วันพุธที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2553

พ่อ...ผู้เกลียดพระเข้ากระดูกดำ

พ่อ...ผู้เกลียดพระเข้ากระดูกดำ

จากชาวจีนโพ้นทะเล สู่เชิงตะกอนสำนักสงฆ์หนองป่าพง (ในสมัยนั้น)

----------------------------------------------------------------------------

จากหนังสือ: บุญญฤทธิ์ พระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)





พ่อของผมเป็นชาวจีนโพ้นทะเล จีนแคะ นั่งสำเภาจากซัวเถาหลบหนีความจนที่มีมากมายเหนือความมั่งคั่งในแผ่นดินเกิดสมัยนั้น สมัยที่คนจีนอพยพสู่ประเทศไทยเป็นว่าเล่น



ความจนไม่เพียงยัดเงินติดกระเป๋าของพ่อเพียงเพื่อให้พ้นความอดตายระหว่างเดินทางข้ามทะเล แต่ยังยัดความเด็ดเดี่ยวใส่จนเต็มหัวใจหนุ่มทรนง และเติมเชื้อความหวังอันเรืองรองสำหรับแผ่นดินใหม่ แผ่นดินไทยอย่างเต็มเปี่ยม รางวัลที่ความยากจนข้นแค้นให้กับคนที่มีเสื่อผืนหมอนใบ คือความแข็งแกร่งทั้งกายและใจ เป็นอาวุธเล่มเดียวที่แหลมคมของหนุ่มจีนยากจนเช่นพ่อจะมีไว้สู้ชีวิต



แผ่นดินไทยได้ฟื้นกำลังให้กับพ่อด้วยข้าวล้วนๆ โดยไม่ต้องมีเผือกหรือมันผสม น้ำตาพ่อปริ่มเมื่อรับกระแสอันอบอุ่นในอู่ข้าวอู่น้ำแห่งนี้ และไหลพรากทันทีที่ภาพคนข้างหลังในเมืองจีนกำลังขุดเผือกขุดมันมาผสมเพื่อประหยัดข้าว ภาพพ่อแม่พี่น้องและภรรยากำลังล้างหัวมันเคล้าข้าวสารหุงกิน เป็นภาพที่ลบออกไม่ได้ และเป็นเหตุแห่งกระแสน้ำตาสายนั้น



แต่เมื่อปาดกระแสน้ำตาขาดหายด้วยมืออันยาบกร้านสำเร็จแล้ว มือเดียวกันนั้นก็ไม่เคยยกขึ้นมาป้ายน้ำตาพ่ออีกเลยจนตลอดชีวิต มันเป็นมือที่กอดกำงานทุกอย่างโดยไม่พรั่นเ พื่อเงินและชีวิตที่ดีขึ้น ไม่พิรี้พิไรกับความหลังอันแสนเข็ญ ไม่อุทธรณ์ต่อฟ้าดินขอความปรานีมาผ่อนปรนความเหน็ดเหนื่อยอันแสนสาหัส ไม่ตัดพ้อหรือเกี่ยงงอนในผลรับที่ดูคุ้มหรือไม่คุ้ม เพราะนั่นไม่ใช่วิสัยของคนพลัดถิ่น



ด้วยพรหมลิขิตหรืออะไรก็สุดแต่จะเรียก ได้กำหนดชีวิตของพ่อให้มีวิถีกลมกลืนอยู่ได้ในเมืองไทยและแม้บุพเพสันนิวาสสัญชาติจีนจะพรากพ่อจากภรรยาในเมืองจีนจนไกลสุดทะเลคั่น แต่กระนั้นบุพเพสันนิวาสสัญชาติไทยก็ยังเอาธุระโดยไม่วางมือเลย



แม่ในวัยสาวสะพรั่ง แม่ผู้เป็นหญิงสาวชาวบ้านนาป่าเขาแห่งเมืองนครนายก ซึ่งยายได้ฝึกอาชีพตัดกล้วยบนเขาชะโงกลงมาขาย และสอนบทบาทของแม่เรือนด้วยการตักน้ำบ่อทรายริมคลองบ้านนามาใส่ตุ่ม และด้วยคุณสมบัติง่าย ๆ อย่างนี้ บุพเพสันนิวาสได้ส่งมอบแม่ให้กับพ่ออย่างเหมาะที่สุดโดยไม่ต้องเสี่ยงจับสลาก ชีวิตครอบครัวของหนุ่มจีนสาวไทยจึงยั่งยืนมาถึงวันแก่เฒ่าทั้งคู่ พร้อมกับลูกชายหญิงเต็มบ้านเต็มเรือน



หนุ่มจีนสาวไทยคู่นี้ได้ลงเรือลำเดียวกันอย่างแท้จริง ไม่ได้ลงเรือโดยอุปมาอุปมัย



พ่อซื้อเรือสำปั้น 16 เหล็ก 1 ลำ ขนาดของซี่เหล็ก 16 ซี่ บอกขนาดของเรือว่าน้อง ๆ เรือเอี้ยมจุ๊นได้อย่างชัดเจน ความใหญ่โตของมันให้ดูที่ใบเรือสำหรับกางแล่นลม มันเป็นเรือใบฉบับกระเป๋าในบางโอกาสซึ่งเดี๋ยวนี้ไม่มีให้เห็นแล้ว พ่อได้เรือใหม่และเปิดอาชีพใหม่คือเป็นพ่อค้า ขายใบยาสูบ ล่องเรือทั่วไปตลอดทั้งฉะเชิงเทรา นครนายก ปราจีนบุรี ปทุมธานี กรุงเทพฯ นครชัยศรี และนครปฐม พื้นที่ทั้งหมดนี้มีแม่น้ำลำคลองเชื่อมโยงถึงกันอย่างน่าพิศวง มีเรือเป็นร้านค้าเคลื่อนที่ และเป็นบ้านอันแสนอบอุ่นของพ่อแม่และลูกๆที่ เพิ่งเกิดใหม่บนเรือลำนั้น



