วันพฤหัสบดีที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ธรรมชาติบำบัด

เมื่อช่วงวันสงกรานต์ที่ผ่านมา เราได้มีโอกาสไปเสถียรธรรมสถาน
ในวันนั้นแม่ชีศันสนีย์ ได้เชิญคุณหมอ Jacob ซึ่งเป็นหมอประเทศอินเดีย
ที่รักษาโรคต่างๆ โดยวิธีธรรมชาติบำบัด มาบรรยายให้พวกเราฟัง
ซึ่งคุณหมอมีเรื่องที่น่าสนใจหลายเรื่อง ทำให้เราอยากมาแบ่งปันให้เพื่อนๆ
ฟังบ้าง (อาจจะจำได้ไม่หมดนะค่ะ)

ประวัติ Dr. Jacob Vadakkanchery N.D.

Dr. Jacob เป็นคุณหมอในประเทศอินเดีย เป็นเจ้าของโรงพยาบาล
ธรรมชาติบำบัด อยู่ 3 แห่ง ซึ่งคุณหมอ จะเน้นการรักษาให้กับคนยากจน
ประมาณ 80% คุณหมอเป็นนักต่อต้าน, นักอนุรักษ์นิยม,
นักพูด (อันดับหนึ่งในรัฐคาน (ถ้าจำชื่อรัฐไม่ผิดนะ)) ฯลฯ
คุณหมอใช้วิธีรักษาแบบธรรมชาติบำบัดกับตัวเองมา ประมาณ 30 ปี
ปัจจุบันคุณหมอแข็งแรงมาก ผู้แนะนำบอกว่า
"คุณหมอสามารถว่ายน้ำข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ไป-กลับ ภายใน 15 นาทีได้"
คุณหมอเล่าให้ฟังว่า คนเราส่วนใหญ่
มักนิยมกินยาพิษในรูปแบบต่างๆ ดังนี้ 1. ยารักษาโรค
(ยาพาราเซตามอล, ยาทิปฟี้ ฯลฯ) , 2. อาหารเสริม และ 3.
อาหารที่ไม่มีประโยชน์ เช่น McDonald. KFC, Pizza ฯลฯ
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ร่างกายต้องทำงานหนักและเป็นบ่อเกิดโรคต่างๆ
คุณหมอบอกว่าร่างการเราเป็นสิ่งที่วิเศษมาก
มันสามารถเปลี่ยนแปลงอาหารที่เรากินเข้าไปให้กลายเป็นสารอาหารต่างๆ
เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป และมีวิธีการกำจัดของเสียในร่างกาย ออกเป็น 5
ทางคือ 1. ทางลมหายใจ 2. ทางเหงื่อ 3. ทางปัสสาวะ 4. ทางอุจจาระ และ 5.
ทางประจำเดือน และ
ร่างกายเรายังมีความวิเศษอีกอย่างคือ หากเรามีของเสียมาก
ร่างกายจะกำจัดโดยแสดงออกในรูปแบบต่างๆ เช่น การเป็นหวัด คือ
ร่างกายเราจะมีน้ำมูกมาชะล้างเชื้อโรคบริเวณเยื่อบุจมูก
แต่คนเราส่วนใหญ่เมื่อมีการอาการเหล่านี้ ก็มักจะกินยา
เพื่อรักษาอาการโรคเหล่านี้ ซึ่งความจริงเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
ทำให้ร่างกายเราไม่สามารถกำจัดเชื้อโรคต่างๆ ได้ ทำให้โรคต่างๆ
ยังคงอยู่ในร่างกายเราต่อไป
คุณหมอบอกว่าคนเราส่วนใหญ่ เวลาที่เราปวดหัว เราก็จะกินยาพารา
1 เม็ด แล้วกินน้ำตาม แต่วิธีการของคุณหมอจะแตกต่างจากคนทั่วไป
คือคุณหมอจะใช้ยาพารา 2 เม็ด มาบดให้ละเอียดแล้วคลุกกับข้าว
แล้วไปตั้งที่ห้องครัว 2-3 วัน เมื่อกลับมาดูอีกครั้ง
คุณหมอจะพบหนูตายประมาณ 10-15 ตัว นี่แสดงว่า
ยาพาราเซตามอลเป็นยาฆ่าหนูชนิดหนึ่ง และเมื่อเราเป็นไข้
เรากินยาพาราเซตามอล แสดงว่าเราได้กินยาพิษเข้าไปในร่างกายด้วย
ยาพิษอีกตัวหนึ่งที่คุณหมอกำชับหนักหนากับพวกเราที่นั่งฟังอยู่ก็คือ
น้ำตาลทรายขาว ที่เราใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน คุณหมอถามพวกเราว่า
เคยรู้หรือเปล่าว่าน้ำตาลทรายขาว มาจากไหน ? ทุกคนก็ตอบว่ามาจาก "อ้อย"
ซึ่งคุณหมอบอกว่า "ใช่" แต่ก่อนที่มันจะเป็นน้ำตาลทรายขาว
ผู้ผลิตได้นำอ้อยที่มีประโยชน์
ไปใช้ในขบวนการผลิตเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอร์เรียบร้อยแล้ว
