วันพฤหัสบดีที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2553

คิดจากความว่าง

หัวเรื่อง: FW: คิดจากความว่าง
ว่างจากการพูดร้าย
คิดจากความว่าง โดยดังตฤณ


ควันร้ายจากปาก เหม็นมากกว่าควันไฟ

โชยลามได้ไกลกว่าควันพิษ

ทำชีวิตเสียหายได้ยิ่งกว่าควันปืน



ใจต้องกล้า หน้าต้องด้าน คำเท็จจึงผ่านปากได้



เมตตา ต้องน้อย หูตาต้องคอย จับผิด

ปาก จึงโปรยพิษ แห่ง คำนินทาว่าร้ายได้



จิตต้องหยาบ บาปต้องแรง

คำหยาบอันเสียดแทงหู จึงทะลุปากออกไปได้



ความคิดต้องฟุ้งกระจาย

ต้องกลายเป็นคนเหลวไหล

คำพล่ามเพ้อเจ้อ จึงสะพัดออกจากปากได้



พูดอย่างไร ก็กลายเป็นคนอย่างนั้น

กำลังแห่งคำพูด ดัดจิตให้บิดเบี้ยวได้เร็ว

ควันทึบแห่งคำพูด ปกคลุมจิตให้มืดมนได้นาน

มนต์สาปแห่งคำพูด แปรจิตให้เศร้าหมองได้หนัก



บาปแห่งวาจาที่ก่อไว้

อาจดลใจให้เห็นคำหวานเป็นของตลก

มองคำสกปรกเป็นเรื่องสนุก

แล้วค่อยเห็นผล ของความสนุกว่า ไม่ตลก



มองการพูดร้ายเป็นพิษภัย ตั้งใจเลิกพูดร้ายทีละข้อ

ก็จะเป็นมหาทานประการที่สี่

ไม่มีขวานไว้ในปาก ไม่มีปากไว้เป็นขวาน





ว่างจากความโกรธ



เมื่อมาสู่โลกนี้ ทุกคนต้องเจอเรื่อง น่าโกรธ

แต่ไม่ทุกคนที่ อยากโกรธ ไม่ทุกคนที่ หวงความโกรธ

นั่นเพราะแต่ละคน เห็นความโกรธต่างกัน

บางคนเห็นความโกรธเป็นธรรมชาติ ที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง

บางคนเห็นความโกรธ เสริมความน่าครั่นคร้ามของตน

บางคนเห็นความโกรธ เป็นวิธีเดียวที่จะแก้ปัญหาได้

ขณะที่บางคนเห็นความโกรธ เป็นไฟเผาตัวต้องรีบดับ



โกรธไม่เป็นไร

แต่อย่าเกลียดก็แล้วกัน

เพราะโกรธนั้น ทุกข์เดี๋ยวเดียว

แต่ถึงขั้นเกลียด จะต้องทุกข์ยืดเยื้อ

และอาจยาวนานกว่าที่คิด



เกลียดไม่เป็นไร

แต่อย่าอาฆาตก็แล้วกัน

เพราะเกลียดนั้น ทุกข์อยู่คนเดียว

แต่ถึงขั้นอาฆาต จะเป็นทุกข์หลายคน

และอาจลงเอย เป็นโศกนาฏกรรมคาดไม่ถึง



จิตต้องขุ่น ถึงจะโกรธได้

จิตต้องทึบ ถึงจะเกลียดลง

จิตต้องมืดบอด ถึงจะอาฆาตนาน

จิตต้องสว่าง จึงจะดับอาฆาตสนิท



จิตต้องโปร่ง จึงจะระงับความเกลียดไหว

จิตต้องใส ถึงจะหยุดความโกรธเร็ว

จิตจะขุ่น ทึบ หรือมืดบอด จิตจะสว่าง โปร่ง หรือใส

ขึ้นอยู่กับความคิด ขึ้นอยู่กับวิธีมองความโกรธ

ถ้าเห็นความโกรธเป็นโรคทางใจ ก็จะยอมอภัยแลกกับการฟื้นไข้

เมื่อถูกโลกกระทบแล้วโกรธ นั้นไม่แปลก

แต่หลังจากคิดแล้ว ยังโกรธ

หรือหลังจากคิดแล้ว ถึงค่อยโกรธ

แสดงว่า ยังคิดจากความว่างไม่เป็น



เป็นแต่คิด สร้างความทึบ

เป็นแต่คิด สร้างกำแพงไฟ

โทสะคือ รากแห่งบาปข้อที่สอง



บุคคล ละความโกรธได้แล้ว

ย่อมนอนหลับสบายฝันร้ายไม่มี



เมื่อนั้นมองย้อนไปจะรู้

ความโกรธ ทำให้เราอยากฆ่าบางสิ่ง

จะดียิ่งหากสิ่งนั้นคือ ความโกรธ



คิดแล้ว ใจเย็นแปลว่า เห็นความว่าง

ในท่ามกลางเรื่องร้อน



ว่างจากความไม่รู้



เมื่อรู้เพียงน้อยนิด แล้วอหังการ

แปลว่า กำลังอหังการ ในความไม่รู้อันยิ่งใหญ่ของตน

มนุษย์เราโง่ที่สุด ตอนไม่รู้แม้แต่เรื่องของตัวเอง



เกิดอย่างไม่รู้ อยู่อย่างไม่รู้ ตายอย่างไม่รู้



ไม่มีใครอยากเป็นทุกข์ แต่ถ้าขยันสร้างเหตุแห่งทุกข์

ก็ต้องทนทุกข์ไม่มีลดหย่อน จะอ้างว่าไม่รู้ไม่ได้

และถึงแม้อยากดับทุกข์ แต่ไม่รู้วิธีดับทุกข์

อย่างไรก็ต้องทุกข์ต่ออยู่ดี



ถ้าอยู่ไม่ถึงแก่ ก็ไม่รู้ว่าความแก่น่าเอือมเพียงใด

ถ้าไม่เห็นภาพการเกิดใหม่หลายหน

ก็ไม่รู้ว่าการเวียนว่ายตายเกิดน่าเบื่อขนาดไหน



เริ่มจากรู้ตัวว่า ไม่รู้ แล้วรู้จักภาวะที่กำลังเป็นอยู่

ก็เริ่มรู้ต่อไปได้ถึงเหตุผลต้นปลาย

รู้ว่าโลกไม่ตามใจเรา แต่โลกตามใจเหตุผล



รู้ว่า ตนเป็นอุปาทาน

รู้ว่า หมดอุปาทานคือหมดตน

รู้ว่า ความอยากได้ อยากมี เป็นที่ตั้งของอุปาทาน

รู้ว่าหมดอยากก็หมดที่ตั้งของอุปาทาน



รู้ว่า สุขลวงใจ เป็นเครื่องล่อให้กระหายอยากได้อีก

ไม่อยากหลีกไปไหน

รู้ว่า ทุกข์แน่นอก เป็นเครื่องบีบให้อยากโจนทะยานหนี

หาทางลี้ไปสู่ความเป็นอื่นที่น่าใคร่อยาก

รู้ว่า สุขทุกข์ไม่เที่ยง

รู้ว่า หมดความไยดีสิ่งที่ไม่เที่ยงเสียแล้ว

ก็หมดเครื่องล่ออันใด ให้กระหายอยากได้อีก



เมื่อหมด อุปาทาน ในตัวตน

หมดความอาลัยไยดี ในสุขทุกข์ อันไม่เที่ยงทั้งปวง

ก็ย่อมรู้ที่จิตว่าพ้นแล้ว

ปราศจากเครื่องหมักดอง ให้ติดอยู่ในภาวะทั้งหลายแล้ว

ไม่มีอันต้องเสวยทุกข์ทางใจแล้ว

นั่นคือรู้ว่า ได้ทำทุกข์ถึงที่สุดแล้ว

เป็นหนึ่งในผู้หยุด เกิดตายเพราะหายโง่แล้ว



ความว่างอันเป็นที่สุด คือการยุติทุกข์อย่างถาวร

การยุติทุกข์อย่างถาวร คือมหาสมุทรแห่งบรมสุข

อันไพศาลเหนือการประมาณทั้งปวง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ค้นหา