คนสองเชื้อชาติ สองประเพณี เมื่อมาอยู่ด้วยกันก็ดูจะเกิดปัญหาอยู่บ้าง พ่อแวะศาลเจ้าเพื่อทำบุญเป็นบางโอกาส แม่ขึ้นตลิ่งวัดริมน้ำบ้างเพื่อใส่บาตรอย่างที่เคยประพฤติมาตลอดในบ้านเกิด มันเป็นปัญหาที่คนทั้งสองอธิบายให้แก่กันไม่ถนัด แต่พ่อไม่ใช่หัวหน้าครอบครัวจอมเผด็จการ บุญในแบบไทยๆ ของแม่ จึงไม่เคยถูกพ่อห้ามทำ ถึงกระนั้น...วันที่พ่อกลายเป็นจอมเผด็จการก็มาถึง



ไม่อาจระบุสถานที่เกิดเหตุได้ชัดเจน แต่เรื่องนี้เกิดบนเรือของพ่อ

พระสงฆ์รูปหนึ่งลงเรือมาซื้อใบยาสูบ ในขณะที่ลูกจ้างคนเดียวที่มีบนเรือของพ่อสาละวนในการหยิบใบยา ขณะนั้นเองพระสงฆ์รูปนั้นก็แอบฉวยเอามีดพับของพ่อใส่ซ่อนในย่ามของตน พ่อเห็นเหตุการและปราดจากท้ายเรือมาจับแขนพระสงฆ์องค์นั้นไว้ แล้วล้วงลงไปในย่ามควานหยิบเอามีดพับออกมาถือด้วยอาการโกรธสุดระงับ พระสงฆ์หัวขโมยหน้าเสีย



เสียงพ่อด่าและตะโกนขับไล่ลั่นไปทั้งคุ้งน้ำ ชาวเรือลำอื่น ๆแย้มหน้าออกมาดูสลอน ทุกคนเห็นเหมือนกันไปหมดว่า จีนหนุ่มคนหนึ่งกำลังด่าพระขี้ขโมยซึ่งกำลังหนีขึ้นฝั่งจีวรปลิว ตั้งแต่นั้น แม่หมดโอกาสทำบุญในพระพุทธศาสนาอย่างเปิดเผย



สิ่งที่พ่อเกลียดที่สุดอย่างหนึ่งในชีวิตคือ ความคดโกง พ่อรักความซื่อสัตย์สุจริตและประพฤติสุจริตอยู่จนตลอดชีวิต ไม่ใช่เพราะผมเห็นว่าเป็นพ่อจึงสรรเสริญ แต่พ่อของผมควรแก่การสรรเสริญอย่างแท้จริง ข้อนี้ไม่มีใครซาบซึ้งใจดีเท่าลูกๆ ของพ่อทุกคน ความซื่อสัตย์สุจริตของพ่อแสดงตัวอย่างชัดเจนเมื่อหลังสงครามอินโดจีน ซึ่งขณะนั้นพ่ออยู่เมืองอุบลราชธานี แต่พ่อไม่ฉวยโอกาสสร้างความร่ำรวยในทางผิดๆทั้งที่สามารถทำได้ ไม่หมือนเพื่อน ๆ ของพ่อหลายคน ซึ่งในวันนี้เป็นเศรษฐีมั่งคั่งประจำเมือง “โอกาสของพ่อมีมากมาย แต่พ่อมึงมันผ่านไปเสียเฉยๆ” ครั้นลูกขยับตัว พ่อห้ามทันที



“อย่านะ นั่นไม่ใช่วิธีหากินของคนดี เป็นคนมั่งคั่งด้วยวิธีของคนชั่วอาจง่ายกว่าเป็นคนมั่งมีอย่างวิธีของคนดี แค่นี้เราก็อยู่ได้ เรายืดอกเดินไปที่ไหนก็ได้ไม่ลำบากใจ ราศีของคนดีเดินไปทางไหนก็มีคนต้อนรับ ผีสางเทวดาก็ช่วยระวังรักษาคุ้มภัย ถอยกลับมาอย่าไปสนใจมันอีก”



ดังนั้นสันดานอย่างนี้ สิ่งที่พ่อเกลียดอีกอย่างหนึ่งจึงเป็นพระสงฆ์และรวมไปถึงพระสงฆ์ทั้งโลก

เห็นพระบิณฑบาต พ่อจะสอนลูกเล็กๆ ว่าให้ขอทานดีกว่า เห็นคนกราบไหว้พระ พ่อจะสอนลูกๆ ว่ากราบขอทานดีกว่า เพราะว่าพระสงฆ์เป็นพวกหัวขโมย เป็นคนขี้ฉ้อ เป็นคนเลวที่อาศัยผ้าเหลืองหากินอย่างแสนจะขี้เกียจ กระดูกดำของพ่อมีแต่ความเกลียดชังพระสงฆ์



สงครามอินโดจีนหรือสงครามโลกครั้งที่ 2 ระเบิดขึ้น ญี่ปุ่นเดินทัพเข้าไทยทุกรูปแบบ เป็นพ่อค้ายาเร่ เป็นช่างถ่ายรูป เป็นสารพัดจะเป็นอย่างที่พรางตาคนไทยได้ และเมื่อถึงวันที่ทุกคราบถูกสลัดออกไป ซามูไรยาวเฟื้อยก็อยู่ในมือพวกเขา เครื่องแบบทหารญี่ปุ่นถูกสวมแทนอย่างอหังการ



ทหารญี่ปุ่นเหล่านี้คือคนต่างด้าวทั้งนั้น พวกเขาซ่อนตัวมาอย่างแยบยล จนถึงวันที่เผยตัวออกมาให้คนไทยขนลุกขนพอง ภาพพจน์ของคนต่างด้าวช่างน่ากลัวเสียจริง ต้องไล่คนต่างด้าวออกไปให้พ้นแผ่นดินไทย พ่อเป็นคนต่างด้าวที่ไม่ถูกเว้นในสงครามไล่คนต่างด้วย พ่อทิ้งเรือหนีภัยขึ้นบก ที่หมายไม่มีแน่ชัดแต่ทิศทางที่พ่อเลือกมุ่งไปคือทิศอีสาน



อยู่บ้านแฮก เมืองขอนแก่นระยะหนึ่ง เตลิดขึ้นหนองคายและล่องโขงมาขึ้นฝั่งเมืองอุบลฯ ลงหลักปักฐานที่นี่อย่างปลอดภัย พ่อมีเพื่อนอยู่ที่อุบลฯ มาก ญาติพี่น้องที่มาอยู่แน่นหนาก่อนหน้าก็เยอะ จีนแคะด้วยกันทั้งนั้น สมาคมจีนแคะที่นี่จึงใหญ่พอตัว ซึ่งเดี๋ยวนี้คือสมาคมฮากกา ที่มีสถานทีทำการเป็นตึกใหญ่