นำน้ำตาลส่วนที่เหลือซึ่งมีสีดำและไม่มีประโยชน์ ไปผ่านมาฟอกสี
จนกลายเป็นน้ำตาลทรายขาวที่เรากินอยู่ทุกวัน
น้ำตาลทรายขาวนี้จะเข้าไปทำร้ายร่างกายเรา ตั้งแต่ลำคอ ผ่านไปกระเพาะ
ลำไส้ ดังนั้นคุณหมอจึงอยากให้พวกเราทุกคนเลิกกินน้ำตาลทรายขาว
และหันมากินน้ำตาลทรายแดง ซึ่งมีประโยชน์มากกว่า
คุณหมอ ถามพวกเราอีกว่า เราเคยใช้ยาสีฟัน หรือเปล่า
พวกเราก็บอกว่า "เคย" คุณหมอบอกว่ายาสีฟัน ก็เป็นสารซักฟอก
เช่นเดียวกับสบู่ที่เราใช้อาบน้ำนั้นแหละ เพราะเมื่อเราแปรงฟัน
จะมีเศษของยาสีฟันตกลงไปอยู่ในท้องของเรา
อาจทำให้เรามีปัญหาอาจเป็นโรคกระเพาะได้
คุณหมอบอกว่าคุณหมอใช้ใบมะม่วงหรือผงสมุนไพร ในการแปรงฟัน
คุณหมอก็ใช้แปรงสีฟันธรรมชาติที่พระเจ้าประทานให้มาแล้ว
(นั่นก็คือนิ้วชี้ของคุณหมองัย) คุณหมอแปรงฟันด้วยวิธีนี้มานาน 28 ปี
แล้ว ฟันของคุณหมอยังขาวและแข็งแรงอยู่เลยนะ
มีผู้ฟังถามคุณหมอว่า "เราควรจะบริโภคนมวัวหรือปล่าว"
คุณหมอบอกว่า "แล้วเราเป็นลูกวัวหรือปล่าวล่ะ ที่ต้องกินนมแม่ (แม่วัว)
ถ้าไม่ใช่ เราก็ไม่ควรกิน มีนมอยู่อย่างเดียวที่เรากินได้
คือนมของแม่เราเอง ซึ่งเป็นนมที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเราจริงๆ
นอกนั้นนมอื่นๆ นั้น ไม่มีประโยชน์สำหรับร่างกายเราเลย" คนฟังก็ถามต่อว่า
"แล้วเราจะกินนมอะไรได้บ้าง หรือปล่าว กินนมแพะ ได้ไหมค่ะ" คุณหมอบอกว่า
"แล้วเราเป็นลูกแพะหรือปล่าวล่ะ ถึงจะไปกินนมแพะนะ ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ควรกิน
แต่ถ้าจะให้เปรียบเทียบระหว่างนมวัวและนมแพะ
นมแพะจะมีคุณค่าสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายเรามากกว่านมวัวนะ"
และมีผู้ฟังถามเรื่องโยเกิร์ต (เราจำรายละเอียดไม่ค่อยได้เท่าไร)
คุณหมอบอกว่ากินได้บ้าง แต่ไม่ควรจะบ่อยๆ
เพราะมันก็ไม่มีประโยชน์และไม่ดีอย่างที่เราคิดไว้นะค่ะ
การรักษาแบบธรรมชาติบำบัดของคุณหมอ สามารถรักษาโรคได้หลายๆ โรค
เช่น โรคผิวหนัง,ภูมิแพ้ต่างๆ, โรคมะเร็งบางชนิด, โรคไมเกรน ฯลฯ
มีบางโรคที่รักษาให้หายขาด และมีบางโรคที่ช่วยให้ทุเลาลงได้มาก
หากใครสนใจติดต่อ เสถียรธรรมสถาน พี่สมบูรณ์ 08-4115-1114 ได้นะค่ะ
เค้าจะมีการจัดอบรมการรักษาแบบธรรมชาติบำบัดในเดือนนี้และเดือนหน้าตามจังหวัดต่างๆ
หรือขอคำปรึกษาได้นะค่ะ
วิธีการรักษาแบบธรรมชาติบำบัด
สิ่งที่ควรรู้ก่อน
1. การตากแดด ควรเป็นแสงแดดช่วงเวลาก่อน 9 โมงเช้าและหลัง 4 โมงเย็น
2. น้ำมะพร้าว คือ น้ำมะพร้าวสดแต่ไม่ต้องทานเนื้อ
(ไม่ใช่มะพร้าวเผา) และต้องเป็นมะพร้าวที่ยังมีเปลือกสีเขียว
เนื่องจากยังไม่ผ่านมาใช้สารฟอกเปลือกให้เป็นสีขาว
3. กินผลไม้สด (ไม่ควรแช่ตู้เย็น) คือ การกินผลไม้ 2 ชนิด
โดยให้มีรสชาติเดียวกัน เช่น รสชาติหวานเหมือนกันทั้ง 2 อย่าง
หรือเปรี้ยวทั้ง 2 อย่าง
4. น้ำหยวกกล้วย คือการนำหยวกกล้วยที่ผ่านการมีผลมาแล้ว
นำมาสับและปั่นแล้วคั่นน้ำออกมา
5. การออกกำลังกายที่ดี คือ การเดิน, การว่ายน้ำ และการเล่นโยคะ
ช่วงเวลาที่เหมาะสม คือ ก่อน 8 โมงเช้า และ 5 โมงเย็น ถึง 1 ทุ่ม และควรออกทุกวัน




