตาละห้อยแนบนิ่งข้างกระจกของท่าน ท่านจะทำเป็นไม่มอง มองไม่เห็น แต่คิดรำคาญใจ ทำไมทางรัฐไม่มาจัดการกับคนพวกนี้ ยิ่งช่วยซื้อหรือให้สตางค์ ยิ่งเป็นการส่งเสริม เคยตัว เคยชินกับอาชีพง่ายๆ หรือจะเป็นพวกแก๊งจับเด็กมาทำแบบนี้ ถ้าให้ไปก็เป็นการส่งเสริมให้ทำเรื่องชั่วร้ายกันไปใหญ่

ครั้นจะไม่ช่วยซื้อ ก็สงสาร รู้สึกว่าตัวเองใจดำ เขาอาจจะลำบากมากจริงๆ พ่อแม่ไม่มีหรือไม่มีโอกาสได้เข้า โรงเรียน ไม่ได้เกี่ยวกับพวกแก๊งอะไรทั้งสิ้น จึงต้องมาทำเช่นนี้ คิดเสร็จไฟเขียวพอดี สุดท้ายไม่ได้ช่วยเหลือซักที ไปอีกสี่แยกหนึ่ง ความคิดสับสนกลับไปกลับมาเช่นนี้ก็ยังคงอยู่ และก็ไม่ได้ช่วยเหลืออีกเช่นเคย

การคิดดี Positive Approach เป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง เป็นพลังอันน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก เป็นกำลังใจ เป็นความมั่นใจ เป็นการสนับสนุนให้กันและกัน ให้ทั้งความสุขต่อตนเอง ต่อคนใกล้ตัว คนในครอบครัว ในองค์กร ในสังคม ตลอดจนในประเทศของเรา

ปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคมทุกวันนี้ อยู่ที่พวกเราทุกคนที่จะต้องรับผิดชอบร่วมกัน ไม่มียักษ์ตนใดจะมาให้พรวิเศษ 3 ประการหรอกครับ ขอแค่เราทุกคน คิดดี พรกี่สิบกี่ร้อยประการที่เราอยากได้ก็เป็นไปได้เสมอ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ค้นหา