สังคมคนจีนที่นี่มีความอบอุ่นมากพอที่จะทำให้ลืมบ้านเกิดที่กวางจิวและชัวเถา และลืมทุกข์จากสงคราม ตกเย็นคนจีนรุ่นใหญ่จะนัดหมายกันมาพบที่ริมถนนที่นานๆ รถจะผ่านสักคัน แล้วเล่นซอเป่าปี่ตีขิม จิบน้ำชาคุยกันอย่าออกรส กิจกรรมของสมาคมคนจีนเมืองอุบลฯ มีพ่อร่วมด้วยทุกประการทั้งชีวิตและวิญญาณที่พ่อมีลูกของพ่อเกิดที่เมืองอุบลหลายคน รวมทั้งผม



เมื่อเกิดมาแล้วก็หาได้สัมผัสพระพุทธศาสนาไม่ พระพุทธศาสนาของลูก ๆ มีอยู่ในโรงเรียนในข้อสอบที่จะต้องตอบให้ถูกเพื่อการสอบได้ พระพุทธศาสนาของครอบครัวผมไม่ได้อยู่ในวัดใดวัดหนึ่ง นั่นเป็นผลที่เกิดจากความเกลียดชังพระสงฆ์ของพ่อ



จะเป็นด้วยกรรมที่เป็นบุญมาแต่ปางใดไม่ทราบ ลูกสาวคนแรกของพ่อ หรือพี่สาวคนโตของผมเกิดฝักใฝ่ในพระพุทธศาสนาอย่างหมดหัวใจได้อย่างไรไม่รู้ แอบเข้าวัดฟังเทศน์ฟังธรรมตั้งแต่ยังเป็นสาวรุ่นกระเตาะ โดยที่พ่อไหวตัวไม่ทัน เมื่อความแตกพ่อก็ห้ามเธอไม่ไหวเสียแล้ว อาจเป็นด้วยอุบายอย่างใดอย่างหนึ่งพ่อจึงวางเฉยไม่ห้ามปราม และคงหวังจะเอาเหตุผลมาใช้เพื่อชนะ แทนการใช้อำนาจที่พ่อมีอย่างเหลือเฟือกับลูก

การแสดงเหตุผลเพื่อชี้ให้เห็นความเลวของพระสงฆ์ของพ่อ กับการชี้แจงให้เห็นความดีของพระสงฆ์ของพี่สาวของผมได้เกิดขึ้นบ่อยๆ ยังไม่มีใครได้ชัยชนะเด็ดขาด แต่พี่สาวของผมก็ได้สิทธิที่จะเข้าวัดที่เธอรักและศรัทธาอย่างเปิดเผยยิ่งขึ้น แม้พ่อจะไม่เห็นดีเห็นงามด้วย พ่อไม่ใช้อำนาจห้ามพี่สาวเข้าวัด แต่ใช้อำนาจเด็ดขาดห้ามไม่ให้นำสิ่งของเงินทองไปถวายพระ หรือแม้กระทั่งใส่บาตรยามเช้าที่หน้าบ้าน



ข้อนี้ไม่มีใครกล้าประพฤติต่อหน้าต่อตาพ่อ แต่กล้าพอจะให้ลับตาพ่อเสียก่อน แม่จึงพลอยได้โอกาส เริ่มต้นกันใหม่ เริ่มเข้าวัดอีกครั้งหลังจากที่เกือบจะลืมวัดไปแล้วทั้งชีวิต พี่สาวของผมคือใบเบิกทางของแม่และพลอยฉุดดึงน้อง ๆ ให้รู้จักพระพุทธศาสนาเช่นเดียวกับเธอบ้าง



ในสมัยผมเกิด จึงได้สัมผัสพระพุทธศาสนาตั้งแต่เล็ก ดูเหมือนจะเริ่มต้นรู้จักกราบพระครูวุฒิกรพิศาล หรือหลวงพ่อทุย ธมฺมทินโน เจ้าอาวาสวัดวารินทรารามเป็นครั้งแรก ต่อไปก็หลวงพ่อบุญมี ฉนฺโท วัดดอนกลาง และหลวงพ่อบุญมี โชติปาโล วัดคอนสาย ซึ่งเดี๋ยวนี้คือ วัดสระประสานสุข ต่อมาก็เป็นท่านพระครูพุธ ฐานิโย หรือพระภาวนาพิศาลเถร สมัยนั้นเป็นเจ้าอาวาสป่าแสนสำราญ พระสงฆ์เหล่านี้คือครูบาอาจารย์ที่พี่สาวเคารพศรัทธาอย่างแท้จริง



ส่วนหลวงพ่อชา สุภทฺโท ผมไม่ทราบชัดว่าพี่สาวของผมรู้จักไปกราบท่านตั้งแต่เมื่อไหร่ ชื่อของหลวงพ่อชา เข้ามาสู่เมมโมรี่ของครอบครัวผมเป็นครั้งแรก ในสมัยที่พ่อกำลังย่ำแย่ในธุรกิจ พ่อประสบภาวะวิบัติขาดทุนอย่างย่อยยับในกิจการค้าของป่าและพืชผลเกษตร ดูเหมือนจะเป็นระหว่างปี 2504-2506 ผมกำลังเรียนชั้นประถมต้นในโรงเรียนสงเคราะห์ศึกษา ผมยังไม่อยู่ในฐานะจะซึมซับอาการภายนอกภายในที่บอบช้ำของพ่อได้อย่างซาบซึ้งตรึงใจ แต่บอกได้ว่าพ่อทรุดทั้งกายและใจอย่างเต็มที่



ถ้าพี่สาวของผมเป็นนักมวยผมจะขอตำแหน่งให้เธอเป็นยอดมวยเอกคนหนึ่งที่รู้จักหาจังหวะ

และโอกาสพิชิตคู่ต่อสู้ได้อย่างเหมาะเจาะที่สุด



เธอบอกกับพ่อว่า



“ไปหาหลวงพ่อชาเถอะพ่อ”