การดำรงชีวิตประจำวัน
1. ตื่นนอนก่อนพระอาทิตย์ขึ้น หรือตื่นนอนก่อน 6 โมงเช้า
2. ดื่มน้ำมะพร้าวหรือน้ำผึ้ง
3. ไปนั่งถ่าย และแปรงฟันด้วยมือกับใบมะม่วงหรือผงสมุนไพร
นวดเหงือกและฟัน ประมาณ 10 นาที
4. ชโลมน้ำมันงาหรือผงถั่วเขียว (แทนสบู่) ที่ศีรษะ, หน้าและร่างกาย
หลังจากนั้น ให้นวดศีรษะ, นวดหน้า (เป็นการนวดเป็นนวดขึ้น
เพื่อทำให้หน้าตาเต่งตึง), นวดร่างกาย เช่น นวดท้อง และนวดหัวใจ
พร้อมทั้งพูดกคุยกับอวัยวะของตัวเอง ประมาณ 15-20 นาที
แล้วนวดฝ่าเท้าประมาณ 15-20 นาที รอให้น้ำมันซึมเข้าผิวประมาณ 15-20
นาทีแล้วค่อยล้างออก
5. กินอาหารเช้าประมาณ 8 โมง ควรเป็นผักหรือผลไม้
6. เวลาเที่ยง 12.00 น. ให้ทานอาหารมื้อหลัก
7. เวลา 6 โมงเย็น ให้หยุดกิจกรรมให้น้อยลง
8. อาหารเย็นควรเป็นผักและผลไม้ หรือน้ำผลไม้หรือน้ำมะพร้าว
9. ให้นอนประมาณ 4 ทุ่ม
เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่จะทำให้เราหลับง่ายที่สุด หากเลยเวลานี้
ร่างกายเราจะดึงพลังงาน แล้วทำให้เรานอนหลับยากขึ้น

การรับประทานอาหารที่ดี คือ
ให้ทานผลไม้ 2 มื้อ คือมื้อเช้าและมื้อเย็น
ทานอาหารหลัก 1 มื้อ คือ มื้อเที่ยง




วิธีการรักษาโรคแบบต่างๆ โดยวิธีธรรมชาติบำบัด



โรคปวดท้องประจำเดือน
วิธีรักษา วันแรกให้กินน้ำมะพร้าวและผลไม้ กินไปประมาณ 3-4 วัน ประมาณ
3 เดือน จะหายปวดท้องและดีต่อการคลอด

