วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ระวังเนื้อปลาแซลมอน‏

> ผมเป็นคนชอบกินปลาครับ

> ปลาในดวงใจที่ชอบก็คือปลาจะละเม็ด
> ปลาทู และปลาแซลมอน

> จำได้ว่ากินปลาแซลมอนครั้งแรกเมื่อสิบกว่าปีก่อนในต่างแดน
> อาหารเย็นมื้อนั้นเพื่อนฝรั่งพาไปกินปลาแซลมอนรมควัน
> ผมยังนึกสงสัยอยู่ในใจว่า
> ปลาอะไรหนอ
> เนื้อสีส้มอมชมพูแสนสวย
> พอได้ชิมเนื้อปลาแล้วก็เริ่มติดใจในรสชาติขึ้นมา
> เมื่อกลับมาเมืองไทยก็ยังหาโอกาสกินปลาแซลมอนบ้าง
> แต่ไม่บ่อยนัก
> เพราะตอนนั้นราคาปลาแซลมอนในเมืองไทยจัดว่าค่อนข้างแพง
> นาน ๆ
> ครั้ง
> เพื่อนพาไปกินอาหารญี่ปุ่น
> อันดับแรกที่ต้องสั่งคือซาชิมิปลาแซลมอนจิ้มวาซาบิ
> เพื่อนสั่งปลาดิบมาให้กินกี่จาน
> ๆ ก็กินหมดจนพุงกาง
> หากวันไหนเพื่อนพาไปร้านอาหารฝรั่ง
> ก็จะต้องสั่งปลาแซลมอนรมควัน
> จนกลายเป็นอาหารจานโปรดไปเสียแล้ว

> เพื่อนผมเคยบอกว่า
> สงสัยชาติที่แล้วผมคงเกิดเป็นหมีสีน้ำตาลแถวอะแลสกา
> ที่ชอบกินปลาแซลมอนตามลำธารเวลาที่มันอพยพขึ้นมาวางไข่

> ผมชอบกินปลาแซลมอนเพราะเนื้อไร้กลิ่นคาว
> เวลาเคี้ยวก็รู้สึกได้ถึงความลื่นมัน
> ได้รสธรรมชาติแสนเอร็ดอร่อย
> และต้องกินแบบไม่ปรุงแต่ง
> ถ้าเอาปลาไปนึ่งหรือทอด
> รสชาติก็สู้กินแบบดิบ
> ๆ ไม่ได้
จนกระทั่ง ๔-๕
> ปีให้หลัง
> ผมสังเกตเห็นว่ามีการนำเนื้อปลาแซลมอนเข้ามาจำหน่ายในบ้านเรามากขึ้น
> ราคาก็ไม่แพงเหมือนในอดีต
> สมัยก่อนอาจมีจำหน่ายตามซูเปอร์มาร์เกตชั้นนำไม่กี่แห่ง
> แต่ตอนนี้ตลาดติดแอร์แทบทุกแห่งจะมีเนื้อปลาแซลมอนวางขาย
> เคียงคู่กับเนื้อปลากะพง
> ปลาเก๋า
> ในราคาไม่แตกต่างกัน
> และดูเหมือนว่าจะถูกกว่าเนื้อปลาจะละเม็ดเสียอีก
> กล่าวคือเนื้อปลาแซลมอนที่เคยขายกันกิโลกรัมละ
> ๗๐๐-๘๐๐ บาท
> บัดนี้เหลือเพียงกิโลกรัมละ
> ๓๐๐-๔๐๐ บาท
> ขณะที่เนื้อปลาจะละเม็ดขนาดใหญ่ยังคงยืนราคาอยู่ที่กิโลกรัมละ
> ๔๐๐-๕๐๐ บาทขึ้นไป