“ทำไมจะต้องไป” พ่อว่า



“หลวงพ่อชาบอกเลขแม่น คนอื่นรวยไปหลายคนแล้ว

พ่อไปเถอะบางทีจะได้เลยมาแก็สถานการณ์ได้” เธอหลอก



พ่อพยักหน้าอย่างหมดท่าแม้ไม่เคยได้ยินชื่อหลวงพ่อชามาก่อนก็ตาม

คนที่กำลังร่วงติดดินมีความหวังได้แค่นี้



พี่สาวแอบไปกราบหลวงพ่อชาล่วงหน้า เล่าเรื่องของพ่อถวายท่านทุกอย่าง หัวใจของเรื่องคือพ่อเกลียดพระสงฆ์ แต่พี่สาวของผมอยากให้พ่อคลายความเกลียดนั้นออกไป



วัดหนองป่าพงปีสองพันห้าร้อยกว่า มีสภาพเป็นเพียงสำนักสงฆ์ อยู่ไกลออกไปจากหมู่บ้านของผู้คน มีความยากลำบากแสนสาหัสในการเดินทางไปที่นั่น ไม่มีถนน แต่มีทางเกวียนเปลี่ยวลัดเลาะไปตามท้องนาป่าละเมาะ หน้าฝนจะไม่มีรถใด ๆ ไปถึงสำนักสงฆ์แห่งนี้ได้เลย เว้นแต่รถจี๊บกำลังสูงรถบรรทุกขนาดใหญ่ แต่ถึงงั้นหลายครั้งรถต้องติดหล่มนานเป็นชั่วโมงจึงจะผ่านไปได้แต่ละช่วง ถ้าไม่ใช่ด้วยศรัทธาที่แท้จริงหรือด้วยความหวังจะได้รับในสิ่งที่ปรารถนา จี๊ปใหญ่เชพโรเล็ทของพ่อจะต้องเลี้ยวกลับ



สำนักสงฆ์หนองป่าพงสมัยนั้นมีพระสงฆ์อยู่จำพรรษาประมาณ 14 รูป สามเณร 1 รูป ปะขาว 3 คน ชี 19 คน ทุกชีวิตพำนักอยู่ในกุฏิไม้หลังเล็กจิ๋วขนาดนอนสองคนคับ ดังนั้นกุฏิแต่ละหลังจึงมีผู้อาศัยตามลำพังคนเดียว และเป็นเช่นนี้มาจนถึงปัจจุบัน

พี่สาวของผมแนะนำพ่อให้หลวงพ่อชารู้จัก และเปิดโอกาสให้พ่อได้สนทนากับหลวงพ่อชาตามลำพัง ด้วยการถอยหนีออกจนไกลเกินกว่าจะได้ยินถ้อยคำสนทนา นั่นเป็นวิธีการที่ฉลาดและเพื่อรักษาเหลี่ยมของพ่อเอาไว้ไม่ให้เสียแก่ลูกสาว



เสียงจักจั่นเรไรร้องระงมทั้งบริเวณป่ามืด ที่พระสงฆ์หมู่นี้เข้าเข้ามาอาศัยบำเพ็ญธรรมของพระพุทธเจ้า ถ้าสิ้นสรรพสำเนียงของแมลงกลางคืนเหล่านี้แล้ว จะมีเพียงความเงียบสงัดที่สุดเท่าที่คนธรรมดาทั่วไปจะได้รู้จัก เงาจันทร์หรุบหรู่อยู่บนฟ้าไกล ดาวดาษดื่นแจ่มใสเป็นพิเศษ ในศาลาโรงฉันเล็ก ๆ ซึ่งเป็นทั้งที่ฉันอาหาร รับแขกชาวบ้าน ประชุมสงฆ์ ประกอบกิจสงฆ์ตามพระวินัย มีพ่อกับหลวงพ่อชาสนทนากัน กลางไฟเทียน



ขณะนั้นหลวงพ่อชาอายุได้ 43 ปี 23 พรรษา พ่ออายุ 59 ปี เป็นคนแก่ธรรมและคนแก่โลกสองคนสนทนากันในเรื่องที่ไม่มีใครรู้จนกระทั่งบัดนี้



พ่อกลับบ้านคืนนั้นโดยไม่ได้เลขสำหรับแทงหวย แต่ดูเหมือนว่าพ่อจะได้สิ่งที่ใครๆ ก็ประเมินค่าไม่ถูกกลับบ้านแทน พ่อไม่เล่าให้ใครฟังว่าได้คุยกับหลวงพ่อชาอย่างไร คุยเรื่องอะไรและไม่มีใครกล้าถาม คงมีแต่ความเงียบตลอดเวลาที่นั่งรถข้ามท้องนาและปลักตมกลับบ้าน พี่สาวของผมคาดหมายอะไรไม่ได้ เธอจะต้องใช้เวลาสำหรับลุ้นจิตใจของพ่ออีกหลายวัน



หลังจากพ่อได้พบหลวงพ่อชาครั้งแรกด้วยเล่ห์ของลูกสาวคนโต มีความเปลี่ยนแปลงอันใหญ่โตเกิดขึ้นอย่างเหลือเชื่อ ความทุกข์ที่แม่และลูกทุกคนเห็นมันอยู่ที่พ่ออย่างหนักกลับหายไป ไม่มีรอยทุกข์เหลืออยู่ในสีหน้าแววตานั้นอีก คงมีแต่ความสงบเยือกเย็นที่ลูกและแม่เห็นแล้วพลอยอบอุ่นไปได้อย่างบอกไม่ถูก



มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างทันทีหลังจากที่พ่อกลับจากวัดหนองป่าพง

คนที่รับรสแห่งความดีใจมากที่สุดคือพี่สาวของผม

หลวงพ่อชา ได้บอกกับเธอในวันหนึ่งว่า เถ้าแก่ (หมายถึงพ่อ) มีความรู้ในเรื่องพระพุทธศาสนาดีมาก เป็นความรู้เดิมที่มีมาแต่ครั้งอยู่เมืองจีน เถ้าแก่รู้เรื่องพระจีนเป็นอย่างดี