โรคปวดหัว
วิธีรักษา ให้เอาน้ำเปล่าราดหัว ประมาณ 5 นาที

โรคสิว
วิธีรักษา ไม่ให้กินขนมปังเบเกอรี่, กินของทอด, กินพวกน้ำมัน,
กินอาหารเผ็ด, กินแป้งขัดสี,
กินน้ำตาลทรายขาว
ควรกินแต่ผัก, ผลไม้ และน้ำมะพร้าว

โรคปวดเมื่อย
วิธีรักษา ให้เอาผ้าเปียกมาคลุมบริเวณที่ปวดเมื่อย ประมาณ 1 ชม. (ไม่ให้เกินนี้)

ผู้มีสุขภาพเรื้อรัง
วิธีรักษา 1. ให้กินน้ำหยวกกล้วยตอน 6.00 โมงเช้าประมาณ 1 เดือน
หรือให้กินหยวกกล้วยสดก็ได้
2. ให้ตากแดดวันละ 1 ชม. ทั้ง เช้า 0.30 ชม.และเย็น 0.30 ชม.
โรคผิวหนัง
วิธีรักษา ใส่เสื้อผ้าที่ทำด้วยผ้าฝ้ายและไปตากแดด วันละ 2 ชม. เช้าและเย็น

โรคหัวใจ
วิธีรักษา ให้กินเจ และกินผลไม้ตอนเย็น ประมาณ 3 เดือน และไปตากแดดเช้า
1 ชม. และเย็น 1 ชม. กินน้ำเปล่า, น้ำมะพร้าว, น้ำผึ้ง หรือน้ำผลไม้ต่างๆ

โรคไมเกรน
วิธีรักษา ใช้น้ำราดศีรษะวันละ 5 ครั้ง ๆ ละ 5 นาที และกินผลไม้ทั้งวัน
3 มื้อ ประมาณ 1-2 วัน


คนสายตาสั้นหรือยาว
วิธีรักษา ให้บริหารสายตาด้วยการกรอกลูกตา
1. จากบนลงล่าง
2. จากขวาไปซ้าย
3. บนขวาไปเฉียงล่างซ้าย
4. บนซ้ายไปเฉียงล่างขวา
5. บน ซ้าย ล่าง ขวา
6. บน ขวา ล่าง ซ้าย
แล้วใช้น้ำมะพร้าวหยดตา รวมทั้งให้มองพระอาทิตย์ตอน 7 โมง และตอน 6
โมงเย็น และไม่ให้กินอาหารเย็น และให้กินผลไม้, ผัก และน้ำมะพร้าว ประมาณ
2 อาทิตย์ อาการจะดีขึ้น

โรคเหน็บชา
วิธีรักษา ไปนั่งตากแดด เช้าเย็น และกินเจ


โรคเบาหวาน
วิธีรักษา กินผักสด 1-2 เดือน และหลังจากนั้น หากอยากกินน้ำผลไม้ก็ได้

ความดันโลหิตสูง
วิธีรักษา เอาน้ำราดศีรษะ 5 ครั้งและกินผลไม้


โรคสะเก็ดเงิน
วิธีรักษา กินผลไม้ 2-3 เดือนและตากแดด

โรคคลอเรสเตอรอส
วิธีรักษา กินผักและผลไม้

โรคกระเพาะ
วิธีรักษา กินผักและผลไม้

โรคหวัด
วิธีรักษา กินแต่ผลไม้

ท้องเสีย
วิธีรักษา กินน้ำผลไม้และน้ำมะพร้าว และพักผ่อนเยอะๆ

โรคนอนไม่หลับ
วิธีรักษา ก่อนนอนให้ราดหัว ประมาณ 10 นาที

การเตรียมตัวตั้งครรภ์และการคลอดให้ราบรื่น
1. ให้กินผลไม้ 2 มื้อและอาหารเจ 1 มื้อ
2. การตากแดด (เช้า-เย็น)
3. รักษาจิตใจ ให้มีความสุข
จะช่วยให้เด็กแข็งแรง และไม่ปวดท้องตอนคลอด
(คุณหมอให้คนไข้ของคุณหมอในประเทศอินเดียทำอย่างนี้นะค่ะ)

การล้างสารพิษในผักและผลไม้
ใช้น้ำผสมเกลือเล็กน้อย แช่ผักและผลไม้ทิ้งไว้ ประมาณ 1 ชม.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ค้นหา