> เมื่อเห็นว่าปลาแซลมอนส่วนใหญ่นำเข้าจากประเทศทางยุโรป
> ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
> วันไหนพอมีเวลาก็แวะซูเปอร์มาร์เกตซื้อปลาแซลมอนมากินเล่น
> พลางดูรายการสารคดีชีวิตปลาแซลมอนที่ต้องว่ายน้ำข้ามทะเลหลายพันไมล์เพื่อขึ้นมาวางไข่ออกลูกหลานที่ต้นลำธาร
> ดูแล้วก็นึกเอาเองว่าปลาแซลมอนที่เรากินคงต้องเป็นปลาที่พลานามัยแข็งแรงแน่
> แถมยังอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมกา-๓
> ซึ่งมีคุณสมบัติในการช่วยป้องกันโรคหัวใจ
> อย่างนี้จะไม่ให้หลงใหลแซลมอนอย่างไรไหว

> จนกระทั่งวันหนึ่ง
> ผมเหลือบไปเห็นบทความเกี่ยวกับปลาแซลมอนในวารสาร
> ecologist
> ฉบับเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
> ก็ตาสว่างขึ้นทันที

> ปลาแซลมอนที่เรากินก็คงไม่ต่างจากกุ้งกุลาดำในฟาร์มเลี้ยง
> ที่เราส่งไปขายเมืองนอกจนติดอันดับโลก
> คือถูกเลี้ยงให้เติบโตมาด้วยการใช้สารเคมีและอัดยาเยอะ
>
> ปลาแซลมอนที่ส่งมาขายบ้านเราส่วนใหญ่มาจากฟาร์มเลี้ยงปลาในยุโรป
> ปลาแซลมอนเหล่านี้อุดมไปด้วยเชื้อโรค
> เจ้าของฟาร์มจึงต้องใส่สารเคมีและยาปฏิชีวนะลงในบ่อปลา
> เพื่อกำจัดแมลงรบกวนและเชื้อโรคหลายอย่าง

> ปลาแซลมอนในธรรมชาติมีเนื้อเป็นสีชมพู
> เพราะมันกินพวกกุ้งตัวเล็ก
> ๆ และพืชทะเล
> ปลาแซลมอนในฟาร์มก็มีเนื้อสีชมพูน่ากินเช่นกัน
> แต่เป็นเพราะมันกินอาหารปลาที่มีสารให้สีจำพวก
> astaxanthin
> และ
> canthaxanthin
> ชนิดเข้มข้น
> ซึ่งหากมนุษย์ได้รับสารเหล่านี้มากเกินไป
> อาจจะมีผลต่อระบบประสาทตา

> นอกจากนี้
> เนื้อของปลาแซลมอนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังยังอุดมไปด้วยกรดไขมันอิ่มตัว
> ซึ่งมีผลต่อการอุดตันของเส้นเลือด
> แถมยังมีกรดไขมันโอเมกา-๓
> น้อยกว่าปลาแซลมอนในธรรมชาติถึง
> ๓ เท่า
> ดังนั้นหากบริโภคแซลมอนจากฟาร์มเหล่านี้มากเกินไปก็อาจส่งผลให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือดได้

> ในสหรัฐอเมริกายังมีการวิจัยพบว่า
> เนื้อปลาแซลมอนจากฟาร์มเลี้ยงมีสารก่อมะเร็งที่มาจากอาหารปลาในระดับที่สูงกว่าปลาแซลมอนจากธรรมชาติถึง
> ๑๖ เท่า
> มากกว่าเนื้อวัว ๔
> เท่า
> ไม่นับรวมว่าปลาแซลมอนบางตัวมีพยาธิทะเลอาศัยอยู่ด้วย

> ทุกวันนี้การเลี้ยงปลาแซลมอนกลายเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่
> เพราะมีความต้องการที่สูงขึ้นทั่วโลก

> เมื่อไทยส่งกุ้งกุลาดำตีตลาดยุโรป
> ฝรั่งก็ส่งปลาแซลมอนมาเป็นบรรณาการบ้าง
> ทั้งสองล้วนเป็นอาหารยอดฮิต
> และอุดมไปด้วยสารเคมีชนิดต่าง
>
> ปีใหม่นี้คงต้องบอกตัวเองให้รักปลาแซลมอนน้อย
> ๆ
> ครั้นจะเหลียวมามองปลาจะละเม็ด
> ก็อุดมไปด้วยฟอร์มาลีน

> กลับมาหาปลาทูเพื่อนยากกันดีกว่า

> วันชัย
> ตันติวิทยาพิทักษ์
> บรรณาธิการบริหาร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ค้นหา