นั่นเป็นเรื่องที่พวกเราเพิ่งรู้เหมือนกัน



คนที่เกลียดพระสงฆ์เป็นบ้าเป็นหลังอย่างนั้น ใครจะไปหมายได้ว่าเป็นผู้มีความรู้ในเรื่องของพระสงฆ์เป็นอย่างดี บางทีอาจเพราะรู้มากนี่เองจึงเกลียดได้มากเท่าๆ กับที่รู้จัก



ต่อไปความมหัศจรรย์ฉบับครอบครัวก็อุบัติขึ้น

พ่อเอ่ยปากชวนพี่สาวของผมไปวัดหนองป่าพง เธอได้ชัยชนะเด็ดขาดในวินาทีนั้นเอง



การเดินทางไปสำนักสงฆ์หนองป่าพงหรือวัดหนองป่าพง มีอุปสรรคอยู่ที่ความยากลำบากของทางเกวียนสู่วัด เป็นความลำบากที่ให้กับผู้เดินทางไปที่นั่นได้ตลอดปี โดยเฉพาะฤดูฝนจะลำบากเป็นพิเศษ สมัยปีสองพันห้าร้อยกว่า ต้องใช้เวลาเดินทางไปถึงสำนักสงฆ์แห่งนี้อย่างน้อยๆ สองชั่วโมงและอาจถึงสามชั่วโมงในฤดูฝน นั่นเป็นความจริงเมื่อสามสิบปีที่แล้ว เดี๋ยวนี้ใช้เวลาสำหรับไปที่นั่นเพียงไม่เกิน 15 นาที จากบ้านของเรา



อุปสรรคใดๆ ก็คือเรื่องกระจ้อยร่อยสำหรับพ่อไปแล้ว หลายครั้งที่พ่อค้างที่วัดกับหลวงพ่อชา และเริ่มนำอาหารไปถวายที่วัดบ่อยขึ้น รวมทั้งกิจกรรมต่างๆ ของพระสงฆ์ที่นี่ หากจำเป็นต้องอาศัยพ่อหรือรถบรรทุกของพ่อ สามารถเรียกใช้ได้ตามต้องการ



รูปถ่ายของหลวงพ่อชาถูกนำขึ้นวางบนหิ้งบูชา เป็นกุญแจเปิดประตูพระพุทธศาสนาให้บ้านหลังนี้ในทันที พ่อเลิกไหว้ผี เลิกไหว้เจ้า และเลิกไหว้พระจันทร์ เลิกมงคลตื่นข่าว แต่รับเอาพระรัตนตรัยเข้าไว้เต็มหัวใจแห่งศรัทธาแทน



ขณะนั้นพ่อเป็นคนจีนนอกรีตไปแล้วอย่างเงียบเชียบ

ความศรัทธาของพ่อที่มีต่อหลวงพ่อชาแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ในคราวหนึ่ง ดูเหมือนจะเป็นงานรับกฐินจากทางไกลของสำนักพุทธเจดีย์ ตำบลหนองไฮ อำเภอวารินชำราบ สำนักสาขาที่ 4 ของวัดหนองปาพง พ่อนำรถบรรทุกเชฟโรเล็ทรับหลวงพ่อชาจากวัดหนองป่าพงไปที่นั่น



ตำบลหนองไฮสมัยนั้น ถนนคือลูกรังแดงฉานตลอดระยะทางหลายสิบกิโลเมตร มันเป็นถนนคลุกฝุ่นอย่างแท้จริง ซึ่งพ่อเคยเดินทางไปซื้อสินค้าเกษตรแถบนั้นบ่อยๆ รสของฝุ่นบนถนนที่แสนคุ้นนั้น พ่อซึมซับได้อย่างออกรสที่สุด หลังเสร็จธุระทอดกฐินสำนักพุทธเจดีย์ และนำส่งหลวงพ่อชากลับถึงวัดหนองป่าพงเรียบร้อยแล้ว พ่อเอะอะกับทุกคนในครอบครัวเมื่อกลับถึงบ้านว่า



“หลวงพ่อชาอีเป็นเซียนแล้ว ไม่มีใครในรถของเราเปื้อนฝุ่นแม้แต่คนเดียว”



อาจกล่าวได้ว่าพ่อเป็นคนจีนในยุคแรกของสำนักสงฆ์หนองป่าพง ที่หลวงพ่อเมตตาเป็นพิเศษ ด้วยความซื่อสัตย์ จริงใจ ตรงไปตรงมา เป็นคุณสมบัติที่สะท้อนผลมาถึงทุกคนในครอบครัว ความเมตตาของหลวงพ่อแผ่กว้างออกมาสู่ครอบครัวของเราอย่างทั่วถึง ไม่มีใครเลยที่หลวงพ่อไม่รู้จัก หลวงพ่อได้กลายเป็นประดุจพ่ออีกคนหนึ่งของบ้านเรา



ต่อมาพี่สาวคนโตได้แต่งงานแยกครัวออกไป แต่ไม่มีปัญหาสำหรับพ่อในเรื่องวัด พ่อยังคงดำเนินศรัทธาของพ่อไปตามปกติ และเมื่อพี่สาวคนที่สามหันหน้าเข้าสู่วัดอย่างจริงจังอีกคนหนึ่งพระพุทธศาสนาก็ไม่มีวันแยกออกจากครอบครัวของเราอีกต่อไป อาจเป็นด้วยเหตุมีมาแต่เดิม คือทุกคนเคยถูกห้ามไม่ให้มีสัมพันธ์กับพระสงฆ์มาก่อน พระพุทธศาสนาจึงคลุมเครืออยู่บ้างสำหรับลูก ๆ บางคน แม้พี่สาวคนที่สามซึ่งเริ่มต้นเข้าสู่การปฏิบัติธรรมสมัยแรก ๆ ก็เปี่ยมด้วยวิจิกิจฉาอย่างช่วยไม่ได้



มีคำถามเกิดขึ้นว่า ธรรมะมีดีอย่างไรปฏิบัติแล้วจะได้อะไร บุญจากการถวายทานและรักษาศีลภาวนาเกิด ผลแบบไหน คนเรามีกรรมเป็นของ ๆ ตนจริงหรือ



และแม้แต่หลวงพ่อชา เองวิเศษจริงหรือ ???



ข้อสงสัยลามปามไปถึงผู้เป็นประธานสงฆ์แห่งสำนักหนองป่าพงที่พี่สาวคนที่สามเข้าไปปฏิบัติธรรมทุกวันพระ ข้อสงสัยนี้ทุก ๆ คนสามารถมีได้เป็นได้ ขอเพียงให้สงสัยเท่านั้น



วันสิ้นสงสัยในหลวงพ่อชาได้มาถึง

หลวงพ่อตอบคำถามด้วยฤทธิ์



เรื่องมีอยู่ว่า หลวงพ่อจะเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ด้วยกิจนิมนต์ประการหนึ่ง ข่าวนี้มีมาถึงพี่สาวซึ่งนั่งเย็บผ้าเป็นกิจวัตรตรงหน้าบ้าน พี่สาวของผมเป็นห่วงว่า หลวงพ่อและพระที่จะเดินทางโดยรถด่วนเที่ยวเช้าตรู่จะมีอาหารหรือไม่ บางทีจะมีผู้ไม่เข้าใจทำถวาย แต่จะทำให้หลวงพ่อและพระสงฆ์ที่ติดตามรับอาหารไม่ได้ เพราะเหตุว่าท่านเคร่งในพระวินัย หากถวายผิดแล้วพระทั้งหมดต้องอดอาหารแน่ เธอจึงสั่งไว้กับทุกคนที่รู้จักว่า หากหลวงพ่อมีกำหนดจะเดินทางโดยรถขบวนไหน วันใดแน่ชัดแล้วให้บอกเธอล่วงหน้าด้วย เพื่อจะได้เตรียมอาหารสำหรับถวายท่านบนรถไฟ



เช้าตรู่ของวันหนึ่ง มีรถบรรทุกพระสงฆ์แล่นผ่านหน้าบ้านเราอย่างช้า ๆ หลวงพ่ออยู่ในนั้นด้วย

พี่สาวของผมตกใจ นั่นหลวงพ่อกำลังจะไปกรุงเทพฯ แล้ว แต่ไม่มีใครมาบอกเรื่องนี้ จะจัดเตรียมอาหารอย่างไรได้ทัน ดูไปที่นาฬิกาข้างฝาเหลือเวลาอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงรถจะออกจากสถานีวารินฯ เป็นอันหมดทางจะจัดทำและนำอาหารไปถวายหลวงพ่อและพระสงฆ์ได้



เสียงหวูดรถไฟกังวานมาให้ได้ยินถนัด เนื่องจากบ้านของเราอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟเกินไป ตามความเข้าใจของเธอรถไฟที่หลวงพ่ออาศัยเดินทางไปกรุงเทพฯได้ออกสถานีไปแล้ว



ครู่ต่อมา... ปรากฏมีแถวพระสงฆ์ของสำนักวัดหนองป่าพงจาริกออกบิณฑบาตย้อนกลับมาผ่านหน้าบ้านอีกครั้ง

เป็นหมู่พระสงฆ์ที่ไปส่งหลวงพ่อที่สถานีรถไฟ เมื่อส่งแล้วก็ถือโอกาสบิณฑบาตกลับ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเหมือนกัน พี่สาวของผมได้แต่มองดูพระสงฆ์เดินแถวผ่านหน้าบ้านไปไม่สามารถจะใส่บาตรได้ทัน พระสงฆ์พรรษามากอยู่หัวแถว เรียงลำดับลงมาหาพรรษาน้อยด้วยระบบอาวุโส ผ่านกลับไปทีละองค์จนกระทั่งถึงปลายแถวซึ่งเป็นสามเณรองค์น้อยแต่หมดสามเณร แล้วสิ่งไม่คาดหมายก็เกิดขึ้น



หลวงพ่อชาอุ้มบาตรเดินต่อจากสามเณร และมีพระสงฆ์เดินตามอีกสามรูป

หลวงพ่อไม่ได้ไปกรงเทพฯ หรอกรึ ?



เวลานั้นพี่สาวของผมยังคิดไม่ออกในสิ่งที่เธอได้เห็นและไม่ฉุกใจคิดว่าทำไมหลวงพ่อเดินต่อท้ายสามเณร



ต่อมาอีกราว ๆ ครึ่งชั่วโมงพี่เขยซึ่งเป็นนายสถานีรถไฟได้มาถึงภายหลังจากได้เวลาออกเวรแล้ว



“หลวงพ่อไปกรุงเทพ” พี่เขยรายงานกับน้องภรรยา



“ไปยังไง” พี่ของผมเถียง “หลวงพ่อเพิ่งบิณฑบาตผ่านไปเมื่อกี้นี้เอง ”



“หลวงพ่อไปกรุงเทพฯ จริง ๆ เฮียเพิ่งไปส่งมาเดี๋ยวนี้” พี่เขยว่า “มีพระตามไปด้วยสามองค์”



พี่สาวของผมได้แต่งง

ในที่สุดก็ขนลุกซู่ สิ้นสงสัยในหลวงพ่ออย่างทันที ... สิ้นสงสัยตลอดกาล



ตั้งแต่นั้นมาเธอโหมปฏิบัติธรรมอย่างหนัก ถ้าหากเป็นผู้ชายเธอคงบวชไปแล้วอย่างแน่นอน บทบาทของพ่อของผมที่เคยขัดขวางลูกสาวกับพระพุทธศาสนา ตวัดกลับมาเป็นสนับสนุนการปฏิบัติของเธออย่างเท่าที่พ่อจะทำให้ได้



ตลอดระหว่างเข้าพรรษา ลูกคนที่สามของพ่อถือศีลอุโบสถ พ่อให้สิทธิพิเศษอย่างเงียบ ๆ ด้วยน้ำอัดลมทีละสองสามลังสำหรับเธอได้ดื่มเวลาบ่ายและค่ำ น้ำอัดลมสมัยนั้นเป็นเครื่องดื่มพิเศษที่ใคร ๆ นึกอยากจะดื่มก็ดื่มไม่ได้ แม้แต่พ่อเองจะดื่มก็ต่อเมื่อโอกาสพิเศษอย่างเช่นไปดูหนัง ลูก ๆ ก็จะได้กินของแปลกลิ้น ไปดูงิ้วลูก ๆ ก็จะได้กินดื่มอะไรก็ได้ตามปรารถนา แต่เวลาปกติจะถูกตี!



ผลจากการปฏิบัติและการสนับสนุนของพ่อ ทำให้พี่สาวคนที่สามเลือกจะอยู่เป็นโสดจนตลอดชีวิต แม้มีผู้ชายที่แสนดีมาสู่ขอ พ่อไม่บังคับขืนใจ ออกจะเป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับคนจีนที่จะยอมให้ลูกสาวไร้คู่ แต่กับพ่อไม่เป็นเรื่องอึดอัดขัดข้องอย่างไรเลย ... นี่คือคนจีนนอกรีตที่เป็นพุทธศาสนิกชนเต็มตัว



ปัจจุบันพี่สาวคนนี้เป็นหญิงโสดอายุเกือบห้าสิบปีและอยู่ที่อเมริกาและยังรักษาศีลภาวนาอย่างที่เคยปฏิบัติมาโดยตลอด



ปลายปี 2511 พ่อป่วยหนักด้วยโรคถุงน้ำดีอักเสบ ถึงหามเข้าโรงพยาบาล หลวงพ่อชาทราบข่าวนี้ได้อย่างไรไม่ทราบและได้ส่งโยมวัดนำ “พระเกษ” มาให้พ่อถึงห้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล

พระเกษ คือตะกั่วหุ้มเส้นเกษาและผงพุทธคุณ มีรูปร่างต่าง ๆ กันไปแล้วแต่มือผู้หุ้ม บางอันคล้ายหัวลูกปืน บางอันคล้ายกรวยแหลม บางอันแท่งกลมหน้าตัด



วันรุ่งขึ้นหลวงพ่อก็เดินทางมาเยี่ยมพ่อด้วยตัวท่านเอง สร้างความปีติให้แก่พ่อและลูกๆ อย่างประมาณไม่ได้ พ่อถึงกับมีอาการตาแดง ๆ ทำทีจะร้องไห้



“หายแล้วไปอยู่วัดอาตมานะ ไปถือศีลปฏิบัติธรรม เราแก่เฒ่าแล้ว ภาระการงานก็มอบหมายให้ลูกเต้าเสียเถอะ ลูก ๆ ก็โต ๆ กันจนพอจะทำแทนเถ้าแก่ได้หรอก เอาตัวเอาใจของเราให้สบายนะ”



ไม่กี่วันต่อมาพ่อก็หายป่วย หลวงพ่อชาซึ่งบางทีอาจจะมีกิจนิมนต์ในตัวเมืองพอดี ได้ไปเยี่ยมพ่อ และรับพ่อขึ้นรถกลับมาส่งถึงบ้านของเรา

“ไปอยู่วัดนะ” หลวงพ่อชากำชับ



แต่พ่อก็ไม่ไป พ่อห่วงใยในกิจการค้าจนทอดทิ้งธุระไม่ได้ และเริ่มป่วยด้วยโรคเดิมอีกตอนต้น ปี 2513 จนถึงปลายปีเดียวกัน พ่อต้องกลับเข้าโรงพยาบาลอีกครั้งหนึ่ง



หลวงพ่อชาก็มีเมตตามาเยี่ยมอีกครั้งหนึ่งและได้สนทนากันนานเป็นพิเศษ

ไม่กี่วันต่อมาพ่อได้กลับออกจากโรงพยาบาลเป็นครั้งที่สอง คราวนี้นอนซมอยู่กับที่นอนในบ้าน หมดสภาพที่เคยแข็งแกร่งอย่างสิ้นเชิง



ความเจ็บไข้ได้โหมร่างกายพ่อจนดูกระปลกกระเปลี้ยที่สุดเท่าที่จะเคยได้เห็น แต่จิตใจของพ่อดูจะเป็นตรงกันข้าม ไม่มีความวิตกกังวล ไม่มีความอ่อนแอ ไม่สะดุ้งกลัว แม้จะได้ฝันถึงแม่เมืองจีนนุ่งชุดดำมาหา อาจเพราะพ่อได้เรียนรู้เรื่องความตายมามากพอควรจากหลวงพ่อชา



อธุวํ ชีวิตํ - ชีวิตเป็นของไม่ยั่งยืน

ธุวํ มรณํ - ความตายเป็นของยั่งยืน

อวสฺ สํ มยา มริตพฺพํ - เราจะต้องตายแน่แท้

อปฺปมาทรตา โหถ - ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ยินดีในความไม่ประมาทเถิด



เมื่อพ่อตาย พ่อสั่งกับแม่และพี่สาวว่า



“ศพของพ่อหากว่าทางสมาคมจีนแคะจะรับธุระจัดพิธีให้ก็ปล่อยเขา แต่ไม่ต้องเอาไปฝัง ให้เผาเสียหมดเรื่องหมดราวไป เผาที่วัดหลวงพ่อนั่นแหละ”



ในที่สุดเช้าตรู่วันหนึ่งของกลางเดือนตุลาคม ปี 2513 พ่อถูกหามเข้าโรงพยาบาลอย่างฉุกเฉิน ตั้งแต่ผมยังไม่ตื่น เมื่อตื่นแล้วก็ได้เห็นรถบรรทุกนำศพพ่อกลับมาถึงบ้านพอดี



เป็นเช้าตรู่ที่แย่ที่สุดในชีวิตของผม

เป็นการตื่นรับอรุณที่ไม่สดชื่นเหมือนเคย

ศพพ่อถูกจัดพิธีบำเพ็ญกุศลที่บ้าน คนจีนเพื่อนพ่อและญาติพี่น้องทางไกลฝ่ายจีนร่วมมือร่วมใจกันดูแลงานศพเป็นอย่างดี แต่ไม่มีกงเต็ก เพราะนั่นไม่ใช่ความประสงค์ของพ่อ พิธีศพจึงเป็นอย่างจีนครึ่งไทยครึ่ง เหมือนสายเลือดลูกครึ่งจีนไทยในตัวของ พวกลูก ๆ



หลวงพ่อชาเมตตาต่อศพพ่อเหมือนครั้งพ่อยังมีชีวิตอยู่ ท่านนำพระสงฆ์มาสวดด้วยตัวท่านเองไม่น้อยกว่าสองคืน คืนอื่นๆ ลูกศิษย์เก่าแก่ของหลวงพ่อจะนำพระสงฆ์มาแทน



หลวงพ่อได้บอกพวกเราเหมือนรู้ความปรารถนาของพ่อเป็นอย่างดี

“เสร็จงานแล้วให้เอาเถ้าแก่ไปวัดเรานะ”



ไม่เพียงเมตตาจากหลวงพ่อเท่านั้นที่มีให้ พระอาจารย์เที่ยง โชติธมฺโม ศิษย์รุ่นแรกของหลวงพ่อและเป็นเจ้าอาวาส วัดอรัญวาสี สาขาวัดหนองป่าพงที่ 1 ก็มีเมตตาแก่พ่อเช่นเดียวกัน



คืนที่พระอาจารย์เที่ยงได้มาที่งานศพในฐานะประธานสงฆ์นำสวด พระอาจารย์เที่ยงลงจากรถโดยไม่ทันขึ้นสู่อาสนะที่จัดเตรียมไว้ ท่านเดินตรงมาที่โลงศพพ่อ สั่งให้ลูกชายพ่อเปิดฝาโลงขึ้น ล้วงฝามือลงไปลูบใบหน้าพ่ออย่างแผ่วเบา ท่านพึมพำอะไรไม่ทราบในลำคอด้วยสำเนียงที่ปรานี ผมยืนอยู่ใกล้ๆ ก็ฟังไม่ถนัด แต่การสัมผัสอย่างนั้นหากพ่อยังมีชีวิตอยู่จะรู้ว่ามันเป็นสัมผัสแห่งรักและเมตตาของผู้ทรงศีลอย่างแท้จริง



ทำให้ผมได้เห็นและเชื่อมั่นอย่างจริงจังว่า ครูบาอาจารย์ทั้งหลายเมตตาพ่ออย่างเท่าที่จะมีให้ได้ และมันทำให้ผมน้ำตาคลอ



วันสุดท้ายของงานศพ รถบรรทุกศพของพ่อไม่ได้เลี้ยวซ้ายไปสุสานคนจีน แต่เลี้ยวขวาไปสู่วัดหนองป่าพง คนจีนหลายคนดูจะมีอาการงุนงง แม้แต่ลุงซึ่งเดินทางมาร่วมงานศพจากกรุงเทพฯยังพูดอะไรไม่ออก

เป็นขบวนศพอย่างศพคนจีนแต่มุ่งเข้าวัดป่าแบบไทย



สมัยนั้นสำหรับอำเภอเล็ก ๆ ของจังหวัดอุบลฯ งานศพคนจีนที่ลงเอยด้วยการเผาจะต้องใช้ความกล้าหาญอย่างมาก คนจีนยากไร้เท่านั้นที่จะจะต้องเดินทางสู่เชิงตะกอน



หลายคนแสดงความประหลาดใจที่พ่อจะถูกเผา

บางคนบอกว่าวิญญาณพ่อจะไม่ได้ไปสวรรค์ ลูกหลานบ้านนี้ทำอุตริ



อย่างไรก็ตามศพพ่อก็ได้เดินทางไปถึงวัดเวลาบ่ายแก่ ๆ หลวงพ่อนั่งเป็นประธานรับศพอยู่ในศาลาใหญ่ ท่านมีบัญชาให้ทุกคน ทั้งที่เป็นชาวบ้านปฏิบัติธรรม และคนที่มาพร้อมกับศพพ่อ ให้ไปเก็บไม้ฟืนมาคนละท่อนและนำไปวางไว้ในที่ซึ่งท่านกำหนดตรงชายป่าช้าท้ายวัด



ได้ไม้มาอย่างเหลือเฟือสำหรับทำเชิงตะกอนอย่างง่าย ๆ ตามธรรมชาติ ที่ต้องทำเช่นนี้เพราะว่าวัดหนองป่าพงยังไม่มีเมรุเผาศพอย่างถาวร เมรุที่ทำขึ้นนี้จึงเผาได้เพียงครั้งเดียวศพเดียวเท่านั้น



ตะวันลับฟ้าจนมืดไปทั้งแผ่นฟ้า ไฟถูกจุดขึ้น



หลวงพ่อนั่งดูอยู่อย่างใกล้ชิด พร้อมด้วยพระสงฆ์อีกหมู่หนึ่ง ผมนั่งคุกเข่าอยู่ข้าง ๆ หลวงพ่อ ซึ่งผมไม่อาจอ่านความรู้สึกจากสายตาของหลวงพ่อที่มองมาสู่เด็กอย่างผมได้ถนัด แต่ความอบอุ่นที่แผ่ออกมานั้นผมสัมผัสได้อย่างถนัดถนี่ที่สุด



ไฟลามเลียศพทีละน้อย โลงไม้หายไป ร่างกายของพ่อปรากฏชัดเจนขึ้นทุกขณะ ถึงเวลาที่หลวงพ่อได้โบกมือไล่ทุกคนให้กลับบ้าน บางทีภาพต่อจากนี้ไปอาจไม่เหมาะสมสำหรับผู้เป็นภรรยาและลูกๆ ของพ่อจะได้เห็น



หลวงพ่อสั่งให้ทุกคนกลับมาที่นี่ใหม่ตอนรุ่งเช้าเพื่อเก็บกระดูก และทุกคนได้กลับออกมาจากที่นั่นโดยที่หลวงพ่อไม่ได้ลุกไปจากที่นั่งข้างกองไฟนั้น ผมเห็นว่าท่านนั่งมองไปที่กองไฟอย่างสงบแม้อยู่ในระยะไกลสุดตา



กระดูกพ่อถูกเก็บในตอนเช้า หลวงพ่อไม่อนุญาตให้ใครนำกระดูกแม้แต่ชิ้นเดียวกลับบ้าน ให้เอาไว้ที่วัดทั้งหมด ทุกวันนี้กระดูกพ่อยังอยู่ที่นั่น คิดถึงพ่อเมื่อไหร่ ไปกราบได้เมื่อนั้น



คงต้องบอกว่า พ่อคือคนจีนคนแรกที่ถูกเผาในวัดหนองป่าพง



ในวัดของพระสงฆ์องค์แรกและองค์เดียวที่พ่อเคารพรักอย่างแท้จริง



นี่คือที่จบของ พ่อ...ผู้เคยเกลียดชังพระสงฆ์เข้ากระดูกดำ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ค้นหา